ตอนที่ 373. ศึกยอดทหารเสือ
เพราะเหตุที่เล่าปี่ให้งานเหมาะกับคน และใช้คนสมกับงาน จึงทำให้เล่าปี่สามารถได้ด่านกิมก๊กซึ่งเป็นด่านสำคัญโดยมิพักต้องรบให้เปลืองแรงทหาร แต่ขณะที่เตรียมการจะยกไปตีเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเสฉวนก็ทราบข่าวว่าเตียวล่อให้ม้าเฉียวยกมาตีด่านแฮบังก๋วน ขงเบ้งจึงจัดแจงกองทัพให้เล่าปี่ เตียวหุยและอุยเอี๋ยนยกหนุนไปช่วยด่านแฮบังก๋วน เล่าปี่เห็นม้าเฉียวบุตรม้าเท้งสหายศึกก็มีใจยินดี เอ่ยปากชมรูปลักษณ์ของม้าเฉียวเป็นอันมาก
เตียวหุยได้ฟังคำที่เล่าปี่เอ่ยปากชมม้าเฉียว จึงเข้ามาจับแขนเล่าปี่แล้วว่า อันฝีมือม้าเฉียวนั้นเป็นแต่พอประมาณดอก ข้าพเจ้าขออาสาออกไปรบจับตัวม้าเฉียวให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าเจ้าจะวู่วามเร่งร้อนไปไย เวลานี้ยังเช้าอยู่ ทหารม้าเฉียวยกมายังกระชุ่มกระชวย จงรั้งรอจนถึงเวลาบ่าย ให้ทหารม้าเฉียวอ่อนล้าอิดโรยก่อนแล้วค่อยยกออกไปรบ
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับคำเล่าปี่ ภายในด่านแฮบังก๋วนจึงตั้งสงบนิ่งคอยทีศึกอยู่
ม้าเฉียวให้ทหารร้องท้าทายให้ข้างในด่านยกทหารออกมารบกัน แต่ไม่มีเสียงขานตอบและไม่มีทหารในด่านยกออกมารบก็วุ่นวายใจ ให้ทหารร้องด่าเป็นข้อหยาบช้านานาประการ เตียวหุยได้ยินเสียงด่าก็โกรธ “ประหนึ่งจะทะยานออกไปกินเนื้อม้าเฉียวเสีย แต่หากเกรงเล่าปี่อยู่จึงอุตส่าห์สะกดใจไว้”
ม้าเฉียวเห็นทหารข้างในด่านไม่ยอมยกออกมารบก็ยิ่งโกรธ สั่งทหารให้จัดเวรผลัดเปลี่ยนเข้าไปร้องด่าที่หน้าด่าน ด่าว่าด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาททหารภายในด่านแฮบังก๋วนว่าขี้ขลาดตาขาวราวกับเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายข้างในด่านก็ยังสงบนิ่งอยู่
เล่าปี่สังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินจนถึงเวลาบ่าย เห็นทหารม้าเฉียวอ่อนล้าอิดโรย บ้างนั่ง บ้างเอนตัว บ้างล้มตัวลงนอน ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยตามวินัยทัพ จึงสั่งให้เตียวหุยจัดทหารห้าร้อยยกออกไปรบกับม้าเฉียว
เตียวหุยได้รับคำสั่งก็ดีใจ รีบคุมทหารยกออกจากด่านตรงไปที่ม้าเฉียว ฝ่ายม้าเฉียวเห็นเตียวหุยยกทหารออกมาก็โบกธงเป็นสัญญาณให้ทหารทั้งปวงถอยกลับไปด้านหลัง เตรียมการที่จะต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก
เตียวหุยขี่ม้าตรงมาที่หน้าม้าเฉียว แล้วร้องว่าตัวเรานี้ชื่อเตียวหุย ม้าเฉียวมึงรู้จักกูหรือไม่ กล่าวแล้วเตียวหุยก็เขย่าทวนในมืออย่างคึกคะนอง
ม้าเฉียวได้ฟังคำเตียวหุยและเห็นกิริยาท่าทีดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า ตัวกูนี้เป็นบุตรขุนนางสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เหตุใดจะต้องไปรู้จักมึงซึ่งเป็นชาติบ้านนอกต่ำช้าทรพลด้วยเล่า
เตียวหุยได้ฟังคำดูหมิ่นดังนั้นก็โกรธ กระตุ้นม้าปรี่เข้ารบกับม้าเฉียว ม้าเฉียวเห็นเตียวหุยกรายทวนเข้ามาก็กระทืบโกลนม้าเข้ารบกับเตียวหุยอย่างดุเดือด
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ด้วยเพลงทวนบนหลังม้าอย่างแคล่วคล่องว่องไว งามสง่าราวทหารเทพยดาต่อสู้กัน ทหารของทั้งสองฝ่ายเห็นตัวนายสู้รบกันอย่างดุเดือดแคล่วคล่องว่องไวดังนั้นก็พากันโห่ร้องสนับสนุนตัวนายของแต่ละฝ่ายกึกก้องทั้งท้องทุ่ง
