ตอนที่ 382. อุบาย "ซ่อนดาบไว้ใต้โต๊ะ"

  เล่าปี่และขงเบ้งแจ้งในกลอุบายของซุนกวนที่คุมขังบุตรภรรยาครอบครัวของ  จูกัดกิ๋นไว้ แล้วใช้จูกัดกิ๋นให้มาอ้อนวอนขงเบ้งเพื่อให้ว่ากล่าวกับเล่าปี่ให้คืนเมืองเกงจิ๋วแก่ซุนกวน จึงซ้อนกลทำเป็นจำใจต้องคืนสามหัวเมืองให้เพื่อมิให้เสียไมตรีแก่กัน แล้วโยนภาระในการปฏิเสธไว้ที่กวนอู จูกัดกิ๋นผิดหวังจากกวนอูจึงเดินทางย้อนกลับมาหาเล่าปี่

             ครั้นจูกัดกิ๋นได้คำนับเล่าปี่ตามธรรมเนียมแล้วก็ร้องไห้รำพัน แจ้งเนื้อความซึ่งกวนอูไม่ยอมมอบหัวเมืองทั้งสามให้เล่าปี่ฟังทุกประการ ทั้งอ้อนวอนให้เล่าปี่จัดการให้เป็นไปตามที่ตกลงกัน

             เล่าปี่จึงว่าก่อนจะเดินทางไปเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าก็ได้แจ้งแก่ท่านแล้วว่ากวนอูเป็นคนวู่วามร้อนแรงด้วยโทสะ หากแม้นไม่ชอบใจแล้วผู้ใดก็บังคับมิได้ เมื่อกวนอูโกรธท่านแล้วไม่ยอมมอบสามหัวเมืองดังนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ที่จะบังคับกวนอูประการใด ท่านจงกลับไปเมืองกังตั๋งบอกซุนกวนให้ประนอมผ่อนผันไปอีกชั่วเวลาหนึ่ง ให้เราตีได้เมืองฮันต๋งก่อนแล้วเราจะให้กวนอูไปอยู่เมืองฮันต๋ง เมืองเกงจิ๋วก็จะว่างลง เราก็จะคืนให้แก่ซุนกวน

             จูกัดกิ๋นฟังเล่าปี่เจรจาความ มิรู้ว่าเป็นการดำเนินการตามอุบายของขงเบ้งผู้น้องชาย ทั้งไตร่ตรองแล้วก็เห็นสมเหตุผล และเข้าใจว่าการที่กวนอูพาลโกรธโมโหดังนั้นก็เพราะว่ามีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว การมอบหัวเมืองให้แก่ผู้อื่น อำนาจของกวนอูก็จะเหลือน้อยลง ทั้งเป็นการเสียศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร หากแม้นกวนอูได้ที่ทางแห่งใหม่ในตำแหน่งเจ้าเมืองฮันต๋งแล้ว เมืองเกงจิ๋วก็จะว่างดังคำของเล่าปี่ว่า ทั้งเห็นว่าจะเซ้าซี้ต่อไปก็จะไม่เกิดผลมากกว่าที่เป็นอยู่ การทอดเวลาคอยสักชั่วเวลาหนึ่งจะได้ทั้งเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งรวมสามหัวเมืองที่ขึ้นต่อด้วย อาณาประโยชน์จะบังเกิดแก่ซุนกวนมากกว่า ดังนั้นจูกัดกิ๋นจึงจำต้องเห็นด้วยกับเล่าปี่

             จูกัดกิ๋นจึงคำนับลาเล่าปี่แล้วเดินทางกลับไปเมืองกังตั๋ง รายงานความให้ซุนกวนทราบทุกประการ

             ซุนกวนได้ฟังรายงานตลอดแล้วก็โกรธ เอามือทุบโต๊ะดังสนั่นแล้วว่า “อันเล่าปี่ กวนอู ว่ากล่าวมาทั้งนี้เป็นความคิดขงเบ้งน้องท่าน”

