ตอนที่ 384. กลวิธีสร้างความชอบ
กวนอูรับคำเชิญไปกินโต๊ะกับโลซกที่ปากน้ำลกเค้า ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเป็นกลอุบายของโลซกที่จะจับตัวกวนอูเป็นประกันเพื่อแลกกับเมืองเกงจิ๋ว ครั้นโลซกเจรจาความเมืองเรื่องทวงเมืองเกงจิ๋วกวนอูจึงแสร้งเมา แย่งเอาง้าวจากจิวฉองมาถือไว้และเข้าจับแขนของโลซกทำทีว่าอาลัยก่อนจะอำลากัน ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดีว่านั่นคือการเกาะกุมตัวโลซกเป็นตัวประกันนั่นเอง
เมื่อเอ่ยปากขอลาแล้ว กวนอูจึงจูงแขนโลซกพากันเดินออกไปนอกค่าย โลซกถูกจับแขนไว้อย่างแน่นหนา รู้สถานการณ์ดีว่ากวนอูได้เกาะกุมตัวเองไว้เป็นตัวประกัน ถึงจะดิ้นก็ยากที่จะหลุดจากมือของกวนอูได้ ดังนั้นจึงปล่อยตัวตามเลยเพื่อไม่ให้เสียกิริยาอาการ เดินคู่กับกวนอูออกไปนอกค่ายราวกับว่ามีไมตรีสนิทสนมและอาลัยเป็นอันมาก
ฝ่ายกำเหลงและลิบองคุมทหารสองกองซุ่มอยู่นอกค่ายรอฟังสัญญาณจากโลซกอยู่เป็นช้านาน ก็ไม่มีสัญญาณให้ยกทหารเข้าไปจู่โจมแต่ประการใด จึงได้แต่ให้ทหารเตรียมพร้อมต่อไป
ครั้นเห็นกวนอูมือหนึ่งถือง้าว มือหนึ่งจูงแขนโลซกเดินออกมาจากในค่าย แม้คิดจะเข้าจู่โจมจับตัวกวนอูแต่ก็เกรงว่ากวนอูจะทำอันตรายแก่โลซก จึงรั้งรออยู่มิรู้ที่จะทำประการใด
กวนอูเดินจูงแขนโลซกพ้นออกจากค่ายแล้วตรงไปที่ท่าเรือ ทหารที่ติดตามกวนอูมาก็ยกขบวนตามไปด้วย จนกระทั่งถึงท่าเรือกวนอูจึงหันมามองหน้าโลซกแล้วว่า ท่านเชิญมากินโต๊ะวันนี้ขอขอบใจนัก ไว้โอกาสหน้าหวังว่าจะได้ร่วมกินโต๊ะด้วยกันอีก เวลาวันนี้สมควรแก่การแล้ว ข้าพเจ้าขออำลาท่านไปก่อน
กล่าวสิ้นคำลงกวนอูก็วางมือจากแขนของโลซกแล้วลงเรือ สั่งให้ทหารชักใบแล่นตามลมกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ขบวนเรือรบของกวนเป๋งเห็นดังนั้นก็ยกตามกวนอูกลับไป
โลซกยืนอยู่ที่ท่าเรือจนกระทั่งเรือของกวนอูออกจากท่าไปไกลแล้ว จึงเดินกลับไปที่ค่าย แล้วให้เรียกกำเหลงและลิบองเข้ามาปรึกษาว่าเราวางอุบายเชิญกวนอูมากินโต๊ะครั้งนี้ การไม่สมความคิด ให้รู้สึกละอายใจนัก จะทำประการใดจึงจะได้เมืองเกงจิ๋วคืนแก่นายเรา
ลิบองจึงว่าการควรที่ท่านจะมีหนังสือรายงานความตามจริงให้ซุนกวนทราบ และเสนอให้ซุนกวนจัดแจงแต่งกองทัพยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว โดยท่านจะต้องตั้งมั่นรักษาปากน้ำลกเค้าไว้ให้พร้อม คอยสมทบกับกองทัพที่ซุนกวนจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว
โลซกได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือรายงานความให้ซุนกวนทราบทุกประการ
ซุนกวนได้ทราบรายงานของโลซกแล้วก็โกรธ สั่งให้จัดเตรียมกองทัพสิ้นทั้งเมืองกังตั๋งเพื่อจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว แต่ในขณะที่กำลังตระเตรียมกองทัพอยู่นั้น หน่วยสอดแนมกิจการภาคเหนือก็ได้ส่งรายงานด่วนมาถึงซุนกวนว่า บัดนี้โจโฉได้เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นเตรียมจะยกกองทัพลงมาตีเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงแต่งหนังสือไปถึงโลซกว่าซึ่งเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้นจำจะต้องงดไว้ก่อน ด้วยบัดนี้โจโฉจะยกกองทัพสามสิบหมื่นมาตีเมืองเรา จึงจำเป็นต้องยกกองทัพไปขัดตาทัพของโจโฉไว้ที่เมืองหับป๋า ให้โลซกกวดขันรักษาปากน้ำลกเค้าไว้ให้มั่นคง
