ตอนที่ 372. อุบาย "ยั่วช้างให้ตกมัน"
เล่าปี่ ขงเบ้ง เคลื่อนทัพจากเมืองลกเสีย รุกสู่ด่านกิมก๊กซึ่งเป็นด่านสำคัญด่านสุดท้ายของเมืองเอ๊กจิ๋ว เมืองหลวงของแคว้นเสฉวน และกำหนดกลอุบายล่อปลาเข้าไซ จับลิเหยียมนายทหารเอกของด่านกิมก๊กได้โดยละม่อม แล้วใช้ให้ลิเหยียมเข้าไปเกลี้ยกล่อมอุยหวนผู้รักษาด่านกิมก๊กให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี
อุยหวนแม้ว่าเป็นญาติพี่น้องกับเล่าเจี้ยง แต่เล่าเจี้ยงก็ไม่ให้ความสำคัญ ตั้งให้เป็นแค่นายด่านและให้มารักษาด่านกิมก๊ก ส่วนอุยหวนนั้นแม้มิได้เป็นญาติกับลิเหยียมแต่กลับใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เชื่อฟังคำของลิเหยียมทุกประการ การที่เล่าปี่ ขงเบ้ง มอบหมายหน้าที่ให้ลิเหยียมเข้าไปเกลี้ยกล่อมอุยหวนในครั้งนี้จึงเป็นการใช้คนที่ถูกกับงาน ย่อมมีผลบั้นปลายแห่งความสำเร็จ
ครั้นอุยหวนได้ฟังคำของลิเหยียมตลอดแล้ว ตรองดูก็เห็นว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนโลเล เอาแน่นอนประการใดมิได้ มิได้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีรักทหาร คิดเห็นแต่ความสุขส่วนตัว จึงทำให้ทหารเมืองเสฉวนเข้าสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่เป็นจำนวนมาก ส่วนเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีขงเบ้งเป็นที่ปรึกษา เปี่ยมด้วยปัญญาวิชาคุณเป็นอันมาก สามารถบัญชาการทหารได้ดังใจประหนึ่งการบัญชาการของเทพยดาที่จุติมาสู่เมืองมนุษย์ แลทหารเอกนั้นเล่าก็เข้มแข็งแกร่งกล้า ยากจะหาทหารเอกคนใดรับมือได้ แม้ลิเหยียมผู้เป็นสหายสนิทก็สวามิภักดิ์แก่เล่าปี่แล้ว ชอบที่เราจะเข้าสวามิภักดิ์ตาม ทั้งแม้หากจะแข็งขืนต่อสู้ด้วยเล่าปี่ก็เห็นจะไม่อาจต้านทานได้แม้ในการรบครั้งเดียว
อุยหวนคำนึงดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ตกแต่งด่านเตรียมต้อนรับเล่าปี่ ให้ปักธงขาวบนเชิงเทินด่าน แล้วพาทหารเปิดประตูเมืองออกไปคำนับเล่าปี่
เล่าปี่ ขงเบ้ง ทราบว่าลิเหยียมเกลี้ยกล่อมอุยหวนได้สำเร็จก็มีความยินดี ออกมาต้อนรับลิเหยียมและอุยหวนถึงนอกค่าย ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อุยหวนจึงกล่าวความยอมสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่ และเชิญเล่าปี่ ขงเบ้ง ให้ยกทหารเข้าไปในด่านกิมก๊ก
เล่าปี่ ขงเบ้ง พินิจพิเคราะห์แล้วเห็นว่าอุยหวนยอมสวามิภักดิ์โดยสุจริต จึงปูนบำเหน็จความชอบแก่อุยหวนและลิเหยียมเป็นอันมาก
เล่าปี่ได้กล่าวกับอุยหวนว่า การที่ท่านยอมทำราชการด้วยเรานี้จะไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง เรายกมาครั้งนี้หวังทำนุบำรุงแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุข มิให้ตกเป็นสิทธิแก่คนอื่น ขอให้ท่านจงตั้งใจทำราชการโดยสุจริต ความชอบก็จะมีแก่ท่านสืบไป
อุยหวนจึงนำเล่าปี่ ขงเบ้ง และกองทัพทั้งปวงยกเข้าไปตั้งอยู่ในด่านกิมก๊กแต่ในวันนั้น ครั้นเข้าไปถึงด่านแล้วจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ ขงเบ้ง และพาทหารของด่านกิมก๊กเข้ามาคำนับเล่าปี่ และเข้าสังกัดในกองทัพเมืองเกงจิ๋วทั้งสิ้น