             จูกัดกิ๋นไม่แจ้งในความคิดและปัญญาของซุนกวน ได้ฟังดังนั้นจึงแย้งว่าอันขงเบ้งนั้นเป็นวิตกทุกข์ร้อนด้วยข้าพเจ้า จึงได้อ้อนวอนว่ากล่าวกับเล่าปี่เป็นช้านานจนเล่าปี่อ่อนใจ จึงตกลงมอบสามหัวเมืองให้แก่ท่าน แต่การไม่เป็นไปตามคำของเล่าปี่ก็เพราะกวนอูโกรธไม่ยอมมอบหัวเมืองให้ ทั้งจะฆ่าข้าพเจ้าเสียอีก

             ซุนกวนได้ฟังคำแย้งดังนั้นก็จ้องมองหน้าจูกัดกิ๋น เห็นเป็นการเจรจาโดยซื่อจึงเชื่อถือความนั้น ซุนกวนจึงว่าอันการทั้งปวงในแคว้นเสฉวนเป็นสิทธิแก่เล่าปี่ กวนอูเป็นแต่ผู้น้อย ไม่พึงฟังหักล้างคำของเล่าปี่ ดังนั้นเมื่อเล่าปี่ออกปากยกสามหัวเมืองให้แก่เราแล้ว เราก็จะถือว่าสามหัวเมืองนี้เป็นสิทธิแก่กังตั๋ง และจะแต่งทหารไปรักษาทั้งสามหัวเมืองไว้ จะดูทีหรือว่ากวนอูจะทำประการใด

             จูกัดกิ๋นได้ฟังคำซุนกวนดังนั้นก็รู้ว่ารอดตัว จึงกล่าวสนับสนุนว่าความคิดของท่านดังนี้ชอบด้วยเหตุและผล จงรีบแต่งตั้งทหารไปรักษาทั้งสามหัวเมืองเถิด 

             ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้ปล่อยบุตรภรรยาและครอบครัวของจูกัดกิ๋นเสีย และแต่งทหารเป็นสามกองยกออกจากเมืองกังตั๋งจะเข้าไปรักษาเมืองเลงเหลง เมืองเตียงสา และเมืองฮุยเอี๋ยง ตามคำของเล่าปี่

             พอทหารทั้งสามกองยกล่วงเข้าไปใกล้เขตหัวเมืองทั้งสามซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว ก็พบกับกองทหารของเมืองเกงจิ๋วซึ่งกวนอูสั่งให้ยกมาตั้งสกัดไว้ตามชายแดน และว่ากล่าวมิให้กองทหารเมืองกังตั๋งยกล้ำเขตแดนเป็นอันขาด มิฉะนั้นก็จะต้องทำสงครามตามคำสั่งของกวนอู

             ทหารเมืองกังตั๋งเคยได้ยินกิตติศัพท์และคร้ามเกรงกวนอูมาแต่ก่อน ทั้งเห็นว่าทหารเมืองเกงจิ๋วที่ยกมาตั้งสกัดไว้นั้นมีเป็นจำนวนมาก และทหารเมืองกังตั๋งที่ยกมาก็มิได้เตรียมการทำสงครามใหญ่ ดังนั้นจึงพากันยกกำลังกลับไปเมืองกังตั๋ง และรายงานความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบ

             ซุนกวนได้ฟังรายงานของบรรดาทหารทั้งปวงก็โกรธ แล้วพาลโกรธไปถึงโลซกซึ่งเป็นตัวการทำความตกลงให้เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วและถูกบิดพลิ้ว ดังนั้นซุนกวนจึงสั่งให้หาโลซกมาพบที่จวน

             โลซกถูกซุนกวนเรียกหาด้วยข้อราชการเป็นการร้อน สอบถามทหารที่มาตามว่าเป็นเรื่องราวประการใดก็ไม่รู้ความ จึงรีบเข้าไปหาซุนกวน

