ตอนที่ 379. การปฏิรูปกฎหมาย
เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์าสามก๊กขั้นที่สามคือการรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง เล่าปี่จึงจำเป็นต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้กับแคว้นเสฉวน สร้างความเจริญรุ่งเรืองและความอยู่ดีกินดีให้แก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง จึงมีการปฏิรูปจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร และจัดระบบชลประทานทั่วทั้งแคว้นเสฉวน จากนั้นจึงกำหนดแนวทางนโยบายเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้
เล่าปี่ได้ประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บ้านเมืองมีความสับสนเกี่ยวกับปัญหาที่ดินและป่าไม้ มีการรวมสองเรื่องนี้เข้าเป็นเรื่องเดียวกัน อันเป็นมายาภาพในการสร้างความชอบธรรมให้แก่กลุ่มอธรรมที่ข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร เพราะย่อมเป็นความปรารถนาร่วมกันของปวงชนในการที่จะสงวนผืนป่าไว้เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เพื่อดำรงคงความเป็นธรรมชาติให้ยั่งยืน ดังนั้นใครใดก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกทำลายป่าก็จะสูญเสียความชอบธรรมจนเสียผู้เสียคน ในขณะที่ผู้กล่าวหากลายเป็นวีรบุรุษไปในพริบตา
มายาภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาที่ดำรงอยู่ในความเป็นจริงไม่ได้เท่านั้น ยังทำให้ความขัดแย้งระหว่างขุนนางข้าราชการและราษฎรขยายตัวลุกลามมากขึ้น ในขณะที่ปัญหาแก้ไขไม่ตกจนต้องเกิดการประหัตประหารกัน ผืนป่าก็ถูกทำลายลงทุกวัน เป็นเหตุให้อากาศและฤดูกาลผันแปรวิปริต ประดุจดั่งจะเป็นนิมิตลางว่าแผ่นดินจะดับสูญ
เล่าปี่ได้ทำลายมายาภาพแห่งอธรรมด้วยการประกาศความจริงให้ปรากฏว่าผืนป่ากับผืนดินนั้นเป็นคนละส่วน ผืนดินใดที่ไร้ต้นไม้ก็ไม่อาจนับเป็นป่าได้อีกต่อไป ผืนดินใดแม้มิได้ประกาศเป็นเขตป่าแต่ถ้าหากเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นแผ่นผืน ผืนดินนั้นก็เป็นป่าโดยไม่จำต้องประกาศกำหนดให้เป็นเขตป่าแต่อย่างใด แลป่านั้นมีไว้เพื่อคน ดำรงอยู่เพื่อคน และเพื่อให้คนได้ใช้ประโยชน์ในทุก ๆ ทาง การแยกคนออกจากป่าหรือแยกป่าออกจากคนล้วนเป็นเรื่องผิดพลาดเหลวไหล ทั้งอาจมีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลในการทำลายป่า เอาไม้ไปขายโรงเลื่อยด้วย
เพราะเหตุนี้เล่าปี่จึงตรากฎหมายสำหรับแคว้นเสฉวนว่าผืนดินใดมีต้นไม้หนาแน่นเป็นแผ่นผืน ก็ให้อนุรักษ์รักษาไว้โดยให้ปวงชนในพื้นที่รับผิดชอบดูแล เพื่อมิให้มีการลักลอบตัดป่าและป้องกันไฟไหม้ป่าไปในตัว เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสวงหาประโยชน์จากพืชผลจากป่าภายใต้การดูแลของคณะกรรมการประชาชน ผืนป่าผืนใดมีสัตว์ป่าอุดมก็จำกัดขอบเขตมิให้ประชาชนลุกร้ำกล้ำเกินรบกวนเขตอยู่อาศัยของสัตว์ป่า ผืนป่าผืนใดมีความสวยงามตามธรรมชาติก็เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าเยี่ยมชม
บรรดาที่อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ว่างหรือที่รกร้างก็ให้มีหน่วยงานสำหรับปลูกต้นไม้เพื่อเป็นการระดมการจ้างงาน เพิ่มรายได้ให้แก่ราษฎร ในการปลูกต้นไม้นั้นก็ให้ปลูกโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในเขตด้านเหนือและด้านตะวันตกของเมืองเสฉวนอยู่ไม่ไกลจากทะเลทรายก็ให้ปลูกต้นไม้สูง เพื่อกั้นพายุทรายสถานหนึ่ง และเพื่อต้องการเนื้อไม้ในงานก่อสร้างในอนาคตอีกสถานหนึ่ง สองข้างถนนหนทางให้ปลูกต้นไม้ข้างละสามสิบสองแถว ตามชนิดของพันธุ์ไม้ที่สอดคล้องกับท้องถิ่นและภูมิประเทศ กำหนดเป้าหมายว่าเมื่อเวลาห้าปีสิบปีผ่านพ้นไป จำเป็นต้องบูรณะถนนหนทางใหม่ ก็ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่สามารถตัดต้นไม้ขายและนำเงินมาใช้ในการบูรณะสาธารณูปโภคนั้น
