ตอนที่ 378. นโยบายปฏิรูปที่ดิน
ด้วยระยะเวลาเพียงหกปีสี่เดือนนับแต่พญามังกรผู้แจ้งฟ้าจบดินแห่งเขาโงลังกั๋งได้เลื้อยลงจากเทือกเขามังกรหลับ ก็ได้ทำให้เล่าปี่เชื้อพระวงศ์พเนจรที่ไม่มีแผ่นดินอาศัยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ที่รบที่ไหนแพ้ที่นั่น ทั้ง ๆ ที่มีกำลังทหารเอกเข้มแข็งแกร่งกล้า ได้ยาตราทัพเข้าครองแคว้นเสฉวนหรือแคว้นจ๊กหรือจ๊กก๊กได้สำเร็จ โดยมิได้เปลืองแรงทหาร ทั้งกลับทำให้กองทัพเติบใหญ่เข้มแข็งเป็นประวัติการณ์
การบรรลุยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งขั้นที่สองนี้ แม้ว่าจะทำให้แผ่นดินจีนกลายเป็นสามก๊กแล้วแต่ยังไม่เต็มรูปแบบ เพราะยังมีเมืองฮันต๋งของเตียวล่อซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันตก และตั้งอยู่ระหว่างแคว้นเว่ยซึ่งเป็นแดนเมืองหลวงและโจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว กับแคว้นจ๊กซึ่งเล่าปี่ได้สถาปนาอำนาจเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวดุจกัน ดังนั้นการที่แผ่นดินจีนจะกลายเป็นสามก๊กเต็มรูปแบบ แคว้นฮันต๋งจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการช่วงชิงระหว่างกำลังกองทัพของโจโฉแห่งแคว้นเว่ยในภาคกลาง กับกำลังกองทัพของเล่าปี่แห่งแคว้นจ๊กในภาคตะวันตก เพราะเหตุนี้การสัประยุทธ์ช่วงชิงแคว้นฮันต๋งระหว่างกับโจโฉกับเล่าปี่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำต้องเกิดขึ้น
สงครามใหญ่ระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นจ๊กกำลังก่อตัว และทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเตรียมการสงครามครั้งใหญ่เพื่อช่วงชิงแคว้นฮันต๋งเข้ามาอยู่ในอำนาจให้จงได้ และการช่วงชิงนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับซุนกวนแห่งกังตั๋งหรือง่อก๊กโดยตรง แต่เมื่อแผ่นดินจีนได้กลายเป็นสามก๊กแล้ว การยืมกำลังผู้อื่นไม่ว่าด้วยอุบายหรืออามิสย่อมเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นแม้รูปการภายนอกการสงครามจะกลายเป็นเรื่องของแคว้นเว่ยและแคว้นจ๊ก แต่การช่วงชิงการสนับสนุนจากแคว้นง่อก็ได้กลายเป็นสงครามทางการทูตระหว่างโจโฉกับเล่าปี่เพื่อผลักดันให้ซุนกวนเข้าสู่สงครามทางอ้อมอีกด้วย สงครามแต่นี้ไปจึงเป็นสงครามทางการทหารและทางการทูตระหว่างสามแคว้น ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งขยายอำนาจโดยมีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือรวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นหนึ่ง
ฝ่ายเล่าปี่นั้นหลังจากยาตราทัพเข้าครองแคว้นจ๊กหรือแดนเมืองเสฉวนอันประกอบด้วยหัวเมืองใหญ่น้อยเป็นจำนวนมากแล้ว ทำให้ฐานะทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจของฝ่ายเล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่และตั้งอยู่ในฐานะที่ยากต่อการที่ก๊กอื่นจะโค่นล้มได้สำเร็จ เพราะแคว้นเสฉวนนั้นมีชัยภูมิและภูมิประเทศที่ยากแก่การเข้าตี เมื่อครั้งที่เล่าปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นจะตั้งตัวนั้น ได้ทำสงครามสู้รบกับฌ้ออ๋องอย่างดุเดือดยาวนานนับแต่สิ้นรัชกาลพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้
ในศึกใหญ่ระหว่างเล่าปังและฌ้ออ๋องในครั้งกระโน้นกำลังการทหารของฌ้ออ๋องเข้มแข็งเกรียงไกร และมีจำนวนมากกว่ากำลังทหารของเล่าปังหลายเท่า แต่ภายหลังจากที่เล่าปังได้ถอยทัพเข้าไปตั้งหลักอยู่ในแคว้นเสฉวนแล้ว ก็สามารถปรับปรุงกองทัพซ่องสุมผู้คนจนเข้มแข็งเติบใหญ่ และสามารถยกกลับไปทำสงครามเอาชัยชนะขั้นสุดท้ายกับฌ้ออ๋องได้สำเร็จ แล้วสถาปนาราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่และครองอำนาจสืบต่อยาวนานที่สุดของจีน
ภูมิประเทศและฐานะทางยุทธศาสตร์ของแคว้นเสฉวนหากจะเปรียบเทียบภูมิประเทศและฐานะทางยุทธศาสตร์ในสงครามปฏิวัติของจีนแล้ว แคว้นเสฉวนก็อาจเทียบได้กับเมืองเยียนอานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในสงครามปลดแอกระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเริ่มต้นสงครามด้วยความอ่อนและจำนวนน้อยกว่าของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนนั้น เมื่อผ่านการประชุมขยายวงที่จุนยี่สถาปนาอำนาจการนำของเหมาเจ๋อตงขึ้นแล้ว การเดินทัพทางไกลอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เกิดขึ้น เป็นการเดินทัพทางไกลอันเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์การสงครามของโลก มีระยะทางการเดินทัพที่ยาวนานคดเคี้ยวทุรกันดารมากที่สุดในโลก เป็นการเดินทัพในสถานการณ์สงครามที่ลำบากยากเข็ญ บนฟ้ามีเครื่องบินของพรรคก๊กมินตั๋งคอยตรวจการทิ้งระเบิดไม่ขาดระยะ ทางด้านหลังและด้านข้างมีกองทัพพรรคก๊กมินตั๋งที่เข้มแข็ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยติดตามไล่ล่าขนาบไม่เว้นในแต่ละวัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นหุบเขาเหวลึกหรือแม่น้ำใหญ่ เป็นการเดินทัพทางไกลที่ได้แปรการเดินทัพอันแสนลำเค็ญให้เป็นโรงเรียนใหญ่แก่พลพรรคกองทัพปลดแอกประชาชนจีน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้วิธีเขียนตัวหนังสือติดข้างหลังของทหารแต่ละคน ทหารที่เดินข้างหลังเรียนหนังสือจากตัวหนังสือบนหลังของทหารที่เดินอยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็สลับเอากองหลังเป็นกองหน้า โรงเรียนเคลื่อนที่ท่ามกลางการเดินทัพอันลำบากและกันดารจึงถือเป็นโรงเรียนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปในท่ามกลางสงครามอันโหดเหี้ยมอำมหิต
แต่เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเดินทัพทางไกลถึงเยียนอานแล้วก็สามารถตั้งหลักปักฐานได้มั่นคง ค่อยๆ จัดตั้งฐานที่มั่น จัดตั้งเขตที่มั่น ขยายเขตเคลื่อนไหวของสงครามจรยุทธ์ ปลุกระดมมวลชนและประสานกับแนวร่วมในทางสากล จนเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการปฏิวัติของจีนได้งอกงามขยายตัวเต็มทั่วทั้งผืนแผ่นดินจีน
เพราะเหตุที่สามารถตั้งหลักปักฐานที่เยียนอานได้สำเร็จ และเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติได้งอกงามขยายตัวกว้างขวาง กำลังกองทัพปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเติบใหญ่และได้อาศัยสถานการณ์สงครามต่อต้านญี่ปุ่นปลุกระดมประชาชาติประกาศสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่น เคลื่อนกำลัง ขยายกำลังในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ครั้นสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่นเสร็จสิ้นลงและเกิดสงครามปฏิวัติระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้งหนึ่ง กองทัพปลดแอกของประชาชนจีนซึ่งเติบใหญ่กล้าแข็งแล้วภายใต้การชี้นำของเหมาเจ๋อตง จึงได้ทำสงครามใหญ่สามยุทธการ โดยมียุทธการเป่ยผิง-เทียนสิน เป็นยุทธการสุดท้าย ยึดภาคเหนือและภาคอีสานของจีนได้สำเร็จ จากนั้นจึงกรีฑาทัพลงใต้ข้ามแม่น้ำแยงซี ตีกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋งจนตกทะเลไปอยู่ที่ไต้หวันจนถึงทุกวันนี้
ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ การยุทธ์และการรบทั้งปวงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาของสงครามปลดแอกและสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่น แม้จะเป็นรูปแบบรูปการในยุคหลังสองพันกว่าปีจากยุคสามก๊ก แต่รากฐานทางความคิดของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของสามก๊ก จนอาจกล่าวได้ด้วยว่าเป็นกระบวนการที่พัฒนามาจากยุคสามก๊ก
ครั้นเล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวน จัดแจงการปกครองหัวเมืองและเมืองหลวงเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว จึงได้ประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการและเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวนเพื่อกำหนดแนวทางนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินเมืองเสฉวน
ก่อนจะแถลงแนวทางนโยบายเล่าปี่ได้ปรึกษากับจูล่งและขงเบ้ง โดยในตอนแรกนั้นเล่าปี่ได้เสนอว่า “เรือกสวนไร่นาซึ่งมิได้มีผู้ใดจับจองทำมาหากินนั้น ให้แบ่งให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นกำลังราชการสืบไป”
แนวความคิดในการบริหารงานที่ดินเมืองเสฉวนของเล่าปี่เป็นแบบเดียวกันกับยุคศักดินาในยุโรป คือเอาที่ดินทั้งแผ่นดินมาแบ่งปันกันระหว่างเจ้าศักดินาทั้งหลาย เพื่อให้ต่างคนต่างไปสร้างความเข้มแข็ง ทั้งกำลังคนและกำลังทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นกำลังของบ้านเมือง
กรณีเป็นเรื่องน่าประหลาดตรงที่ความคิดของเล่าปี่นั้นเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศักราช 214 หรือประมาณปี พ.ศ. 757 และหลังจากนั้นกว่าหนึ่งพันปีความคิดเหล่านี้กลับถูกนำมาใช้ในยุคศักดินาของยุโรป
จูล่งได้ฟังปรารภของเล่าปี่ดังนั้นจึงว่า “เมืองเสฉวนนี้มีศึก ราษฎรพลัดพรากจากภูมิลำเนาที่ทำมาหากิน ซึ่งจะเอาเรือกสวนไร่นามาแบ่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยนั้น ราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของนั้นก็จะได้ความเดือดร้อน ท่านจงให้ป่าวร้องไพร่บ้านพลเมืองว่า ภูมิลำเนาแลเรือกสวนไร่นาของผู้ใดก็ให้เข้าอยู่ทำมาหากินดังเก่า ราษฎรจึงจะมีความสุขสืบไป”
อันแนวความคิดของจูล่งในครั้งนี้ก็คือแนวความคิดที่สอดคล้องกับขบวนประชาชนคนยากคนจนในภาคอีสาน และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย ดังในกรณีที่ทางราชการเคยจัดตั้งโครงการจัดที่ทำกินให้แก่ราษฎร หรือโครงการ คจก. ชื่อของโครงการนี้สวยหรูดูงดงามประหนึ่งว่ารัฐจะจัดสรรที่ทำกินให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่รัฐได้กระทำคือการขับไล่ราษฎรออกจากพื้นที่ทำกิน เพื่อจะเอาที่ดินของราษฎรไปให้กลุ่มนายหน้าของต่างชาติเช่าปลูกป่ายูคาลิปตัสที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศชาติ เพราะเป็นโครงการสร้างทะเลทรายขึ้นในประเทศไทย มีการใช้รถแทรคเตอร์ไถเรือกสวนไร่นาของประชาชนจนหมดสิ้น ใช้รถบรรทุกของทหารเข้าทำการรื้อถอนบ้านเรือนของราษฎรจนหมดสิ้น ปิดโรงเรียน ขับพระภิกษุสงฆ์ออกจากวัด จนราษฎรหลายพื้นที่ต้องกลายเป็นคนขอทาน และต้องร่วมกันเรียกร้องขอความเป็นธรรม จนก่อเกิดเป็นขบวนการประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับที่ดินทำกิน เป็นผลให้มีการเดินขบวนทางไกลด้วยเท้าครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อขบวนการต่อสู้ของประชาชนได้ยาตรามาถึงโคราช รัฐบาลก็ต้องยอมจำนนคืนความเป็นธรรมแก่ราษฎร ยกเลิกโครงการ คจก. และต้องยินยอมให้ประชาชนกลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเดิม
เล่าปี่นั้นมีน้ำใจอาทรต่ออาณาราษฎรทั้งปวง ไม่เหมือนกับขุนนางใจดำอำมหิตบางคนในยุคหลังที่คิดหวังแต่จะรังแกข่มเหงประชาชน ครั้นได้ฟังคำท้วงของจูล่งดังนั้นก็เห็นด้วย
เล่าปี่จึงสั่งให้หน่วยโฆษณาชวนเชื่อของเมืองเสฉวนออกไปประกาศป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงว่า ผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงใดผืนใดอยู่แต่เดิม ก็ให้กลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ดังแต่ก่อน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนในการพัฒนาท้องถิ่น ในการพัฒนาสาธารณูปโภค และในการส่งเสริมอาชีพอย่างเต็มที่
ราษฎรผู้ยากทั้งปวงทราบข่าวป่าวประกาศของเล่าปี่ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ต่างคนต่างเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเดิม และร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นพัฒนาสาธารณูปโภค ช่วยกันสร้างอาชีพและสิ่งสาธารณะต่าง ๆ จนทำให้พื้นที่บางส่วนที่ทุรกันดารแห้งแล้งเป็นป่าเสื่อมโทรมดินสิ้นสภาพ ได้กลับฟื้นคืนสภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง อาณาประชาราษฎรจึงยินดีปรีดาปราโมทย์โดยถ้วนหน้ากัน
หลังจากนั้นเล่าปี่จึงจัดตั้งฝ่ายชลประทานขึ้นในรัฐบาลกลางของเมืองเสฉวน ด้วยดำริว่าอันความมั่งคั่งของแผ่นดินนั้นต้องอาศัยน้ำ ตั้งแต่โบราณกาลสืบมาเหล่าปราชญ์เมธาทั้งปวงล้วนยอมรับนับถือตรงกันว่า “น้ำคือรากฐานแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งก็คือรากฐานที่แท้จริงแห่งความมั่นคง”
เล่าปี่เห็นว่าอันแผ่นดินเมืองเสฉวนแม้อยู่ในภาคตะวันตก เป็นภูเขาสูงชัน ผืนแผ่นดินมีหินและทรายเป็นจำนวนมากก็จริงอยู่ แต่ปริมาณฝนตกก็มีมากเช่นเดียวกัน เป็นแต่ว่ารัฐบาลก่อนหน้านั้นโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจรากฐานแห่งความมั่งคั่งของชาติได้ น้ำมีอยู่แต่เพราะไม่กักเก็บน้ำผืนแผ่นดินจึงแห้งแล้งทุรกันดาร และเพราะไม่กักเก็บน้ำจึงปล่อยให้น้ำไหลบ่าทำลายทรัพย์สินของอาณาประชาราษฎรทุกฤดูกาลหน้าฝน ทำให้ทรัพย์สินบ้านเรือนไร่นาของราษฎรเสียหายซ้ำซาก น้ำในแผ่นดินเมืองเสฉวนซึ่งควรใช้เพื่อความมั่งคั่งและเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของประชาชน กลับถูกปล่อยให้ไหลบ่าลงสู่แม่น้ำ ไปต่อสู้กับน้ำทะเลที่ปลายน้ำ
เพราะเหตุนี้เล่าปี่จึงกำหนดให้จัดทำโครงการชลประทานเพื่อกักเก็บน้ำทั่วทั้งแคว้นเสฉวน โดยอาศัยแบบภูมิปัญญาของชาวบ้านกักเก็บกั้นน้ำเป็นเขื่อน เป็นฝาย เป็นชั้นตามความสูงต่ำของธรรมชาติ ดังนั้นแม้วิทยาการและภูมิปัญญาจะล้าหลังอยู่ในยุคสองพันปี แต่เขื่อนและฝายในยุคสมัยของเล่าปี่ก็สามารถกักเก็บน้ำได้ตลอดทั้งปี และใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนน้อย แต่ได้ผลในการสร้างความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ทั่วทั้งแคว้นแดนเสฉวนแต่นั้นมา
หลังจากนั้นเล่าปี่จึงกำหนดแนวทางนโยบายในการฟื้นฟูสภาพป่าที่ถูกทำลายจนเหลือแต่ดินทรายให้ฟื้นคืนสภาพเป็นธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง.
การบรรลุยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งขั้นที่สองนี้ แม้ว่าจะทำให้แผ่นดินจีนกลายเป็นสามก๊กแล้วแต่ยังไม่เต็มรูปแบบ เพราะยังมีเมืองฮันต๋งของเตียวล่อซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันตก และตั้งอยู่ระหว่างแคว้นเว่ยซึ่งเป็นแดนเมืองหลวงและโจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว กับแคว้นจ๊กซึ่งเล่าปี่ได้สถาปนาอำนาจเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวดุจกัน ดังนั้นการที่แผ่นดินจีนจะกลายเป็นสามก๊กเต็มรูปแบบ แคว้นฮันต๋งจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการช่วงชิงระหว่างกำลังกองทัพของโจโฉแห่งแคว้นเว่ยในภาคกลาง กับกำลังกองทัพของเล่าปี่แห่งแคว้นจ๊กในภาคตะวันตก เพราะเหตุนี้การสัประยุทธ์ช่วงชิงแคว้นฮันต๋งระหว่างกับโจโฉกับเล่าปี่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำต้องเกิดขึ้น
สงครามใหญ่ระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นจ๊กกำลังก่อตัว และทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเตรียมการสงครามครั้งใหญ่เพื่อช่วงชิงแคว้นฮันต๋งเข้ามาอยู่ในอำนาจให้จงได้ และการช่วงชิงนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับซุนกวนแห่งกังตั๋งหรือง่อก๊กโดยตรง แต่เมื่อแผ่นดินจีนได้กลายเป็นสามก๊กแล้ว การยืมกำลังผู้อื่นไม่ว่าด้วยอุบายหรืออามิสย่อมเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นแม้รูปการภายนอกการสงครามจะกลายเป็นเรื่องของแคว้นเว่ยและแคว้นจ๊ก แต่การช่วงชิงการสนับสนุนจากแคว้นง่อก็ได้กลายเป็นสงครามทางการทูตระหว่างโจโฉกับเล่าปี่เพื่อผลักดันให้ซุนกวนเข้าสู่สงครามทางอ้อมอีกด้วย สงครามแต่นี้ไปจึงเป็นสงครามทางการทหารและทางการทูตระหว่างสามแคว้น ที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งขยายอำนาจโดยมีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือรวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นหนึ่ง
ฝ่ายเล่าปี่นั้นหลังจากยาตราทัพเข้าครองแคว้นจ๊กหรือแดนเมืองเสฉวนอันประกอบด้วยหัวเมืองใหญ่น้อยเป็นจำนวนมากแล้ว ทำให้ฐานะทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจของฝ่ายเล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่และตั้งอยู่ในฐานะที่ยากต่อการที่ก๊กอื่นจะโค่นล้มได้สำเร็จ เพราะแคว้นเสฉวนนั้นมีชัยภูมิและภูมิประเทศที่ยากแก่การเข้าตี เมื่อครั้งที่เล่าปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นจะตั้งตัวนั้น ได้ทำสงครามสู้รบกับฌ้ออ๋องอย่างดุเดือดยาวนานนับแต่สิ้นรัชกาลพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้
ในศึกใหญ่ระหว่างเล่าปังและฌ้ออ๋องในครั้งกระโน้นกำลังการทหารของฌ้ออ๋องเข้มแข็งเกรียงไกร และมีจำนวนมากกว่ากำลังทหารของเล่าปังหลายเท่า แต่ภายหลังจากที่เล่าปังได้ถอยทัพเข้าไปตั้งหลักอยู่ในแคว้นเสฉวนแล้ว ก็สามารถปรับปรุงกองทัพซ่องสุมผู้คนจนเข้มแข็งเติบใหญ่ และสามารถยกกลับไปทำสงครามเอาชัยชนะขั้นสุดท้ายกับฌ้ออ๋องได้สำเร็จ แล้วสถาปนาราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่และครองอำนาจสืบต่อยาวนานที่สุดของจีน
ภูมิประเทศและฐานะทางยุทธศาสตร์ของแคว้นเสฉวนหากจะเปรียบเทียบภูมิประเทศและฐานะทางยุทธศาสตร์ในสงครามปฏิวัติของจีนแล้ว แคว้นเสฉวนก็อาจเทียบได้กับเมืองเยียนอานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในสงครามปลดแอกระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเริ่มต้นสงครามด้วยความอ่อนและจำนวนน้อยกว่าของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนนั้น เมื่อผ่านการประชุมขยายวงที่จุนยี่สถาปนาอำนาจการนำของเหมาเจ๋อตงขึ้นแล้ว การเดินทัพทางไกลอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เกิดขึ้น เป็นการเดินทัพทางไกลอันเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์การสงครามของโลก มีระยะทางการเดินทัพที่ยาวนานคดเคี้ยวทุรกันดารมากที่สุดในโลก เป็นการเดินทัพในสถานการณ์สงครามที่ลำบากยากเข็ญ บนฟ้ามีเครื่องบินของพรรคก๊กมินตั๋งคอยตรวจการทิ้งระเบิดไม่ขาดระยะ ทางด้านหลังและด้านข้างมีกองทัพพรรคก๊กมินตั๋งที่เข้มแข็ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยติดตามไล่ล่าขนาบไม่เว้นในแต่ละวัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นหุบเขาเหวลึกหรือแม่น้ำใหญ่ เป็นการเดินทัพทางไกลที่ได้แปรการเดินทัพอันแสนลำเค็ญให้เป็นโรงเรียนใหญ่แก่พลพรรคกองทัพปลดแอกประชาชนจีน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้วิธีเขียนตัวหนังสือติดข้างหลังของทหารแต่ละคน ทหารที่เดินข้างหลังเรียนหนังสือจากตัวหนังสือบนหลังของทหารที่เดินอยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็สลับเอากองหลังเป็นกองหน้า โรงเรียนเคลื่อนที่ท่ามกลางการเดินทัพอันลำบากและกันดารจึงถือเป็นโรงเรียนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปในท่ามกลางสงครามอันโหดเหี้ยมอำมหิต
แต่เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเดินทัพทางไกลถึงเยียนอานแล้วก็สามารถตั้งหลักปักฐานได้มั่นคง ค่อยๆ จัดตั้งฐานที่มั่น จัดตั้งเขตที่มั่น ขยายเขตเคลื่อนไหวของสงครามจรยุทธ์ ปลุกระดมมวลชนและประสานกับแนวร่วมในทางสากล จนเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการปฏิวัติของจีนได้งอกงามขยายตัวเต็มทั่วทั้งผืนแผ่นดินจีน
เพราะเหตุที่สามารถตั้งหลักปักฐานที่เยียนอานได้สำเร็จ และเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติได้งอกงามขยายตัวกว้างขวาง กำลังกองทัพปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเติบใหญ่และได้อาศัยสถานการณ์สงครามต่อต้านญี่ปุ่นปลุกระดมประชาชาติประกาศสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่น เคลื่อนกำลัง ขยายกำลังในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ครั้นสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่นเสร็จสิ้นลงและเกิดสงครามปฏิวัติระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้งหนึ่ง กองทัพปลดแอกของประชาชนจีนซึ่งเติบใหญ่กล้าแข็งแล้วภายใต้การชี้นำของเหมาเจ๋อตง จึงได้ทำสงครามใหญ่สามยุทธการ โดยมียุทธการเป่ยผิง-เทียนสิน เป็นยุทธการสุดท้าย ยึดภาคเหนือและภาคอีสานของจีนได้สำเร็จ จากนั้นจึงกรีฑาทัพลงใต้ข้ามแม่น้ำแยงซี ตีกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋งจนตกทะเลไปอยู่ที่ไต้หวันจนถึงทุกวันนี้
ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ การยุทธ์และการรบทั้งปวงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาของสงครามปลดแอกและสงครามประชาชาติต่อต้านญี่ปุ่น แม้จะเป็นรูปแบบรูปการในยุคหลังสองพันกว่าปีจากยุคสามก๊ก แต่รากฐานทางความคิดของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของสามก๊ก จนอาจกล่าวได้ด้วยว่าเป็นกระบวนการที่พัฒนามาจากยุคสามก๊ก
ครั้นเล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวน จัดแจงการปกครองหัวเมืองและเมืองหลวงเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว จึงได้ประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการและเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวนเพื่อกำหนดแนวทางนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินเมืองเสฉวน
ก่อนจะแถลงแนวทางนโยบายเล่าปี่ได้ปรึกษากับจูล่งและขงเบ้ง โดยในตอนแรกนั้นเล่าปี่ได้เสนอว่า “เรือกสวนไร่นาซึ่งมิได้มีผู้ใดจับจองทำมาหากินนั้น ให้แบ่งให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นกำลังราชการสืบไป”
แนวความคิดในการบริหารงานที่ดินเมืองเสฉวนของเล่าปี่เป็นแบบเดียวกันกับยุคศักดินาในยุโรป คือเอาที่ดินทั้งแผ่นดินมาแบ่งปันกันระหว่างเจ้าศักดินาทั้งหลาย เพื่อให้ต่างคนต่างไปสร้างความเข้มแข็ง ทั้งกำลังคนและกำลังทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นกำลังของบ้านเมือง
กรณีเป็นเรื่องน่าประหลาดตรงที่ความคิดของเล่าปี่นั้นเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศักราช 214 หรือประมาณปี พ.ศ. 757 และหลังจากนั้นกว่าหนึ่งพันปีความคิดเหล่านี้กลับถูกนำมาใช้ในยุคศักดินาของยุโรป
จูล่งได้ฟังปรารภของเล่าปี่ดังนั้นจึงว่า “เมืองเสฉวนนี้มีศึก ราษฎรพลัดพรากจากภูมิลำเนาที่ทำมาหากิน ซึ่งจะเอาเรือกสวนไร่นามาแบ่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยนั้น ราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของนั้นก็จะได้ความเดือดร้อน ท่านจงให้ป่าวร้องไพร่บ้านพลเมืองว่า ภูมิลำเนาแลเรือกสวนไร่นาของผู้ใดก็ให้เข้าอยู่ทำมาหากินดังเก่า ราษฎรจึงจะมีความสุขสืบไป”
อันแนวความคิดของจูล่งในครั้งนี้ก็คือแนวความคิดที่สอดคล้องกับขบวนประชาชนคนยากคนจนในภาคอีสาน และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย ดังในกรณีที่ทางราชการเคยจัดตั้งโครงการจัดที่ทำกินให้แก่ราษฎร หรือโครงการ คจก. ชื่อของโครงการนี้สวยหรูดูงดงามประหนึ่งว่ารัฐจะจัดสรรที่ทำกินให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่รัฐได้กระทำคือการขับไล่ราษฎรออกจากพื้นที่ทำกิน เพื่อจะเอาที่ดินของราษฎรไปให้กลุ่มนายหน้าของต่างชาติเช่าปลูกป่ายูคาลิปตัสที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศชาติ เพราะเป็นโครงการสร้างทะเลทรายขึ้นในประเทศไทย มีการใช้รถแทรคเตอร์ไถเรือกสวนไร่นาของประชาชนจนหมดสิ้น ใช้รถบรรทุกของทหารเข้าทำการรื้อถอนบ้านเรือนของราษฎรจนหมดสิ้น ปิดโรงเรียน ขับพระภิกษุสงฆ์ออกจากวัด จนราษฎรหลายพื้นที่ต้องกลายเป็นคนขอทาน และต้องร่วมกันเรียกร้องขอความเป็นธรรม จนก่อเกิดเป็นขบวนการประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับที่ดินทำกิน เป็นผลให้มีการเดินขบวนทางไกลด้วยเท้าครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อขบวนการต่อสู้ของประชาชนได้ยาตรามาถึงโคราช รัฐบาลก็ต้องยอมจำนนคืนความเป็นธรรมแก่ราษฎร ยกเลิกโครงการ คจก. และต้องยินยอมให้ประชาชนกลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเดิม
เล่าปี่นั้นมีน้ำใจอาทรต่ออาณาราษฎรทั้งปวง ไม่เหมือนกับขุนนางใจดำอำมหิตบางคนในยุคหลังที่คิดหวังแต่จะรังแกข่มเหงประชาชน ครั้นได้ฟังคำท้วงของจูล่งดังนั้นก็เห็นด้วย
เล่าปี่จึงสั่งให้หน่วยโฆษณาชวนเชื่อของเมืองเสฉวนออกไปประกาศป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงว่า ผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงใดผืนใดอยู่แต่เดิม ก็ให้กลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ดังแต่ก่อน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนในการพัฒนาท้องถิ่น ในการพัฒนาสาธารณูปโภค และในการส่งเสริมอาชีพอย่างเต็มที่
ราษฎรผู้ยากทั้งปวงทราบข่าวป่าวประกาศของเล่าปี่ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ต่างคนต่างเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเดิม และร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นพัฒนาสาธารณูปโภค ช่วยกันสร้างอาชีพและสิ่งสาธารณะต่าง ๆ จนทำให้พื้นที่บางส่วนที่ทุรกันดารแห้งแล้งเป็นป่าเสื่อมโทรมดินสิ้นสภาพ ได้กลับฟื้นคืนสภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง อาณาประชาราษฎรจึงยินดีปรีดาปราโมทย์โดยถ้วนหน้ากัน
หลังจากนั้นเล่าปี่จึงจัดตั้งฝ่ายชลประทานขึ้นในรัฐบาลกลางของเมืองเสฉวน ด้วยดำริว่าอันความมั่งคั่งของแผ่นดินนั้นต้องอาศัยน้ำ ตั้งแต่โบราณกาลสืบมาเหล่าปราชญ์เมธาทั้งปวงล้วนยอมรับนับถือตรงกันว่า “น้ำคือรากฐานแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งก็คือรากฐานที่แท้จริงแห่งความมั่นคง”
เล่าปี่เห็นว่าอันแผ่นดินเมืองเสฉวนแม้อยู่ในภาคตะวันตก เป็นภูเขาสูงชัน ผืนแผ่นดินมีหินและทรายเป็นจำนวนมากก็จริงอยู่ แต่ปริมาณฝนตกก็มีมากเช่นเดียวกัน เป็นแต่ว่ารัฐบาลก่อนหน้านั้นโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจรากฐานแห่งความมั่งคั่งของชาติได้ น้ำมีอยู่แต่เพราะไม่กักเก็บน้ำผืนแผ่นดินจึงแห้งแล้งทุรกันดาร และเพราะไม่กักเก็บน้ำจึงปล่อยให้น้ำไหลบ่าทำลายทรัพย์สินของอาณาประชาราษฎรทุกฤดูกาลหน้าฝน ทำให้ทรัพย์สินบ้านเรือนไร่นาของราษฎรเสียหายซ้ำซาก น้ำในแผ่นดินเมืองเสฉวนซึ่งควรใช้เพื่อความมั่งคั่งและเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของประชาชน กลับถูกปล่อยให้ไหลบ่าลงสู่แม่น้ำ ไปต่อสู้กับน้ำทะเลที่ปลายน้ำ
เพราะเหตุนี้เล่าปี่จึงกำหนดให้จัดทำโครงการชลประทานเพื่อกักเก็บน้ำทั่วทั้งแคว้นเสฉวน โดยอาศัยแบบภูมิปัญญาของชาวบ้านกักเก็บกั้นน้ำเป็นเขื่อน เป็นฝาย เป็นชั้นตามความสูงต่ำของธรรมชาติ ดังนั้นแม้วิทยาการและภูมิปัญญาจะล้าหลังอยู่ในยุคสองพันปี แต่เขื่อนและฝายในยุคสมัยของเล่าปี่ก็สามารถกักเก็บน้ำได้ตลอดทั้งปี และใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนน้อย แต่ได้ผลในการสร้างความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ทั่วทั้งแคว้นแดนเสฉวนแต่นั้นมา
หลังจากนั้นเล่าปี่จึงกำหนดแนวทางนโยบายในการฟื้นฟูสภาพป่าที่ถูกทำลายจนเหลือแต่ดินทรายให้ฟื้นคืนสภาพเป็นธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง.