ตอนที่ 385. ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเก้า เดือนสิบเอ็ด โจโฉเอกอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักฮั่น ซึ่งมีอิสริยยศเป็นที่วุยก๋งหรือเจ้าพระยาโจโฉกำเริบในอำนาจตามคำยุยงของขุนนางนักวิชาการทั้งสี่คน คิดจะเลื่อนอิสริยยศตัวเองเป็นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราชหรือวุยอ๋อง จึงเข้าไปคุกคามพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีถึงพระตำหนักที่ประทับ
โจโฉเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีทรงตะลึงอึ้งอยู่ดังนั้น ก็มิได้ถวายบังคมตามประเพณี มือหนึ่งกุมกระบี่ ปากก็กราบบังคมทูลว่า “บัดนี้ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งกับเล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองเสฉวน สองเมืองนี้กล้าแข็งมิได้มาอ่อนน้อมตามประเพณี”
คำกราบบังคมทูลของโจโฉดังกล่าวอ้างเอาเล่าปี่และซุนกวนซึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมือง มีฐานะเสมอด้วยโจโฉแล้ว เท่ากับเป็นการบ่งบอกความในใจว่า ในฐานะที่โจโฉเป็นเอกอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก ก็ชอบที่จะได้เลื่อนอิสริยะยศ อิสริยะศักดิ์ให้สูงขึ้น ไม่ให้เล่าปี่และซุนกวนตีตนเสมอได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบบังคมทูลแล้วเข้าพระทัยไม่แจ่มชัดว่าโจโฉกราบบังคมทูลด้วยความหมายที่แท้จริงประการใด จึงไม่อาจตรัสในเรื่องที่โจโฉกราบบังคมทูลได้โดยตรง เพราะการบ้านเมืองทั้งปวงนั้นโจโฉก็ได้ว่าราชการสิทธิขาดมานานแล้ว จึงตรัสตอบแต่เพียงว่า “การทั้งนี้จะมาบอกเราไยเล่า จะทำสิ่งไรก็สุดแต่วุยก๋งเถิด”
โจโฉด้วยแรงกำเริบแห่งสุรา ประกอบทั้งมีเถยจิตคิดจะได้เลื่อนอิสริยยศและเข้าใจเอาเองว่าเมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังคำกราบบังคมทูลแล้ว จะทรงเข้าใจความหมายในใจตัว ครั้นได้ฟังคำตรัสที่ไม่ต้องใจก็กลับเข้าใจว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีพระดำรัสตอบในเชิงประชดก็โกรธ จึงกราบบังคมทูลตอบว่า พระองค์ตรัสความเช่นนี้เหมือนหนึ่งจะชี้นำให้อาณาประชาราษฎรครหานินทาข้าพระพุทธเจ้า ว่าจัดการบ้านเมืองแต่ตามอำเภอใจ ไม่ถวายความจงรักภักดีให้สมกับที่ไว้วางพระราชหฤทัย
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นโจโฉมีสีหน้าบึ้งตึงก็มีกระแสพระราชดำรัสตอบโดยทำนองที่ทรงปฏิบัติมาแต่เดิม ที่โจโฉกุมอำนาจสิทธิขาดในการบริหารราชการแผ่นดินว่า “การเมืองทั้งปวงนี้แม้ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของเราก็สุดแล้วแต่ท่าน ถ้าท่านจะคิดอ่านทำประการใด เราหรือจะขัดได้”
โจโฉได้ฟังคำตรัสดังนั้นก็ยิ่งสำคัญผิดว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีกระแสพระราชดำรัสที่ประชดแรงกล้าขึ้นก็ยิ่งโกรธ มิได้ถวายบังคมลา ก็สะบัดแขนเสื้อหันหลัง เดินออกจากพระตำหนักที่ประทับกลับไปที่จวน แล้วสั่งสายสืบทั้งหลายที่วางไว้ในพระราชสำนักให้กวดขันระมัดระวังความเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสี
ฝ่ายขันทีซึ่งถวายการรับใช้ในพระตำหนักที่ประทับเห็นโจโฉกลับไปแล้ว ก็พากันเข้าไปกราบบังคมทูลว่า ซึ่งโจโฉเข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลเมื่อสักครู่นี้มีความหมายว่า โจโฉต้องการได้รับเลื่อนอิสริยะยศเป็นที่วุยอ๋อง เพื่อให้มีฐานันดรเป็นเจ้า สมกับคำเล่าข่าวลือที่แพร่หลายนอกพระบรมมหาราชวังว่า โจโฉคิดอ่านจะเลื่อนตำแหน่งเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช และได้ซ่องสุมผู้คนเตรียมการไว้เป็นอันมาก ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรองความแล้วเห็นว่านานไปเมื่อหน้าเห็นโจโฉจะล้มล้างพระราชวงศ์ฮั่น แล้วแย่งชิงเอาพระราชสมบัติเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระวิตกด้วยอากัปกิริยาโจโฉที่แสดงความหยาบช้าเฉพาะหน้าพระพักตร์ ครั้นได้ฟังคำกราบบังคมทูลของบรรดาขันทีก็ทรงเชื่อตาม และเนื่องจากทรงตระหนักดีว่าอำนาจปกครองของโจโฉในบัดนี้มีสิทธิขาดในราชการบ้านเมืองทั้งปวง แม้การในราชสำนักเล่าโจโฉก็ได้เข้าแทรกแซงควบคุมไว้อย่างแน่นหนา หากโจโฉคิดล้มราชวงศ์แย่งชิงเอาราชสมบัติก็มิรู้ที่จะทำประการใด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตระหนักดังนั้นแล้วจึงทรงกันแสง พระมเหสีฮกเฮาเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ในพระอาการเศร้าโศกดังนั้นก็ทรงกันแสงตาม บรรดาขันทีเห็นฮ่องเต้และพระมเหสีโศกเศร้าและมิได้ตรัสประการใดก็พากันถวายบังคมแล้วออกไปประจำที่ตามตำแหน่ง
พระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีทรงกันแสงอยู่พักใหญ่ พระมเหสีจึงประคองพระองค์พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จเข้าไปที่ข้างใน เมื่ออยู่กันลำพังสองพระองค์แล้ว พระนางฮกเฮาจึงกราบทูลว่าความซึ่งโจโฉทำการหยาบช้าคิดแย่งชิงราชสมบัตินี้ฮกอ้วนบิดาของข้าพระพุทธเจ้าก็มีใจเจ็บแค้นอยู่คิดจะสังหารโจโฉเสีย แต่โอกาสยังไม่สบช่อง
แล้วพระมเหสีจึงกราบทูลต่อไปว่า โจโฉทำหยาบช้าต่อพระองค์ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าให้มีความเจ็บร้อน จึงคิดที่จะมีหนังสือออกไปให้ฮกอ้วนผู้บิดา ได้เร่งวันเวลาคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังพระมเหสีกราบทูลดังนั้นก็ตกพระทัย รีบตรัสว่าการใหญ่ถึงเพียงนี้จะวู่วามมิได้เป็นอันขาด เพราะเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เรามีอักษรโลหิตให้ตังสินคิดอ่านกำจัดโจโฉในครั้งนั้น ยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน เราวางใจตังสินแต่ตังสินทำการไม่รอบคอบ ถูกโจโฉจับความได้แล้วสังหารตังสินและพรรคพวกอีกหลายคน ซึ่งเจ้าจะทำการครั้งนี้กริ่งว่าความลับแพร่งพรายไปแล้วประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย เราและเจ้าก็จะพากันตายสิ้น
พระมเหสีได้ฟังคำตรัสดังนั้นจึงกราบทูลว่าพระองค์และข้าพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ในวันนี้ก็เหมือนหามีไม่ มีตำแหน่งเป็นฮ่องเต้และพระมเหสีก็ไม่ต่างอันใดกับเจว็ด เพราะโจโฉได้ยึดกุมอำนาจการบริหารบ้านเมืองทั้งนอกและในราชสำนักไว้จนหมดสิ้น ทั้งพระองค์และข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ความทุกข์ทรมานนานช้าแล้ว การครั้งนี้หากแม้นวาสนาแห่งราชวงศ์ฮั่นยังไม่ถึงกาลดับสูญ และพระบารมีของพระองค์ยังไม่สิ้น ข้าพระพุทธเจ้าคงทำการได้ตลอดลุล่วง แต่หากแม้นวาสนาชะตาราชวงศ์และพระองค์จะถึงกาลดับสูญ ถึงจะประทับนั่งนอนอยู่ในพระตำหนัก ก็ไม่อาจฝืนลิขิตแห่งสวรรค์ได้
พระนางฮกเฮาเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบทูลแล้วทรงนิ่งตรอง จึงกราบทูลสืบไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าบอกสุ้นซึ่งเป็นขันทีคนสนิท มีความจงรักภักดีพอที่จะไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำการครั้งนี้ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจะมีหนังสือให้บอกสุ้นถือไปหาฮกอ้วนผู้บิดา พระองค์จะมีความเห็นเป็นประการใด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่เห็นทางออกอื่นดีกว่านี้ จึงจำต้องเห็นชอบตามที่พระมเหสีกราบทูล พระนางฮกเฮาจึงเขียนหนังสือถึงฮกอ้วนผู้บิดาเตรียมไว้แล้วให้หาบอกสุ้นเข้ามาที่พระตำหนักที่ประทับ
ครั้นบอกสุ้นถวายบังคมตามประเพณีแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงทรงกันแสงแล้วตรัสกับบอกสุ้นว่า “โจโฉทำการหยาบช้าจนได้เป็นถึงวุยก๋งแล้วยังมีใจกำเริบ จะเลื่อนที่เป็นเจ้าวุยอ๋องหวังจะคิดกบฏชิงเอาราชสมบัติของเรา ตัวเรากับนางฮกเฮาได้ความทุกข์ร้อนดังนอนอยู่ในระหว่างกองเพลิง มิได้เห็นผู้ใดที่จะช่วยร้อนได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวพอจะไว้ความลับได้ จะให้ถือหนังสือลอบไปให้ฮกอ้วน ผู้เป็นบิดานางฮกเฮาให้ช่วยคิดกำจัดโจโฉเสีย”
บอกสุ้นเห็นพระกิริยาอาการของฮ่องเต้และพระมเหสีอยู่ในพระอาการเศร้าสลด ครั้นฟังคำตรัสแล้วบอกสุ้นก็ร้องไห้ คุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าได้อยู่เย็นเป็นสุขมาก็เพราะบุญของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตเป็นแดนแทนพระคุณอาสาถือหนังสือไป”
พระนางฮกเฮาได้ฟังคำบอกสุ้นดังนั้นจึงหยิบเอาหนังสือซึ่งทรงเขียนเตรียมไว้มอบให้แก่บอกสุ้น พร้อมกับทรงกันแสงตามพระสวามี
บอกสุ้นถวายบังคมพระมเหสีแล้ว รับเอาหนังสือนั้นพับใส่ซ่อนไว้ในเกล้ามวยผม แล้วกราบบังคมทูลว่าขอทั้งสองพระองค์ทรงวางพระราชหฤทัย ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาชีวิตนี้เป็นราชพลี ทำการถวายให้สำเร็จดังพระราชประสงค์จงทุกประการ
บอกสุ้นกราบถวายบังคมลาแล้วออกจากพระตำหนักที่ประทับ ตรงไปที่บ้านฮกอ้วนขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบิดาของพระนางฮกเฮาพระมเหสี เมื่อคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วบอกสุ้นจึงได้เล่าความตามที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้และพระมเหสีให้ฮกอ้วนฟังทุกประการ แล้วมอบหนังสือของพระนางฮกเฮาแก่ฮกอ้วน
ฮกอ้วนรับหนังสือมาเปิดอ่านดูเห็นเป็นลายมือของบุตรีก็จำได้ ความในหนังสือนั้นมีว่า โจโฉกำเริบ เข้ามาคุกคามฮ่องเต้และลูกถึงในพระตำหนักที่ประทับ กระทำการหยาบช้าราวกับว่าฮ่องเต้และลูกเป็นเจว็ด ทั้งนี้เพราะโจโฉคิดอ่านจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่วุยอ๋อง สมดังที่มีข่าวลือปรากฏทั่วในและนอกพระราชวัง โจโฉทำการทั้งนี้เพราะคิดอ่านเป็นกบฏแล้วจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ ลูกไม่เห็นผู้ใดที่จะพึ่งพา จึงขอให้ท่านบิดาเร่งรัดจัดการกำจัดโจโฉเสีย แผ่นดินจึงจะเป็นสุขสืบไป