เพราะเหตุที่แผ่นดินแคว้นเสฉวนเป็นที่ลาด น้ำใต้ดินไหลซึมลงสู่พื้นที่ที่ต่ำกว่า จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ ดังนั้นเพื่อลดภาวะน้ำท่วมมิให้เกิดความเสียหายแก่ราษฎร จึงให้ปลูกพันธุ์ไม้บางชนิดที่มีรากยึดหนาแน่นเพื่อกำหนดเส้นทางน้ำใต้ดินให้ไหลไปยังทิศทางที่ต้องการ ไม่ไหลรวมลงจุดเดียวจนต้องกลายเป็นน้ำท่วมในที่ลาดต่ำ
ในชุมชนทุกตำบล ทุกหัวเมือง ให้ปลูกไม้ป่า ไม้ผล ไม้ดอก ตามสภาพภูมิประเทศและพันธุ์ไม้เพื่อให้ได้ทั้งเนื้อไม้สำหรับใช้ในการก่อสร้าง ให้ได้ผลในการบริโภคและจัดจำหน่าย และเพื่อความสวยงามแห่งไม้ดอก พื้นที่ใดเป็นที่สัญจรไปมาของผู้คนก็ให้ทำสวนไม้ดัดเพื่อให้เกิดความสวยงามและพิสดารตระการตา
ในบรรดาที่ทำกินของราษฎรก็กำหนดกฎเกณฑ์ให้ปลูกต้นไม้ โดยสอดคล้องกับภูมิอากาศและชนิดของพันธุ์ไม้ กำหนดสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ เพื่อทำให้พื้นที่มีความร่มรื่นชุ่มชื้นทุกฤดูกาล
แคว้นเสฉวนไม่จำเป็นต้องมีเขตป่าสงวนแห่งชาติ ก็สามารถกลับกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ทั้งไม้ป่า ไม้ผล ไม้ดอก ไม้หัว ไม้สวยงามนานาชนิดที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเนื้อไม้ ใช้ประโยชน์ได้ทั้งการบริโภคและการจำหน่าย ใช้ประโยชน์ได้ในการฟื้นฟูและสร้างความสมดุลย์แห่งธรรมชาติ และจูงใจให้ผู้คนจากต่างเมืองเข้ามาเยี่ยมชม เพิ่มพูนรายได้ให้แก่ราษฎรแคว้นเสฉวนเป็นจำนวนมาก
แคว้นเสฉวนจึงอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ ลดปัญหาน้ำท่วม ป้องกันพายุทราย และความหนาวเหน็บจากทะเลทราย ราษฎรมีไม้ใช้อย่างพอเพียง สามารถสร้างผลผลิตแปรรูปจากไม้ได้นานาชนิดจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งตะวันตก สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มังสาหาร และภักษาหาร และมีความงดงามตระการตาด้วยประการฉะนี้
เมื่อกำหนดแนวทางนโยบายในการสร้างความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขให้กับแคว้นเสฉวนแล้ว เล่าปี่จึงทำการปฏิรูปการปกครองโดยกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ส่งเสริมให้ชุมชนมีผลผลิตเป็นของตนเอง การพัฒนาในชุมชนกำหนดโดยราษฎรในชุมชน โดยการบริหารราชการส่วนกลางส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่และแข็งขัน เพราะเหตุนั้นจึงทำให้การพัฒนาทั้งปวงของเมืองเสฉวนสอดคล้องต้องกับความปรารถนาที่แท้จริงของประชาชน ต่างกับหลายพื้นที่และต่างกับยุคหลัง ๆ ที่กำหนดการพัฒนาจากส่วนกลางโดยไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน จึงทำให้การพัฒนามีลักษณะวิปริตและไร้ผล เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการกลับไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนา แต่กลับไปพัฒนาส่งเสริมในสิ่งที่ประชาชนไม่ต้องการและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในภูมิประเทศ
การบริหารส่วนกลางถือเอาเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงเป็นศูนย์กลาง ทั้งทางการเมือง การทหาร และการเศรษฐกิจ ตลอดจนวัฒนธรรม มีการฟื้นฟูงานศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างขนานใหญ่ ไม่ว่าทางด้านการแพทย์ สุราท้องถิ่นดั้งเดิม การถนอมอาหาร การแปรรูปอาหาร และการผลิตทางศิลปะทุกชนิด โดยมีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา รับแนวทางนโยบายไปปฏิบัติโดยสอดคล้องกับท้องถิ่นและความปรารถนาของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ
ควบคู่กับการปฏิรูปการปกครอง เล่าปี่ได้ทำการปฏิรูปกฎหมายของแผ่นดินเสียใหม่ โดยได้แจ้งแก่ขงเบ้งว่าแผ่นดินเมืองเสฉวนนี้มีการตรากฎหมายมากมาย ซับซ้อนทับถมกันมาโดยไม่มีการแก้ไข จนบ้านเมืองเต็มไปด้วยระเบียบข้อบังคับที่ยากต่อการจำแนกแจกแจง การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามอำเภอใจของขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงและมีจิตคิดข่มเหงประชาชน
ดังนั้นเล่าปี่จึงว่า “กฎหมายสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเราจะให้เลิกเสีย ท่านจงเร่งแต่งกฎหมายใหม่สำหรับเมือง แต่ให้คาดโทษนั้นให้หนักขึ้นกว่าเก่า คนทั้งปวงจึงจะกลัวเกรง จะได้ทำตามกฎหมาย บ้านเมืองจึงจะราบคาบสืบไป”
หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นจึงท้วงติงว่า “ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัตินั้น ให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้กระทำผิดไว้เป็นประมาณ จนมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้ท่านจะให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้ละเมิดให้หนักขึ้นกว่าเก่านั้น ข้าพเจ้าเห็นราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อน ขอให้ผ่อนลงแต่พอประมาณตามกฎหมายเก่า”
ขงเบ้งจึงว่าอันการระวางโทษตามกฎหมายจะหนักเบาประการใด ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับใจปรารถนาของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แต่อย่างเดียวก็หาไม่ หากย่อมต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองในแต่ละขณะ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายว่าเคร่งครัดตึงหย่อนประการใด รวมทั้งการยอมรับนับถือปฏิบัติตามกฎหมายของขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งปวงว่าเป็นปกติหรือวิปริตผันแปรประการใด ดังนี้แล้วจึงจะสามารถกำหนดเป็นนิตินโยบายในการตรากฎหมายได้โดยสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจนั้นบ้านเมืองอยู่ในกลียุค ด้วยเป็นยุคสมัยที่สืบต่อจากระบอบการปกครองแบบทรราชของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ในยุคสมัยนั้นบทกฎหมายทั้งหลายได้กำหนดโทษรุนแรง ตั้งแต่โทษประหารเจ็ดชั่วโคตร สามชั่วโคตร ประหารทั้งครอบครัว ประหารแต่ตัว แม้กระทั่งความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กำหนดโทษประหารเกือบทั้งสิ้น อาณาประชาราษฎรจึงได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
เพราะเหตุที่กฎหมายมีความรุนแรงดังนี้ จึงเอื้อช่องทางให้แก่ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้แสวงหาประโยชน์ เพราะเมื่อราษฎรรังเกียจกลัวโทษอาญาอันฉกรรจ์ ก็ต้องจ่ายสินบาทคาดสินบนจนสิ้นเนื้อประดาตัว ดังนั้นแผ่นดินปลายยุคสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร และเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมืองจนราชวงศ์จิ๋นต้องดับสูญ