             เมื่อโลซกคำนับซุนกวนตามธรรมเนียมแล้ว ไม่ทันที่โลซกจะได้กล่าวความประการใด ซุนกวนได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันขุ่นเคืองว่า “เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วไว้นั้น ว่าต่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ ตัวท่านก็เป็นนายประกัน บัดนี้เล่าปี่ก็ได้เมืองเสฉวนแล้ว ให้หนังสือมาให้คืนเมืองสามตำบลให้เรา กวนอูขัดขวางไว้แล้วทำหยาบช้าดังนี้ ตัวท่านเป็นนายประกันช่างนิ่งฟังเล่นได้”

             โลซกเห็นอารมณ์ผู้เป็นนายขุ่นมัว กล่าวความตำหนิโดยไม่มีต้นไม่มีปลาย จึงเข้าไปคำนับซุนกวนและถามความในรายละเอียด ซุนกวนเห็นโลซกอ่อนน้อมและว่ากล่าวโดยซื่อก็มีน้ำใจเมตตาและแจ้งความทั้งปวงให้โลซกทราบ

             โลซกทราบความแล้วก็ร้อนตัว เพราะเป็นผู้ลงนามในสัญญาเป็นนายประกันให้เล่าปี่ ว่าจะยกเมืองเกงจิ๋วให้ซุนกวนหลังจากตีได้เมืองเสฉวนแล้ว จึงว่า “ใช่ข้าพเจ้าจะนิ่งเสียหามิได้ ซึ่งกวนอูทำดังนี้ ข้าพเจ้าคิดกลอุบายไว้ข้อหนึ่ง เห็นจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย”

             ซุนกวนจึงถามว่าอุบายของท่านเป็นประการใด จึงจะได้เมืองเกงจิ๋วเล่า

             โลซกจึงว่า “ข้าพเจ้าจะคิดให้ไปตั้งค่าย ณ ปากน้ำเมืองเรา ให้ทหารซุ่มอยู่แล้ว จะให้ไปเชิญกวนอูมากินโต๊ะ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวเอาเมืองเกงจิ๋วแต่โดยดี ถ้ากวนอูขัดขวางอยู่ก็จะให้ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นจับตัวฆ่าเสีย แม้กวนอูไม่มาสมความคิดข้าพเจ้า ท่านจงยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้”

             ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าอุบายซ่อนดาบไว้ใต้โต๊ะของโลซกครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่มีความลึกซึ้งซับซ้อนเท่าใดนัก แต่มีช่องทางที่จะทำการได้สำเร็จดังความคิดจึงเห็นชอบ  แล้วสั่งให้โลซกรีบดำเนินการตามอุบายนั้น

             งำเต๊กนั่งฟังคำที่ซุนกวนและโลซกเจรจาโต้ตอบกันจนจบความ ครั้นเห็นซุนกวนสั่งการให้โลซกดำเนินการตามอุบายดังนั้น จึงติงว่าอันอุบายของโลซกครั้งนี้หารอบคอบรัดกุมไม่ เพราะเป็นแผนอุบายที่ดูหมิ่นความคิดและฝีมือของกวนอู อันกวนอูผู้นี้มีฝีมือเข้มแข็งแกร่งกล้าองอาจ เป็นยอดทหารเสือ หากทำการไม่สมความคิดกวนอูก็อาจทำร้ายโลซกและเมืองเราได้ ท่านจงใคร่ครวญให้จงดี

             ซุนกวนได้ฟังคำงำเต๊กที่ท้วงติงหลังจากที่ได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่พอใจ หันหน้ามาที่  งำเต๊กแล้วดุว่า ปัญหาเรื่องเมืองเกงจิ๋วตกค้างมาช้านานก็หามีใครเจ็บร้อนด้วยเราไม่ บัดนี้โลซกได้คิดอ่านอุบาย เห็นว่าจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย แต่ท่านกลับมาทักท้วงเสียดังนี้ แล้ว จะให้รอถึงเมื่อใดจึงจะได้เมืองเกงจิ๋วเล่า

             ซุนกวนกล่าวแล้วก็หันมาที่โลซกแล้วว่า ให้ท่านเร่งทำการตามคำสั่งของเราให้จงดี

             โลซกและงำเต๊กเห็นซุนกวนอารมณ์ขุ่นมัวดังนั้นจึงพากันคำนับลาซุนกวนกลับไปที่อยู่

             โลซกกลับมาถึงที่อยู่แล้วจัดแจงข้าวของและสั่งให้กองทัพเรือยกไปตั้งอยู่ที่ปากน้ำลกเค้า ชายทะเลแดนกังตั๋ง ครั้นทอดสมอเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงให้ยกทหารทั้งปวงขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่ชายทะเล

             พอตั้งค่ายเสร็จโลซกจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองที่ได้ยกมานั้น สั่งให้แบ่งทหารเป็นสองกอง ๆ ละหนึ่งร้อยคน ให้กำเหลงคุมกองหนึ่ง ให้ลิบองคุมอีกกองหนึ่ง และสั่งฝ่ายพลาให้เตรียมการเลี้ยงโต๊ะในวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงสั่งทหารเดินสารให้ถือหนังสือไปเมืองเกงจิ๋ว เชิญกวนอูมากินโต๊ะที่ปากน้ำลกเค้า

             กวนเป๋งลาดตระเวนอยู่ตามชายทะเล ได้พบกับทหารเดินสารของโลซก ครั้นไต่ถามทราบความแล้วจึงพาทหารเดินสารของโลซกเข้าไปพบกวนอู

             กวนอูรับหนังสือของโลซกมาอ่านดูเป็นเนื้อความว่า โลซกเดินทางมาตรวจราชการชายทะเลที่ปากน้ำลกเค้า มีความรำลึกถึงกวนอู จึงใคร่เชิญไปกินโต๊ะให้เป็นที่สำราญในวันพรุ่งนี้เช้า อย่าได้ระแวงแคลงใจเลย

             กวนอูอ่านหนังสือของโลซกจบแล้ว ยกมือขวาขึ้นลูบหนวดแล้วกล่าวกับทหารเดินสารว่า เจ้าจงกลับไปบอกโลซกเถิดว่าเรามีความยินดีรับคำเชิญ และจะไปกินโต๊ะกับโลซกตามกำหนด

             ทหารเดินสารจึงคำนับลากวนอูแล้วกลับไปปากน้ำลกเค้าแต่เวลานั้น

             พอทหารเดินสารออกไปแล้วกวนเป๋งผู้บุตรบุญธรรมของกวนอูจึงตรงเข้าไปจับแขนผู้บิดา แล้วว่าบิดาท่านรับคำเชิญไปทั้งนี้เห็นว่าจะต้องกลอุบายของโลซกที่คิดอ่านทำร้ายท่านเป็นมั่นคง จงใคร่ครวญให้จงดีเถิด

             กวนอูได้ฟังดังนั้นก็เชิดหน้าหัวเราะ แล้วว่าอุบายของโลซกเพียงเท่านี้ที่ไหนจะลวงเราได้ จูกัดกิ๋นเพิ่งมาทวงเมืองเกงจิ๋วผิดหวังกลับไปไม่กี่วัน โลซกก็มาเชิญไปกินโต๊ะที่ปากน้ำลกเค้า เราก็เห็นเป็นอุบายเพื่อจะทวงเอาเมืองเกงจิ๋วคืน หากไม่สำเร็จก็จะทำอันตรายแก่เรา

             กวนเป๋งจึงว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนบิดาท่านจึงรับคำเชิญไปกินโต๊ะด้วยเล่า

             กวนอูจึงว่าแม้นเราไม่รับคำเชิญ ชาวเมืองกังตั๋งก็จะคิดว่าเรารู้กลอุบายแล้วเกรงกลัวฝีมือทหารเมืองกังตั๋งจึงไม่กล้าไป “ครั้นเราจะไม่ไป ชาวเมืองกังตั๋งจะดูหมิ่นว่าเรากลัว พรุ่งนี้เราจะพาทหารแต่ยี่สิบคนลงเรือเร็วไปกินโต๊ะ จะดูท่วงทีโลซกจะเกรงง้าวที่เราถือหรือไม่”

             การตัดสินใจของกวนอูในครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวง เพราะการพาตัวเข้าไปในแดนข้าศึกโดยที่ไม่รู้กำลังทหารก็อาจเพลี่ยงพล้ำเสียทีได้โดยง่าย นับเป็นจุดอ่อนของยอดทหารเสืออย่างกวนอูที่ทระนงในฝีมือ และมองข้ามดูหมิ่นกำลังทหารของข้าศึกโดยมิได้รำลึกถึงฐานะความสำคัญที่ต้องรักษาเมืองเกงจิ๋วอันเป็นหัวเมืองสำคัญของแคว้นเสฉวนในปัจจุบัน ว่าหากพลาดพลั้งเสียทีประการใดก็จะเสียหายต่อการใหญ่ของเล่าปี่ที่จะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง แต่กระนั้นก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันวีระกล้าหาญทะนงองอาจไม่หวาดหวั่นต่อดาบหอกและเกาทัณฑ์ของข้าศึก มีความเชื่อมั่นในกำลังฝีมือและง้าวนิลนาคะคู่กายว่าจะสามารถข่มทหารเมืองกังตั๋งลงได้และกลับคืนเมืองเกงจิ๋วโดยปลอดภัย

             กวนเป๋งได้ฟังคำของบิดาที่ยืนคำตัดสินใจแข็งขันดังนั้นก็ตกใจ จึงท้วงว่า “อันตัวบิดานี้อุปมาเหมือนทองคำ ซึ่งจะล่วงเข้าไปในพวกโจรนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วจะมีอันตรายเล่าปี่ก็จะติโทษท่าน”

             กวนอูได้ฟังคำท้วงของผู้บุตรบุญธรรมก็ยังคงหัวเราะอย่างทะนงองอาจ ส่ายศีรษะแล้วว่า “เจ้าอย่าวิตกเลย อันบิดานี้ก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ แต่ทหารโจโฉเป็นอันมากนับตั้งแสน บิดากับม้าตัวเดียวก็ยังไม่ต้องเกาทัณฑ์และอาวุธทั้งปวง ขับม้ารบพุ่งรวดเร็วเป็นหลายกลับ อุปมาเหมือนเข้าดงไม้อ้อแลออกจากดงแขม จะกลัวอะไรแก่ทหารเมือง  กังตั๋งเพียงนี้ ดังหนูอันหาสง่าไม่ ได้ออกปากว่าจะไปแล้วจะให้เสียวาจาไย”

             ถ้อยคำของกวนอูดังนี้ได้เผยความนัยอย่างชัดเจนว่าได้ลืมเลือนคาถาอันเป็นเกราะเพชรคุ้มเมืองเกงจิ๋วของขงเบ้งเสียแล้ว อันคาถาแปดคำของขงเบ้งที่ว่า “เหนือรบโจโฉ ใต้ร่วมมือซุนกวน” คือเข็มมุ่งทางการเมืองที่ต้องการให้สมานไมตรีกับฝ่ายกังตั๋งให้แน่นแฟ้น มิให้ประมาท จะได้ตั้งหน้ารับมือโจโฉทางด้านเหนือแต่ด้านเดียว ดังนี้เมืองเกงจิ๋วก็จะปลอดภัย แต่กวนอูกลับหมิ่นฝีมือทหารเมืองกังตั๋งว่าประหนึ่งดังหนู จึงก่อรูปการณ์ใต้จิตสำนึกที่ดูหมิ่นดูแคลนฝ่ายกังตั๋งอันกระทบต่อการผูกไมตรีและอาจเป็นเหตุให้ต้องรับศึกสองหน้าในอนาคต ทั้งบัดนี้กวนอูก็ล่วงวัยแล้ว หาได้มีกำลังวังชาเหมือนเมื่อครั้งรบกับโจโฉในวัยหนุ่มไม่

             เค้าลางแห่งความปราชัยและวิบัติจึงได้ก่อรูปขึ้นเหนือเมืองเกงจิ๋วตั้งแต่บัดนั้น และย่อมครอบคลุมถึงตัวกวนอูอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