ตอนที่ 377. บรรลุยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง
ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองของขงเบ้งเปล่งอานุภาพครอบคลุมทั่วฟ้าแดนเสฉวน กดขวัญเล่าเจี้ยงจนระย่อไม่เป็นอันคิดสู้รบ ครั้นเล่าปี่ยกกองทัพหลวงเข้าประชิดเมืองเอ๊กจิ๋วเล่าเจี้ยงก็ตัดสินใจยอมจำนน และให้รับกันหยงทูตของเล่าปี่เข้ามาเจรจากันที่ศาลาว่าราชการ
พอกันหยงคำนับเล่าเจี้ยงตามธรรมเนียมแล้วเล่าเจี้ยงจึงเชิญให้กันหยงนั่งตามตำแหน่งของทูตต่างเมืองท่ามกลางที่ประชุมมหาสมาคมของบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและข้าราชการของเมืองเสฉวน
กันหยงได้กล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า “เล่าปี่นั้นมีใจกรุณาแก่ราษฎรเป็นอันมาก แม้ท่านตั้งใจประนอมต่อเล่าปี่โดยสุจริต เล่าปี่ก็จะมิได้ทำสิ่งใดแก่ท่าน” แล้วว่าแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ทุกวันนี้ตกอยู่ในอันตรายจากการแผ่ขยายอำนาจของโจโฉศัตรูราชสมบัติ ซุนกวนเล่าก็ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในแดนใต้ ส่วนเตียวล่อก็คอยหาโอกาสจะยกเข้ายึดเอาเมืองเสฉวน แลตัวท่านกับเล่าปี่นี้ก็ใช่อื่นไกลหากเป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านจะยอมอ่อนน้อมแก่เล่าปี่นั้นก็เหมือนหนึ่งการภายในครอบครัวคณาญาติ มีแต่จะเป็นอาณาประโยชน์แก่ราษฎรเมืองเสฉวน และด้วยกำลังอำนาจทางการทหารของเล่าปี่บัดนี้ย่อมเป็นที่หวังได้ว่าจะปกป้องรักษาเมืองเสฉวนไว้ในแผ่นดินฮั่นมิให้เป็นอันตรายได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วประกาศในท่ามกลางมหาสมาคมว่า บัดนี้เราตัดสินใจที่จะยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่ “ผู้ใดอย่าได้ขวางเราเลย เราจะทำนุบำรุงราษฎรทั้งปวงให้ได้ความสุขสืบไป บัดนี้เราจะออกไปนบนอบแก่เล่าปี่”
กล่าวแล้วเล่าเจี้ยงก็กวาดสายตามองไปทั่วท้องมหาสมาคม เห็นบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงคำนับพร้อมกันเล่าเจี้ยงก็มีความยินดี จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงต้อนรับกันหยง
ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วเล่าเจี้ยงจึงออกคำสั่งให้ทั่วทั้งเมืองเอ๊กจิ๋วประดับประดาบ้านเรือนเตรียมการต้อนรับเล่าปี่ และให้เอาตราสำหรับเมืองและสิ่งของบรรณาการทั้งปวงพาออกไปหาเล่าปี่ที่ค่าย
เล่าปี่ทราบข่าวว่าเล่าเจี้ยงกำลังพาขบวนขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนออกมาสวามิภักดิ์ก็มีความยินดี พาที่ปรึกษาและทหารเอก ทหารรอง ออกไปคอยต้อนรับเล่าเจี้ยงอยู่ที่หน้าค่าย ครั้นขบวนของเล่าเจี้ยงมาถึงต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงเชิญเล่าเจี้ยงเข้าไปข้างในค่าย และเชิญนั่งสนทนากัน
พอนั่งลงแล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ และกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า “ตัวเรานี้มีใจสุจริต คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขสืบไป ซึ่งมาทำการครั้งนี้เป็นความจำใจ ครั้นจะไม่ทำฉะนี้เล่า การซึ่งคิดไว้ก็จะไม่ตลอด ท่านจงเห็นแก่แผ่นดินซึ่งได้ความเดือดร้อนอยู่นี้เถิด อย่าได้ถือโทษแก่เราเลย”
เล่าปี่ยกมือขึ้นคำนับเล่าเจี้ยงอีกครั้งหนึ่ง เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นจึงกล่าวตอบว่า “ธรรมดาผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินก็จำทำเหมือนท่านนี้ ข้าพเจ้าหาถือโกรธไม่”
เล่าเจี้ยงกล่าวเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นมาหยิบเอาตราสำหรับเมืองจากทหารที่ถือตามขบวนมา และส่งมอบแก่เล่าปี่ พร้อมกับข้าวของบรรณาการทั้งปวง เล่าปี่ก็มีความยินดี รับเอาตราสำหรับเมืองและของบรรณาการจากเล่าเจี้ยง แล้วเชิญให้เล่าเจี้ยงนั่ง
เล่าเจี้ยงไม่ยอมนั่ง คำนับเล่าปี่แล้วว่าวันนี้เป็นเวลาฤกษ์ดี ขอเชิญท่านนำทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองเสฉวนให้เป็นที่อบอุ่นใจแก่ราษฎรทั้งปวงจะได้คลายกังวลว่าแผ่นดินแต่นี้ไปจะมีความสุขร่มเย็น
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงสั่งจัดแจงกองทัพทั้งปวงและยกตามเล่าเจี้ยงเข้าไปในเมืองเอ๊กจิ๋ว ราษฎรที่ประดับประดาบ้านเรือนจุดธูปเทียนคอยต้อนรับเล่าปี่อยู่ เห็นเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่เข้ามาในเมืองพร้อมกับเล่าเจี้ยง กอปรด้วยบุคลิกลักษณะสง่างามสมกับความเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งสีหน้า นัยน์ตาก็เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเอื้ออาทรต่อราษฎรก็มีความยินดี ร้องต้อนรับเล่าปี่สืบทอดไปตลอดทาง
เล่าปี่เข้าไปถึงที่ว่าราชการเมืองเสฉวนแล้ว เล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่ขึ้นไปนั่งบนที่ว่าราชการ บรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองเสฉวนต่างมาคอยต้อนรับคำนับเล่าปี่อย่างพร้อมหน้า ขาดก็แต่อุยก๋วนและเล่าป๊าซึ่งไม่แจ้งว่าติดธุระประการใดจึงไม่เข้ามารายงานตัว
เล่าเจี้ยงได้นำบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองข้าราชการขุนนางทั้งปวงคำนับเล่าปี่ ขอยอมขึ้นต่อเล่าปี่อย่างพร้อมเพรียงกัน เล่าปี่มีความยินดีเป็นอันมากกล่าวขอบคุณคนทั้งปวง แล้วว่าขอให้ตั้งอยู่ในความสุจริตและความสงบตามตำแหน่งหน้าที่เดิมจนกว่าจะมีการจัดแจงการปกครองแผ่นดินใหม่ ขอให้ร่วมใจกันรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองไว้ให้จงดี อย่าให้เกิดความสับสนวุ่นวายหรือความตื่นตระหนกตกใจขึ้นในบ้านเมืองเป็นอันขาด แล้วปลอบประโลมว่าบรรดาหัวเมืองรอบนอกเมืองเอ๊กจิ๋วทั้งปวงนั้นบัดนี้ได้จัดแจงแต่งไว้เป็นอันดี ไม่มีอันตรายใด ๆ คนทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็นึกสรรเสริญเล่าปี่ที่รอบคอบจัดแจงการทั้งปวงโดยมิได้เกิดความเสียหายใด ๆ
ครั้นเสร็จการประชุมขุนนางข้าราชการแล้วกลุ่มนายทหารของเล่าปี่ที่ทราบว่าอุยก๋วนและเล่าป๊าไม่มายอมอ่อนน้อม จึงปรึกษากันจะไปจับตัวอุยก๋วนและเล่าป๊ามาประหาร เล่าปี่ได้ยินคำชักชวนดังนั้นจึงแสร้งสั่งว่าให้จับฆ่าเสียทั้งพี่น้องและครอบครัวบุตรภรรยาจงสิ้น
ทหารของเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงพากันออกจากศาลาว่าราชการจะไปที่บ้านอุยก๋วนและเล่าป๊า ทหารเมืองเสฉวนเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็สงสารอุยก๋วนและเล่าป๊าจึงรีบแจ้งข่าวให้สองขุนนางเมืองเสฉวนได้รับทราบ
สองนายทหารเมืองเสฉวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เรียกลูกเมียบุตรภรรยาเข้ามาพร้อมกันแล้วร้องห่มร้องไห้ด้วยเกรงว่าจะถูกทหารของเล่าปี่สังหาร แต่ไม่ทันที่จะคิดอ่านหลบหนีออกจากบ้าน ทหารของเล่าปี่ก็เข้าล้อมบ้านไว้
ในขณะที่สองนายทหารเมืองเสฉวนพร้อมบุตรภรรยาและครอบครัวกำลังตกใจกลัวความตายอยู่นั้นเล่าปี่ก็ไปถึง และร้องประกาศให้ได้ยินเข้าไปที่ข้างในบ้านว่า “อันอุยก๋วน เล่าป๊านั้นมีความสัตย์ซื่อต่อนายนัก ควรเราจะเลี้ยงสืบไป อย่าให้ทหารทั้งปวงทำอันตรายแม้แต่ด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังเราจะให้ลงโทษถึงตาย”
อุยก๋วนและเล่าป๊าคนหัวอกเดียวกันได้ฟังคำประกาศของเล่าปี่ดังนั้นก็หันมาปรึกษากันว่า ที่พวกเราคิดอ่านแข็งขืนกับเล่าปี่นี้ไม่สมควรเลย ครอบครัวเราทั้งสองถึงที่ตายสิ้นแล้ว กลับประจักษ์ถึงน้ำใจของเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีมีเมตตาแก่คนทั้งปวงสมคำที่ร่ำลือมาแต่ก่อน นี่แล้วจึงสมลักษณะนายที่พึงฝากไข้ฝากผีได้ตลอดไป
สองนายทหารเมืองเสฉวนปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงชวนกันออกไปหาเล่าปี่ คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า โทษข้าพเจ้าทั้งสองคนที่แข็งขืนไม่ยอมออกไปอ่อนน้อมผิดฉกรรจ์นัก บัดนี้สำนึกผิดแล้ว ทั้งได้ประจักษ์น้ำใจเมตตาของท่าน จึงขอยอมเป็นทาสรับใช้ท่านสืบไป
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงเข้าไปประคองให้สองนายทหารลุกขึ้น และชวนไปที่ศาลาว่าราชการ ตั้งให้ดำรงคงตำแหน่งดังเดิมทุกประการ
พอค่ำลงขงเบ้งจึงเข้าไปหาเล่าปี่แล้วว่า “อันเมืองเสฉวนนี้ก็ราบคาบอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นเจ้าเมืองเสฉวนอยู่สองคนนี้ไม่ควร ท่านจงให้เล่าเจี้ยงไปอยู่เมืองเกงจิ๋วเถิด”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ตัวเราเพิ่งได้เมืองเสฉวนและเล่าเจี้ยงก็ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี ถ้าหากให้เล่าเจี้ยงไปครองเมืองเกงจิ๋วคนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่าแกล้งขับไล่ไสส่งเล่าเจี้ยง
ขงเบ้งจึงว่า “อันเล่าเจี้ยงนั้นความคิดน้อย ทั้งเป็นคนเสียน้ำใจ แม้จะเอาไว้ในเมืองเสฉวนนี้นานไป เกลือกมีคนยุยงเล่าเจี้ยงก็จะฟังคำ ตัวท่านก็จะได้ความเคืองใจ”
เล่าปี่ได้ฟังคำเตือนสติของขงเบ้งดังนั้นก็ได้คิดว่าอันการปกครองบ้านเมืองนั้นจะให้มีอำนาจปกครองเป็นสองนั้นไม่ได้ เพราะจะเกิดความสับสนอลหม่านในการบังคับบัญชา ราชการทั้งปวงก็จะวิปริตผันแปรไป และเห็นด้วยว่าเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนหูเบาชอบเชื่อคำยุยงของคนใกล้ หากให้คงไว้ในตำแหน่งเจ้าเมืองเสฉวนดังเดิม การก็จะไม่สงบเป็นปกติสุข อาจเกิดเป็นศึกกลางเมืองขึ้นในวันข้างหน้า ทั้งตรองความแล้วก็เห็นว่าอันคำครหาของคนนั้นจะยึดถือเป็นสรณะกำหนดการบ้านเมืองมิได้ ด้วยไม่มีสิ่งใดที่จะไม่ต้องคำครหาของคน ต่อให้องค์พระปฏิมาอันงามเลิศบริบูรณ์ ก็ยังคงถูกคำคนครหาว่าถึงแม้จะงามพร้อมสรรพก็ยังพูดไม่ได้ฉะนี้
เล่าปี่ได้คิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจตามข้อเสนอของขงเบ้ง ครั้นวันรุ่งขึ้นจึงแต่งโต๊ะแล้วเชิญเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะที่ศาลาว่าราชการตามลำพังสองต่อสอง แล้วกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่าเพื่อให้แผ่นดินเมืองเสฉวนนี้เป็นปกติสุขสืบไป ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปอยู่ที่เมืองกองอั๋น ท่านจะมีความคิดเห็นประการใด
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าที่ท่านกล่าวมาดังนี้ก็ชอบด้วยประเพณีการปกครอง เพราะแผ่นดินเมืองเสฉวนนี้จะให้มีเจ้าปกครองเป็นสองนั้นมิชอบ
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แต่งตั้งให้เล่าเจี้ยงเป็นที่เจ้าเมืองกองอั๋น แล้วมอบตราตั้งสำหรับที่เจ้าเมืองแก่เล่าเจี้ยง และสั่งทหารให้เบิกเงินทองข้าวของเป็นอันมากมามอบแก่เล่าเจี้ยง แล้วว่านอกจากข้าวของทั้งนี้แล้ว ทรัพย์สมบัติใด ๆ ของท่านจงนำพาไปตามแต่ใจของท่านเถิด
เล่าเจี้ยงคำนับเล่าปี่ รับเอาตราสำหรับที่แล้วลากลับไปจัดแจงข้าวของ วันรุ่งขึ้นจึงพาครอบครัวและคนใกล้ชิดออกเดินทางไปเมืองกองอั๋นซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นต่อเมืองลำกุ๋นในแดนเมืองเกงจิ๋ว
วันต่อมาเล่าปี่จึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการทั้งปวง และเชิญขงเบ้งนั่งข้างที่ว่าราชการในฐานะที่ปรึกษาผู้ใหญ่
แล้วเล่าปี่จึงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมือง เสฉวนนั้นให้คงดำรงตำแหน่งไว้ตามเดิมทั้งสิ้น ยกเว้นหวดเจ้งแต่งตั้งให้เป็นปลัดเมือง ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองแลทหารทั้งปวงก็ให้คงตำแหน่งเดิมแต่ให้ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของเล่าปี่ทั้งสิ้น
แล้วเล่าปี่จึงตั้งให้ขงเบ้งเป็นเสนาธิการทหารสูงสุด และที่ปรึกษาทั้งด้านการทหารและพลเรือน ตั้งให้กวนอูเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ให้เตียวหุย จูล่ง อุยเอี๋ยน ฮองตง ม้าเฉียวเป็นทหารเอก ให้ซุนเขียน กันหยง บิต๊ก บิฮอง กวนเป๋ง จิวฉอง เล่าฮอง เลียวหัว ม้าเจ๊ก ม้าเลี้ยง เจียวอ้วน อีเจี้ย ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ และให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงเป็นอันมาก สำหรับกวนเป๋งและจิวฉองนั้นให้ออกไปอยู่ช่วยราชการกับกวนอูที่เมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่ได้สั่งให้เบิก “ทองห้าร้อยชั่ง เงินพันชั่ง อิแปะห้าพันหมื่น แพรอย่างดีพันพับ” และให้ทหารคุมไปบำเหน็จกวนอูที่เมืองเกงจิ๋ว ส่วนบรรดาทหารเลวก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลถ้วนหน้ากัน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงสั่งให้เปิดคลังเบิกเอาข้าวปลาอาหารแจกแก่อาณาประชาราษฎร ขุนนางและทหารทั้งปวง คนทั้งปวงเห็นแผ่นดินเป็นสุขต่างมีความยินดีปรีดาถ้วนหน้ากัน
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเก้า เดือนเจ็ด เล่าปี่ได้ครองอำนาจสมบูรณ์เหนือแคว้นเสฉวน ที่มีหัวเมืองใหญ่น้อยขึ้นต่อเป็นอันมาก กำลังทหารของกองทัพได้เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นก๊กหนึ่งที่เข้มแข็งเกรียงไกร เพรียบพร้อมด้วยทหารเอก ทหารรองครบถ้วนกระบวนทัพ
ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สองที่ขงเบ้งได้กำหนดเสนอแก่เล่าปี่แต่ครั้งที่อยู่ ณ เขาโงลังกั๋งได้บรรลุผลอย่างสมบูรณ์แล้ว ณ บัดนี้เล่าปี่ได้ลงหลักปักฐานมั่นคงในภาคตะวันตกของแผ่นดินจีนเป็นก๊กหนึ่ง ที่มีกำลังแกร่งกล้าทั้งทางการเมือง การทหาร และทางเศรษฐกิจ มีกำลังอำนาจเหนือกว่าซุนกวนแห่งก๊กง่อทางแดนใต้ และคู่คี่ก้ำกึ่งกับโจโฉแห่งก๊กเว่ยในภาคกลาง แผ่นดินจีน ณ บัดนี้จึงกลายเป็นสามก๊ก และภารกิจของยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สามก็คือการรวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นหนึ่ง.
พอกันหยงคำนับเล่าเจี้ยงตามธรรมเนียมแล้วเล่าเจี้ยงจึงเชิญให้กันหยงนั่งตามตำแหน่งของทูตต่างเมืองท่ามกลางที่ประชุมมหาสมาคมของบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและข้าราชการของเมืองเสฉวน
กันหยงได้กล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า “เล่าปี่นั้นมีใจกรุณาแก่ราษฎรเป็นอันมาก แม้ท่านตั้งใจประนอมต่อเล่าปี่โดยสุจริต เล่าปี่ก็จะมิได้ทำสิ่งใดแก่ท่าน” แล้วว่าแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ทุกวันนี้ตกอยู่ในอันตรายจากการแผ่ขยายอำนาจของโจโฉศัตรูราชสมบัติ ซุนกวนเล่าก็ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในแดนใต้ ส่วนเตียวล่อก็คอยหาโอกาสจะยกเข้ายึดเอาเมืองเสฉวน แลตัวท่านกับเล่าปี่นี้ก็ใช่อื่นไกลหากเป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านจะยอมอ่อนน้อมแก่เล่าปี่นั้นก็เหมือนหนึ่งการภายในครอบครัวคณาญาติ มีแต่จะเป็นอาณาประโยชน์แก่ราษฎรเมืองเสฉวน และด้วยกำลังอำนาจทางการทหารของเล่าปี่บัดนี้ย่อมเป็นที่หวังได้ว่าจะปกป้องรักษาเมืองเสฉวนไว้ในแผ่นดินฮั่นมิให้เป็นอันตรายได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วประกาศในท่ามกลางมหาสมาคมว่า บัดนี้เราตัดสินใจที่จะยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่ “ผู้ใดอย่าได้ขวางเราเลย เราจะทำนุบำรุงราษฎรทั้งปวงให้ได้ความสุขสืบไป บัดนี้เราจะออกไปนบนอบแก่เล่าปี่”
กล่าวแล้วเล่าเจี้ยงก็กวาดสายตามองไปทั่วท้องมหาสมาคม เห็นบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงคำนับพร้อมกันเล่าเจี้ยงก็มีความยินดี จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงต้อนรับกันหยง
ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วเล่าเจี้ยงจึงออกคำสั่งให้ทั่วทั้งเมืองเอ๊กจิ๋วประดับประดาบ้านเรือนเตรียมการต้อนรับเล่าปี่ และให้เอาตราสำหรับเมืองและสิ่งของบรรณาการทั้งปวงพาออกไปหาเล่าปี่ที่ค่าย
เล่าปี่ทราบข่าวว่าเล่าเจี้ยงกำลังพาขบวนขุนนางข้าราชการเมืองเสฉวนออกมาสวามิภักดิ์ก็มีความยินดี พาที่ปรึกษาและทหารเอก ทหารรอง ออกไปคอยต้อนรับเล่าเจี้ยงอยู่ที่หน้าค่าย ครั้นขบวนของเล่าเจี้ยงมาถึงต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงเชิญเล่าเจี้ยงเข้าไปข้างในค่าย และเชิญนั่งสนทนากัน
พอนั่งลงแล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ และกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า “ตัวเรานี้มีใจสุจริต คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขสืบไป ซึ่งมาทำการครั้งนี้เป็นความจำใจ ครั้นจะไม่ทำฉะนี้เล่า การซึ่งคิดไว้ก็จะไม่ตลอด ท่านจงเห็นแก่แผ่นดินซึ่งได้ความเดือดร้อนอยู่นี้เถิด อย่าได้ถือโทษแก่เราเลย”
เล่าปี่ยกมือขึ้นคำนับเล่าเจี้ยงอีกครั้งหนึ่ง เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นจึงกล่าวตอบว่า “ธรรมดาผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินก็จำทำเหมือนท่านนี้ ข้าพเจ้าหาถือโกรธไม่”
เล่าเจี้ยงกล่าวเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นมาหยิบเอาตราสำหรับเมืองจากทหารที่ถือตามขบวนมา และส่งมอบแก่เล่าปี่ พร้อมกับข้าวของบรรณาการทั้งปวง เล่าปี่ก็มีความยินดี รับเอาตราสำหรับเมืองและของบรรณาการจากเล่าเจี้ยง แล้วเชิญให้เล่าเจี้ยงนั่ง
เล่าเจี้ยงไม่ยอมนั่ง คำนับเล่าปี่แล้วว่าวันนี้เป็นเวลาฤกษ์ดี ขอเชิญท่านนำทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองเสฉวนให้เป็นที่อบอุ่นใจแก่ราษฎรทั้งปวงจะได้คลายกังวลว่าแผ่นดินแต่นี้ไปจะมีความสุขร่มเย็น
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงสั่งจัดแจงกองทัพทั้งปวงและยกตามเล่าเจี้ยงเข้าไปในเมืองเอ๊กจิ๋ว ราษฎรที่ประดับประดาบ้านเรือนจุดธูปเทียนคอยต้อนรับเล่าปี่อยู่ เห็นเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่เข้ามาในเมืองพร้อมกับเล่าเจี้ยง กอปรด้วยบุคลิกลักษณะสง่างามสมกับความเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งสีหน้า นัยน์ตาก็เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและเอื้ออาทรต่อราษฎรก็มีความยินดี ร้องต้อนรับเล่าปี่สืบทอดไปตลอดทาง
เล่าปี่เข้าไปถึงที่ว่าราชการเมืองเสฉวนแล้ว เล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่ขึ้นไปนั่งบนที่ว่าราชการ บรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองเสฉวนต่างมาคอยต้อนรับคำนับเล่าปี่อย่างพร้อมหน้า ขาดก็แต่อุยก๋วนและเล่าป๊าซึ่งไม่แจ้งว่าติดธุระประการใดจึงไม่เข้ามารายงานตัว
เล่าเจี้ยงได้นำบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองข้าราชการขุนนางทั้งปวงคำนับเล่าปี่ ขอยอมขึ้นต่อเล่าปี่อย่างพร้อมเพรียงกัน เล่าปี่มีความยินดีเป็นอันมากกล่าวขอบคุณคนทั้งปวง แล้วว่าขอให้ตั้งอยู่ในความสุจริตและความสงบตามตำแหน่งหน้าที่เดิมจนกว่าจะมีการจัดแจงการปกครองแผ่นดินใหม่ ขอให้ร่วมใจกันรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองไว้ให้จงดี อย่าให้เกิดความสับสนวุ่นวายหรือความตื่นตระหนกตกใจขึ้นในบ้านเมืองเป็นอันขาด แล้วปลอบประโลมว่าบรรดาหัวเมืองรอบนอกเมืองเอ๊กจิ๋วทั้งปวงนั้นบัดนี้ได้จัดแจงแต่งไว้เป็นอันดี ไม่มีอันตรายใด ๆ คนทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็นึกสรรเสริญเล่าปี่ที่รอบคอบจัดแจงการทั้งปวงโดยมิได้เกิดความเสียหายใด ๆ
ครั้นเสร็จการประชุมขุนนางข้าราชการแล้วกลุ่มนายทหารของเล่าปี่ที่ทราบว่าอุยก๋วนและเล่าป๊าไม่มายอมอ่อนน้อม จึงปรึกษากันจะไปจับตัวอุยก๋วนและเล่าป๊ามาประหาร เล่าปี่ได้ยินคำชักชวนดังนั้นจึงแสร้งสั่งว่าให้จับฆ่าเสียทั้งพี่น้องและครอบครัวบุตรภรรยาจงสิ้น
ทหารของเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงพากันออกจากศาลาว่าราชการจะไปที่บ้านอุยก๋วนและเล่าป๊า ทหารเมืองเสฉวนเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็สงสารอุยก๋วนและเล่าป๊าจึงรีบแจ้งข่าวให้สองขุนนางเมืองเสฉวนได้รับทราบ
สองนายทหารเมืองเสฉวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เรียกลูกเมียบุตรภรรยาเข้ามาพร้อมกันแล้วร้องห่มร้องไห้ด้วยเกรงว่าจะถูกทหารของเล่าปี่สังหาร แต่ไม่ทันที่จะคิดอ่านหลบหนีออกจากบ้าน ทหารของเล่าปี่ก็เข้าล้อมบ้านไว้
ในขณะที่สองนายทหารเมืองเสฉวนพร้อมบุตรภรรยาและครอบครัวกำลังตกใจกลัวความตายอยู่นั้นเล่าปี่ก็ไปถึง และร้องประกาศให้ได้ยินเข้าไปที่ข้างในบ้านว่า “อันอุยก๋วน เล่าป๊านั้นมีความสัตย์ซื่อต่อนายนัก ควรเราจะเลี้ยงสืบไป อย่าให้ทหารทั้งปวงทำอันตรายแม้แต่ด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังเราจะให้ลงโทษถึงตาย”
อุยก๋วนและเล่าป๊าคนหัวอกเดียวกันได้ฟังคำประกาศของเล่าปี่ดังนั้นก็หันมาปรึกษากันว่า ที่พวกเราคิดอ่านแข็งขืนกับเล่าปี่นี้ไม่สมควรเลย ครอบครัวเราทั้งสองถึงที่ตายสิ้นแล้ว กลับประจักษ์ถึงน้ำใจของเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีมีเมตตาแก่คนทั้งปวงสมคำที่ร่ำลือมาแต่ก่อน นี่แล้วจึงสมลักษณะนายที่พึงฝากไข้ฝากผีได้ตลอดไป
สองนายทหารเมืองเสฉวนปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงชวนกันออกไปหาเล่าปี่ คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า โทษข้าพเจ้าทั้งสองคนที่แข็งขืนไม่ยอมออกไปอ่อนน้อมผิดฉกรรจ์นัก บัดนี้สำนึกผิดแล้ว ทั้งได้ประจักษ์น้ำใจเมตตาของท่าน จึงขอยอมเป็นทาสรับใช้ท่านสืบไป
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงเข้าไปประคองให้สองนายทหารลุกขึ้น และชวนไปที่ศาลาว่าราชการ ตั้งให้ดำรงคงตำแหน่งดังเดิมทุกประการ
พอค่ำลงขงเบ้งจึงเข้าไปหาเล่าปี่แล้วว่า “อันเมืองเสฉวนนี้ก็ราบคาบอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นเจ้าเมืองเสฉวนอยู่สองคนนี้ไม่ควร ท่านจงให้เล่าเจี้ยงไปอยู่เมืองเกงจิ๋วเถิด”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ตัวเราเพิ่งได้เมืองเสฉวนและเล่าเจี้ยงก็ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี ถ้าหากให้เล่าเจี้ยงไปครองเมืองเกงจิ๋วคนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่าแกล้งขับไล่ไสส่งเล่าเจี้ยง
ขงเบ้งจึงว่า “อันเล่าเจี้ยงนั้นความคิดน้อย ทั้งเป็นคนเสียน้ำใจ แม้จะเอาไว้ในเมืองเสฉวนนี้นานไป เกลือกมีคนยุยงเล่าเจี้ยงก็จะฟังคำ ตัวท่านก็จะได้ความเคืองใจ”
เล่าปี่ได้ฟังคำเตือนสติของขงเบ้งดังนั้นก็ได้คิดว่าอันการปกครองบ้านเมืองนั้นจะให้มีอำนาจปกครองเป็นสองนั้นไม่ได้ เพราะจะเกิดความสับสนอลหม่านในการบังคับบัญชา ราชการทั้งปวงก็จะวิปริตผันแปรไป และเห็นด้วยว่าเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนหูเบาชอบเชื่อคำยุยงของคนใกล้ หากให้คงไว้ในตำแหน่งเจ้าเมืองเสฉวนดังเดิม การก็จะไม่สงบเป็นปกติสุข อาจเกิดเป็นศึกกลางเมืองขึ้นในวันข้างหน้า ทั้งตรองความแล้วก็เห็นว่าอันคำครหาของคนนั้นจะยึดถือเป็นสรณะกำหนดการบ้านเมืองมิได้ ด้วยไม่มีสิ่งใดที่จะไม่ต้องคำครหาของคน ต่อให้องค์พระปฏิมาอันงามเลิศบริบูรณ์ ก็ยังคงถูกคำคนครหาว่าถึงแม้จะงามพร้อมสรรพก็ยังพูดไม่ได้ฉะนี้
เล่าปี่ได้คิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจตามข้อเสนอของขงเบ้ง ครั้นวันรุ่งขึ้นจึงแต่งโต๊ะแล้วเชิญเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะที่ศาลาว่าราชการตามลำพังสองต่อสอง แล้วกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่าเพื่อให้แผ่นดินเมืองเสฉวนนี้เป็นปกติสุขสืบไป ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปอยู่ที่เมืองกองอั๋น ท่านจะมีความคิดเห็นประการใด
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าที่ท่านกล่าวมาดังนี้ก็ชอบด้วยประเพณีการปกครอง เพราะแผ่นดินเมืองเสฉวนนี้จะให้มีเจ้าปกครองเป็นสองนั้นมิชอบ
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แต่งตั้งให้เล่าเจี้ยงเป็นที่เจ้าเมืองกองอั๋น แล้วมอบตราตั้งสำหรับที่เจ้าเมืองแก่เล่าเจี้ยง และสั่งทหารให้เบิกเงินทองข้าวของเป็นอันมากมามอบแก่เล่าเจี้ยง แล้วว่านอกจากข้าวของทั้งนี้แล้ว ทรัพย์สมบัติใด ๆ ของท่านจงนำพาไปตามแต่ใจของท่านเถิด
เล่าเจี้ยงคำนับเล่าปี่ รับเอาตราสำหรับที่แล้วลากลับไปจัดแจงข้าวของ วันรุ่งขึ้นจึงพาครอบครัวและคนใกล้ชิดออกเดินทางไปเมืองกองอั๋นซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นต่อเมืองลำกุ๋นในแดนเมืองเกงจิ๋ว
วันต่อมาเล่าปี่จึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองขุนนางข้าราชการทั้งปวง และเชิญขงเบ้งนั่งข้างที่ว่าราชการในฐานะที่ปรึกษาผู้ใหญ่
แล้วเล่าปี่จึงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมือง เสฉวนนั้นให้คงดำรงตำแหน่งไว้ตามเดิมทั้งสิ้น ยกเว้นหวดเจ้งแต่งตั้งให้เป็นปลัดเมือง ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองแลทหารทั้งปวงก็ให้คงตำแหน่งเดิมแต่ให้ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของเล่าปี่ทั้งสิ้น
แล้วเล่าปี่จึงตั้งให้ขงเบ้งเป็นเสนาธิการทหารสูงสุด และที่ปรึกษาทั้งด้านการทหารและพลเรือน ตั้งให้กวนอูเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ให้เตียวหุย จูล่ง อุยเอี๋ยน ฮองตง ม้าเฉียวเป็นทหารเอก ให้ซุนเขียน กันหยง บิต๊ก บิฮอง กวนเป๋ง จิวฉอง เล่าฮอง เลียวหัว ม้าเจ๊ก ม้าเลี้ยง เจียวอ้วน อีเจี้ย ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ และให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงเป็นอันมาก สำหรับกวนเป๋งและจิวฉองนั้นให้ออกไปอยู่ช่วยราชการกับกวนอูที่เมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่ได้สั่งให้เบิก “ทองห้าร้อยชั่ง เงินพันชั่ง อิแปะห้าพันหมื่น แพรอย่างดีพันพับ” และให้ทหารคุมไปบำเหน็จกวนอูที่เมืองเกงจิ๋ว ส่วนบรรดาทหารเลวก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลถ้วนหน้ากัน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงสั่งให้เปิดคลังเบิกเอาข้าวปลาอาหารแจกแก่อาณาประชาราษฎร ขุนนางและทหารทั้งปวง คนทั้งปวงเห็นแผ่นดินเป็นสุขต่างมีความยินดีปรีดาถ้วนหน้ากัน
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเก้า เดือนเจ็ด เล่าปี่ได้ครองอำนาจสมบูรณ์เหนือแคว้นเสฉวน ที่มีหัวเมืองใหญ่น้อยขึ้นต่อเป็นอันมาก กำลังทหารของกองทัพได้เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นก๊กหนึ่งที่เข้มแข็งเกรียงไกร เพรียบพร้อมด้วยทหารเอก ทหารรองครบถ้วนกระบวนทัพ
ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สองที่ขงเบ้งได้กำหนดเสนอแก่เล่าปี่แต่ครั้งที่อยู่ ณ เขาโงลังกั๋งได้บรรลุผลอย่างสมบูรณ์แล้ว ณ บัดนี้เล่าปี่ได้ลงหลักปักฐานมั่นคงในภาคตะวันตกของแผ่นดินจีนเป็นก๊กหนึ่ง ที่มีกำลังแกร่งกล้าทั้งทางการเมือง การทหาร และทางเศรษฐกิจ มีกำลังอำนาจเหนือกว่าซุนกวนแห่งก๊กง่อทางแดนใต้ และคู่คี่ก้ำกึ่งกับโจโฉแห่งก๊กเว่ยในภาคกลาง แผ่นดินจีน ณ บัดนี้จึงกลายเป็นสามก๊ก และภารกิจของยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สามก็คือการรวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นหนึ่ง.