เล่าปี่จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบท่ามกลางที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง เป็นที่สำราญโดยถ้วนหน้ากัน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษาเพื่อคิดอ่านวางแผนยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองเอ๊กจิ๋ว ในระหว่างที่ปรึกษากันอยู่นั้นม้าเร็วได้รายงานเข้ามาว่าบัดนี้เตียวล่อได้แต่งให้ม้าเฉียวเป็นแม่ทัพพร้อมด้วยม้าต้ายและเอียวเป๊กยกมาช่วยเล่าเจี้ยง บัดนี้กองทัพของม้าเฉียวได้ยกเข้าประชิดด่านแฮบังก๋วนแล้ว เบ้งตัดและงักจุ้นซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้รักษาด่านได้ป้องกันรักษาด่านไว้เป็นสามารถ แต่เห็นว่าถ้าหากไม่มีกองทัพยกไปหนุนก็อาจจะเสียทีแก่ม้าเฉียว
เล่าปี่จึงปรึกษาขงเบ้งว่าจะคิดอ่านประการใด ขงเบ้งจึงว่าการซึ่งจะยกเข้าตีเมือง เอ๊กจิ๋วก็เป็นการสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเท่ากับการป้องกันด่านแฮบังก๋วนไว้ให้ปลอดภัย ฉะนั้นท่านจงแต่งทหารยกหนุนไปช่วยเบ้งตัดที่ด่านแฮบังก๋วนก่อนเถิด
ขงเบ้งได้กล่าวสืบไปว่า ม้าเฉียวบุตรม้าเท้งผู้นี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก เห็นเตียวหุยและ จูล่งเท่านั้นที่จะรับมือเอาชนะม้าเฉียวได้
เล่าปี่จึงว่าในขณะนี้จูล่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอก ขณะนี้ยังอยู่ที่ชายทะเลแดนเมืองเตงกั๋งยังไม่กลับมา เหลือแต่เตียวหุยซึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกเสร็จสิ้นกลับมาถึงแล้ว จึงขอให้ท่านจัดแจงแต่งกองทัพตามที่ท่านจะเห็นสมควร
ขงเบ้งจึงว่าซึ่งจะแต่งกองทัพยกไปครั้งนี้จะวู่วามผลีผลามมิได้ อันเตียวหุยนั้นมีบุคลิกลักษณะพิเศษ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวกับเตียวหุยให้ชัดเจนก่อน ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำลงก็มีเสียงคนลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาหา ทั้งเล่าปี่และขงเบ้งมองไปข้างหน้าเห็นเป็นเตียวหุยตรงเข้ามาคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ข่าวว่าม้าเฉียวยกกองทัพมาประชิดด่านแฮบังก๋วน จึงขออาสายกทหารไปจับตัวม้าเฉียวให้จงได้
ขงเบ้งทำเป็นไม่ได้ยินคำของเตียวหุย จ้องหน้าเล่าปี่แล้วกล่าวว่า อันม้าเฉียวผู้นี้มีฝีมือการรบแข็งกล้าองอาจนัก เห็นก็แต่กวนอูผู้เดียวที่พอจะรับมือกับม้าเฉียวได้ จึงขอให้ท่านมีหมายเรียกกวนอูมาแต่เมืองเกงจิ๋ว เพื่อเป็นแม่ทัพยกไปรบกับม้าเฉียว
เตียวหุยเห็นขงเบ้งไม่สนใจความที่กล่าวก็ขุ่นใจ ครั้นได้ฟังคำขงเบ้งเป็นเชิงหมิ่นฝีมือก็ยิ่งขุ่นเคือง จึงว่า “อันตัวข้าพเจ้านี้ก็มีปัญญาแลฝีมืออยู่บ้าง ครั้งโจโฉคุมทหารถึงร้อยหมื่นตามมา ณ สะพานเตียงปันเกี้ยว ข้าพเจ้าก็ได้รบต้านทาน แล้วคิดอ่านทำกลอุบายจนทหารโจโฉถอยกลับไป อันม้าเฉียวนั้นจะมีปัญญาแลฝีมือสักเพียงไร ท่านจึงจำเพาะจะให้กวนอูไป”
เตียวหุยยามนี้ประดุจดังช้างงากำลังจะตกมัน ซึ่งถ้าหากตกมันแล้วก็จะมีกำลังกล้าแกร่งมากกว่าเก่าหลายเท่านัก ขงเบ้งประหนึ่งควาญช้าง รู้จักกิริยาอุปนิสัยและอาการของช้างเป็นอย่างดี ได้ฟังคำเตียวหุยดังนั้นจึงกระหน่ำเพื่อให้ช้างชนะงาตัวนี้ตกมันจนมีกำลังควรแก่การศึก จึงแกล้งกล่าวว่า “ครั้งโจโฉคุมทหารร้อยหมื่นตามมา ท่านได้ต้านทานก็จริงอยู่ แต่เหลือกำลังนัก ซึ่งท่านคิดกลอุบายให้ทหารโจโฉถอยไปนั้น หากข้าศึกไม่ทันคิด แม้โจโฉรู้ที่ไหนท่านจะรอดชีวิต ท่านอย่าดูหมิ่นประมาทเลย อันม้าเฉียวนั้นมีฝีมือกล้าหาญนัก ครั้งรบกับโจโฉตำบลแม่น้ำอุยโหนั้น โจโฉเสียทีเป็นหลายครั้ง จนโจโฉถอดเกราะตัดหนวดเสีย เข้าปลอมเป็นเหล่าทหารจึงหนีม้าเฉียวได้”