พอทหารถือหนังสือออกไปแล้ว ซุนกวนจึงสั่งให้แต่งกองทัพเป็นสองกอง กองหนึ่งให้ยกไปขัดตาทัพอยู่ที่ตำบลยี่สู อีกกองหนึ่งซุนกวนคุมกองทัพไปเอง ไปตั้งขัดตาทัพกองทัพโจโฉอยู่ที่เมืองหับป๋า อันเป็นเส้นทางปลายแดนที่กองทัพเมืองเหนือจะยกมาประชิดเมืองกังตั๋ง
ทางฝ่ายเมืองหลวง หลังจากโจโฉปราชัยในสงครามเซ็กเพ็กแล้ว ในใจก็เคืองแค้นแคว้นกังตั๋งไม่รู้ลืม จ้องฉวยโอกาสจะยกกองทัพรุกลงใต้อีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สบช่องโอกาส เพราะติดด้วยการศึกด้านม้าเฉียวเสียครั้งหนึ่ง และต้องซ่อมบำรุงกองทัพหลังจากยับเยินมาจากสงครามเซ็กเพ็ก
ครั้นจัดเตรียมกองทัพพรั่งพร้อมแล้ว โจโฉเตรียมจะยกกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ เพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋งและหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง แต่ในขณะที่รอวันฤกษ์ดีอยู่นั้น โปหั้นซึ่งเป็นที่ปรึกษากำลังป่วยอยู่ ทราบความว่าโจโฉเตรียมจะยกกองทัพลงใต้อีกจึงแต่งหนังสือให้ทหารคนสนิทนำไปมอบแก่โจโฉ
โจโฉรับหนังสือของโปหั้นออกอ่านดูเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าโปหั้นขอคำนับเตือนท่านวุยก๋งให้แจ้ง ด้วยคำโบราณกล่าวไว้ว่าฝ่ายทหารผู้จะเป็นแม่ทัพแม่กอง แม้จะยกไปทำการสงครามแห่งใดตำบลใด ให้บำรุงทแกล้วทหารและเครื่องศัสตราวุธให้พร้อมเป็นสง่าแล้วจึงจะยกไปเป็นธรรมดา ฝ่ายพลเรือนเล่าก็ให้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้ให้เป็นสง่า แลเนื้อความสองประการนี้ผู้ใดทำได้จึงจะคิดอ่านตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ อันหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเป็นจลาจลอยู่นั้นท่านก็ปราบปรามได้ถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนเดียวคือเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวน อันเมืองกังตั๋งนั้นทางกันดารด้วยเป็นชายทะเล เมืองเสฉวนนั้นลำบากด้วยซอกห้วยเนินเขาเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้เห็นทแกล้วทหารจะได้ความลำบากนัก ขอให้งดอยู่บำรุงทหารให้มีกำลังแล้วจึงค่อยยกไป ก็จะมีชัยชนะโดยง่าย”
โจโฉอ่านหนังสือของโปหั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ตรองดูก็เห็นจริง เพราะบัดนี้โจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองหลวง บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิ่งศฤงคารทั้งปวง หากยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งและพลาดพลั้งประการใด เกียรติยศเกียรติศักดิ์อันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ก็จะหมองเสื่อมลง ไม่คุ้มกับความเสี่ยง ทั้งการซ่อมแต่งบำรุงกองทัพให้พรั่งพร้อมเติบใหญ่ย่อมเป็นปัจจัยแห่งชัยชนะตามประเพณีการสงครามแต่โบราณ โจโฉตรองความดังนี้แล้วจึงปลงใจเชื่อความตามหนังสือของโปหั้น ให้งดกองทัพไว้ และให้ปรับปรุงกองทัพ เสริมแต่งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ผู้ใดเป็นคนดีมีสติปัญญาความสามารถก็ให้ระดมมารับใช้ราชการ ตั้งแต่งตำแหน่งแหล่งที่โดยควรแก่คุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุฒิ
เพราะเหตุนี้อำนาจรัฐของโจโฉจึงเข้มแข็งแกร่งกล้าในเมืองหลวง บรรดาขุนนางทั้งปวงก็ยอมสยบอยู่ภายใต้อำนาจของโจโฉสิ้น