เพราะเหตุที่บทกฎหมายเคร่งครัดตึงเกินไปดังนี้ ครั้นพระเจ้าเล่าปังได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ปราบดาภิเษกทรงสมญานามว่าพระเจ้าฮั่นโกโจแล้ว บรรดาขุนนางที่ปรึกษาสำหรับแผ่นดินผู้เป็นปราชญ์จึงได้กราบบังคมทูลให้ยกเลิกกฎหมายเก่าและตรากฎหมายใหม่ที่ผ่อนผันบรรเทาโทษ ทำให้ประชาชนได้สัมผัสถึงพระเมตตาคุณและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าเล่าปัง และพร้อมใจกันปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้นแผ่นดินของพระเจ้าฮั่นโกโจที่สืบทอดลงมาจึงร่มเย็นเป็นสุข
ขงเบ้งกล่าวสืบต่อไปว่าสถานการณ์ในเมืองเสฉวนบัดนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจปราบดาภิเษก ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนโลเล มิได้เคารพต่อบทกฎหมาย ทำการแต่ตามอำเภอใจ ไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณีในการปกครองบ้านเมือง เห็นแก่อามิสผลประโยชน์ จึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ตัวเล่าเจี้ยงและญาติมิตรตลอดจนสมัครพรรคพวกแวดล้อมลำดับมาถึงขุนนางข้าราชการล้วนใช้กฎหมายตามอำเภอน้ำใจ ราษฎรก็ไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย ต่างพากันแสวงหาสมัครพรรคพวกที่เป็นขุนนางข้าราชการ เกิดเป็นกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลอำนาจมืดทั่วทั้งเมือง
ดังนั้นแผ่นดินเมืองเสฉวนมีกฎหมายก็เหมือนหามีกฎหมายไม่ ราชการทั้งปวงจึงวิปริตผันแปรไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความตอนนี้ว่า “ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจให้แต่งกฏหมายไว้ได้ใช้ต่อมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านเห็นว่าขุนนางแลหัวเมืองปรกติอยู่หรือ อันเล่าเจี้ยงเล่าก็เป็นคนความคิดน้อย หาอาชญาข่มขี่มิได้ แม้รักผู้ใดถึงหาสติปัญญาไม่ ก็ตั้งแต่งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แลผู้นั้นมีน้ำใจกำเริบละกฎหมายเสีย ข่มเหงอาณาประชาราษฎรแต่ตามอำเภอใจ ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนจนเสียเมือง ครั้งนี้เราจึงให้เลิกกฎหมายเก่าเสีย ให้คาดโทษผู้ทำผิดให้หนักขึ้น หวังจะให้คนทั้งปวงตั้งใจทำความชอบ แม้ขุนนางแลราษฎรเห็นผู้ใดทำความชอบมีบำเหน็จ ก็จะละความชั่วของตัวเสีย จะได้ดูเยี่ยงอย่างกันทำตามกฎหมายก็จะมีความชอบขึ้น บ้านเมืองก็จะค่อยปรกติราบคาบไป”
เล่าปี่ หวดเจ้ง และบรรดาขุนนางที่ปรึกษาข้าราชการทั้งปวงจึงลงความเห็นพร้อมกันกำหนดนิตินโยบายตามที่ขงเบ้งเสนอทุกประการ
ขงเบ้งจึงตั้งคณะปฏิรูปกฎหมายแผ่นดิน แล้วออกประกาศยกเลิกกฎหมายเก่าสำหรับเมืองเสฉวนเสียทั้งสิ้น และให้ตรากฎหมายใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับแผ่นดินสืบไป ในบทบัญญัติว่าด้วยการลงโทษกำหนดให้หนักขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่บรรดาบทกฎหมายทั้งหลายได้เน้นถึงความชัดเจน ไม่คลุมเครือ สามารถเข้าใจได้โดยง่าย โดยคำนึงถึงระดับการศึกษาของอาณาประชาราษฎร มิใช่ตรากฎหมายด้วยภาษาและนิรุกติอันล้ำลึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนสำหรับเป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนจำพวกเถรขวาด ที่บังอาจใช้ศาสตราแห่งกฎหมายตามอำเภอน้ำใจตน แลเพราะบทกฎหมายมีความชัดเจนเข้าใจได้โดยง่ายดังนี้ ราษฎรเมืองเสฉวนจึงยอมรับนับถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน
กฎหมายที่ตราแล้วเล่าปี่ได้ให้แจกจ่ายแก่หัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ที่ขึ้นแก่เมืองเสฉวน รวมร้อยสี่สิบเอ็ดหัวเมืองเศษ ราษฎรก็มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน.