สิ้นคำขงเบ้ง ช้างชนะงาอย่างเตียวหุยก็ตกมันเต็มที่ สีหน้าที่ดำอยู่แล้วยิ่งดำคล้ำแกมแดง นัยน์ตาแดงดุจดั่งเลือด กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ท่านประมาทข้าพเจ้าทั้งนี้มิชอบ ข้าพเจ้าขอให้ทัณฑ์บนไว้แก่ท่าน หากไปทำการครั้งนี้แล้วไม่ได้ชัยชนะม้าเฉียวก็ให้ท่านตัดศีรษะข้าพเจ้าเสียเถิด
ขงเบ้งเห็นเตียวหุยประหนึ่งช้างตกมันเต็มที่ควรแก่การแล้ว จึงผ่อนเสียงยอมรับว่าเมื่อตัวท่านขันอาสาและตกลงจะทำทัณฑ์บนดังนี้ก็พอที่จะวางใจให้ไปทำการในครั้งนี้ได้
เตียวหุยจึงเดินเข้าไปหยิบเอาพู่กันบนโต๊ะทำงานของเล่าปี่ เขียนทัณฑ์บนให้ไว้แก่ขงเบ้งตามที่ได้กล่าวอาสานั้นทุกประการ เสร็จแล้วส่งหนังสือทัณฑ์บนแก่ขงเบ้งด้วยท่าทีฮึดฮัด ขงเบ้งก็ทำทีเป็นปกติ รับหนังสือทัณฑ์บนของเตียวหุยพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมฝีปาก
อุยเอี๋ยนเห็นเหตุการณ์ตลอด พอเห็นขงเบ้งรับหนังสือทัณฑ์บนของเตียวหุยแล้วจึงก้าวเท้ามาตรงหน้าขงเบ้งแล้วกล่าวว่า การศึกที่ด่านแฮบังก๋วนคราวนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาร่วมไปกับเตียวหุยจะได้ช่วยคิดอ่านทำการ
ขงเบ้งโบกมือเป็นทีให้อุยเอี๋ยนลุกขึ้น และจัดแจงตั้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า คุมทหารห้าร้อย ให้เตียวหุยเป็นกองกลาง เล่าปี่เป็นกองหลัง ส่วนขงเบ้งจะรั้งรักษาด่านกิมก๊กไว้ก่อนเพื่อคอยจูล่ง เมื่อจูล่งยกกลับมาแล้วจะได้ยกกองทัพหนุนตามไป
เล่าปี่และบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างร่ำลาขงเบ้ง แล้วออกมาจัดแจงแต่งทหารยกออกจากด่านกิมก๊ก ตรงไปที่ด่านแฮบังก๋วน ถึงด่านแฮบังก๋วนแล้วก็ยกทหารเข้าตั้งมั่นอยู่ในด่าน
ครั้นวันรุ่งขึ้นม้าเฉียวยกทหารออกมาท้ารบที่หน้าด่าน เล่าปี่จึงให้อุยเอี๋ยนออกรบ ม้าเฉียวก็ให้เอียวเป๊กออกรบกับอุยเอี๋ยน นายทหารเอกของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สิบเพลงเอียวเป๊กต้านทานกำลังอุยเอี๋ยนไม่ได้จึงชักม้าหนี อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามเอียวเป๊กไป
ม้าต้ายเห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามเอียวเป๊กจึงชักม้าออกสกัด ฝ่ายอุยเอี๋ยนไม่รู้จักตัวม้าต้ายและม้าเฉียวมาก่อน ครั้นเห็นม้าต้ายก็สำคัญว่าเป็นม้าเฉียว จึงละการไล่ตามเอียวเป๊กและหันเข้าสู้กับม้าต้าย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้อีกสิบเพลงม้าต้ายก็ชักม้าหนี อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามไปอีก ในขณะที่ม้าต้ายขับม้าหนีไปนั้นหันชำเลืองมามองด้านหลังเห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามเข้ามาในระยะเกาทัณฑ์และมิได้ระมัดระวังตัว จึงปลดเกาทัณฑ์ขึ้นลูกเตรียมไว้ พอได้ระยะหวังผลก็เอี้ยวตัวกลับมา ใช้เกาทัณฑ์ยิงไปที่อุยเอี๋ยนถูกไหล่ซ้ายอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามม้าต้ายด้วยความประมาท ครั้นต้องเกาทัณฑ์แล้วก็ตกใจ รีบควบม้าหนีจะกลับเข้าด่าน ม้าต้ายเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงใกล้หน้าด่าน
ฝ่ายเตียวหุยยืนสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินของด่าน เห็นอุยเอี๋ยนเสียทีขี่ม้าหนีม้าต้ายมาดังนั้นจึงลงจากเชิงเทินขี่ม้าพาทหารตรงเข้าสกัดม้าต้ายไว้ อุยเอี๋ยนได้ถือโอกาสนั้นขี่ม้ากลับเข้าไปในด่าน
ม้าต้ายกำลังไล่ตามอุยเอี๋ยนอย่างคึกคะนอง ครั้นเห็นนายทหารเล่าปี่ใบหน้าสีดำ ขี่ม้ามาสกัดไว้ก็ตกตะลึง เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงร้องถามว่าตัวเป็นทหารมีชื่อใด จึงบังอาจไล่ตามอุยเอี๋ยนมาถึงหน้าด่าน จงบอกมาให้แจ้งแล้วค่อยรบกัน
ม้าต้ายตื่นจากตะลึงจึงตอบเตียวหุยว่า ตัวเรานี้มีชื่อว่าม้าต้ายเป็นน้องชายของม้าเฉียว ชาวเมืองเสเหลียง
เตียวหุยได้ยินชื่อว่าไม่ใช่ตัวม้าเฉียวและเห็นม้าต้ายยังหนุ่มนัก จึงว่าตัวท่านเป็นผู้น้อย ไม่ควรคู่กับฝีมือของเรา หากสู้รบกันก็จะตายเปล่า เราจะไว้ชีวิตท่าน เร่งกลับไปบอกม้าเฉียวให้ออกมารบกับเราจึงจะควรแก่ฝีมือและศักดิ์ศรีชายชาติทหาร
ม้าต้ายมัวแต่ตอบคำถามของเตียวหุย แต่ลืมถามชื่อแซ่ของฝ่ายตรงข้าม ครั้นได้ยินคำของเตียวหุยก็โกรธ ไม่คิดจะถามชื่อแซ่อีกต่อไป ชักม้าปราดเข้าหาเตียวหุย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้เพียงสิบเพลง ม้าต้ายทานกำลังเตียวหุยไม่ได้จึงชักม้าออกจากวงรบ รีบควบหนีจะกลับไปค่าย เตียวหุยเห็นได้ทีก็ไล่ตามไป
เล่าปี่เกรงว่าเตียวหุยจะคะนองศึกแล้วตั้งอยู่ในความประมาทจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงตีม้าล่อสัญญาณให้เตียวหุยกลับเข้าด่าน เตียวหุยได้ยินเสียงสัญญาณก็ขี่ม้าพาทหารกลับเข้าด่านแต่โดยดี แล้วถามเล่าปี่ว่าพี่เรียกข้าพเจ้าให้ถอยกลับมาด้วยเหตุผลกลใด เพราะจวนเจียนจะได้ตัวม้าต้ายอยู่แล้ว
เล่าปี่จึงว่าตัวเราเห็นเจ้าวู่วามนัก เกรงว่าจะตั้งอยู่ในความประมาท หากไล่ม้าต้ายเข้าไปใกล้ค่ายของม้าเฉียวก็อาจถูกซุ่มโจมตี จึงตีม้าล่อเป็นสัญญาณให้เจ้ากลับเข้ามาในด่าน ทั้งวันนี้เจ้าก็ได้ชัยชนะแก่ม้าต้ายเป็นฤกษ์ชัยอันดีแก่กองทัพแล้ว จงพักผ่อนให้สบายเสียคืนหนึ่ง ในวันพรุ่งนี้จึงค่อยยกไปรบกับม้าเฉียวต่อไป
ฝ่ายม้าต้ายเมื่อหนีกลับเข้าค่ายแล้วก็ได้รายงานความที่ได้สู้รบกับทหารเล่าปี่ให้ม้าเฉียวฟังทุกประการ ม้าเฉียวได้ฟังว่าทหารเล่าปี่มีฝีมือเข้มแข็งนักก็โกรธ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าม้าเฉียวจึงยกทหารออกจากค่ายตรงไปที่ประตูด่าน แล้วให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองขึ้น ร้องท้าให้เล่าปี่ยกทหารออกมารบกันนอกด่าน
เล่าปี่ได้ยินเสียงอึงคะนึงอยู่ด้านนอกด่าน จึงพาเตียวหุยและแม่ทัพนายกองทั้งปวงขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นทหารเมืองฮันต๋งยกมาตั้งอยู่ที่หน้าด่าน จึงถามทหารว่าตัวนายซึ่งยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงนั้นเป็นผู้ใด
ทหารบนเชิงเทินที่รู้จักตัวม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า นั่นคือม้าเฉียวเป็นบุตรของม้าเท้งแห่งเมืองเสเหลียง
เล่าปี่ได้ยินว่านายทหารที่ยืนม้าคุมทัพอยู่นั้นคือบุตรชายของม้าเท้งสหายผู้ร่วมก่อการล้มล้างอำนาจของโจโฉในเมืองหลวงมาแต่ก่อนก็มีใจยินดี พิเคราะห์ดูรูปลักษณะของม้าเฉียวเห็น “ขึงขังสมเป็นทหาร หน้านั้นดังสีหยก ใส่เกราะเงิน ขี่ม้าถือทวนอยู่กลางทหาร”
เล่าปี่มีใจนิยมในยอดขุนพลที่มีลักษณะสมชายชาติทหาร เห็นรูปลักษณะม้าเฉียวดังนั้นจึงเอ่ยปากชมว่า “บรรดาคนทั้งปวงเลื่องลืออยู่ว่าม้าเฉียวรูปงามกล้าหาญ ก็สมเหมือนคำเขาว่า”.
อุยหวนแม้ว่าเป็นญาติพี่น้องกับเล่าเจี้ยง แต่เล่าเจี้ยงก็ไม่ให้ความสำคัญ ตั้งให้เป็นแค่นายด่านและให้มารักษาด่านกิมก๊ก ส่วนอุยหวนนั้นแม้มิได้เป็นญาติกับลิเหยียมแต่กลับใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เชื่อฟังคำของลิเหยียมทุกประการ การที่เล่าปี่ ขงเบ้ง มอบหมายหน้าที่ให้ลิเหยียมเข้าไปเกลี้ยกล่อมอุยหวนในครั้งนี้จึงเป็นการใช้คนที่ถูกกับงาน ย่อมมีผลบั้นปลายแห่งความสำเร็จ
ครั้นอุยหวนได้ฟังคำของลิเหยียมตลอดแล้ว ตรองดูก็เห็นว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนโลเล เอาแน่นอนประการใดมิได้ มิได้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีรักทหาร คิดเห็นแต่ความสุขส่วนตัว จึงทำให้ทหารเมืองเสฉวนเข้าสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่เป็นจำนวนมาก ส่วนเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีขงเบ้งเป็นที่ปรึกษา เปี่ยมด้วยปัญญาวิชาคุณเป็นอันมาก สามารถบัญชาการทหารได้ดังใจประหนึ่งการบัญชาการของเทพยดาที่จุติมาสู่เมืองมนุษย์ แลทหารเอกนั้นเล่าก็เข้มแข็งแกร่งกล้า ยากจะหาทหารเอกคนใดรับมือได้ แม้ลิเหยียมผู้เป็นสหายสนิทก็สวามิภักดิ์แก่เล่าปี่แล้ว ชอบที่เราจะเข้าสวามิภักดิ์ตาม ทั้งแม้หากจะแข็งขืนต่อสู้ด้วยเล่าปี่ก็เห็นจะไม่อาจต้านทานได้แม้ในการรบครั้งเดียว
อุยหวนคำนึงดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ตกแต่งด่านเตรียมต้อนรับเล่าปี่ ให้ปักธงขาวบนเชิงเทินด่าน แล้วพาทหารเปิดประตูเมืองออกไปคำนับเล่าปี่
เล่าปี่ ขงเบ้ง ทราบว่าลิเหยียมเกลี้ยกล่อมอุยหวนได้สำเร็จก็มีความยินดี ออกมาต้อนรับลิเหยียมและอุยหวนถึงนอกค่าย ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อุยหวนจึงกล่าวความยอมสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่ และเชิญเล่าปี่ ขงเบ้ง ให้ยกทหารเข้าไปในด่านกิมก๊ก
เล่าปี่ ขงเบ้ง พินิจพิเคราะห์แล้วเห็นว่าอุยหวนยอมสวามิภักดิ์โดยสุจริต จึงปูนบำเหน็จความชอบแก่อุยหวนและลิเหยียมเป็นอันมาก
เล่าปี่ได้กล่าวกับอุยหวนว่า การที่ท่านยอมทำราชการด้วยเรานี้จะไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง เรายกมาครั้งนี้หวังทำนุบำรุงแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุข มิให้ตกเป็นสิทธิแก่คนอื่น ขอให้ท่านจงตั้งใจทำราชการโดยสุจริต ความชอบก็จะมีแก่ท่านสืบไป
อุยหวนจึงนำเล่าปี่ ขงเบ้ง และกองทัพทั้งปวงยกเข้าไปตั้งอยู่ในด่านกิมก๊กแต่ในวันนั้น ครั้นเข้าไปถึงด่านแล้วจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ ขงเบ้ง และพาทหารของด่านกิมก๊กเข้ามาคำนับเล่าปี่ และเข้าสังกัดในกองทัพเมืองเกงจิ๋วทั้งสิ้น
เล่าปี่จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบท่ามกลางที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง เป็นที่สำราญโดยถ้วนหน้ากัน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษาเพื่อคิดอ่านวางแผนยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองเอ๊กจิ๋ว ในระหว่างที่ปรึกษากันอยู่นั้นม้าเร็วได้รายงานเข้ามาว่าบัดนี้เตียวล่อได้แต่งให้ม้าเฉียวเป็นแม่ทัพพร้อมด้วยม้าต้ายและเอียวเป๊กยกมาช่วยเล่าเจี้ยง บัดนี้กองทัพของม้าเฉียวได้ยกเข้าประชิดด่านแฮบังก๋วนแล้ว เบ้งตัดและงักจุ้นซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้รักษาด่านได้ป้องกันรักษาด่านไว้เป็นสามารถ แต่เห็นว่าถ้าหากไม่มีกองทัพยกไปหนุนก็อาจจะเสียทีแก่ม้าเฉียว
เล่าปี่จึงปรึกษาขงเบ้งว่าจะคิดอ่านประการใด ขงเบ้งจึงว่าการซึ่งจะยกเข้าตีเมือง เอ๊กจิ๋วก็เป็นการสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเท่ากับการป้องกันด่านแฮบังก๋วนไว้ให้ปลอดภัย ฉะนั้นท่านจงแต่งทหารยกหนุนไปช่วยเบ้งตัดที่ด่านแฮบังก๋วนก่อนเถิด
ขงเบ้งได้กล่าวสืบไปว่า ม้าเฉียวบุตรม้าเท้งผู้นี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก เห็นเตียวหุยและ จูล่งเท่านั้นที่จะรับมือเอาชนะม้าเฉียวได้
เล่าปี่จึงว่าในขณะนี้จูล่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอก ขณะนี้ยังอยู่ที่ชายทะเลแดนเมืองเตงกั๋งยังไม่กลับมา เหลือแต่เตียวหุยซึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกเสร็จสิ้นกลับมาถึงแล้ว จึงขอให้ท่านจัดแจงแต่งกองทัพตามที่ท่านจะเห็นสมควร
ขงเบ้งจึงว่าซึ่งจะแต่งกองทัพยกไปครั้งนี้จะวู่วามผลีผลามมิได้ อันเตียวหุยนั้นมีบุคลิกลักษณะพิเศษ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวกับเตียวหุยให้ชัดเจนก่อน ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำลงก็มีเสียงคนลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาหา ทั้งเล่าปี่และขงเบ้งมองไปข้างหน้าเห็นเป็นเตียวหุยตรงเข้ามาคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ข่าวว่าม้าเฉียวยกกองทัพมาประชิดด่านแฮบังก๋วน จึงขออาสายกทหารไปจับตัวม้าเฉียวให้จงได้
ขงเบ้งทำเป็นไม่ได้ยินคำของเตียวหุย จ้องหน้าเล่าปี่แล้วกล่าวว่า อันม้าเฉียวผู้นี้มีฝีมือการรบแข็งกล้าองอาจนัก เห็นก็แต่กวนอูผู้เดียวที่พอจะรับมือกับม้าเฉียวได้ จึงขอให้ท่านมีหมายเรียกกวนอูมาแต่เมืองเกงจิ๋ว เพื่อเป็นแม่ทัพยกไปรบกับม้าเฉียว
เตียวหุยเห็นขงเบ้งไม่สนใจความที่กล่าวก็ขุ่นใจ ครั้นได้ฟังคำขงเบ้งเป็นเชิงหมิ่นฝีมือก็ยิ่งขุ่นเคือง จึงว่า “อันตัวข้าพเจ้านี้ก็มีปัญญาแลฝีมืออยู่บ้าง ครั้งโจโฉคุมทหารถึงร้อยหมื่นตามมา ณ สะพานเตียงปันเกี้ยว ข้าพเจ้าก็ได้รบต้านทาน แล้วคิดอ่านทำกลอุบายจนทหารโจโฉถอยกลับไป อันม้าเฉียวนั้นจะมีปัญญาแลฝีมือสักเพียงไร ท่านจึงจำเพาะจะให้กวนอูไป”
เตียวหุยยามนี้ประดุจดังช้างงากำลังจะตกมัน ซึ่งถ้าหากตกมันแล้วก็จะมีกำลังกล้าแกร่งมากกว่าเก่าหลายเท่านัก ขงเบ้งประหนึ่งควาญช้าง รู้จักกิริยาอุปนิสัยและอาการของช้างเป็นอย่างดี ได้ฟังคำเตียวหุยดังนั้นจึงกระหน่ำเพื่อให้ช้างชนะงาตัวนี้ตกมันจนมีกำลังควรแก่การศึก จึงแกล้งกล่าวว่า “ครั้งโจโฉคุมทหารร้อยหมื่นตามมา ท่านได้ต้านทานก็จริงอยู่ แต่เหลือกำลังนัก ซึ่งท่านคิดกลอุบายให้ทหารโจโฉถอยไปนั้น หากข้าศึกไม่ทันคิด แม้โจโฉรู้ที่ไหนท่านจะรอดชีวิต ท่านอย่าดูหมิ่นประมาทเลย อันม้าเฉียวนั้นมีฝีมือกล้าหาญนัก ครั้งรบกับโจโฉตำบลแม่น้ำอุยโหนั้น โจโฉเสียทีเป็นหลายครั้ง จนโจโฉถอดเกราะตัดหนวดเสีย เข้าปลอมเป็นเหล่าทหารจึงหนีม้าเฉียวได้”
สิ้นคำขงเบ้ง ช้างชนะงาอย่างเตียวหุยก็ตกมันเต็มที่ สีหน้าที่ดำอยู่แล้วยิ่งดำคล้ำแกมแดง นัยน์ตาแดงดุจดั่งเลือด กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ท่านประมาทข้าพเจ้าทั้งนี้มิชอบ ข้าพเจ้าขอให้ทัณฑ์บนไว้แก่ท่าน หากไปทำการครั้งนี้แล้วไม่ได้ชัยชนะม้าเฉียวก็ให้ท่านตัดศีรษะข้าพเจ้าเสียเถิด
ขงเบ้งเห็นเตียวหุยประหนึ่งช้างตกมันเต็มที่ควรแก่การแล้ว จึงผ่อนเสียงยอมรับว่าเมื่อตัวท่านขันอาสาและตกลงจะทำทัณฑ์บนดังนี้ก็พอที่จะวางใจให้ไปทำการในครั้งนี้ได้
เตียวหุยจึงเดินเข้าไปหยิบเอาพู่กันบนโต๊ะทำงานของเล่าปี่ เขียนทัณฑ์บนให้ไว้แก่ขงเบ้งตามที่ได้กล่าวอาสานั้นทุกประการ เสร็จแล้วส่งหนังสือทัณฑ์บนแก่ขงเบ้งด้วยท่าทีฮึดฮัด ขงเบ้งก็ทำทีเป็นปกติ รับหนังสือทัณฑ์บนของเตียวหุยพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมฝีปาก
อุยเอี๋ยนเห็นเหตุการณ์ตลอด พอเห็นขงเบ้งรับหนังสือทัณฑ์บนของเตียวหุยแล้วจึงก้าวเท้ามาตรงหน้าขงเบ้งแล้วกล่าวว่า การศึกที่ด่านแฮบังก๋วนคราวนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาร่วมไปกับเตียวหุยจะได้ช่วยคิดอ่านทำการ
ขงเบ้งโบกมือเป็นทีให้อุยเอี๋ยนลุกขึ้น และจัดแจงตั้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า คุมทหารห้าร้อย ให้เตียวหุยเป็นกองกลาง เล่าปี่เป็นกองหลัง ส่วนขงเบ้งจะรั้งรักษาด่านกิมก๊กไว้ก่อนเพื่อคอยจูล่ง เมื่อจูล่งยกกลับมาแล้วจะได้ยกกองทัพหนุนตามไป
เล่าปี่และบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างร่ำลาขงเบ้ง แล้วออกมาจัดแจงแต่งทหารยกออกจากด่านกิมก๊ก ตรงไปที่ด่านแฮบังก๋วน ถึงด่านแฮบังก๋วนแล้วก็ยกทหารเข้าตั้งมั่นอยู่ในด่าน
ครั้นวันรุ่งขึ้นม้าเฉียวยกทหารออกมาท้ารบที่หน้าด่าน เล่าปี่จึงให้อุยเอี๋ยนออกรบ ม้าเฉียวก็ให้เอียวเป๊กออกรบกับอุยเอี๋ยน นายทหารเอกของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สิบเพลงเอียวเป๊กต้านทานกำลังอุยเอี๋ยนไม่ได้จึงชักม้าหนี อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามเอียวเป๊กไป
ม้าต้ายเห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามเอียวเป๊กจึงชักม้าออกสกัด ฝ่ายอุยเอี๋ยนไม่รู้จักตัวม้าต้ายและม้าเฉียวมาก่อน ครั้นเห็นม้าต้ายก็สำคัญว่าเป็นม้าเฉียว จึงละการไล่ตามเอียวเป๊กและหันเข้าสู้กับม้าต้าย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้อีกสิบเพลงม้าต้ายก็ชักม้าหนี อุยเอี๋ยนเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามไปอีก ในขณะที่ม้าต้ายขับม้าหนีไปนั้นหันชำเลืองมามองด้านหลังเห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามเข้ามาในระยะเกาทัณฑ์และมิได้ระมัดระวังตัว จึงปลดเกาทัณฑ์ขึ้นลูกเตรียมไว้ พอได้ระยะหวังผลก็เอี้ยวตัวกลับมา ใช้เกาทัณฑ์ยิงไปที่อุยเอี๋ยนถูกไหล่ซ้ายอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนขี่ม้าไล่ตามม้าต้ายด้วยความประมาท ครั้นต้องเกาทัณฑ์แล้วก็ตกใจ รีบควบม้าหนีจะกลับเข้าด่าน ม้าต้ายเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงใกล้หน้าด่าน
ฝ่ายเตียวหุยยืนสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินของด่าน เห็นอุยเอี๋ยนเสียทีขี่ม้าหนีม้าต้ายมาดังนั้นจึงลงจากเชิงเทินขี่ม้าพาทหารตรงเข้าสกัดม้าต้ายไว้ อุยเอี๋ยนได้ถือโอกาสนั้นขี่ม้ากลับเข้าไปในด่าน
ม้าต้ายกำลังไล่ตามอุยเอี๋ยนอย่างคึกคะนอง ครั้นเห็นนายทหารเล่าปี่ใบหน้าสีดำ ขี่ม้ามาสกัดไว้ก็ตกตะลึง เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงร้องถามว่าตัวเป็นทหารมีชื่อใด จึงบังอาจไล่ตามอุยเอี๋ยนมาถึงหน้าด่าน จงบอกมาให้แจ้งแล้วค่อยรบกัน
ม้าต้ายตื่นจากตะลึงจึงตอบเตียวหุยว่า ตัวเรานี้มีชื่อว่าม้าต้ายเป็นน้องชายของม้าเฉียว ชาวเมืองเสเหลียง
เตียวหุยได้ยินชื่อว่าไม่ใช่ตัวม้าเฉียวและเห็นม้าต้ายยังหนุ่มนัก จึงว่าตัวท่านเป็นผู้น้อย ไม่ควรคู่กับฝีมือของเรา หากสู้รบกันก็จะตายเปล่า เราจะไว้ชีวิตท่าน เร่งกลับไปบอกม้าเฉียวให้ออกมารบกับเราจึงจะควรแก่ฝีมือและศักดิ์ศรีชายชาติทหาร
ม้าต้ายมัวแต่ตอบคำถามของเตียวหุย แต่ลืมถามชื่อแซ่ของฝ่ายตรงข้าม ครั้นได้ยินคำของเตียวหุยก็โกรธ ไม่คิดจะถามชื่อแซ่อีกต่อไป ชักม้าปราดเข้าหาเตียวหุย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้เพียงสิบเพลง ม้าต้ายทานกำลังเตียวหุยไม่ได้จึงชักม้าออกจากวงรบ รีบควบหนีจะกลับไปค่าย เตียวหุยเห็นได้ทีก็ไล่ตามไป
เล่าปี่เกรงว่าเตียวหุยจะคะนองศึกแล้วตั้งอยู่ในความประมาทจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงตีม้าล่อสัญญาณให้เตียวหุยกลับเข้าด่าน เตียวหุยได้ยินเสียงสัญญาณก็ขี่ม้าพาทหารกลับเข้าด่านแต่โดยดี แล้วถามเล่าปี่ว่าพี่เรียกข้าพเจ้าให้ถอยกลับมาด้วยเหตุผลกลใด เพราะจวนเจียนจะได้ตัวม้าต้ายอยู่แล้ว
เล่าปี่จึงว่าตัวเราเห็นเจ้าวู่วามนัก เกรงว่าจะตั้งอยู่ในความประมาท หากไล่ม้าต้ายเข้าไปใกล้ค่ายของม้าเฉียวก็อาจถูกซุ่มโจมตี จึงตีม้าล่อเป็นสัญญาณให้เจ้ากลับเข้ามาในด่าน ทั้งวันนี้เจ้าก็ได้ชัยชนะแก่ม้าต้ายเป็นฤกษ์ชัยอันดีแก่กองทัพแล้ว จงพักผ่อนให้สบายเสียคืนหนึ่ง ในวันพรุ่งนี้จึงค่อยยกไปรบกับม้าเฉียวต่อไป
ฝ่ายม้าต้ายเมื่อหนีกลับเข้าค่ายแล้วก็ได้รายงานความที่ได้สู้รบกับทหารเล่าปี่ให้ม้าเฉียวฟังทุกประการ ม้าเฉียวได้ฟังว่าทหารเล่าปี่มีฝีมือเข้มแข็งนักก็โกรธ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าม้าเฉียวจึงยกทหารออกจากค่ายตรงไปที่ประตูด่าน แล้วให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองขึ้น ร้องท้าให้เล่าปี่ยกทหารออกมารบกันนอกด่าน
เล่าปี่ได้ยินเสียงอึงคะนึงอยู่ด้านนอกด่าน จึงพาเตียวหุยและแม่ทัพนายกองทั้งปวงขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นทหารเมืองฮันต๋งยกมาตั้งอยู่ที่หน้าด่าน จึงถามทหารว่าตัวนายซึ่งยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงนั้นเป็นผู้ใด
ทหารบนเชิงเทินที่รู้จักตัวม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า นั่นคือม้าเฉียวเป็นบุตรของม้าเท้งแห่งเมืองเสเหลียง
เล่าปี่ได้ยินว่านายทหารที่ยืนม้าคุมทัพอยู่นั้นคือบุตรชายของม้าเท้งสหายผู้ร่วมก่อการล้มล้างอำนาจของโจโฉในเมืองหลวงมาแต่ก่อนก็มีใจยินดี พิเคราะห์ดูรูปลักษณะของม้าเฉียวเห็น “ขึงขังสมเป็นทหาร หน้านั้นดังสีหยก ใส่เกราะเงิน ขี่ม้าถือทวนอยู่กลางทหาร”
เล่าปี่มีใจนิยมในยอดขุนพลที่มีลักษณะสมชายชาติทหาร เห็นรูปลักษณะม้าเฉียวดังนั้นจึงเอ่ยปากชมว่า “บรรดาคนทั้งปวงเลื่องลืออยู่ว่าม้าเฉียวรูปงามกล้าหาญ ก็สมเหมือนคำเขาว่า”.