ฝ่ายขุนนางที่ปรึกษาสี่คน คือ อองซาน โตสิบ อุไค้ และโอจับ เห็นสถานการณ์บ้านเมืองเป็นดังนั้น และเห็นว่าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงต่างมีตำแหน่งแหล่งที่ มีหน้าที่การงานถ้วนหน้ากันแล้ว ชอบที่จะหาหนทางสร้างความชอบเพื่อได้เลื่อนขั้นตำแหน่งให้เป็นศักดิ์และศรีไว้แก่ตัว อันเป็นหนทางที่จะได้อาณาประโยชน์ตามตำแหน่งที่สูงขึ้น ขุนนางที่ปรึกษาทั้งสี่คนจึงนัดประชุมปรึกษาหารือกัน
สี่ขุนนางนักวิชาการซึ่งเป็นที่ปรึกษาหารือกันอย่างถ้วนถี่แล้วมีความเห็นพ้องต้องกันว่า หนทางที่จะได้เลื่อนตำแหน่งและแสวงให้ได้มาซึ่งลาภยศสุขสรรเสริญนั้น กระทำได้โดยวิถีทางสองอย่าง คือทำความดีให้ปรากฏผลงานเป็นประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองและราษฎรอย่างหนึ่ง และการทำความชอบให้เป็นที่ต้องใจอัธยาศัยของผู้เป็นนาย ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านอีกอย่างหนึ่ง อันสถานการณ์บ้านเมืองบัดนี้มีขุนนางผู้มีตำแหน่งหน้าที่บำเพ็ญความดีงามเพื่อประโยชน์ของราษฎรเป็นอันมาก ยากที่พวกเราจะแข่งขันสร้างผลงานความดีไปทัดเทียมได้ ดังนั้นจึงเหลือแต่หนทางสร้างความชอบให้ต้องใจผู้เป็นนายก็สามารถได้รับอาณาประโยชน์ที่ไม่น้อยกว่ากัน ทั้งการสร้างความก้าวหน้าโดยวิถีสร้างความชอบจะทำได้ง่ายกว่า และหากสบอัธยาศัยของผู้เป็นนายแล้วก็จะเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าหนทางสร้างความดีด้วยซ้ำไป
ปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงช่วยกันคิดหาวิธีการต่อไป ได้ข้อสรุปตรงกันว่าโจโฉในบัดนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจสิทธิขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ทรัพย์สิ่งศฤงคาร บริวารข้าทาสก็เปี่ยมบริบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดพร่องที่พวกเราจะแต่งเติมเสริมให้ถูกอัธยาศัยได้ และว่าอิสริยยศของโจโฉในบัดนี้เป็นวุยก๋งเทียบได้กับชั้นสมเด็จยังหย่อนอยู่ ชอบที่พวกเราจะได้เพ็ดทูลให้เลื่อนตำแหน่งของโจโฉขึ้นเป็นที่วุยอ๋องหรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช มีกรมในบังคับบัญชาเช่นเดียวกับเจ้าต่างกรม ที่ประชุมของขุนนางนักวิชาการในตำแหน่งที่ปรึกษาทั้งสี่คนเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้วจึงพากันเข้าไปหาโจโฉ
หลังจากคำนับโจโฉตามธรรมเนียมแล้วขุนนางที่ปรึกษาทั้งสี่คนจึงเสนอว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้ทุ่มเทเสียสละให้แก่บ้านเมืองเป็นเวลาช้านาน จนแผ่นดินสงบสุขราบคาบเป็นความชอบใหญ่หลวงหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ สมควรที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวุยอ๋องหรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช จึงจะควรแก่ความชอบ
โจโฉได้ฟังคำขุนนางทั้งสี่ก็ครึ้มอกครึ้มใจ มีสีหน้าผ่องใสนัก แต่ยังมิทันที่จะตอบคำว่ากล่าวประการใด ซุนฮิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่และได้ร่วมการกับโจโฉมาตั้งแต่เริ่มตั้งตัว เห็นว่าข้อเสนอของขุนนางทั้งสี่เป็นเรื่องของการประจบสอพลอที่นำความเสื่อมเสียมาสู่ โจโฉได้ เพราะเป็นเรื่องผิดแนวทางการเมืองที่ต้องการครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้มาแต่เดิม การเพิ่มอิสริยยศและฐานันดรดังนี้จะเป็นที่ประหวั่นพรั่นใจของขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งปวงอันเป็นการนำเภทภัยมาสู่โจโฉในวันหน้า
เมื่อคิดดังนี้แล้วซุนฮิวจึงกล่าวทักท้วงว่า “ทุกวันนี้ท่านเป็นที่วุยก๋งก็เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง ราชการสิ่งใดก็สิทธิขาดอยู่กับท่านสิ้น ซึ่งขุนนางทั้งสี่คนจะให้ท่านเลื่อนที่เป็นที่วุยอ๋องนั้นไม่ควร”
โจโฉกำลังเคลิบเคลิ้มด้วยคำเพ็ดทูลของสี่ขุนนาง น้ำใจก็เอนเอียงไปในข้างที่จะได้เลื่อนอิสริยยศตามวิสัยของปุถุชนซึ่งติดยึดอยู่ในโลกธรรมทั้งสี่ คือลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นที่สบายและสบอารมณ์นัก ดังนั้นพอได้ยินคำท้วงของซุนฮิวก็โกรธ โดยลืมเลือนไปสิ้นว่าซุนฮิวนั้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาผู้ใหญ่ที่มีจุดยืนทางเมืองมั่นคง และมีความจงรักภักดีโจโฉอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาเป็นระยะเวลาช้านาน
โจโฉโกรธซุนฮิวแล้วอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า “ท่านมาว่าดังนี้เห็นจะเหมือนซุนฮกเสียกระมัง”
ซุนฮิวได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็เสียน้ำใจ เพราะรู้ดีว่าซุนฮกที่ปรึกษาผู้ใหญ่ที่ร่วมก่อการมาด้วยกันตั้งแต่โจโฉเริ่มตั้งตัวและคอยท้วงติงมิให้โจโฉลุแก่อำนาจกำเริบใจตีตนเสมอฮ่องเต้ ก็ถูกบีบคั้นจนตรอมใจตาย การที่โจโฉพูดด้วยแรงโทสะและด้วยถ้อยคำแม้จะสั้นแต่เมื่อโจโฉถือว่ากรณีนี้เหมือนกับกรณีของซุนฮก ซุนฮิวก็ประหวั่นถึงชะตากรรมของตัว
ซุนฮิวเห็นโจโฉโกรธ และตัวเองก็เสียน้ำใจหนักจึงคำนับลาโจโฉกลับไปบ้าน ทั้งความน้อยใจ ความเสียใจประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ร้อนสุมไหม้ดังเพลิงกาฬกลุ้มอยู่ในหัวใจ ซุนฮิวจึงตรอมใจถึงแก่ความตาย
โจโฉทราบข่าวว่าซุนฮิวถึงแก่ความตายก็ตกใจ รำลึกถึงคุณงามความดีของซุนฮิวแต่หนหลัง จึงสั่งให้แต่งการศพของซุนฮิวอย่างสมเกียรติของที่ปรึกษาผู้ใหญ่สำหรับแผ่นดิน และให้เอาศพไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ทั้งปูนบำเหน็จข้าวของเงินทองให้แก่ครอบครัวของซุนฮิวเป็นอันมาก
ความตายของซุนฮิวทำให้โจโฉได้สติยั้งคิด เพราะเมื่อหวนคำนึงถึงความหลังครั้งเริ่มตั้งตัวที่ซุนฮิวได้สร้างคุณูปการในการให้คำปรึกษาในการสงคราม การเมืองและการปกครองทั้งปวงแล้ว โจโฉก็รำลึกได้ถึงแนวทางการเมืองซึ่งกำหนดไว้แต่เดิมว่าจะครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ ดังนั้นโจโฉจึงระงับความคิดที่จะเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราชเอาไว้ชั่วคราว
ต่อมาวันหนึ่งโจโฉเสพสุราแล้วกำเริบน้ำใจใคร่จะได้เลื่อนอิสริยยศเป็นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราชตามที่สี่ขุนนางได้เสนออีกครั้งหนึ่ง จึงถือกระบี่เดินเข้าไปถึงพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ในขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระนางฮกเฮาพระมเหสีกำลังทรงพระสำราญอยู่ในพระตำหนัก ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นโจโฉมีอาการมึนเมาเดินถือกระบี่เดินเข้ามาที่พระตำหนักผิดไปจากที่เคยเป็นก็ตกพระทัย ทรงตะลึงอยู่
พฤติกรรมของโจโฉในครั้งนี้คลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าวิญญาณของตั๋งโต๊ะมาเข้าสิง จึงกำเริบใจละเมิดกฎมนเทียรบาล ถือกระบี่เข้าไปถึงข้างในพระตำหนักที่ประทับในขณะที่เมามาย ชะตาร้ายของบ้านเมืองจึงก่อตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.
เมื่อเอ่ยปากขอลาแล้ว กวนอูจึงจูงแขนโลซกพากันเดินออกไปนอกค่าย โลซกถูกจับแขนไว้อย่างแน่นหนา รู้สถานการณ์ดีว่ากวนอูได้เกาะกุมตัวเองไว้เป็นตัวประกัน ถึงจะดิ้นก็ยากที่จะหลุดจากมือของกวนอูได้ ดังนั้นจึงปล่อยตัวตามเลยเพื่อไม่ให้เสียกิริยาอาการ เดินคู่กับกวนอูออกไปนอกค่ายราวกับว่ามีไมตรีสนิทสนมและอาลัยเป็นอันมาก
ฝ่ายกำเหลงและลิบองคุมทหารสองกองซุ่มอยู่นอกค่ายรอฟังสัญญาณจากโลซกอยู่เป็นช้านาน ก็ไม่มีสัญญาณให้ยกทหารเข้าไปจู่โจมแต่ประการใด จึงได้แต่ให้ทหารเตรียมพร้อมต่อไป
ครั้นเห็นกวนอูมือหนึ่งถือง้าว มือหนึ่งจูงแขนโลซกเดินออกมาจากในค่าย แม้คิดจะเข้าจู่โจมจับตัวกวนอูแต่ก็เกรงว่ากวนอูจะทำอันตรายแก่โลซก จึงรั้งรออยู่มิรู้ที่จะทำประการใด
กวนอูเดินจูงแขนโลซกพ้นออกจากค่ายแล้วตรงไปที่ท่าเรือ ทหารที่ติดตามกวนอูมาก็ยกขบวนตามไปด้วย จนกระทั่งถึงท่าเรือกวนอูจึงหันมามองหน้าโลซกแล้วว่า ท่านเชิญมากินโต๊ะวันนี้ขอขอบใจนัก ไว้โอกาสหน้าหวังว่าจะได้ร่วมกินโต๊ะด้วยกันอีก เวลาวันนี้สมควรแก่การแล้ว ข้าพเจ้าขออำลาท่านไปก่อน
กล่าวสิ้นคำลงกวนอูก็วางมือจากแขนของโลซกแล้วลงเรือ สั่งให้ทหารชักใบแล่นตามลมกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ขบวนเรือรบของกวนเป๋งเห็นดังนั้นก็ยกตามกวนอูกลับไป
โลซกยืนอยู่ที่ท่าเรือจนกระทั่งเรือของกวนอูออกจากท่าไปไกลแล้ว จึงเดินกลับไปที่ค่าย แล้วให้เรียกกำเหลงและลิบองเข้ามาปรึกษาว่าเราวางอุบายเชิญกวนอูมากินโต๊ะครั้งนี้ การไม่สมความคิด ให้รู้สึกละอายใจนัก จะทำประการใดจึงจะได้เมืองเกงจิ๋วคืนแก่นายเรา
ลิบองจึงว่าการควรที่ท่านจะมีหนังสือรายงานความตามจริงให้ซุนกวนทราบ และเสนอให้ซุนกวนจัดแจงแต่งกองทัพยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว โดยท่านจะต้องตั้งมั่นรักษาปากน้ำลกเค้าไว้ให้พร้อม คอยสมทบกับกองทัพที่ซุนกวนจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว
โลซกได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือรายงานความให้ซุนกวนทราบทุกประการ
ซุนกวนได้ทราบรายงานของโลซกแล้วก็โกรธ สั่งให้จัดเตรียมกองทัพสิ้นทั้งเมืองกังตั๋งเพื่อจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว แต่ในขณะที่กำลังตระเตรียมกองทัพอยู่นั้น หน่วยสอดแนมกิจการภาคเหนือก็ได้ส่งรายงานด่วนมาถึงซุนกวนว่า บัดนี้โจโฉได้เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่นเตรียมจะยกกองทัพลงมาตีเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงแต่งหนังสือไปถึงโลซกว่าซึ่งเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วนั้นจำจะต้องงดไว้ก่อน ด้วยบัดนี้โจโฉจะยกกองทัพสามสิบหมื่นมาตีเมืองเรา จึงจำเป็นต้องยกกองทัพไปขัดตาทัพของโจโฉไว้ที่เมืองหับป๋า ให้โลซกกวดขันรักษาปากน้ำลกเค้าไว้ให้มั่นคง
พอทหารถือหนังสือออกไปแล้ว ซุนกวนจึงสั่งให้แต่งกองทัพเป็นสองกอง กองหนึ่งให้ยกไปขัดตาทัพอยู่ที่ตำบลยี่สู อีกกองหนึ่งซุนกวนคุมกองทัพไปเอง ไปตั้งขัดตาทัพกองทัพโจโฉอยู่ที่เมืองหับป๋า อันเป็นเส้นทางปลายแดนที่กองทัพเมืองเหนือจะยกมาประชิดเมืองกังตั๋ง
ทางฝ่ายเมืองหลวง หลังจากโจโฉปราชัยในสงครามเซ็กเพ็กแล้ว ในใจก็เคืองแค้นแคว้นกังตั๋งไม่รู้ลืม จ้องฉวยโอกาสจะยกกองทัพรุกลงใต้อีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สบช่องโอกาส เพราะติดด้วยการศึกด้านม้าเฉียวเสียครั้งหนึ่ง และต้องซ่อมบำรุงกองทัพหลังจากยับเยินมาจากสงครามเซ็กเพ็ก
ครั้นจัดเตรียมกองทัพพรั่งพร้อมแล้ว โจโฉเตรียมจะยกกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ เพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋งและหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง แต่ในขณะที่รอวันฤกษ์ดีอยู่นั้น โปหั้นซึ่งเป็นที่ปรึกษากำลังป่วยอยู่ ทราบความว่าโจโฉเตรียมจะยกกองทัพลงใต้อีกจึงแต่งหนังสือให้ทหารคนสนิทนำไปมอบแก่โจโฉ
โจโฉรับหนังสือของโปหั้นออกอ่านดูเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าโปหั้นขอคำนับเตือนท่านวุยก๋งให้แจ้ง ด้วยคำโบราณกล่าวไว้ว่าฝ่ายทหารผู้จะเป็นแม่ทัพแม่กอง แม้จะยกไปทำการสงครามแห่งใดตำบลใด ให้บำรุงทแกล้วทหารและเครื่องศัสตราวุธให้พร้อมเป็นสง่าแล้วจึงจะยกไปเป็นธรรมดา ฝ่ายพลเรือนเล่าก็ให้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้ให้เป็นสง่า แลเนื้อความสองประการนี้ผู้ใดทำได้จึงจะคิดอ่านตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ อันหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเป็นจลาจลอยู่นั้นท่านก็ปราบปรามได้ถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนเดียวคือเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวน อันเมืองกังตั๋งนั้นทางกันดารด้วยเป็นชายทะเล เมืองเสฉวนนั้นลำบากด้วยซอกห้วยเนินเขาเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองกังตั๋งครั้งนี้เห็นทแกล้วทหารจะได้ความลำบากนัก ขอให้งดอยู่บำรุงทหารให้มีกำลังแล้วจึงค่อยยกไป ก็จะมีชัยชนะโดยง่าย”
โจโฉอ่านหนังสือของโปหั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ตรองดูก็เห็นจริง เพราะบัดนี้โจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองหลวง บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิ่งศฤงคารทั้งปวง หากยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งและพลาดพลั้งประการใด เกียรติยศเกียรติศักดิ์อันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ก็จะหมองเสื่อมลง ไม่คุ้มกับความเสี่ยง ทั้งการซ่อมแต่งบำรุงกองทัพให้พรั่งพร้อมเติบใหญ่ย่อมเป็นปัจจัยแห่งชัยชนะตามประเพณีการสงครามแต่โบราณ โจโฉตรองความดังนี้แล้วจึงปลงใจเชื่อความตามหนังสือของโปหั้น ให้งดกองทัพไว้ และให้ปรับปรุงกองทัพ เสริมแต่งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ผู้ใดเป็นคนดีมีสติปัญญาความสามารถก็ให้ระดมมารับใช้ราชการ ตั้งแต่งตำแหน่งแหล่งที่โดยควรแก่คุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุฒิ
เพราะเหตุนี้อำนาจรัฐของโจโฉจึงเข้มแข็งแกร่งกล้าในเมืองหลวง บรรดาขุนนางทั้งปวงก็ยอมสยบอยู่ภายใต้อำนาจของโจโฉสิ้น
ฝ่ายขุนนางที่ปรึกษาสี่คน คือ อองซาน โตสิบ อุไค้ และโอจับ เห็นสถานการณ์บ้านเมืองเป็นดังนั้น และเห็นว่าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงต่างมีตำแหน่งแหล่งที่ มีหน้าที่การงานถ้วนหน้ากันแล้ว ชอบที่จะหาหนทางสร้างความชอบเพื่อได้เลื่อนขั้นตำแหน่งให้เป็นศักดิ์และศรีไว้แก่ตัว อันเป็นหนทางที่จะได้อาณาประโยชน์ตามตำแหน่งที่สูงขึ้น ขุนนางที่ปรึกษาทั้งสี่คนจึงนัดประชุมปรึกษาหารือกัน