เล่าปี่ได้ประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บ้านเมืองมีความสับสนเกี่ยวกับปัญหาที่ดินและป่าไม้ มีการรวมสองเรื่องนี้เข้าเป็นเรื่องเดียวกัน อันเป็นมายาภาพในการสร้างความชอบธรรมให้แก่กลุ่มอธรรมที่ข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร เพราะย่อมเป็นความปรารถนาร่วมกันของปวงชนในการที่จะสงวนผืนป่าไว้เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เพื่อดำรงคงความเป็นธรรมชาติให้ยั่งยืน ดังนั้นใครใดก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกทำลายป่าก็จะสูญเสียความชอบธรรมจนเสียผู้เสียคน ในขณะที่ผู้กล่าวหากลายเป็นวีรบุรุษไปในพริบตา
มายาภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาที่ดำรงอยู่ในความเป็นจริงไม่ได้เท่านั้น ยังทำให้ความขัดแย้งระหว่างขุนนางข้าราชการและราษฎรขยายตัวลุกลามมากขึ้น ในขณะที่ปัญหาแก้ไขไม่ตกจนต้องเกิดการประหัตประหารกัน ผืนป่าก็ถูกทำลายลงทุกวัน เป็นเหตุให้อากาศและฤดูกาลผันแปรวิปริต ประดุจดั่งจะเป็นนิมิตลางว่าแผ่นดินจะดับสูญ
เล่าปี่ได้ทำลายมายาภาพแห่งอธรรมด้วยการประกาศความจริงให้ปรากฏว่าผืนป่ากับผืนดินนั้นเป็นคนละส่วน ผืนดินใดที่ไร้ต้นไม้ก็ไม่อาจนับเป็นป่าได้อีกต่อไป ผืนดินใดแม้มิได้ประกาศเป็นเขตป่าแต่ถ้าหากเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นแผ่นผืน ผืนดินนั้นก็เป็นป่าโดยไม่จำต้องประกาศกำหนดให้เป็นเขตป่าแต่อย่างใด แลป่านั้นมีไว้เพื่อคน ดำรงอยู่เพื่อคน และเพื่อให้คนได้ใช้ประโยชน์ในทุก ๆ ทาง การแยกคนออกจากป่าหรือแยกป่าออกจากคนล้วนเป็นเรื่องผิดพลาดเหลวไหล ทั้งอาจมีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลในการทำลายป่า เอาไม้ไปขายโรงเลื่อยด้วย
เพราะเหตุนี้เล่าปี่จึงตรากฎหมายสำหรับแคว้นเสฉวนว่าผืนดินใดมีต้นไม้หนาแน่นเป็นแผ่นผืน ก็ให้อนุรักษ์รักษาไว้โดยให้ปวงชนในพื้นที่รับผิดชอบดูแล เพื่อมิให้มีการลักลอบตัดป่าและป้องกันไฟไหม้ป่าไปในตัว เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสวงหาประโยชน์จากพืชผลจากป่าภายใต้การดูแลของคณะกรรมการประชาชน ผืนป่าผืนใดมีสัตว์ป่าอุดมก็จำกัดขอบเขตมิให้ประชาชนลุกร้ำกล้ำเกินรบกวนเขตอยู่อาศัยของสัตว์ป่า ผืนป่าผืนใดมีความสวยงามตามธรรมชาติก็เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าเยี่ยมชม
บรรดาที่อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ว่างหรือที่รกร้างก็ให้มีหน่วยงานสำหรับปลูกต้นไม้เพื่อเป็นการระดมการจ้างงาน เพิ่มรายได้ให้แก่ราษฎร ในการปลูกต้นไม้นั้นก็ให้ปลูกโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในเขตด้านเหนือและด้านตะวันตกของเมืองเสฉวนอยู่ไม่ไกลจากทะเลทรายก็ให้ปลูกต้นไม้สูง เพื่อกั้นพายุทรายสถานหนึ่ง และเพื่อต้องการเนื้อไม้ในงานก่อสร้างในอนาคตอีกสถานหนึ่ง สองข้างถนนหนทางให้ปลูกต้นไม้ข้างละสามสิบสองแถว ตามชนิดของพันธุ์ไม้ที่สอดคล้องกับท้องถิ่นและภูมิประเทศ กำหนดเป้าหมายว่าเมื่อเวลาห้าปีสิบปีผ่านพ้นไป จำเป็นต้องบูรณะถนนหนทางใหม่ ก็ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่สามารถตัดต้นไม้ขายและนำเงินมาใช้ในการบูรณะสาธารณูปโภคนั้น
