ตอนที่ 375. ลมลิ้นรัดใจ

 เตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งหลงคำที่ปรึกษาซึ่งรับสินบนจากเล่าปี่ เรียกกองทัพม้าเฉียวกลับแล้วตั้งเงื่อนไขที่ปฏิบัติไม่ได้ พอม้าเฉียวจะยกกองทัพกลับก็เกิดข่าวลือว่าจะยกมาทำร้ายเตียวล่อ ทำให้ม้าเฉียวเข้าแดนฮันต๋งไม่ได้ จะอยู่ที่เดิมต่อไปก็ขัดคำสั่งเตียวล่อ เหตุการณ์เป็นทีแล้วขงเบ้งจึงคิดจะออกไปเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวด้วยตนเอง แต่ประจวบเหมาะลิอิ๋นขุนนางเมืองเสฉวนถือหนังสือแนะนำของจูล่งเข้ามาสวามิภักดิ์

            ครั้นลิอิ๋นได้ฟังคำถามของเล่าปี่ที่สงสัยว่าเหตุใดจึงมาสวามิภักดิ์จึงว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่าธรรมดานกแม้จะทำรังอาศัย ก็ให้ดูต้นไม้อันร่มชิดจึงจะได้อยู่เป็นสุข อนึ่งเกิดมาเป็นชายก็ให้พึงพิเคราะห์ดูเจ้านายอันมีน้ำใจโอบอ้อมอารีจึงเข้าอยู่ด้วยจะได้มีความสุขสืบไป แลตัวข้าพเจ้าเป็นบ่าวกินข้าวแดงของเล่าเจี้ยง ข้าพเจ้าจึงห้ามตามสติปัญญาเพราะมีใจกตัญญู เมื่อเล่าเจี้ยงมิฟังคำแล้วข้าพเจ้าก็มีความน้อยใจ ครั้นจะอยู่ด้วยสืบไปก็จะพลอยเป็นอันตรายด้วย บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าท่านมีใจอารีกว้างขวาง บรรดาชาวเมืองเสฉวนมีใจรักใคร่ท่านเป็นอันมาก อันการทั้งปวงซึ่งท่านคิดทำนั้นเห็นจักสำเร็จเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจึงลอบหนีมาสมัครอยู่ด้วยท่าน”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ยอมรับเอาลิอิ๋นเข้าเป็นข้าราชการเมืองเกงจิ๋วในตำแหน่งที่ปรึกษา แล้วถามว่าซึ่งท่านมาขออยู่ด้วยเรานี้ จะช่วยเราคิดอ่านประการใดให้เป็นความชอบไว้แก่ตัวบ้างเล่า

            ลิอิ๋นจึงว่าก่อนแต่จะเดินทางมาที่นี่ ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือว่าบัดนี้ม้าเฉียวผู้บุตร ม้าเท้งได้เลิกทัพกลับจากด่านแฮบังก๋วนแล้ว แต่จะเข้าไปเมืองฮันต๋งก็ไม่ได้ ครั้นจะถอยกลับมาก็ไม่ได้ ม้าเฉียวจึงเข้าตาจน ไม่รู้ที่จะทำประการใด แลม้าเฉียวกับข้าพเจ้านี้ได้รู้จักใกล้ชิดสนิทสนมมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าขออาสาท่านไปเจรจาว่ากล่าวให้ม้าเฉียวยอมเข้าสวามิภักดิ์ทำราชการด้วยท่าน จะเป็นกำลังแก่ท่านสืบไปในภายหน้า

            เล่าปี่ได้ยินความดังนั้นก็มีความยินดี เพราะหลังจากที่ได้ทักท้วงขงเบ้งไม่ให้เดินทางไปเกลี้ยกล่อมม้าเฉียวแล้ว ความปรารถนาจะได้ตัวม้าเฉียวก็ยังกรุ่นอยู่ในหัวอก พอได้ยินความต้องด้วยความปรารถนาดังนั้นเล่าปี่ก็มีสีหน้าที่ระรื่น พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย พลางหันมามองขงเบ้งเป็นทีถามความคิดเห็น

            ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงหันไปกล่าวกับลิอิ๋นว่าซึ่งท่านกล่าวมาทั้งนี้สอดคล้องกับเหตุการณ์พอดี เรากำลังคิดอ่านหาผู้มีสติปัญญาไปเจรจาเกลี้ยกล่อมม้าเฉียว เมื่อท่านอาสาดังนี้ดีนักหนา จงรีบเดินทางไปทำการให้สำเร็จดังความคิดนั้นเถิด

            ลิอิ๋นจึงคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับออกไป พาทหารคนสนิทสิบสองคนขี่ม้าเดินทางไปที่กองทัพของม้าเฉียวใกล้แดนเมืองฮันต๋ง ครั้นไปถึงกองทัพของม้าเฉียวแล้วลิอิ๋นจึงแจ้งความให้ทหารรักษาการณ์เข้าไปรายงานแก่ม้าเฉียวว่าลิอิ๋นผู้เป็นสหายเก่ามาขอพบ

            ครั้นม้าเฉียวได้ฟังรายงานของทหารรักษาการณ์แล้วสำคัญว่าลิอิ๋นยังคงเป็นขุนนางเมืองเฉสวนอยู่ จึงคิดว่าลิอิ๋นผู้นี้แม้เป็นเพื่อนอันสนิทแต่ก็ช่างเจรจาหว่านล้อม การเดินทางมาของลิอิ๋นน่าจะเป็นการเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์แก่เล่าเจี้ยง เท่ากับเป็นการหว่านล้อมให้ทรยศต่อเตียวล่อ ม้าเฉียวสำคัญดังนั้นจึงไม่พอใจ สั่งทหารรักษาการณ์ให้จัดแจงมือสังหารยี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือ และให้ซ่อนตัวอยู่รอบค่ายพัก ถ้าหากได้ยินคำสั่งว่าให้ลงมือก็ให้ยกออกมาฆ่าลิอิ๋นเสีย

            เมื่อสั่งการเสร็จแล้วม้าเฉียวจึงสั่งทหารให้ออกไปเชิญลิอิ๋นเข้ามาพบ แล้วถามขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าท่านเดินทางมาพบเราครั้งนี้ด้วยประสงค์สิ่งใด

            ลิอิ๋นเป็นเพื่อนสนิทของม้าเฉียวมาแต่ก่อน รู้ใจม้าเฉียวดีว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมเล่นเล่ห์กระเท่ห์ด้วยลิ้นลม  ทั้งได้เห็นสีหน้าของม้าเฉียวบึ้งตึงทะมึนอยู่ก็หวั่นใจ จึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าข้าพเจ้าเดินทางมาครั้งนี้ด้วยปรารถนาจะเกลี้ยกล่อมท่าน

            ม้าเฉียวเป็นคนตรงไปตรงมา พอได้ยินคำตอบที่ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมผิดคาดหมายก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่าท่านจะมาเกลี้ยกล่อมเราประการใดให้ว่ามาตามตรง มิฉะนั้นแล้วกระบี่ซึ่งเพิ่งชำระล้างใหม่ ๆ ในมือข้าพเจ้านี้ก็พร้อมที่จะปลิดศีรษะท่าน

            ลิอิ๋นรู้น้ำใจเพื่อนเป็นอย่างดี มิได้สะทกสะท้าน พลันแหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะแล้วว่า “บัดนี้เราเห็นว่าภัยมาถึงตัวท่าน เราจึงมาช่วยหวังจะให้พ้นภัย ท่านกลับว่าจะเอากระบี่นั้นลองศีรษะเราอีกเล่า แลกระบี่ของท่านซึ่งชำระไว้นั้นเห็นจะไม่ได้ลองศีรษะเรา จะมีผู้อื่นเอาลองศีรษะท่าน”

            แทนที่ลิอิ๋นจะกล่าวความเกลี้ยกล่อมซึ่งจะเป็นการยั่วยุความขุ่นแค้นขัดเคืองใจของม้าเฉียว ซึ่งเตรียมตัวที่จะประหัตประหารลิอิ๋นอยู่ก่อนแล้ว ลิอิ๋นกลับทวงเอาบุญคุณว่าการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะช่วยเหลือม้าเฉียวให้รอดจากอันตราย ซึ่งผิดจากความคาดหมายของม้าเฉียวอีกครั้งหนึ่ง