เพลงรบของทั้งสองฝ่ายเยื้องกรายไปมา รวดเร็วเฉียบขาด แต่หนักหน่วงจนผ่านไปถึงร้อยเพลง ก็ไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำเสียที
เล่าปี่ยืนสังเกตการรบอยู่บนเชิงเทิน เห็นสองทหารเสือสู้รบกันเป็นที่สำราญตาก็มีความเบิกบานใจยิ่งนัก อุทานขึ้นอย่างลืมตัวว่าช่างสู้รบกันแคล่วคล่องว่องไว สมเป็นยอดทหารเสือ กระไรหนอเราจะได้ตัวม้าเฉียวไว้
พอสิ้นคำอุทานเล่าปี่ก็ได้คิดว่าหากสู้รบกันต่อไป แม้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีก็จะเสียยอดทหารเสือไปคนหนึ่ง คำนึงดังนั้นแล้วเล่าปี่จึงให้ตีม้าล่อเรียกเตียวหุยกลับเข้าด่าน
สองทหารเสือกำลังสู้รบกันอย่างคึกคัก ครั้นได้ยินเสียงสัญญาณจากในด่านให้พักรบ ต่างฝ่ายต่างสมกับเป็นชายชาติทหาร และมีจิตใจเป็นสุภาพบุรุษ จึงต่างชักม้าแล้วพากันถอยกลับไปยังที่ตั้งของตน
เตียวหุยกลับเข้าไปในด่านแล้วถอดเสื้อเกราะออกจากตัว นั่งพักให้คลายร้อนอยู่ครู่หนึ่ง จึงขึ้นม้าพาทหารยกออกไปนอกด่านอีกคำรบหนึ่ง ม้าเฉียวพักรบเพื่อให้คลายร้อน พอเห็นเตียวหุยขี่ม้าออกมาท้ารบดังนั้น จึงขี่ม้าตรงเข้าหาเตียวหุย
ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันบนหลังม้าอีกหลายเพลง ในขณะที่ม้าเฉียวนั้นแต่งตัวใส่เสื้อเกราะเต็มกระบวนรบ แต่เตียวหุยกลับสู้รบโดยไม่ใส่เสื้อเกราะ
เล่าปี่ได้ยินเสียงกลองศึกดังขึ้นที่นอกด่านอีกคำรบหนึ่งจึงขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นเตียวหุยออกรบกับม้าเฉียวโดยไม่ใส่เสื้อเกราะก็เกรงว่าจะพลาดพลั้งเสียทีแก่ม้าเฉียว ทั้งเห็นว่าทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันต่อถึงร้อยเพลงแล้ว จึงให้ทหารตีม้าล่อเป็นสัญญาณให้พักรบอีกครั้งหนึ่ง และลงมาขี่ม้าพาทหารออกไปที่หน้าด่าน
ทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงสัญญาณพักรบจึงต่างพากันปลีกม้าถอยออกจากลานรบ เตียวหุยขี่ม้าตรงเข้ามาหาเล่าปี่ แต่ไม่ทันที่จะพูดจาประการใด เล่าปี่ก็กล่าวขึ้นก่อนว่าวันนี้สองยอดทหารเสือสู้รบกันถึงสองร้อยเพลงแล้ว พี่เกรงว่าเจ้าจะเหนื่อยจึงให้ตีม้าล่อสัญญาณพักรบ ทั้งบัดนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว สมควรที่จะกลับเข้าไปในด่านก่อน
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าข้าพเจ้าได้อาสาพี่ออกมารบกับม้าเฉียว และจะจับตัวม้าเฉียวให้จงได้ การต่อสู้เพิ่งผ่านไปได้เพียงสองร้อยเพลงแต่ยังไม่ปรากฏผลแพ้แลชนะ จะพักรบสืบไปไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบกับม้าเฉียวอีกกระบวนหนึ่ง กล่าวแล้วเตียวหุยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฮึดฮัดใคร่จะออกไปรบกับม้าเฉียวให้จงได้
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่า วันนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ชอบที่จะกลับเข้าไปในด่าน พักผ่อนให้เป็นที่สบาย ต่อวันพรุ่งนี้ค่อยยกออกมารบกันใหม่
เตียวหุยกำลังคะนองในการสู้รบกับม้าเฉียว เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเผชิญหน้าคู่ศึกที่ฝีมือกล้าแกร่งทัดเทียมเสมอด้วยม้าเฉียวเลย ทั้งน้ำใจก็ใคร่ได้ชัยชนะแก่ม้าเฉียว ดังนั้นถึงเล่าปี่จะทัดทานประการใด เตียวหุยก็ยังฮึดฮัดอยากจะรบกับม้าเฉียวท่าเดียว
เตียวหุยเห็นเล่าปี่นิ่งอยู่จึงกล่าวสืบไปว่า วันนี้เวลาเย็นก็ดีแล้ว จะได้รบกันโดยไม่ร้อนด้วยแสงแดด ข้าพเจ้าจะไม่กลับเข้าไปในด่าน จะรบกับม้าเฉียวก่อน หากถึงเวลาค่ำแล้วยังไม่แพ้ชนะก็ขอให้พี่สั่งทหารจุดคบไฟให้สว่าง จะได้รบกันให้รู้แพ้แลชนะ
เล่าปี่เห็นเตียวหุยฮึดฮัดจะเอาชนะม้าเฉียวให้จงได้ก็หวนรำลึกถึงคำขงเบ้งที่กล่าวคำกระตุ้นเตียวหุยประหนึ่งกระตุ้นช้างชนะงาให้ตกมัน ถึงแม้นควาญจะรั้งเหนี่ยวประการใดก็ไม่อยู่ จึงได้แต่ส่ายศีรษะ
ในขณะนั้นพระสุริยันเริ่มคล้อยต่ำลับขอบฟ้าเบื้องประจิม เอื้อมหัตถ์ความมืดแห่งราตรีได้แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งปริมณฑล เตียวหุยเห็นเล่าปี่ไม่ต่อถ้อยร้อยคำสืบไปจึงขอเปลี่ยนม้ากับเล่าปี่เพราะม้าซึ่งขี่รบกับม้าเฉียวตลอดทั้งวันนั้นได้อ่อนแรงลง เล่าปี่ก็ให้ เตียวหุยเปลี่ยนม้าอย่างเต็มใจ
ทางฝ่ายม้าเฉียว ครั้นแยกจากเตียวหุยแล้วก็กลับเข้าไปในค่าย ยิ่งคิดถึงการสู้รบก็ยิ่งแค้นเตียวหุย คิดจะเอาชนะเตียวหุยให้จงได้ ไม่อยากทอดเวลาให้ฟ้าสว่างสืบไป คิดดังนั้นแล้วม้าเฉียวจึงสั่งทหารให้เอาม้ามาเปลี่ยน แล้วขี่ม้าพาทหารออกไปที่หน้าด่าน เห็นเตียวหุยยืนม้าคอยท่าอยู่ก็ดีใจ
เตียวหุยเห็นม้าเฉียวขี่ม้าเข้ามาในระยะใกล้จึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่าค่ำวันนี้สองเราจงมาสู้รบกันให้สิ้นฝีมือ แม้นจับมึงไม่ได้ กูจะไม่ยอมกลับเข้าด่าน ม้าเฉียวก็ร้องตอบกลับมาว่า กูก็เหมือนกัน แม้นจับมึงไม่ได้ก็จะไม่ยอมกลับไปค่ายเป็นอันขาด
ในขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมืด ทหารของทั้งสองฝ่ายได้จุดคบไฟให้สว่างดุจกลางวัน ม้าเฉียวและเตียวหุยชักม้าเข้ารบกันอย่างดุเดือดเป็นคำรบที่สาม แต่ครั้นรบกันได้เพียงยี่สิบเพลงม้าเฉียวก็ชักม้าหนีออกจากลานรบ
เตียวหุยเห็นม้าเฉียวชักม้าหนีก็ขี่ม้าไล่ตามไป แต่เตียวหุยวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากเตียวหุยในวันก่อน ในขณะที่ขี่ม้าไล่ตามไปนั้นใจก็คิดว่าม้าเฉียวกับเราสู้รบกันถึงสองร้อยเพลงยังไม่แพ้แลชนะ ค่ำวันนี้รบกันได้เพียงยี่สิบเพลงแต่กลับชักม้าหนีไป เห็นจะเป็นกลอุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง
เตียวหุยคำนึงดังนั้นแล้วก็คิดป้องกันระวังตัวมิได้ประมาท มือหนึ่งกุมบังเหียนบังคับม้าไล่ตามม้าเฉียว แต่อีกมือหนึ่งก็กุมทวนไว้แน่น สายตาก็เขม้นมองอากัปกิริยาม้าเฉียวไม่ให้คลาดสายตา จนม้าของเตียวหุยกวดเข้าไปใกล้กับม้าของม้าเฉียว
ม้าเฉียวสังเกตเห็นเตียวหุยไล่ตามเข้ามาใกล้ จึงเอาอาวุธกระบองเหลี่ยมที่คาดอยู่ข้างม้าซัดไปที่เตียวหุย แต่เตียวหุยระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว เห็นดังนั้นจึงเอาทวนปัดกระบองเหลี่ยมตกลงข้างทาง
แล้วเตียวหุยจึงทำทีชักม้าหนีกลับ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าเตียวหุยตกใจกลัวจึงชักม้าไล่ตามเตียวหุยไป
ในขณะที่ขับม้าหนีเตียวหุยก็ขึ้นเกาทัณฑ์เตรียมพร้อมไว้ในมือ ครั้นสังเกตเห็นม้าเฉียวขี่ม้าเข้ามาในระยะเกาทัณฑ์แล้วจึงเอี้ยวตัวกลับหลังยิงเกาทัณฑ์ไปที่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวขี่ม้าตามเตียวหุยแต่ตั้งอยู่ในความระมัดระวังตัวมิได้ประมาทเช่นเดียวกัน เห็นเตียวหุยยิงเกาทัณฑ์ตรงมาก็ใช้ทวนปัดเกาทัณฑ์ตกลงกับพื้นแล้วชักม้ากลับไปที่ชุมนุมทหารที่ตั้งรออยู่ที่ลานรบ ส่วนเตียวหุยก็ขี่ม้าไปที่ชุมนุมทหารของฝ่ายตัวเช่นเดียวกัน
ขณะนั้นเป็นเวลาสองยามเศษ เล่าปี่เห็นทั้งสองฝ่ายอ่อนล้าอิดโรยลง ทั้งน้ำใจก็ไม่ประสงค์ที่จะให้สองทหารเสือสู้รบกันจนแตกหัก ด้วยน้ำใจลึกหวังจะได้ตัวม้าเฉียวไว้ทำราชการในภายหลัง จึงคิดผูกน้ำใจทหารทั้งสองฝ่ายไว้ ดังนั้นเล่าปี่จึงขี่ม้าออกไปข้างหน้าทหารแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังราวกับเป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายว่า เวลาวันนี้ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันอย่างองอาจกล้าหาญสง่างามสมเป็นยอดทหารเสือ เป็นที่ชื่นชมยินดีของตัวเราและเหล่าทหารทั้งปวง บัดนี้เป็นเวลาดึกดื่นล่วงเที่ยงคืนแล้ว ทั้งสองฝ่ายชอบที่จะกลับเข้าไปพักผ่อนให้เป็นที่สำราญเสียคืนหนึ่ง ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยรบกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ปรากฏเกียรติยศสืบไปภายหน้า
เสียงเล่าปี่เปี่ยมด้วยความเมตตาและนุ่มนวล ตั้งอยู่ในความเป็นนระอธิบดี ทหารทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงเล่าปี่เสนาะโสต จึงพากันนิ่งเงียบสดับฟังคำเล่าปี่จนสิ้นความ ก็พากันนึกนิยมความเป็นผู้ใหญ่และโอบอ้อมอารีของเล่าปี่โดยถ้วนหน้ากัน จากนั้นต่างฝ่ายจึงพากันยกกลับเข้าที่ตั้ง
พอรุ่งขึ้นเตียวหุยออกมารอเล่าปี่ตั้งแต่เช้า เพื่อขออนุญาตจัดแจงทหารออกไปรบกับม้าเฉียว พักหนึ่งเล่าปี่ก็ออกมาพบกับเตียวหุย พอเริ่มทักทายกันทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพหนุนมาถึงแล้ว กำลังจะมาที่ศาลาบัญชาการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รีบออกมาต้อนรับขงเบ้ง เชิญเข้าไปนั่งปรึกษากันในศาลาว่าราชการของด่านแฮบังก๋วน แล้วเล่าความซึ่งเตียวหุยได้สู้รบกับม้าเฉียวให้ขงเบ้งฟังทุกประการ
ขงเบ้งฟังความสิ้นแล้วจึงว่า “อันม้าเฉียวนั้นฝีมือกล้าหาญนัก แม้จะรบกับเตียวหุยฉะนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งเสือสองตัวสู้กัน เห็นจะเพลี่ยงข้างหนึ่งเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายให้ม้าเฉียวเข้ามาหาท่านโดยดี”
อันน้ำใจเล่าปี่ใคร่ได้ม้าเฉียวไว้ทำราชการมาตั้งแต่ต้น ครั้นได้ฟังคำขงเบ้งต้องด้วยอัธยาศัยก็มีความยินดียิ่งนัก รีบกล่าวว่าความเห็นของกุนซือดังนี้ต้องใจข้าพเจ้ายิ่ง ด้วยนับแต่เวลาแรกที่ได้พบม้าเฉียว ประจักษ์ซึ่งฝีมือสู้รบรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวกล้าหาญแล้วก็ใคร่ได้ตัวไว้รับราชการ ขอพึ่งสติปัญญาท่านคิดอ่านแผนการอุบายให้ได้ตัวม้าเฉียวแต่โดยดีเถิด
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็อมยิ้มแล้วว่า อันเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งนี้เป็นคนมีน้ำใจกำเริบในยศศักดิ์วาสนา คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ไม่รู้จักคบหาผู้คน ไม่รู้จักใช้คน และไม่รู้จักเลี้ยงดูผู้คน ถึงจะใช้คนก็ไม่เคยไว้วางใจใคร ผู้ใดทำความดีก็ไม่มีบำเหน็จความชอบ มุ่งแต่จะตอบสนองให้กับพวกสอพลอปอปั้น ดังนั้นจึงมีคนพาลสันดานหยาบเหลวไหลเลอะเทอะอยู่กับเตียวล่อเป็นอันมาก คนฉะนี้ไม่มีทางเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้.
เตียวหุยได้ฟังคำที่เล่าปี่เอ่ยปากชมม้าเฉียว จึงเข้ามาจับแขนเล่าปี่แล้วว่า อันฝีมือม้าเฉียวนั้นเป็นแต่พอประมาณดอก ข้าพเจ้าขออาสาออกไปรบจับตัวม้าเฉียวให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าเจ้าจะวู่วามเร่งร้อนไปไย เวลานี้ยังเช้าอยู่ ทหารม้าเฉียวยกมายังกระชุ่มกระชวย จงรั้งรอจนถึงเวลาบ่าย ให้ทหารม้าเฉียวอ่อนล้าอิดโรยก่อนแล้วค่อยยกออกไปรบ
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับคำเล่าปี่ ภายในด่านแฮบังก๋วนจึงตั้งสงบนิ่งคอยทีศึกอยู่
ม้าเฉียวให้ทหารร้องท้าทายให้ข้างในด่านยกทหารออกมารบกัน แต่ไม่มีเสียงขานตอบและไม่มีทหารในด่านยกออกมารบก็วุ่นวายใจ ให้ทหารร้องด่าเป็นข้อหยาบช้านานาประการ เตียวหุยได้ยินเสียงด่าก็โกรธ “ประหนึ่งจะทะยานออกไปกินเนื้อม้าเฉียวเสีย แต่หากเกรงเล่าปี่อยู่จึงอุตส่าห์สะกดใจไว้”
ม้าเฉียวเห็นทหารข้างในด่านไม่ยอมยกออกมารบก็ยิ่งโกรธ สั่งทหารให้จัดเวรผลัดเปลี่ยนเข้าไปร้องด่าที่หน้าด่าน ด่าว่าด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาททหารภายในด่านแฮบังก๋วนว่าขี้ขลาดตาขาวราวกับเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายข้างในด่านก็ยังสงบนิ่งอยู่
เล่าปี่สังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินจนถึงเวลาบ่าย เห็นทหารม้าเฉียวอ่อนล้าอิดโรย บ้างนั่ง บ้างเอนตัว บ้างล้มตัวลงนอน ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยตามวินัยทัพ จึงสั่งให้เตียวหุยจัดทหารห้าร้อยยกออกไปรบกับม้าเฉียว
เตียวหุยได้รับคำสั่งก็ดีใจ รีบคุมทหารยกออกจากด่านตรงไปที่ม้าเฉียว ฝ่ายม้าเฉียวเห็นเตียวหุยยกทหารออกมาก็โบกธงเป็นสัญญาณให้ทหารทั้งปวงถอยกลับไปด้านหลัง เตรียมการที่จะต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก
เตียวหุยขี่ม้าตรงมาที่หน้าม้าเฉียว แล้วร้องว่าตัวเรานี้ชื่อเตียวหุย ม้าเฉียวมึงรู้จักกูหรือไม่ กล่าวแล้วเตียวหุยก็เขย่าทวนในมืออย่างคึกคะนอง
ม้าเฉียวได้ฟังคำเตียวหุยและเห็นกิริยาท่าทีดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า ตัวกูนี้เป็นบุตรขุนนางสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เหตุใดจะต้องไปรู้จักมึงซึ่งเป็นชาติบ้านนอกต่ำช้าทรพลด้วยเล่า
เตียวหุยได้ฟังคำดูหมิ่นดังนั้นก็โกรธ กระตุ้นม้าปรี่เข้ารบกับม้าเฉียว ม้าเฉียวเห็นเตียวหุยกรายทวนเข้ามาก็กระทืบโกลนม้าเข้ารบกับเตียวหุยอย่างดุเดือด
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ด้วยเพลงทวนบนหลังม้าอย่างแคล่วคล่องว่องไว งามสง่าราวทหารเทพยดาต่อสู้กัน ทหารของทั้งสองฝ่ายเห็นตัวนายสู้รบกันอย่างดุเดือดแคล่วคล่องว่องไวดังนั้นก็พากันโห่ร้องสนับสนุนตัวนายของแต่ละฝ่ายกึกก้องทั้งท้องทุ่ง
เพลงรบของทั้งสองฝ่ายเยื้องกรายไปมา รวดเร็วเฉียบขาด แต่หนักหน่วงจนผ่านไปถึงร้อยเพลง ก็ไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำเสียที
เล่าปี่ยืนสังเกตการรบอยู่บนเชิงเทิน เห็นสองทหารเสือสู้รบกันเป็นที่สำราญตาก็มีความเบิกบานใจยิ่งนัก อุทานขึ้นอย่างลืมตัวว่าช่างสู้รบกันแคล่วคล่องว่องไว สมเป็นยอดทหารเสือ กระไรหนอเราจะได้ตัวม้าเฉียวไว้
พอสิ้นคำอุทานเล่าปี่ก็ได้คิดว่าหากสู้รบกันต่อไป แม้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีก็จะเสียยอดทหารเสือไปคนหนึ่ง คำนึงดังนั้นแล้วเล่าปี่จึงให้ตีม้าล่อเรียกเตียวหุยกลับเข้าด่าน
สองทหารเสือกำลังสู้รบกันอย่างคึกคัก ครั้นได้ยินเสียงสัญญาณจากในด่านให้พักรบ ต่างฝ่ายต่างสมกับเป็นชายชาติทหาร และมีจิตใจเป็นสุภาพบุรุษ จึงต่างชักม้าแล้วพากันถอยกลับไปยังที่ตั้งของตน
เตียวหุยกลับเข้าไปในด่านแล้วถอดเสื้อเกราะออกจากตัว นั่งพักให้คลายร้อนอยู่ครู่หนึ่ง จึงขึ้นม้าพาทหารยกออกไปนอกด่านอีกคำรบหนึ่ง ม้าเฉียวพักรบเพื่อให้คลายร้อน พอเห็นเตียวหุยขี่ม้าออกมาท้ารบดังนั้น จึงขี่ม้าตรงเข้าหาเตียวหุย
ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันบนหลังม้าอีกหลายเพลง ในขณะที่ม้าเฉียวนั้นแต่งตัวใส่เสื้อเกราะเต็มกระบวนรบ แต่เตียวหุยกลับสู้รบโดยไม่ใส่เสื้อเกราะ
เล่าปี่ได้ยินเสียงกลองศึกดังขึ้นที่นอกด่านอีกคำรบหนึ่งจึงขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นเตียวหุยออกรบกับม้าเฉียวโดยไม่ใส่เสื้อเกราะก็เกรงว่าจะพลาดพลั้งเสียทีแก่ม้าเฉียว ทั้งเห็นว่าทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันต่อถึงร้อยเพลงแล้ว จึงให้ทหารตีม้าล่อเป็นสัญญาณให้พักรบอีกครั้งหนึ่ง และลงมาขี่ม้าพาทหารออกไปที่หน้าด่าน
ทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงสัญญาณพักรบจึงต่างพากันปลีกม้าถอยออกจากลานรบ เตียวหุยขี่ม้าตรงเข้ามาหาเล่าปี่ แต่ไม่ทันที่จะพูดจาประการใด เล่าปี่ก็กล่าวขึ้นก่อนว่าวันนี้สองยอดทหารเสือสู้รบกันถึงสองร้อยเพลงแล้ว พี่เกรงว่าเจ้าจะเหนื่อยจึงให้ตีม้าล่อสัญญาณพักรบ ทั้งบัดนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว สมควรที่จะกลับเข้าไปในด่านก่อน
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าข้าพเจ้าได้อาสาพี่ออกมารบกับม้าเฉียว และจะจับตัวม้าเฉียวให้จงได้ การต่อสู้เพิ่งผ่านไปได้เพียงสองร้อยเพลงแต่ยังไม่ปรากฏผลแพ้แลชนะ จะพักรบสืบไปไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบกับม้าเฉียวอีกกระบวนหนึ่ง กล่าวแล้วเตียวหุยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฮึดฮัดใคร่จะออกไปรบกับม้าเฉียวให้จงได้
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่า วันนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ชอบที่จะกลับเข้าไปในด่าน พักผ่อนให้เป็นที่สบาย ต่อวันพรุ่งนี้ค่อยยกออกมารบกันใหม่
เตียวหุยกำลังคะนองในการสู้รบกับม้าเฉียว เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเผชิญหน้าคู่ศึกที่ฝีมือกล้าแกร่งทัดเทียมเสมอด้วยม้าเฉียวเลย ทั้งน้ำใจก็ใคร่ได้ชัยชนะแก่ม้าเฉียว ดังนั้นถึงเล่าปี่จะทัดทานประการใด เตียวหุยก็ยังฮึดฮัดอยากจะรบกับม้าเฉียวท่าเดียว
เตียวหุยเห็นเล่าปี่นิ่งอยู่จึงกล่าวสืบไปว่า วันนี้เวลาเย็นก็ดีแล้ว จะได้รบกันโดยไม่ร้อนด้วยแสงแดด ข้าพเจ้าจะไม่กลับเข้าไปในด่าน จะรบกับม้าเฉียวก่อน หากถึงเวลาค่ำแล้วยังไม่แพ้ชนะก็ขอให้พี่สั่งทหารจุดคบไฟให้สว่าง จะได้รบกันให้รู้แพ้แลชนะ
เล่าปี่เห็นเตียวหุยฮึดฮัดจะเอาชนะม้าเฉียวให้จงได้ก็หวนรำลึกถึงคำขงเบ้งที่กล่าวคำกระตุ้นเตียวหุยประหนึ่งกระตุ้นช้างชนะงาให้ตกมัน ถึงแม้นควาญจะรั้งเหนี่ยวประการใดก็ไม่อยู่ จึงได้แต่ส่ายศีรษะ
ในขณะนั้นพระสุริยันเริ่มคล้อยต่ำลับขอบฟ้าเบื้องประจิม เอื้อมหัตถ์ความมืดแห่งราตรีได้แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งปริมณฑล เตียวหุยเห็นเล่าปี่ไม่ต่อถ้อยร้อยคำสืบไปจึงขอเปลี่ยนม้ากับเล่าปี่เพราะม้าซึ่งขี่รบกับม้าเฉียวตลอดทั้งวันนั้นได้อ่อนแรงลง เล่าปี่ก็ให้ เตียวหุยเปลี่ยนม้าอย่างเต็มใจ
ทางฝ่ายม้าเฉียว ครั้นแยกจากเตียวหุยแล้วก็กลับเข้าไปในค่าย ยิ่งคิดถึงการสู้รบก็ยิ่งแค้นเตียวหุย คิดจะเอาชนะเตียวหุยให้จงได้ ไม่อยากทอดเวลาให้ฟ้าสว่างสืบไป คิดดังนั้นแล้วม้าเฉียวจึงสั่งทหารให้เอาม้ามาเปลี่ยน แล้วขี่ม้าพาทหารออกไปที่หน้าด่าน เห็นเตียวหุยยืนม้าคอยท่าอยู่ก็ดีใจ
เตียวหุยเห็นม้าเฉียวขี่ม้าเข้ามาในระยะใกล้จึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่าค่ำวันนี้สองเราจงมาสู้รบกันให้สิ้นฝีมือ แม้นจับมึงไม่ได้ กูจะไม่ยอมกลับเข้าด่าน ม้าเฉียวก็ร้องตอบกลับมาว่า กูก็เหมือนกัน แม้นจับมึงไม่ได้ก็จะไม่ยอมกลับไปค่ายเป็นอันขาด
ในขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมืด ทหารของทั้งสองฝ่ายได้จุดคบไฟให้สว่างดุจกลางวัน ม้าเฉียวและเตียวหุยชักม้าเข้ารบกันอย่างดุเดือดเป็นคำรบที่สาม แต่ครั้นรบกันได้เพียงยี่สิบเพลงม้าเฉียวก็ชักม้าหนีออกจากลานรบ
เตียวหุยเห็นม้าเฉียวชักม้าหนีก็ขี่ม้าไล่ตามไป แต่เตียวหุยวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากเตียวหุยในวันก่อน ในขณะที่ขี่ม้าไล่ตามไปนั้นใจก็คิดว่าม้าเฉียวกับเราสู้รบกันถึงสองร้อยเพลงยังไม่แพ้แลชนะ ค่ำวันนี้รบกันได้เพียงยี่สิบเพลงแต่กลับชักม้าหนีไป เห็นจะเป็นกลอุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง
เตียวหุยคำนึงดังนั้นแล้วก็คิดป้องกันระวังตัวมิได้ประมาท มือหนึ่งกุมบังเหียนบังคับม้าไล่ตามม้าเฉียว แต่อีกมือหนึ่งก็กุมทวนไว้แน่น สายตาก็เขม้นมองอากัปกิริยาม้าเฉียวไม่ให้คลาดสายตา จนม้าของเตียวหุยกวดเข้าไปใกล้กับม้าของม้าเฉียว
ม้าเฉียวสังเกตเห็นเตียวหุยไล่ตามเข้ามาใกล้ จึงเอาอาวุธกระบองเหลี่ยมที่คาดอยู่ข้างม้าซัดไปที่เตียวหุย แต่เตียวหุยระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว เห็นดังนั้นจึงเอาทวนปัดกระบองเหลี่ยมตกลงข้างทาง
แล้วเตียวหุยจึงทำทีชักม้าหนีกลับ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าเตียวหุยตกใจกลัวจึงชักม้าไล่ตามเตียวหุยไป
ในขณะที่ขับม้าหนีเตียวหุยก็ขึ้นเกาทัณฑ์เตรียมพร้อมไว้ในมือ ครั้นสังเกตเห็นม้าเฉียวขี่ม้าเข้ามาในระยะเกาทัณฑ์แล้วจึงเอี้ยวตัวกลับหลังยิงเกาทัณฑ์ไปที่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวขี่ม้าตามเตียวหุยแต่ตั้งอยู่ในความระมัดระวังตัวมิได้ประมาทเช่นเดียวกัน เห็นเตียวหุยยิงเกาทัณฑ์ตรงมาก็ใช้ทวนปัดเกาทัณฑ์ตกลงกับพื้นแล้วชักม้ากลับไปที่ชุมนุมทหารที่ตั้งรออยู่ที่ลานรบ ส่วนเตียวหุยก็ขี่ม้าไปที่ชุมนุมทหารของฝ่ายตัวเช่นเดียวกัน
ขณะนั้นเป็นเวลาสองยามเศษ เล่าปี่เห็นทั้งสองฝ่ายอ่อนล้าอิดโรยลง ทั้งน้ำใจก็ไม่ประสงค์ที่จะให้สองทหารเสือสู้รบกันจนแตกหัก ด้วยน้ำใจลึกหวังจะได้ตัวม้าเฉียวไว้ทำราชการในภายหลัง จึงคิดผูกน้ำใจทหารทั้งสองฝ่ายไว้ ดังนั้นเล่าปี่จึงขี่ม้าออกไปข้างหน้าทหารแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังราวกับเป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายว่า เวลาวันนี้ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันอย่างองอาจกล้าหาญสง่างามสมเป็นยอดทหารเสือ เป็นที่ชื่นชมยินดีของตัวเราและเหล่าทหารทั้งปวง บัดนี้เป็นเวลาดึกดื่นล่วงเที่ยงคืนแล้ว ทั้งสองฝ่ายชอบที่จะกลับเข้าไปพักผ่อนให้เป็นที่สำราญเสียคืนหนึ่ง ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยรบกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ปรากฏเกียรติยศสืบไปภายหน้า
เสียงเล่าปี่เปี่ยมด้วยความเมตตาและนุ่มนวล ตั้งอยู่ในความเป็นนระอธิบดี ทหารทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงเล่าปี่เสนาะโสต จึงพากันนิ่งเงียบสดับฟังคำเล่าปี่จนสิ้นความ ก็พากันนึกนิยมความเป็นผู้ใหญ่และโอบอ้อมอารีของเล่าปี่โดยถ้วนหน้ากัน จากนั้นต่างฝ่ายจึงพากันยกกลับเข้าที่ตั้ง
พอรุ่งขึ้นเตียวหุยออกมารอเล่าปี่ตั้งแต่เช้า เพื่อขออนุญาตจัดแจงทหารออกไปรบกับม้าเฉียว พักหนึ่งเล่าปี่ก็ออกมาพบกับเตียวหุย พอเริ่มทักทายกันทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพหนุนมาถึงแล้ว กำลังจะมาที่ศาลาบัญชาการ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รีบออกมาต้อนรับขงเบ้ง เชิญเข้าไปนั่งปรึกษากันในศาลาว่าราชการของด่านแฮบังก๋วน แล้วเล่าความซึ่งเตียวหุยได้สู้รบกับม้าเฉียวให้ขงเบ้งฟังทุกประการ
ขงเบ้งฟังความสิ้นแล้วจึงว่า “อันม้าเฉียวนั้นฝีมือกล้าหาญนัก แม้จะรบกับเตียวหุยฉะนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งเสือสองตัวสู้กัน เห็นจะเพลี่ยงข้างหนึ่งเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอคิดกลอุบายให้ม้าเฉียวเข้ามาหาท่านโดยดี”
อันน้ำใจเล่าปี่ใคร่ได้ม้าเฉียวไว้ทำราชการมาตั้งแต่ต้น ครั้นได้ฟังคำขงเบ้งต้องด้วยอัธยาศัยก็มีความยินดียิ่งนัก รีบกล่าวว่าความเห็นของกุนซือดังนี้ต้องใจข้าพเจ้ายิ่ง ด้วยนับแต่เวลาแรกที่ได้พบม้าเฉียว ประจักษ์ซึ่งฝีมือสู้รบรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวกล้าหาญแล้วก็ใคร่ได้ตัวไว้รับราชการ ขอพึ่งสติปัญญาท่านคิดอ่านแผนการอุบายให้ได้ตัวม้าเฉียวแต่โดยดีเถิด
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็อมยิ้มแล้วว่า อันเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งนี้เป็นคนมีน้ำใจกำเริบในยศศักดิ์วาสนา คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ไม่รู้จักคบหาผู้คน ไม่รู้จักใช้คน และไม่รู้จักเลี้ยงดูผู้คน ถึงจะใช้คนก็ไม่เคยไว้วางใจใคร ผู้ใดทำความดีก็ไม่มีบำเหน็จความชอบ มุ่งแต่จะตอบสนองให้กับพวกสอพลอปอปั้น ดังนั้นจึงมีคนพาลสันดานหยาบเหลวไหลเลอะเทอะอยู่กับเตียวล่อเป็นอันมาก คนฉะนี้ไม่มีทางเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้.