สี่ขุนนางนักวิชาการซึ่งเป็นที่ปรึกษาหารือกันอย่างถ้วนถี่แล้วมีความเห็นพ้องต้องกันว่า หนทางที่จะได้เลื่อนตำแหน่งและแสวงให้ได้มาซึ่งลาภยศสุขสรรเสริญนั้น กระทำได้โดยวิถีทางสองอย่าง คือทำความดีให้ปรากฏผลงานเป็นประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองและราษฎรอย่างหนึ่ง และการทำความชอบให้เป็นที่ต้องใจอัธยาศัยของผู้เป็นนาย ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านอีกอย่างหนึ่ง อันสถานการณ์บ้านเมืองบัดนี้มีขุนนางผู้มีตำแหน่งหน้าที่บำเพ็ญความดีงามเพื่อประโยชน์ของราษฎรเป็นอันมาก ยากที่พวกเราจะแข่งขันสร้างผลงานความดีไปทัดเทียมได้ ดังนั้นจึงเหลือแต่หนทางสร้างความชอบให้ต้องใจผู้เป็นนายก็สามารถได้รับอาณาประโยชน์ที่ไม่น้อยกว่ากัน ทั้งการสร้างความก้าวหน้าโดยวิถีสร้างความชอบจะทำได้ง่ายกว่า และหากสบอัธยาศัยของผู้เป็นนายแล้วก็จะเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าหนทางสร้างความดีด้วยซ้ำไป
ปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงช่วยกันคิดหาวิธีการต่อไป ได้ข้อสรุปตรงกันว่าโจโฉในบัดนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจสิทธิขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ทรัพย์สิ่งศฤงคาร บริวารข้าทาสก็เปี่ยมบริบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดพร่องที่พวกเราจะแต่งเติมเสริมให้ถูกอัธยาศัยได้ และว่าอิสริยยศของโจโฉในบัดนี้เป็นวุยก๋งเทียบได้กับชั้นสมเด็จยังหย่อนอยู่ ชอบที่พวกเราจะได้เพ็ดทูลให้เลื่อนตำแหน่งของโจโฉขึ้นเป็นที่วุยอ๋องหรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช มีกรมในบังคับบัญชาเช่นเดียวกับเจ้าต่างกรม ที่ประชุมของขุนนางนักวิชาการในตำแหน่งที่ปรึกษาทั้งสี่คนเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้วจึงพากันเข้าไปหาโจโฉ
หลังจากคำนับโจโฉตามธรรมเนียมแล้วขุนนางที่ปรึกษาทั้งสี่คนจึงเสนอว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้ทุ่มเทเสียสละให้แก่บ้านเมืองเป็นเวลาช้านาน จนแผ่นดินสงบสุขราบคาบเป็นความชอบใหญ่หลวงหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ สมควรที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวุยอ๋องหรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราช จึงจะควรแก่ความชอบ
โจโฉได้ฟังคำขุนนางทั้งสี่ก็ครึ้มอกครึ้มใจ มีสีหน้าผ่องใสนัก แต่ยังมิทันที่จะตอบคำว่ากล่าวประการใด ซุนฮิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่และได้ร่วมการกับโจโฉมาตั้งแต่เริ่มตั้งตัว เห็นว่าข้อเสนอของขุนนางทั้งสี่เป็นเรื่องของการประจบสอพลอที่นำความเสื่อมเสียมาสู่ โจโฉได้ เพราะเป็นเรื่องผิดแนวทางการเมืองที่ต้องการครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้มาแต่เดิม การเพิ่มอิสริยยศและฐานันดรดังนี้จะเป็นที่ประหวั่นพรั่นใจของขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งปวงอันเป็นการนำเภทภัยมาสู่โจโฉในวันหน้า
เมื่อคิดดังนี้แล้วซุนฮิวจึงกล่าวทักท้วงว่า “ทุกวันนี้ท่านเป็นที่วุยก๋งก็เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง ราชการสิ่งใดก็สิทธิขาดอยู่กับท่านสิ้น ซึ่งขุนนางทั้งสี่คนจะให้ท่านเลื่อนที่เป็นที่วุยอ๋องนั้นไม่ควร”
โจโฉกำลังเคลิบเคลิ้มด้วยคำเพ็ดทูลของสี่ขุนนาง น้ำใจก็เอนเอียงไปในข้างที่จะได้เลื่อนอิสริยยศตามวิสัยของปุถุชนซึ่งติดยึดอยู่ในโลกธรรมทั้งสี่ คือลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นที่สบายและสบอารมณ์นัก ดังนั้นพอได้ยินคำท้วงของซุนฮิวก็โกรธ โดยลืมเลือนไปสิ้นว่าซุนฮิวนั้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาผู้ใหญ่ที่มีจุดยืนทางเมืองมั่นคง และมีความจงรักภักดีโจโฉอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาเป็นระยะเวลาช้านาน
โจโฉโกรธซุนฮิวแล้วอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า “ท่านมาว่าดังนี้เห็นจะเหมือนซุนฮกเสียกระมัง”
ซุนฮิวได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็เสียน้ำใจ เพราะรู้ดีว่าซุนฮกที่ปรึกษาผู้ใหญ่ที่ร่วมก่อการมาด้วยกันตั้งแต่โจโฉเริ่มตั้งตัวและคอยท้วงติงมิให้โจโฉลุแก่อำนาจกำเริบใจตีตนเสมอฮ่องเต้ ก็ถูกบีบคั้นจนตรอมใจตาย การที่โจโฉพูดด้วยแรงโทสะและด้วยถ้อยคำแม้จะสั้นแต่เมื่อโจโฉถือว่ากรณีนี้เหมือนกับกรณีของซุนฮก ซุนฮิวก็ประหวั่นถึงชะตากรรมของตัว
ซุนฮิวเห็นโจโฉโกรธ และตัวเองก็เสียน้ำใจหนักจึงคำนับลาโจโฉกลับไปบ้าน ทั้งความน้อยใจ ความเสียใจประดังเข้ามาเป็นความทุกข์ร้อนสุมไหม้ดังเพลิงกาฬกลุ้มอยู่ในหัวใจ ซุนฮิวจึงตรอมใจถึงแก่ความตาย
โจโฉทราบข่าวว่าซุนฮิวถึงแก่ความตายก็ตกใจ รำลึกถึงคุณงามความดีของซุนฮิวแต่หนหลัง จึงสั่งให้แต่งการศพของซุนฮิวอย่างสมเกียรติของที่ปรึกษาผู้ใหญ่สำหรับแผ่นดิน และให้เอาศพไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ทั้งปูนบำเหน็จข้าวของเงินทองให้แก่ครอบครัวของซุนฮิวเป็นอันมาก
ความตายของซุนฮิวทำให้โจโฉได้สติยั้งคิด เพราะเมื่อหวนคำนึงถึงความหลังครั้งเริ่มตั้งตัวที่ซุนฮิวได้สร้างคุณูปการในการให้คำปรึกษาในการสงคราม การเมืองและการปกครองทั้งปวงแล้ว โจโฉก็รำลึกได้ถึงแนวทางการเมืองซึ่งกำหนดไว้แต่เดิมว่าจะครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ ดังนั้นโจโฉจึงระงับความคิดที่จะเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราชเอาไว้ชั่วคราว
ต่อมาวันหนึ่งโจโฉเสพสุราแล้วกำเริบน้ำใจใคร่จะได้เลื่อนอิสริยยศเป็นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยามหาอุปราชตามที่สี่ขุนนางได้เสนออีกครั้งหนึ่ง จึงถือกระบี่เดินเข้าไปถึงพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ในขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้กับพระนางฮกเฮาพระมเหสีกำลังทรงพระสำราญอยู่ในพระตำหนัก ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นโจโฉมีอาการมึนเมาเดินถือกระบี่เดินเข้ามาที่พระตำหนักผิดไปจากที่เคยเป็นก็ตกพระทัย ทรงตะลึงอยู่
พฤติกรรมของโจโฉในครั้งนี้คลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าวิญญาณของตั๋งโต๊ะมาเข้าสิง จึงกำเริบใจละเมิดกฎมนเทียรบาล ถือกระบี่เข้าไปถึงข้างในพระตำหนักที่ประทับในขณะที่เมามาย ชะตาร้ายของบ้านเมืองจึงก่อตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.