            ม้าเฉียวได้ยินความพลิกพลิ้วพ้นความหยั่งคาดดังนั้นก็สงสัย จึงถามว่าภัยใด ๆ ตามคำกล่าวของท่านนี้เรายังแลไม่เห็น

            ลิอิ๋นกล่าวสวนกลับมาในทันใดนั้นว่า “อันหญิงรูปงามถึงจะเอาเครื่องอันชั่วเข้านุ่มห่มเข้า ใช่รูปนั้นจะหายงามไปก็หามิได้ ฝ่ายหญิงรูปชั่วเล่า แม้จะเอาเครื่องนุ่มห่มอันดีเข้าประดับเข้า ใช่รูปนั้นจะงามขึ้นก็หามิได้ เป็นแต่ชูสีหน้าขึ้นหน่อยหนึ่ง อันดวงอาทิตย์นั้นถ้าถึงกำหนดเที่ยงเมื่อใดรัศมีนั้นกล้าร้อนนัก อันพระจันทร์เล่าก็มีแสงสว่างบริสุทธิ์เมื่อวันเพ็ญ ครั้นแรมลงรัศมีนั้นก็โรยร่วงทุกวัน อันนี้เป็นธรรมดาโลกบุรุษ บัดนี้ตัวท่านยังหนุ่มอยู่เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญแลพระอาทิตย์เมื่อเที่ยง ทั้งรูปก็สมเป็นทหารพอจะคิดการศึกสืบ ๆ ไป ฝ่ายโจโฉซึ่งฆ่าบิดาท่านเสีย ท่านก็ตั้งใจจะแก้แค้นให้ได้ อันตัวท่านทั้งนี้สิ้นคิดคับอกอยู่ ครั้นจะไปหาเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนก็ไม่ได้ ข้างเอียวสงเล่าก็ยุยงเตียวล่อ เตียวล่อก็ให้ทหารมาตั้งขัดทัพอยู่หลายตำบล ท่านจะเข้าไปแจ้งเนื้อความให้เตียวล่อเห็นจริงก็ขัดสน ครั้นท่านจะคิดอ่านตีกองทัพเล่าปี่ให้แตกไปจะได้เป็นความชอบในเตียวล่อก็ไม่ได้ เมื่อท่านเข้าอยู่ในระหว่างกองเพลิงฉะนี้ จะคิดอ่านประการใด เราเห็นว่าซึ่งท่านจะตั้งขึงอยู่ดังนี้ภัยก็จะมีมาถึงท่านเป็นมั่นคง ครั้งท่านไปรบตำบลแม่น้ำอุยโหเสียทีโจโฉมานั้นก็ได้ความลำบากนัก ครั้งนี้ถึงมาตรว่าท่านจะไม่ตาย เราเห็นว่าจะได้ความอัปยศยิ่งกว่าครั้งนั้นอีก จะดูหน้าคนก็ไม่เต็มตา เราจึงมาช่วยว่ากล่าวเพราะเหตุนี้”

            ลิอิ๋นแทนที่จะเจรจาว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมใด ๆ กลับกล่าวความจำแนกแจกแจงสถานการณ์อันกระจ่างตรงกับความในหัวอกของม้าเฉียวซึ่งกำลังอับจนสิ้นคิด กระทบใจม้าเฉียวหนักหน่วงรุนแรงยิ่ง ความคิดที่จะฆ่าลิอิ๋นในกรณีที่เกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนไม่สมคิด เพราะลิอิ๋นไม่ได้กล่าวความเกลี้ยกล่อมแม้แต่สักคำเดียว คงกล่าวแต่ความปรารถนาดีและชี้ให้เห็นทางที่อับจนอย่างชัดเจน ทำให้ม้าเฉียวคิดว่าเมื่อลิอิ๋นจำแนกแจกแจงสถานการณ์ด้านอับจนกระจ่างแล้ว ก็อาจมีหนทางออกอันประเสริฐ