เพราะเหตุที่แผ่นดินแคว้นเสฉวนเป็นที่ลาด น้ำใต้ดินไหลซึมลงสู่พื้นที่ที่ต่ำกว่า จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ ดังนั้นเพื่อลดภาวะน้ำท่วมมิให้เกิดความเสียหายแก่ราษฎร จึงให้ปลูกพันธุ์ไม้บางชนิดที่มีรากยึดหนาแน่นเพื่อกำหนดเส้นทางน้ำใต้ดินให้ไหลไปยังทิศทางที่ต้องการ ไม่ไหลรวมลงจุดเดียวจนต้องกลายเป็นน้ำท่วมในที่ลาดต่ำ
ในชุมชนทุกตำบล ทุกหัวเมือง ให้ปลูกไม้ป่า ไม้ผล ไม้ดอก ตามสภาพภูมิประเทศและพันธุ์ไม้เพื่อให้ได้ทั้งเนื้อไม้สำหรับใช้ในการก่อสร้าง ให้ได้ผลในการบริโภคและจัดจำหน่าย และเพื่อความสวยงามแห่งไม้ดอก พื้นที่ใดเป็นที่สัญจรไปมาของผู้คนก็ให้ทำสวนไม้ดัดเพื่อให้เกิดความสวยงามและพิสดารตระการตา
ในบรรดาที่ทำกินของราษฎรก็กำหนดกฎเกณฑ์ให้ปลูกต้นไม้ โดยสอดคล้องกับภูมิอากาศและชนิดของพันธุ์ไม้ กำหนดสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ เพื่อทำให้พื้นที่มีความร่มรื่นชุ่มชื้นทุกฤดูกาล
แคว้นเสฉวนไม่จำเป็นต้องมีเขตป่าสงวนแห่งชาติ ก็สามารถกลับกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ทั้งไม้ป่า ไม้ผล ไม้ดอก ไม้หัว ไม้สวยงามนานาชนิดที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเนื้อไม้ ใช้ประโยชน์ได้ทั้งการบริโภคและการจำหน่าย ใช้ประโยชน์ได้ในการฟื้นฟูและสร้างความสมดุลย์แห่งธรรมชาติ และจูงใจให้ผู้คนจากต่างเมืองเข้ามาเยี่ยมชม เพิ่มพูนรายได้ให้แก่ราษฎรแคว้นเสฉวนเป็นจำนวนมาก
แคว้นเสฉวนจึงอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ ลดปัญหาน้ำท่วม ป้องกันพายุทราย และความหนาวเหน็บจากทะเลทราย ราษฎรมีไม้ใช้อย่างพอเพียง สามารถสร้างผลผลิตแปรรูปจากไม้ได้นานาชนิดจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งตะวันตก สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มังสาหาร และภักษาหาร และมีความงดงามตระการตาด้วยประการฉะนี้
เมื่อกำหนดแนวทางนโยบายในการสร้างความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุขให้กับแคว้นเสฉวนแล้ว เล่าปี่จึงทำการปฏิรูปการปกครองโดยกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ส่งเสริมให้ชุมชนมีผลผลิตเป็นของตนเอง การพัฒนาในชุมชนกำหนดโดยราษฎรในชุมชน โดยการบริหารราชการส่วนกลางส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่และแข็งขัน เพราะเหตุนั้นจึงทำให้การพัฒนาทั้งปวงของเมืองเสฉวนสอดคล้องต้องกับความปรารถนาที่แท้จริงของประชาชน ต่างกับหลายพื้นที่และต่างกับยุคหลัง ๆ ที่กำหนดการพัฒนาจากส่วนกลางโดยไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน จึงทำให้การพัฒนามีลักษณะวิปริตและไร้ผล เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการกลับไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนา แต่กลับไปพัฒนาส่งเสริมในสิ่งที่ประชาชนไม่ต้องการและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในภูมิประเทศ
การบริหารส่วนกลางถือเอาเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงเป็นศูนย์กลาง ทั้งทางการเมือง การทหาร และการเศรษฐกิจ ตลอดจนวัฒนธรรม มีการฟื้นฟูงานศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างขนานใหญ่ ไม่ว่าทางด้านการแพทย์ สุราท้องถิ่นดั้งเดิม การถนอมอาหาร การแปรรูปอาหาร และการผลิตทางศิลปะทุกชนิด โดยมีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา รับแนวทางนโยบายไปปฏิบัติโดยสอดคล้องกับท้องถิ่นและความปรารถนาของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ
ควบคู่กับการปฏิรูปการปกครอง เล่าปี่ได้ทำการปฏิรูปกฎหมายของแผ่นดินเสียใหม่ โดยได้แจ้งแก่ขงเบ้งว่าแผ่นดินเมืองเสฉวนนี้มีการตรากฎหมายมากมาย ซับซ้อนทับถมกันมาโดยไม่มีการแก้ไข จนบ้านเมืองเต็มไปด้วยระเบียบข้อบังคับที่ยากต่อการจำแนกแจกแจง การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามอำเภอใจของขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงและมีจิตคิดข่มเหงประชาชน
ดังนั้นเล่าปี่จึงว่า “กฎหมายสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเราจะให้เลิกเสีย ท่านจงเร่งแต่งกฎหมายใหม่สำหรับเมือง แต่ให้คาดโทษนั้นให้หนักขึ้นกว่าเก่า คนทั้งปวงจึงจะกลัวเกรง จะได้ทำตามกฎหมาย บ้านเมืองจึงจะราบคาบสืบไป”
หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นจึงท้วงติงว่า “ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้เสวยราชสมบัตินั้น ให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้กระทำผิดไว้เป็นประมาณ จนมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้ท่านจะให้แต่งกฎหมายคาดโทษผู้ละเมิดให้หนักขึ้นกว่าเก่านั้น ข้าพเจ้าเห็นราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อน ขอให้ผ่อนลงแต่พอประมาณตามกฎหมายเก่า”
ขงเบ้งจึงว่าอันการระวางโทษตามกฎหมายจะหนักเบาประการใด ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับใจปรารถนาของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แต่อย่างเดียวก็หาไม่ หากย่อมต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองในแต่ละขณะ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายว่าเคร่งครัดตึงหย่อนประการใด รวมทั้งการยอมรับนับถือปฏิบัติตามกฎหมายของขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งปวงว่าเป็นปกติหรือวิปริตผันแปรประการใด ดังนี้แล้วจึงจะสามารถกำหนดเป็นนิตินโยบายในการตรากฎหมายได้โดยสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจนั้นบ้านเมืองอยู่ในกลียุค ด้วยเป็นยุคสมัยที่สืบต่อจากระบอบการปกครองแบบทรราชของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ในยุคสมัยนั้นบทกฎหมายทั้งหลายได้กำหนดโทษรุนแรง ตั้งแต่โทษประหารเจ็ดชั่วโคตร สามชั่วโคตร ประหารทั้งครอบครัว ประหารแต่ตัว แม้กระทั่งความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กำหนดโทษประหารเกือบทั้งสิ้น อาณาประชาราษฎรจึงได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
เพราะเหตุที่กฎหมายมีความรุนแรงดังนี้ จึงเอื้อช่องทางให้แก่ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้แสวงหาประโยชน์ เพราะเมื่อราษฎรรังเกียจกลัวโทษอาญาอันฉกรรจ์ ก็ต้องจ่ายสินบาทคาดสินบนจนสิ้นเนื้อประดาตัว ดังนั้นแผ่นดินปลายยุคสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร และเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมืองจนราชวงศ์จิ๋นต้องดับสูญ
เพราะเหตุที่บทกฎหมายเคร่งครัดตึงเกินไปดังนี้ ครั้นพระเจ้าเล่าปังได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ปราบดาภิเษกทรงสมญานามว่าพระเจ้าฮั่นโกโจแล้ว บรรดาขุนนางที่ปรึกษาสำหรับแผ่นดินผู้เป็นปราชญ์จึงได้กราบบังคมทูลให้ยกเลิกกฎหมายเก่าและตรากฎหมายใหม่ที่ผ่อนผันบรรเทาโทษ ทำให้ประชาชนได้สัมผัสถึงพระเมตตาคุณและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าเล่าปัง และพร้อมใจกันปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้นแผ่นดินของพระเจ้าฮั่นโกโจที่สืบทอดลงมาจึงร่มเย็นเป็นสุข