ฮกอ้วนทราบความตามหนังสือของพระมเหสีผู้เป็นบุตรีตลอดแล้ว จึงกล่าวกับบอกสุ้นว่า การบ้านเมืองทุกวันนี้โจโฉครองอำนาจสิทธิขาด วางสายสนกลในเป็นหูตาทั่วถึงทั้งนอกและในราชสำนัก จะทำการภายในเห็นขัดสนนัก “ซึ่งจะคิดการเบานั้นเห็นจะไม่สำเร็จ แม้ให้หนังสือลับไปถึงเล่าปี่กับซุนกวน ให้ยกกองทัพมาทำการข้างนอก โจโฉก็จะยกออกไปต้านทาน แล้วเราจึงจัดผู้มีความคิดสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินนั้นทำการเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองนั่นแหละการจึงจะสำเร็จ”
อุบายของฮกอ้วนดังนี้สมแล้วที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เพราะหากการสำเร็จดังแผนการ ก็จะเป็นสภาพการบังคับให้โจโฉจำต้องยกกองทัพออกไปรับมือกับกองทัพของเล่าปี่และซุนกวน ในพระราชวังและเมืองหลวงก็จะว่างจากทหารของโจโฉ เป็นโอกาสอันสะดวกที่ฮกอ้วนและพรรคพวกจะทำการยึดอำนาจการปกครองถวายคืนฮ่องเต้
บอกสุ้นได้ฟังแผนการของฮกอ้วนดังนั้นก็เห็นดีด้วย จึงขออาสาฮกอ้วนถือหนังสือลับออกไปให้แก่เล่าปี่และซุนกวน
ฮกอ้วนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเขียนหนังสือขึ้นสามฉบับ สองฉบับแรกเป็นหนังสือถึงเล่าปี่และซุนกวน เล่าความทั้งปวงที่โจโฉคิดกบฏจะล้มล้างราชบัลลังก์แล้วแย่งชิงเอาราชสมบัติ ขอให้เล่าปี่และซุนกวนยกกองทัพเข้ามากำจัดโจโฉเสีย ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายถึงพระนางฮกเฮาผู้บุตรี แจ้งแผนการทั้งปวงให้ทราบและให้กราบทูลฮ่องเต้เพื่อทรงทราบด้วย
บอกสุ้นรับหนังสือทั้งสามฉบับจากฮกอ้วนพับซ่อนไว้ในมวยผมตามวิธีการเดิม แล้วคำนับลาฮกอ้วนจะกลับเข้าไปในพระราชวัง
แต่ถึงคราวบ้านเมืองจะเกิดอาเพศร้าย และพระราชวงศ์ฮั่นถึงคราจะเกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ คำโบราณที่ว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีตา ก็สำแดงฤทธิ์อิทธิเดชให้ปรากฏ เพราะภายในจวนของฮกอ้วนนั้นได้ตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายสืบราชการลับของโจโฉมาก่อนแล้ว โดยโจโฉได้วางสายสืบที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของฮกอ้วนอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่บอกสุ้นมาหาฮกอ้วนนั้น หญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งเป็นสายสืบของโจโฉเห็นเหตุการณ์ก็ประหลาดใจที่จู่ ๆ บอกสุ้นก็มาหาฮกอ้วน จึงแอบฟังการสนทนาของสองขุนนางอย่างละเอียด พอทราบความก็สั่งให้ลูกน้องคนสนิทรีบไปรายงานให้โจโฉทราบ
โจโฉได้ทราบความใหญ่หลวงก็โกรธ คุมทหารไปคอยทีบอกสุ้นอยู่ที่ประตูพระราชวัง ครั้นเห็นบอกสุ้นเดินมาถึงประตูพระราชวัง โจโฉก็ออกไปทักแล้วถามว่า ท่านมีหน้าที่ถวายการรับใช้อยู่ในพระตำหนัก แต่กลับไม่อยู่ประจำที่ ท่านไปแห่งหนไหนมาหรือจึงมีลักษณะร้อนรนดังนี้
บอกสุ้นเห็นโจโฉและได้ฟังคำถามดังนั้นก็ตกใจ จึงแสร้งตอบไปว่าพระมเหสีฮกเฮาทรงพระประชวร จึงตรัสสั่งให้ข้าพเจ้าไปหาหมอ เสร็จธุระแล้วจึงรีบกลับมา
โจโฉจึงซักต่อไปว่า ท่านว่าไปหาหมอเพิ่งกลับมา แล้วหมออยู่ที่ไหนเล่า โจโฉกล่าวแล้วทำหน้าขมวดสงสัยคำพูดของบอกสุ้น
บอกสุ้นเห็นลักษณะโจโฉดังนั้นก็ยิ่งตกใจ รีบละล่ำละลักตอบว่าหมอจะตามข้าพเจ้ามาต่อภายหลัง
โจโฉจึงว่ากิริยาอาการของท่านนี้มีพิรุธ เราจำเป็นจะต้องค้นตัวท่าน ว่าแล้วจึงสั่งทหารให้ค้นตัวของบอกสุ้น ทหารรับคำสั่งของโจโฉแล้วเข้าค้นเสื้อผ้าและตัวของบอกสุ้นจนทั่วตัวแต่ไม่พบสิ่งไรเป็นพิรุธหลักฐาน.
โจโฉเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีทรงตะลึงอึ้งอยู่ดังนั้น ก็มิได้ถวายบังคมตามประเพณี มือหนึ่งกุมกระบี่ ปากก็กราบบังคมทูลว่า “บัดนี้ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งกับเล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองเสฉวน สองเมืองนี้กล้าแข็งมิได้มาอ่อนน้อมตามประเพณี”
คำกราบบังคมทูลของโจโฉดังกล่าวอ้างเอาเล่าปี่และซุนกวนซึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมือง มีฐานะเสมอด้วยโจโฉแล้ว เท่ากับเป็นการบ่งบอกความในใจว่า ในฐานะที่โจโฉเป็นเอกอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก ก็ชอบที่จะได้เลื่อนอิสริยะยศ อิสริยะศักดิ์ให้สูงขึ้น ไม่ให้เล่าปี่และซุนกวนตีตนเสมอได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบบังคมทูลแล้วเข้าพระทัยไม่แจ่มชัดว่าโจโฉกราบบังคมทูลด้วยความหมายที่แท้จริงประการใด จึงไม่อาจตรัสในเรื่องที่โจโฉกราบบังคมทูลได้โดยตรง เพราะการบ้านเมืองทั้งปวงนั้นโจโฉก็ได้ว่าราชการสิทธิขาดมานานแล้ว จึงตรัสตอบแต่เพียงว่า “การทั้งนี้จะมาบอกเราไยเล่า จะทำสิ่งไรก็สุดแต่วุยก๋งเถิด”
โจโฉด้วยแรงกำเริบแห่งสุรา ประกอบทั้งมีเถยจิตคิดจะได้เลื่อนอิสริยยศและเข้าใจเอาเองว่าเมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังคำกราบบังคมทูลแล้ว จะทรงเข้าใจความหมายในใจตัว ครั้นได้ฟังคำตรัสที่ไม่ต้องใจก็กลับเข้าใจว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีพระดำรัสตอบในเชิงประชดก็โกรธ จึงกราบบังคมทูลตอบว่า พระองค์ตรัสความเช่นนี้เหมือนหนึ่งจะชี้นำให้อาณาประชาราษฎรครหานินทาข้าพระพุทธเจ้า ว่าจัดการบ้านเมืองแต่ตามอำเภอใจ ไม่ถวายความจงรักภักดีให้สมกับที่ไว้วางพระราชหฤทัย
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นโจโฉมีสีหน้าบึ้งตึงก็มีกระแสพระราชดำรัสตอบโดยทำนองที่ทรงปฏิบัติมาแต่เดิม ที่โจโฉกุมอำนาจสิทธิขาดในการบริหารราชการแผ่นดินว่า “การเมืองทั้งปวงนี้แม้ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของเราก็สุดแล้วแต่ท่าน ถ้าท่านจะคิดอ่านทำประการใด เราหรือจะขัดได้”
โจโฉได้ฟังคำตรัสดังนั้นก็ยิ่งสำคัญผิดว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีกระแสพระราชดำรัสที่ประชดแรงกล้าขึ้นก็ยิ่งโกรธ มิได้ถวายบังคมลา ก็สะบัดแขนเสื้อหันหลัง เดินออกจากพระตำหนักที่ประทับกลับไปที่จวน แล้วสั่งสายสืบทั้งหลายที่วางไว้ในพระราชสำนักให้กวดขันระมัดระวังความเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสี
ฝ่ายขันทีซึ่งถวายการรับใช้ในพระตำหนักที่ประทับเห็นโจโฉกลับไปแล้ว ก็พากันเข้าไปกราบบังคมทูลว่า ซึ่งโจโฉเข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลเมื่อสักครู่นี้มีความหมายว่า โจโฉต้องการได้รับเลื่อนอิสริยะยศเป็นที่วุยอ๋อง เพื่อให้มีฐานันดรเป็นเจ้า สมกับคำเล่าข่าวลือที่แพร่หลายนอกพระบรมมหาราชวังว่า โจโฉคิดอ่านจะเลื่อนตำแหน่งเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช และได้ซ่องสุมผู้คนเตรียมการไว้เป็นอันมาก ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรองความแล้วเห็นว่านานไปเมื่อหน้าเห็นโจโฉจะล้มล้างพระราชวงศ์ฮั่น แล้วแย่งชิงเอาพระราชสมบัติเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระวิตกด้วยอากัปกิริยาโจโฉที่แสดงความหยาบช้าเฉพาะหน้าพระพักตร์ ครั้นได้ฟังคำกราบบังคมทูลของบรรดาขันทีก็ทรงเชื่อตาม และเนื่องจากทรงตระหนักดีว่าอำนาจปกครองของโจโฉในบัดนี้มีสิทธิขาดในราชการบ้านเมืองทั้งปวง แม้การในราชสำนักเล่าโจโฉก็ได้เข้าแทรกแซงควบคุมไว้อย่างแน่นหนา หากโจโฉคิดล้มราชวงศ์แย่งชิงเอาราชสมบัติก็มิรู้ที่จะทำประการใด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตระหนักดังนั้นแล้วจึงทรงกันแสง พระมเหสีฮกเฮาเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ในพระอาการเศร้าโศกดังนั้นก็ทรงกันแสงตาม บรรดาขันทีเห็นฮ่องเต้และพระมเหสีโศกเศร้าและมิได้ตรัสประการใดก็พากันถวายบังคมแล้วออกไปประจำที่ตามตำแหน่ง
พระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีทรงกันแสงอยู่พักใหญ่ พระมเหสีจึงประคองพระองค์พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จเข้าไปที่ข้างใน เมื่ออยู่กันลำพังสองพระองค์แล้ว พระนางฮกเฮาจึงกราบทูลว่าความซึ่งโจโฉทำการหยาบช้าคิดแย่งชิงราชสมบัตินี้ฮกอ้วนบิดาของข้าพระพุทธเจ้าก็มีใจเจ็บแค้นอยู่คิดจะสังหารโจโฉเสีย แต่โอกาสยังไม่สบช่อง
แล้วพระมเหสีจึงกราบทูลต่อไปว่า โจโฉทำหยาบช้าต่อพระองค์ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าให้มีความเจ็บร้อน จึงคิดที่จะมีหนังสือออกไปให้ฮกอ้วนผู้บิดา ได้เร่งวันเวลาคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังพระมเหสีกราบทูลดังนั้นก็ตกพระทัย รีบตรัสว่าการใหญ่ถึงเพียงนี้จะวู่วามมิได้เป็นอันขาด เพราะเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เรามีอักษรโลหิตให้ตังสินคิดอ่านกำจัดโจโฉในครั้งนั้น ยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน เราวางใจตังสินแต่ตังสินทำการไม่รอบคอบ ถูกโจโฉจับความได้แล้วสังหารตังสินและพรรคพวกอีกหลายคน ซึ่งเจ้าจะทำการครั้งนี้กริ่งว่าความลับแพร่งพรายไปแล้วประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย เราและเจ้าก็จะพากันตายสิ้น
พระมเหสีได้ฟังคำตรัสดังนั้นจึงกราบทูลว่าพระองค์และข้าพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ในวันนี้ก็เหมือนหามีไม่ มีตำแหน่งเป็นฮ่องเต้และพระมเหสีก็ไม่ต่างอันใดกับเจว็ด เพราะโจโฉได้ยึดกุมอำนาจการบริหารบ้านเมืองทั้งนอกและในราชสำนักไว้จนหมดสิ้น ทั้งพระองค์และข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ความทุกข์ทรมานนานช้าแล้ว การครั้งนี้หากแม้นวาสนาแห่งราชวงศ์ฮั่นยังไม่ถึงกาลดับสูญ และพระบารมีของพระองค์ยังไม่สิ้น ข้าพระพุทธเจ้าคงทำการได้ตลอดลุล่วง แต่หากแม้นวาสนาชะตาราชวงศ์และพระองค์จะถึงกาลดับสูญ ถึงจะประทับนั่งนอนอยู่ในพระตำหนัก ก็ไม่อาจฝืนลิขิตแห่งสวรรค์ได้
พระนางฮกเฮาเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำกราบทูลแล้วทรงนิ่งตรอง จึงกราบทูลสืบไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าบอกสุ้นซึ่งเป็นขันทีคนสนิท มีความจงรักภักดีพอที่จะไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำการครั้งนี้ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจะมีหนังสือให้บอกสุ้นถือไปหาฮกอ้วนผู้บิดา พระองค์จะมีความเห็นเป็นประการใด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่เห็นทางออกอื่นดีกว่านี้ จึงจำต้องเห็นชอบตามที่พระมเหสีกราบทูล พระนางฮกเฮาจึงเขียนหนังสือถึงฮกอ้วนผู้บิดาเตรียมไว้แล้วให้หาบอกสุ้นเข้ามาที่พระตำหนักที่ประทับ
ครั้นบอกสุ้นถวายบังคมตามประเพณีแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงทรงกันแสงแล้วตรัสกับบอกสุ้นว่า “โจโฉทำการหยาบช้าจนได้เป็นถึงวุยก๋งแล้วยังมีใจกำเริบ จะเลื่อนที่เป็นเจ้าวุยอ๋องหวังจะคิดกบฏชิงเอาราชสมบัติของเรา ตัวเรากับนางฮกเฮาได้ความทุกข์ร้อนดังนอนอยู่ในระหว่างกองเพลิง มิได้เห็นผู้ใดที่จะช่วยร้อนได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวพอจะไว้ความลับได้ จะให้ถือหนังสือลอบไปให้ฮกอ้วน ผู้เป็นบิดานางฮกเฮาให้ช่วยคิดกำจัดโจโฉเสีย”
บอกสุ้นเห็นพระกิริยาอาการของฮ่องเต้และพระมเหสีอยู่ในพระอาการเศร้าสลด ครั้นฟังคำตรัสแล้วบอกสุ้นก็ร้องไห้ คุกเข่าลงกราบถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าได้อยู่เย็นเป็นสุขมาก็เพราะบุญของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอเอาชีวิตเป็นแดนแทนพระคุณอาสาถือหนังสือไป”
พระนางฮกเฮาได้ฟังคำบอกสุ้นดังนั้นจึงหยิบเอาหนังสือซึ่งทรงเขียนเตรียมไว้มอบให้แก่บอกสุ้น พร้อมกับทรงกันแสงตามพระสวามี
บอกสุ้นถวายบังคมพระมเหสีแล้ว รับเอาหนังสือนั้นพับใส่ซ่อนไว้ในเกล้ามวยผม แล้วกราบบังคมทูลว่าขอทั้งสองพระองค์ทรงวางพระราชหฤทัย ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาชีวิตนี้เป็นราชพลี ทำการถวายให้สำเร็จดังพระราชประสงค์จงทุกประการ
บอกสุ้นกราบถวายบังคมลาแล้วออกจากพระตำหนักที่ประทับ ตรงไปที่บ้านฮกอ้วนขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบิดาของพระนางฮกเฮาพระมเหสี เมื่อคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วบอกสุ้นจึงได้เล่าความตามที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้และพระมเหสีให้ฮกอ้วนฟังทุกประการ แล้วมอบหนังสือของพระนางฮกเฮาแก่ฮกอ้วน
ฮกอ้วนรับหนังสือมาเปิดอ่านดูเห็นเป็นลายมือของบุตรีก็จำได้ ความในหนังสือนั้นมีว่า โจโฉกำเริบ เข้ามาคุกคามฮ่องเต้และลูกถึงในพระตำหนักที่ประทับ กระทำการหยาบช้าราวกับว่าฮ่องเต้และลูกเป็นเจว็ด ทั้งนี้เพราะโจโฉคิดอ่านจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่วุยอ๋อง สมดังที่มีข่าวลือปรากฏทั่วในและนอกพระราชวัง โจโฉทำการทั้งนี้เพราะคิดอ่านเป็นกบฏแล้วจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ ลูกไม่เห็นผู้ใดที่จะพึ่งพา จึงขอให้ท่านบิดาเร่งรัดจัดการกำจัดโจโฉเสีย แผ่นดินจึงจะเป็นสุขสืบไป
ฮกอ้วนทราบความตามหนังสือของพระมเหสีผู้เป็นบุตรีตลอดแล้ว จึงกล่าวกับบอกสุ้นว่า การบ้านเมืองทุกวันนี้โจโฉครองอำนาจสิทธิขาด วางสายสนกลในเป็นหูตาทั่วถึงทั้งนอกและในราชสำนัก จะทำการภายในเห็นขัดสนนัก “ซึ่งจะคิดการเบานั้นเห็นจะไม่สำเร็จ แม้ให้หนังสือลับไปถึงเล่าปี่กับซุนกวน ให้ยกกองทัพมาทำการข้างนอก โจโฉก็จะยกออกไปต้านทาน แล้วเราจึงจัดผู้มีความคิดสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินนั้นทำการเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองนั่นแหละการจึงจะสำเร็จ”
อุบายของฮกอ้วนดังนี้สมแล้วที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เพราะหากการสำเร็จดังแผนการ ก็จะเป็นสภาพการบังคับให้โจโฉจำต้องยกกองทัพออกไปรับมือกับกองทัพของเล่าปี่และซุนกวน ในพระราชวังและเมืองหลวงก็จะว่างจากทหารของโจโฉ เป็นโอกาสอันสะดวกที่ฮกอ้วนและพรรคพวกจะทำการยึดอำนาจการปกครองถวายคืนฮ่องเต้
บอกสุ้นได้ฟังแผนการของฮกอ้วนดังนั้นก็เห็นดีด้วย จึงขออาสาฮกอ้วนถือหนังสือลับออกไปให้แก่เล่าปี่และซุนกวน
ฮกอ้วนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงเขียนหนังสือขึ้นสามฉบับ สองฉบับแรกเป็นหนังสือถึงเล่าปี่และซุนกวน เล่าความทั้งปวงที่โจโฉคิดกบฏจะล้มล้างราชบัลลังก์แล้วแย่งชิงเอาราชสมบัติ ขอให้เล่าปี่และซุนกวนยกกองทัพเข้ามากำจัดโจโฉเสีย ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายถึงพระนางฮกเฮาผู้บุตรี แจ้งแผนการทั้งปวงให้ทราบและให้กราบทูลฮ่องเต้เพื่อทรงทราบด้วย
บอกสุ้นรับหนังสือทั้งสามฉบับจากฮกอ้วนพับซ่อนไว้ในมวยผมตามวิธีการเดิม แล้วคำนับลาฮกอ้วนจะกลับเข้าไปในพระราชวัง
แต่ถึงคราวบ้านเมืองจะเกิดอาเพศร้าย และพระราชวงศ์ฮั่นถึงคราจะเกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ คำโบราณที่ว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีตา ก็สำแดงฤทธิ์อิทธิเดชให้ปรากฏ เพราะภายในจวนของฮกอ้วนนั้นได้ตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายสืบราชการลับของโจโฉมาก่อนแล้ว โดยโจโฉได้วางสายสืบที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของฮกอ้วนอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่บอกสุ้นมาหาฮกอ้วนนั้น หญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งเป็นสายสืบของโจโฉเห็นเหตุการณ์ก็ประหลาดใจที่จู่ ๆ บอกสุ้นก็มาหาฮกอ้วน จึงแอบฟังการสนทนาของสองขุนนางอย่างละเอียด พอทราบความก็สั่งให้ลูกน้องคนสนิทรีบไปรายงานให้โจโฉทราบ
โจโฉได้ทราบความใหญ่หลวงก็โกรธ คุมทหารไปคอยทีบอกสุ้นอยู่ที่ประตูพระราชวัง ครั้นเห็นบอกสุ้นเดินมาถึงประตูพระราชวัง โจโฉก็ออกไปทักแล้วถามว่า ท่านมีหน้าที่ถวายการรับใช้อยู่ในพระตำหนัก แต่กลับไม่อยู่ประจำที่ ท่านไปแห่งหนไหนมาหรือจึงมีลักษณะร้อนรนดังนี้
บอกสุ้นเห็นโจโฉและได้ฟังคำถามดังนั้นก็ตกใจ จึงแสร้งตอบไปว่าพระมเหสีฮกเฮาทรงพระประชวร จึงตรัสสั่งให้ข้าพเจ้าไปหาหมอ เสร็จธุระแล้วจึงรีบกลับมา
โจโฉจึงซักต่อไปว่า ท่านว่าไปหาหมอเพิ่งกลับมา แล้วหมออยู่ที่ไหนเล่า โจโฉกล่าวแล้วทำหน้าขมวดสงสัยคำพูดของบอกสุ้น
บอกสุ้นเห็นลักษณะโจโฉดังนั้นก็ยิ่งตกใจ รีบละล่ำละลักตอบว่าหมอจะตามข้าพเจ้ามาต่อภายหลัง
โจโฉจึงว่ากิริยาอาการของท่านนี้มีพิรุธ เราจำเป็นจะต้องค้นตัวท่าน ว่าแล้วจึงสั่งทหารให้ค้นตัวของบอกสุ้น ทหารรับคำสั่งของโจโฉแล้วเข้าค้นเสื้อผ้าและตัวของบอกสุ้นจนทั่วตัวแต่ไม่พบสิ่งไรเป็นพิรุธหลักฐาน.