            เมื่อคิดได้ดังนั้นม้าเฉียวก็คลายความตั้งใจเดิมลง โยนกระบี่ในมือลงที่พื้น และลุกขึ้นจากที่นั่งคำนับลิอิ๋นตามธรรมเนียม แล้วว่าความอันท่านได้แสดงกระจ่างแจ้งนัก ตัวข้าพเจ้านี้อับจนความคิดจริงตามคำท่าน ขอท่านจงชี้ทางสว่าง พาข้าพเจ้าออกจากที่มืดนั้นเถิด

            ลิอิ๋นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าตัวท่านกับข้าพเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่ก่อน คำแนะนำเพียงเท่านี้มิได้เป็นที่หนักหนาประการใด ลิอิ๋นกล่าวแล้วเหลียวหน้ามองไปโดยรอบค่าย แล้วกล่าวสืบไปว่าตัวท่านจะปรึกษาขอความคิดจากข้าพเจ้า แล้วไฉนจึงให้ทหารถืออาวุธเตรียมการจะสังหารข้าพเจ้าด้วยเล่า

            ม้าเฉียวได้ฟังคำลิอิ๋นก็ได้คิด ยิ้มด้วยใบหน้าเจื่อน ๆ แล้วออกคำสั่งให้ทหารที่ถืออาวุธอยู่โดยรอบให้ถอยกลับออกไป

            ลิอิ๋นเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “เล่าปี่นั้นเป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทั้งมีน้ำใจโอบอ้อมอารี กว้างขวางคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข อนึ่งม้าเท้งบิดาท่านเมื่อครั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋นั้นก็ได้ร่วมคิดกันกับเล่าปี่ว่าจะช่วยกันคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย การนั้นยังไม่สำเร็จ บัดนี้ตัวท่านก็เข้าตาจนอยู่ ถ้าจะสมัครไปอยู่ด้วยเล่าปี่ช่วยคิดอ่านทำการกำจัดโจโฉเสีย ท่านก็จะได้คลายความแค้นด้วย ทั้งชื่อเสียงท่านก็จะปรากฏไปภายหน้า”

            ม้าเฉียวนั้นแม้อายุยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่เป็นยอดทหารเสือเลือดกตัญญู ถือเอาภารกิจในการล้างแค้นแทนม้าเท้งผู้บิดาเป็นภารกิจหลักของชีวิต ครั้นได้ฟังลิอิ๋นแสดงทางตันอย่างชัดแจ้ง และแสดงทางออกอย่างชัดเจนว่าเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์แต่ใช่คนอื่นไกล หากเป็นสหายศึกที่ร่วมก่อการเป็นขบวนการกำจัดโจโฉผู้เป็นศัตรูราชสมบัติมาด้วยกัน และยังยืนหยัดในอุดมการณ์ที่จะกำจัดโจโฉสืบไป จึงรัดร้อยรึงใจของม้าเฉียวให้เห็นจริงไปตามคำ

            ม้าเฉียวเห็นทางออกสว่างไสวเป็นไปเพื่อความกตัญญูที่จะได้ล้างแค้นแทนบิดา และจะได้ร่วมการกับสหายศึกของบิดาก็มีความยินดียิ่งนัก ตรงเข้ามาจับมือทั้งสองของลิอิ๋นแล้วว่า พระคุณท่านที่ชี้หนทางอันสว่างให้ครั้งนี้หาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะทำตามคำท่านเพื่อล้างแค้นแทนบิดาให้จงได้ ว่าแล้วม้าเฉียวก็ถอยออกมาคำนับลิอิ๋น ลิอิ๋นก็รับคำนับตามธรรมเนียม

            พอคำนับลิอิ๋นแล้วม้าเฉียวก็รำลึกถึงเอียวเป๊กที่ปรึกษาของเตียวล่อ ซึ่งมีความแหนงใจมาแต่ก่อน และกำกับมาในกองทัพด้วยว่าเมื่อตัวเราคิดจะเข้าด้วยเล่าปี่แล้ว ชอบที่จะประหารเอียวเป๊กเสีย

            คิดดังนั้นม้าเฉียวจึงสั่งทหารให้ไปเรียกเอียวเป๊กมาที่ค่าย พอเอียวเป๊กมาถึง ม้าเฉียวก็ให้ทหารเข้าจับตัวเอียวเป๊ก และให้เอาไปตัดศีรษะเสีย

            จากนั้นม้าเฉียวจึงจัดแจงกองทัพเคลื่อนกลับไปที่ด่านแฮบังก๋วนพร้อมกับลิอิ๋น

            ครั้นกองทัพม้าเฉียวเคลื่อนมาใกล้ด่านแฮบังก๋วน ลิอิ๋นจึงให้ม้าเร็วรีบเข้าไปแจ้งข่าวให้เล่าปี่ทราบ

            เล่าปี่ทราบข่าวก็มีความยินดี จัดแจงทหารองครักษ์ห้าสิบคน และเชิญขงเบ้งขี่ม้าออกไปต้อนรับม้าเฉียวที่นอกประตูด่าน พอเห็นม้าเฉียวขี่ม้านำหน้าทหารเคียงคู่มากับลิอิ๋น เล่าปี่ก็ยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยนแต่ไกล

            พอม้าเฉียวขี่ม้าเข้ามาใกล้ก็รีบลงจากหลังม้า เดินเข้ามาคำนับเล่าปี่พร้อมกับลิอิ๋น แล้วว่า “ซึ่งข้าพเจ้าได้มาอยู่ด้วยท่านผู้มีสติปัญญานี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุปมาเหมือนอยู่ที่มืดมีผู้นำมาให้ถึงที่สว่าง แลการสิ่งใดของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะอาสาไปตามสติปัญญากว่าจะสิ้นชีวิต”

            เล่าปี่จึงว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเห็นหน้าท่าน ใจก็หวนรำลึกถึงม้าเท้งสหายศึกที่ได้ร่วมคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติมาด้วยกัน อยากจะเข้าไปหาทักทายท่านเพราะมีความรู้สึกประหนึ่งลูกหลาน บัดนี้ได้ท่านมาอยู่ทำการด้วยแล้วอย่าได้คิดเป็นอื่น ขอให้มาร่วมงานกำจัดศัตรูราชสมบัติ ล้างแค้นแทนบิดาของท่าน ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสืบไป

            ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คุกเข่าลงคำนับเล่าปี่ ในขณะที่ใจก็หวนรำลึกถึงม้าเท้งผู้บิดา ความแค้นประดังขึ้นในอก ม้าเฉียวก็ร้องไห้ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงลงจากหลังม้าก้มลงประคองม้าเฉียวให้ลุกขึ้น แล้วว่าความแค้นในใจท่านก็เหมือนหนึ่งความแค้นในใจเรา อันชายชาติอาชาไนยจะพลีน้ำตาให้เสียเปล่าไปไย จงตั้งใจทำราชการให้สำเร็จเถิด

            ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีใจนับถือศรัทธาเล่าปี่เป็นอันมาก จากนั้นเล่าปี่จึงแนะนำให้ม้าเฉียวรู้จักขงเบ้ง ม้าเฉียวได้ยินกิตติศัพท์ของขงเบ้งมาแต่ก่อนก็คุกเข่าลงคำนับขงเบ้ง ขงเบ้งรับคำนับตามธรรมเนียมแล้วลงจากหลังม้าประคองม้าเฉียวให้ลุกขึ้น แล้วพากันกลับเข้าไปในด่านแฮบังก๋วน

            ทางฝ่ายซุนเขียนไปร่วมคบคิดอยู่กับเอียวสงที่เมืองฮันต๋ง ครั้นได้ทราบข่าวว่าม้าเฉียวเข้าสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่แล้วก็มีความยินดี จึงคำนับลาเอียวสง แล้วว่าพระคุณอันท่านได้ช่วยเหลือครั้งนี้จะมิมีวันลืมเลือน วันเวลาข้างหน้าหวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วซุนเขียนก็ลาเอียวสงกลับไปด่านแฮบังก๋วน รายงานความให้เล่าปี่ทราบทุกประการ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