ขงเบ้งกล่าวสืบต่อไปว่าสถานการณ์ในเมืองเสฉวนบัดนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจปราบดาภิเษก ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนโลเล มิได้เคารพต่อบทกฎหมาย ทำการแต่ตามอำเภอใจ ไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณีในการปกครองบ้านเมือง เห็นแก่อามิสผลประโยชน์ จึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ตัวเล่าเจี้ยงและญาติมิตรตลอดจนสมัครพรรคพวกแวดล้อมลำดับมาถึงขุนนางข้าราชการล้วนใช้กฎหมายตามอำเภอน้ำใจ ราษฎรก็ไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย ต่างพากันแสวงหาสมัครพรรคพวกที่เป็นขุนนางข้าราชการ เกิดเป็นกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลอำนาจมืดทั่วทั้งเมือง
ดังนั้นแผ่นดินเมืองเสฉวนมีกฎหมายก็เหมือนหามีกฎหมายไม่ ราชการทั้งปวงจึงวิปริตผันแปรไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความตอนนี้ว่า “ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจให้แต่งกฏหมายไว้ได้ใช้ต่อมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านเห็นว่าขุนนางแลหัวเมืองปรกติอยู่หรือ อันเล่าเจี้ยงเล่าก็เป็นคนความคิดน้อย หาอาชญาข่มขี่มิได้ แม้รักผู้ใดถึงหาสติปัญญาไม่ ก็ตั้งแต่งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แลผู้นั้นมีน้ำใจกำเริบละกฎหมายเสีย ข่มเหงอาณาประชาราษฎรแต่ตามอำเภอใจ ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนจนเสียเมือง ครั้งนี้เราจึงให้เลิกกฎหมายเก่าเสีย ให้คาดโทษผู้ทำผิดให้หนักขึ้น หวังจะให้คนทั้งปวงตั้งใจทำความชอบ แม้ขุนนางแลราษฎรเห็นผู้ใดทำความชอบมีบำเหน็จ ก็จะละความชั่วของตัวเสีย จะได้ดูเยี่ยงอย่างกันทำตามกฎหมายก็จะมีความชอบขึ้น บ้านเมืองก็จะค่อยปรกติราบคาบไป”
เล่าปี่ หวดเจ้ง และบรรดาขุนนางที่ปรึกษาข้าราชการทั้งปวงจึงลงความเห็นพร้อมกันกำหนดนิตินโยบายตามที่ขงเบ้งเสนอทุกประการ
ขงเบ้งจึงตั้งคณะปฏิรูปกฎหมายแผ่นดิน แล้วออกประกาศยกเลิกกฎหมายเก่าสำหรับเมืองเสฉวนเสียทั้งสิ้น และให้ตรากฎหมายใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับแผ่นดินสืบไป ในบทบัญญัติว่าด้วยการลงโทษกำหนดให้หนักขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่บรรดาบทกฎหมายทั้งหลายได้เน้นถึงความชัดเจน ไม่คลุมเครือ สามารถเข้าใจได้โดยง่าย โดยคำนึงถึงระดับการศึกษาของอาณาประชาราษฎร มิใช่ตรากฎหมายด้วยภาษาและนิรุกติอันล้ำลึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนสำหรับเป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนจำพวกเถรขวาด ที่บังอาจใช้ศาสตราแห่งกฎหมายตามอำเภอน้ำใจตน แลเพราะบทกฎหมายมีความชัดเจนเข้าใจได้โดยง่ายดังนี้ ราษฎรเมืองเสฉวนจึงยอมรับนับถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน
กฎหมายที่ตราแล้วเล่าปี่ได้ให้แจกจ่ายแก่หัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ที่ขึ้นแก่เมืองเสฉวน รวมร้อยสี่สิบเอ็ดหัวเมืองเศษ ราษฎรก็มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน.