ตอนที่ 376. ชัยชนะที่ประเสริฐสุด

  เจี้ยนอันศกปีที่สิบเก้า เดือนห้า เล่าปี่ได้ม้าเฉียวซึ่งเป็นยอดทหารเสือ บุตรม้าเท้งสหายศึกเก่ามาเข้าร่วมในกองทัพ จึงทำให้กองทัพของเล่าปี่มียอดทหารเสือถึงหกคน คือกวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง อุยเอี๋ยนและม้าเฉียว และได้กำลังทหารของ ม้าเฉียวเพิ่มเติมเสริมกำลังอีกสามหมื่นคน

            ครั้นเล่าปี่พาม้าเฉียวเข้าไปในด่านแฮบังก๋วนแล้ว จึงประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วแต่งตั้งให้เบ้งตัดและงักจุ้นอยู่รักษาด่านแฮบังก๋วน ส่วนทหารนอกจากนั้นให้เตรียมการยกไปด่านกิมก๊กเพื่อเตรียมการเข้าตีเมืองเอ๊กจิ๋วต่อไป

            หลังจากนั้นอีกสองวันเป็นวันฤกษ์ดี เล่าปี่ ขงเบ้ง จึงยาตรากองทัพออกจากด่านแฮบังก๋วนตรงไปยังด่านกิมก๊ก ครั้นเคลื่อนทัพมาใกล้ด่านกิมก๊กความทราบถึงจูล่งและฮองตง สองนายทหารเสือผู้รักษาด่าน จึงพาทหารออกไปต้อนรับเล่าปี่ที่นอกด่าน แล้วรายงานให้ทราบว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้เล่าเจี้ยงได้แต่งให้เล่ายวนกับม้าฮั่นคุมทหารเป็นอันมากยกมาขัดตาทัพ จึงขออาสาพาทหารออกไปรบกับทหารเมืองเสฉวนและจะตัดศีรษะสองนายทหารเมืองเสฉวนมามอบให้แก่ท่านจงได้

            หลังจากทักทายสอบถามความเป็นไปตามสมควรแล้ว เล่าปี่ ขงเบ้ง จึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปในด่านกิมก๊ก และสั่งให้จูล่งยกทหารออกไปรบกับกองทัพเมืองเสฉวนซึ่งมาตั้งขัดตาทัพไว้นั้น และสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงต้อนรับม้าเฉียว

            จูล่งไม่ยอมเข้าร่วมในงานเลี้ยง คำนับลาเล่าปี่ออกมาจัดแจงทหารยกออกจากด่านตรงไปที่หน้าค่ายของทหารเมืองเสฉวน

            ฝ่ายเล่ายวนและม้าฮั่นทราบว่าทหารเมืองเกงจิ๋วยกออกมาท้ารบมิได้แจ้งในกำลังศึก จึงพาทหารออกจากค่ายไปตั้งขบวนเตรียมรบกับจูล่ง

            ครั้นกองทหารของทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน จูล่งจึงขี่ม้าออกมาหน้าทหาร แล้วถามว่าใครเป็นตัวนาย ให้รีบออกมาต่อสู้กัน

            เล่ายวนเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าออกไปรบกับจูล่ง เสียงกลองศึกดังขึ้นไม่ทันสิ้นเพลงที่สามจูล่งก็เอาทวนแทงเล่ายวนตกม้าตาย  แล้วตัดศีรษะเล่ายวนชูขึ้นประกาศแก่ทหารเมืองเสฉวนว่า เล่าปี่ยกกองทัพมาครั้งนี้ไม่ประสงค์จะทำลายชีวิตทหาร ผู้ใดจะยอมเข้าด้วยเล่าปี่ก็จะมีความสุขสืบไปในวันหน้า แต่ผู้ใดต้องการจะกลับไปเมืองเราก็จะปล่อยตัวให้กลับไป

            ทหารเมืองเสฉวนเห็นฝีมือรบจูล่งปราดเปรียวรวดเร็ว ตัดศีรษะเล่ายวนผู้เป็นแม่ทัพในชั่วสามเพลงรบก็พากันแตกตื่นตกใจ ครั้นได้ฟังคำประกาศของจูล่งทหารเมืองเสฉวนจำนวนมากก็คุกเข่าลงคำนับขอเข้าอยู่ด้วยกับเล่าปี่ มีเพียงจำนวนน้อยคิดถึงครอบครัวจะขอกลับไปเมือง จูล่งก็ปล่อยให้กลับไปแต่โดยดี แล้วหิ้วศีรษะเล่ายวนพาทหารกลับมาที่ด่านกิมก๊ก

            ในขณะนั้นเล่าปี่กำลังกินโต๊ะอยู่กับม้าเฉียว ถ้อยทีถ้อยโอภาปราศรัยปรารภถึงความหลังแต่ครั้งที่เล่าปี่ได้ลงนามเข้าร่วมขบวนการกำจัดโจโฉกับม้าเท้ง พลันได้ยินเสียงกลองศึกดังขึ้นและหยุดลง ครู่หนึ่งม้าเฉียวก็เห็นจูล่งหิ้วศีรษะเล่ายวนเข้ามาหาเล่าปี่ก็สะดุ้งใจ คิดว่ายอดทหารเสือของเล่าปี่ผู้นี้มีฝีมือเข้มแข็งเด็ดขาดนัก ก็มีใจนับถือเล่าปี่เพิ่มขึ้นเป็นอันมาก

            แล้วม้าเฉียวจึงกล่าวกับเล่าปี่ว่า “อันเมืองเสฉวนนั้นท่านอย่าได้ยกกองทัพไปให้ได้ความลำบากแก่ทหารทั้งปวงเลย ข้าพเจ้าจะอาสาไปว่ากล่าวกับเล่าเจี้ยงให้มาอ่อนน้อมโดยดี แม้เล่าเจี้ยงขัดแข็งอยู่ข้าพเจ้ากับม้าต้ายผู้น้องจะคุมทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนให้ท่านจงได้”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงหันมาถามขงเบ้งว่าท่านจะคิดอ่านประการใด

            ขงเบ้งจึงว่าบัดนี้ด่านกิมก๊กก็ตกอยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว หัวเมืองรอบนอกทั้งปวงก็ยอมสวามิภักดิ์สิ้นแล้ว เหลืออยู่ก็แต่เมืองเอ๊กจิ๋ว เห็นเล่าเจี้ยงจะไม่พ้นมือเรา เมืองเสฉวนจะตกแก่ท่านเป็นมั่นคง อันการเอาชัยชนะนั้นหากได้มาโดยไม่ต้องรบย่อมเป็นชัยชนะอันประเสริฐสุดเพราะมิต้องเปลืองแรงทหาร ทั้งบ้านเมืองก็ไม่ต้องถูกทำลาย ครั้นท่านได้เมืองเสฉวนแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเงินทองในการบำรุงซ่อมแต่งให้สิ้นเปลืองต่อไป จงให้ม้าเฉียวไปทำการตามความคิดก็จะสำเร็จดังประสงค์

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงให้ม้าเฉียวยกกองทัพหน้าไปเกลี้ยกล่อมเล่าเจี้ยงให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี สั่งการเสร็จแล้วม้าเฉียวก็คำนับลาเล่าปี่และขงเบ้ง งานเลี้ยงก็สิ้นสุดยุติลง

            วันรุ่งขึ้นม้าเฉียวจึงพาทหารยกออกจากด่านแฮบังก๋วนจะยกไปที่เมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเสฉวน

            ทางฝ่ายเล่าเจี้ยงครั้นทราบความศึกว่าด่านกิมก๊กเสียแก่เล่าปี่แล้วก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แต่บรรดาขุนนางที่ยังรักอำนาจวาสนาเกรงว่าหากเล่าเจี้ยงสิ้นอำนาจแล้วก็จะพลอยตกยากไปด้วย ยังคงยุยงเล่าเจี้ยงให้ตั้งหลักต่อสู้อยู่ต่อไป ต่อมาครั้นเล่าเจี้ยงได้รับทราบรายงานข่าวว่าบรรดาหัวเมืองรอบนอกทั้งปวงได้ยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่สิ้นแล้วก็ตกใจ ครั้นไต่ถามก็ยิ่งทราบว่าบรรดานายทหารเมืองเสฉวนที่เข้าอ่อนน้อมต่างยินยอมพร้อมใจอาสาเป็นกองหน้าให้กับกองทัพเล่าปี่ ซึ่งจะมีผลทางจิตวิทยาต่อการทำให้ทหารในเมืองเอ๊กจิ๋วยอมจำนนก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก

            ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังวิตกกังวลว่าจะรักษาเมืองเอ๊กจิ๋วต่อไปไม่ได้นั้น ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่าบัดนี้ม้าเฉียวได้ยกกองทัพหน้าของเล่าปี่มาถึงหน้าเมืองเอ๊กจิ๋วแล้ว ม้าเฉียวได้คุมทหารออกมาท้ารบอยู่ที่นอกคูเมือง

            เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตกใจ พาทหารขึ้นไปสังเกตการณ์บนเชิงเทิน เห็นม้าเฉียวคุมทหารเป็นอันมากยืนม้าอยู่ภายใต้ธงประจำตัวแม่ทัพกองทัพหน้าของเล่าปี่ก็พรั่นใจ

            ม้าเฉียวมองขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นเล่าเจี้ยงก็ร้องบอกให้เล่าเจี้ยงเยี่ยมหน้ามาที่ริมเชิงเทิน จะเจรจาความด้วยสักหน่อยหนึ่ง

            เล่าเจี้ยงบัดนี้เหมือนถูกมนต์สะกด ได้ฟังคำม้าเฉียวดังนั้นก็เยี่ยมหน้าออกไปที่ริมเชิงเทิน แล้วว่าท่านมีความอันใดจะว่ากล่าวก็เร่งว่ามาเถิด

            ม้าเฉียวจึงว่า “เดิมเราคุมทหารเตียวล่อไปทำสงครามกับเล่าปี่หวังจะช่วยป้องกันเมืองท่าน ฝ่ายเอียวสงยุยงเตียวล่อให้มีความสงสัยเรา เราจึงพาทหารไปอยู่ด้วยเล่าปี่ ตัวท่านจงเร่งคิดอ่านออกมานบนอบยกเมืองให้เล่าปี่โดยดี อันตรายจึงจะไม่มีถึงท่าน แลไพร่บ้านพลเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แม้ท่านขัดขวางอยู่ตัวเรานี้จะอาสาเล่าปี่ตีเอาเมืองเสฉวนให้ได้”

            เล่าเจี้ยงได้ยินเสียงม้าเฉียวสิ้นความลง เหลียวมาเห็นทหารบนเชิงเทินล้วนขวัญหนีดีฝ่อใบหน้าซีดเซียวก็ตกใจ เซมาด้านหลังได้สองก้าวก็ล้มสลบลง

            บรรดาทหารซึ่งอยู่ใกล้เล่าเจี้ยงเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ วิ่งเข้าไปช่วยกันอุ้มเล่าเจี้ยงเข้าไปที่ข้างใน แล้วช่วยกันแก้ไขจนเล่าเจี้ยงฟื้นคืนสติสมประดี แต่ยังคงมีลักษณะอ่อนระโหยโรยแรง สีหน้าซีดขาว

            เล่าเจี้ยงฟื้นได้สติแล้ว ในใจยังคงไว้ซึ่งความหวาดหวั่นพรั่นพรึงตามวิสัยของคนใจอ่อนไม่เคยเผชิญหน้ากับภยันตรายใด ๆ จึงคิดที่จะยอมอ่อนน้อมแก่เล่าปี่หวังเอาชีวิตรอด จึงให้เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการทั้งปวง และปรารภว่า “การทั้งนี้เรามิได้ตรึกตรองให้ตลอดก่อนจึงเสียที บัดนี้ครั้นจะคิดอ่านสู้รบเล่า การก็จวนตัวถึงเพียงนี้ เราเอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรหวังจะมิให้ได้ความเดือดร้อน คิดจะออกไปนบนอบยกเมืองให้เล่าปี่ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด”

            บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้ฟังคำเล่าเจี้ยงปรารภแบบคนปลงตกดังนั้นต่างพากันเงียบเสียง ไม่ยอมออกความคิดเห็นประการใด

            มีแต่ตั๋งโหที่ปรึกษาฝ่ายบู๊เห็นคนทั้งปวงนิ่งเงียบจึงก้าวออกไปข้างหน้า คำนับเล่าเจี้ยงแล้วว่า ท่านจะคิดอ่อนน้อมยอมจำนนนั้นไม่สมควร เพราะทหารในเมืองเราก็มีอยู่กว่าสามหมื่นคน ข้าวปลาอาหารเล่าก็บริบูรณ์ เพียงพอที่จะเลี้ยงกองทัพไปได้ถึงปีเศษ ขอให้ตั้งรับอยู่แต่ในเมืองก็จะป้องกันรักษาเมืองเอาไว้ได้

            เล่าเจี้ยงได้ฟังคำตั๋งโหแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่าเราได้สืบทอดปกครองเมืองเสฉวนจากบิดา นับแต่ครั้งบิดามาถึงวันนี้เป็นเวลายี่สิบสามปีแล้ว อาณาประชาราษฎรได้รับความร่มเย็นเป็นสุขถ้วนหน้ากัน มิได้เดือดร้อนขุ่นข้องแต่ประการใด มาบัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมากวาดต้อนเอาหัวเมืองรอบนอกเข้าไว้ในอำนาจจนหมดสิ้น และยกล่วงมาประชิดถึงประตูเมืองเอ๊กจิ๋ว อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาสามปีแล้ว

            เล่าเจี้ยงกล่าวสืบไปว่าอันความทุกข์ของประชาชนคือความทุกข์ของตัวเรา ดุจหนึ่งฝีกลัดหนองอยู่ในอก หวาดวิตกต่อเนื่องมาถึงสามปี เป็นที่ทุกข์ทรมานใจ เล่าปี่ยกมาบัดนี้มีขงเบ้งเป็นที่ปรึกษา มีภูมิปัญญาวิชาคุณครอบฟ้าคลุมดิน ทั้งทหารเอกก็มีเป็นจำนวนมาก ทหารเลวทั้งของเล่าปี่และที่เข้าสวามิภักดิ์ใหม่ก็มีเป็นจำนวนมาก เกินกำลังทหารสามหมื่นในเมืองที่จะตั้งรับได้ ถึงจะขัดขืนต่อสู้กับเล่าปี่เห็นจะไม่มีทางได้รับชัยชนะ รังแต่จะเกิดความเดือดร้อนแก่ราษฎรทั้งปวง

            เล่าเจี้ยงกล่าวสิ้นคำลงก็มองไปที่เจาจิ๋วโหราจารย์ประจำเมืองเสฉวน แล้วถามว่าท่านจะมีความเห็นเป็นประการใด

            เจาจิ๋วก้าวออกมาข้างหน้า คำนับเล่าเจี้ยงแล้วว่า ดำริของท่านที่จะอ่อนน้อมต่อเล่าปี่นั้นสอดคล้องกับลิขิตสวรรค์ “ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นหายไป มีดาวดวงใหญ่ขึ้นแทนที่ รัศมีสว่างดังพระจันทร์ มีดาวน้อยล้อมเป็นบริวารอยู่หลายดวง แล้วข้าพเจ้าได้ยินเด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนฮัมเพลงเล่นว่า แม้ผู้ใดจะใคร่กินข้าวใหม่ จงคอยให้เจ้าใหม่มาครองเมืองเถิด ก็จะได้กินสมความคิด”

            เจาจิ๋วกล่าวความแล้วก็คำนับเล่าเจี้ยงและถอยกลับเข้ามายืนในตำแหน่งเดิม ในทันใดนั้นอุยก๋วนและเล่าป๊าขุนนางฝ่ายบู๊ได้ชักกระบี่ตรงเข้ามาหาเจาจิ๋ว แล้วว่าท่านยกเอาเรื่องเดือนดารามาหลอกลวงนายเราดังนี้ไม่ชอบ หรือว่าท่านทำการเป็นไส้ศึกให้แก่เล่าปี่ กล่าวแล้วก็เงื้อกระบี่จะสังหารเจาจิ๋ว

            เล่าเจี้ยงเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ร้องสั่งอุยก๋วนและเล่าป๊าให้หยุด และสั่งให้กลับเข้าไปยืนในที่เดิม แล้วว่าอันการในเมืองเสฉวนนี้เป็นเรื่องที่เราตัดสินใจด้วยตนเอง ท่านทั้งสองอย่าเพ่อวุ่นวายไป

            ในทันใดนั้นก็มีทหารรักษาการณ์วิ่งเข้ามาคำนับเล่าเจี้ยงแล้วรายงานว่าบัดนี้เคาเจ้งซึ่งเป็นปลัดเมืองได้ลอบหนีออกจากเมืองเอ๊กจิ๋ว พาสมัครพรรคพวกออกไปสวามิภักดิ์กับเล่าปี่แล้ว

            เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งเสียใจ ร้องไห้ และโบกมือให้เลิกประชุม แล้วเดินกลับเข้าไปที่ข้างใน บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงพากันเดินก้มหน้าออกจากที่ประชุม ต่างคนต่างหมดกำลังใจท้อแท้

            ครั้นวันรุ่งขึ้นทหารรักษาการณ์ได้ไปรายงานแก่เล่าเจี้ยงว่าบัดนี้ทหารรักษาการณ์บนเชิงเทินได้รายงานความศึกเข้ามาว่า เล่าปี่ได้ยกกองทัพหลวงมาจากด่านแฮบังก๋วน แล้วตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้แล้วอย่างหนาแน่น และให้กันหยงเป็นทูตมาเจรจาความกับท่าน บัดนี้รออยู่ที่ประตูด้านหน้าเมือง

            เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไปบอกนายประตูเมืองให้เปิดประตูรับกันหยงเข้ามาในเมืองตามธรรมเนียม

            กันหยงทูตของเล่าปี่ขี่เกวียนนำหน้าตามหลังด้วยขบวนทหารองครักษ์ตามประเพณี ได้เดินทางเข้าประตูเมืองตามทหารของเล่าเจี้ยงจะไปที่ศาลาว่าราชการ ในขณะที่ขบวนของกันหยงผ่านประตูเมืองเข้ามาได้ไม่ทันนาน จิ๋นปีทหารเมืองเสฉวนซึ่งมานำขบวนเห็นกันหยงขี่เกวียนเข้าไปในเมืองจึงสำคัญว่ากันหยงดูหมิ่นศักดิ์ศรีของทหารเมืองเสฉวนก็โกรธ ชักกระบี่กวัดแกว่งวิ่งเข้าไปที่ขบวนของกันหยง แล้วร้องว่าตัวมึงเป็นทูตหัวเมืองบ้านนอก บังอาจขี่เกวียนเข้ามาถึงในเมืองเสฉวน มิเป็นการดูหมิ่นว่าทหารในเมืองเสฉวนนี้ไม่มีคนดีมีฝีมือหรือไฉนจึงโอหังบังอาจฉะนี้

            ทหารนำขบวนของเมืองเสฉวนและทหารองครักษ์ของกันหยงเห็นดังนั้นจึงเข้าสกัดกั้นจิ๋นปีไว้ กันหยงเห็นเหตุการณ์ปลอดภัยแล้วจึงลงจากเกวียน ค้อมศีรษะลงคำนับจิ๋นปี แล้วว่า “ข้าพเจ้าประมาทไปจึงขี่เกวียนเข้ามาถึงในเมือง ท่านอย่าได้ถือโทษเลย”

            จิ๋นปีก็สมเป็นชายชาติทหาร ครั้นได้ยินคำขอสมาลาโทษจากกันหยงผู้เป็นทูตมาแต่เล่าปี่ ที่โกรธแค้นก็ค่อยคลายลง กันหยงจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนและลงเดินเท้าตามขบวนไป

            กันหยงได้ตามทหารนำขบวนเข้าไปที่ศาลาว่าราชการ เห็นเล่าเจี้ยงนั่งรออยู่บนที่ว่าราชการจึงเข้าไปคำนับตามธรรมเนียม.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