ตอนที่ 371. อุบาย "วางไซดักปลา"
เตียวล่อได้ตัวม้าเฉียวแล้วมีจิตคิดกำเริบจะตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ จึงวางแผนผูกดองกับม้าเฉียว แต่เอียวเป๊กที่ปรึกษาได้ทัดทานไว้ ทำให้เกิดความบาดหมางลึกซึ้งระหว่างม้าเฉียวกับเอียวเป๊ก ครั้นเตียวล่อได้รับหนังสือขอความช่วยเหลือจากเล่าเจี้ยง โดยมีสินบนรางวัลถึงยี่สิบหัวเมือง ก็คิดจะยกไปช่วยเล่าเจี้ยง แต่เงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้ทัดทานไว้อีก
ม้าเฉียวแม้ได้ฟังคำทัดทานจากเงียมเภาขุนนางเก่าก็หาได้คิดหน้าคิดหลังแต่ประการใดไม่ กลับหักหน้าเงียมเภาเสนอแก่เตียวล่อว่า การยกกองทัพไปช่วยเล่าเจี้ยงคือการป้องกันเมืองฮันต๋งไม่ให้เป็นอันตรายและยังมีรางวัลก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า จะปรารมภ์ไปไยว่าเล่าปี่แตกพ่ายไปแล้ว เล่าเจี้ยงจะกล้าบิดพลิ้ว เพราะถ้าเล่าเจี้ยงบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามคำสัญญา ท่านก็จะถือโอกาสนั้นยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองเสฉวนเสียทีเดียว
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำม้าเฉียวองอาจเฉียบขาดยิ่งนักก็ถูกอัธยาศัย พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า “ข้าพเจ้าได้มาพึ่งท่านอยู่ก็ยังมิได้แทนคุณเลย บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาตีได้ตำบลแฮบังก๋วน ซึ่งเป็นด่านเมืองเสฉวน ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปทำการรบจับเอาตัวเล่าปี่ฆ่าเสีย”
เตียวล่อได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี บรรดาที่ปรึกษาผู้อื่นเห็นท่าทีเตียวล่อคล้อยตามความเห็นของม้าเฉียวก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจ ต่างพากันนิ่งเงียบ
เตียวล่อจึงกล่าวกับอุยก๋วนว่า ท่านจงกลับไปเมืองเสฉวน บอกแก่เล่าเจี้ยงเถิดว่าเราจะรับเป็นธุระยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่เสีย การสำเร็จแล้วเล่าเจี้ยงอย่าได้คืนคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่เรา
อุยก๋วนได้ยินคำเตียวล่อเห็นการสำเร็จดังประสงค์ก็มีความยินดี คำนับลาเตียวล่อแล้วกลับไปเมืองเสฉวน
เตียวล่อจึงสั่งให้จัดกองทัพกำลังพลสองหมื่น ตั้งให้ม้าเฉียวเป็นแม่ทัพ ให้เอียวเป๊กเป็นปลัดทัพ ในขณะนั้นบังเต๊กทหารเอกของม้าเฉียวป่วยไปด้วยกองทัพมิได้ จำเป็นต้องรักษาอาการไข้อยู่ที่เมืองฮันต๋ง ม้าเฉียวจึงจัดทหารคนสนิทไว้อารักขารับใช้บังเต๊ก
อันการซึ่งเตียวล่อแต่งกองทัพครั้งนี้เป็นที่วิปริตนัก ด้วยไม่ทราบข่าวสารและตั้งความสังเกตถึงความขัดแย้งภายในกองทัพว่าเอียวเป๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาเก่าของเมืองฮันต๋งนั้นถูกม้าเฉียวผูกพยาบาทแต่เหตุซึ่งคัดค้านมิให้เตียวล่อยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของม้าเฉียว ดังนั้นการแต่งกองทัพที่แม่ทัพและปลัดทัพเป็นอริกันดุจขมิ้นกับปูนไปทำการด้วยกันดังนี้ ลักษณะกองทัพของม้าเฉียวจึงมีลักษณะเป็นกองทัพพ่ายตั้งแต่ต้น
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีม้าเฉียวจึงยกกองทัพสองหมื่นออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่ด่านแฮบังก๋วน
ทางฝ่ายเล่าปี่ตั้งทัพอยู่ที่เมืองลกเสีย รอคอยเวลาและโอกาสที่บรรดานายทหารซึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองโดยรอบเมืองเอ๊กจิ๋วให้สวามิภักดิ์และถือโอกาสนั้นปรับปรุงบำรุงกองทัพจนมีความพร้อมรบอย่างเต็มที่
อยู่มาวันหนึ่งหวดเจ้งได้เข้ามารายงานว่า ทหารซึ่งได้ส่งไปประสานงานกับไส้ศึกในเมืองเสฉวนได้รายงานเข้ามาว่า บัดนี้แต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงได้เสนอให้เล่าเจี้ยงเกณฑ์ผู้คนนอกเมืองเสฉวนเข้ามาอยู่ภายในเมืองและเผาบ้านเรือนทำลายเสบียงภายนอกเมืองให้จงสิ้น กำหนดแผนการตั้งรับอยู่ภายในตัวเมือง ไม่ออกมาสู้รบ คอยท่าให้กองทัพเมืองเกงจิ๋วสิ้นเสบียงแล้วเลิกทัพกลับไปเอง จากนั้นจึงค่อยตามตี
ขงเบ้งนั่งฟังอยู่ข้างเล่าปี่ ได้ยินความดังนั้นจึงถามหวดเจ้งว่าท่านเป็นขุนนางเก่าของเมืองเสฉวน คุ้นเคยกับอุปนิสัยใจคอของเล่าเจี้ยงมาแต่ก่อน เมื่อได้ฟังแผนการของแต่ต่อแล้ว ท่านจงประเมินสถานการณ์ว่าเล่าเจี้ยงจะคิดอ่านประการใด
หวดเจ้งจึงว่าอันแต่ต่อผู้นี้เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญในกลอุบายทั้งปวง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่เล่าเจี้ยงไม่ได้เห็นคุณค่าราคาค่างวดประการใด ข้าพเจ้าเล็งอุปนิสัยของเล่าเจี้ยงแล้วเห็นว่าการเกณฑ์ราษฎรและเผาผลาญทรัพย์สินเสบียงอาหารดังนี้ ไม่เป็นที่ต้องอัธยาศัยของเล่าเจี้ยง เห็นว่าเล่าเจี้ยงจะไม่ยอมรับ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า และว่าถ้าการเป็นไปดังที่ท่านคาดคะเน กองทัพของเราก็จะไม่เหนื่อยแรง ไม่ทันนานทหารสอดแนมก็เข้ามารายงานอีกว่า เล่าเจี้ยงได้ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอของแต่ต่อ
เล่าปี่และขงเบ้งทราบรายงานแล้วก็มีความยินดี ขงเบ้งจึงว่าเวลาซึ่งรอคอยการเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอก บัดนี้ผ่านมาเนิ่นนานวัน เห็นการจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี สมควรแก่เวลาที่จะยกไปตีด่านกิมก๊กแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงยกกองทัพออกจากเมืองลกเสีย ให้ฮองตง อุยเอี๋ยน เป็นกองทัพหน้า เล่าปี่และขงเบ้งเป็นกองทัพหลวง ยกตรงไปที่ด่านกิมก๊ก แล้วตั้งค่ายประชิดด่านไว้
ฝ่ายอุยหวนซึ่งเป็นนายด่านกิมก๊กทราบข่าวศึกจึงสั่งให้ทหารกวดขันรักษาด่านทั้งปวงไว้ให้มั่นคง และแต่งให้ลิเหยียมคุมทหารสามพันยกออกไปตีค่ายของเล่าปี่ที่นอกด่าน
ลิเหยียมรับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารยกออกนอกด่านไปที่หน้าค่ายของเล่าปี่ ฮองตงซึ่งเป็นแม่ทัพกองทัพหน้าเห็นกองทัพยกออกมาจากด่านกิมก๊กจึงยกทหารออกไปสกัดไว้
ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตั้งขบวนเผชิญหน้ากัน ฮองตงและลิเหยียมซึ่งเป็นแม่ทัพของแต่ละฝ่ายต่างชักม้าเข้าสู่ลานรบ เสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้น ฮองตงได้เข้ารบกับลิเหยียมอย่างดุเดือด จนล่วงถึงเพลงที่ห้าสิบยังมิแพ้ชนะกัน
ขงเบ้งสังเกตการรบของทั้งสองฝ่ายอยู่ เห็นเพลงรบผ่านไปห้าสิบเพลงแล้ว จึงสั่งทหารให้ตีระฆังเป็นสัญญาณให้ฮองตงกลับมาที่ค่าย
คู่ศึกได้ยินเสียงสัญญาณระฆังดังนั้นจึงต่างฝ่ายต่างแยกออกจากวงรบ แล้วต่างพาทหารกลับไปที่ค่าย
ฮองตงกลับไปถึงค่ายก็ตรงไปหาขงเบ้ง แล้วถามว่าข้าพเจ้าทำการจวนได้ชัยชนะแก่ทหารของด่านกิมก๊กแล้ว เหตุไฉนท่านจึงให้สัญญาณถอยเสียเล่า
ขงเบ้งจึงว่าอันการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเอาชนะด้วยกำลังเสมอไป การรบในวันนี้ก็พอรู้กระบวนท่าทีการศึกแล้ว อันลิเหยียมผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ การที่จะรบเอาชนะซึ่งหน้ามีแต่จะเปลืองกำลังและเวลาเปล่า ข้าพเจ้าจึงให้สัญญาณเรียกท่านกลับมา หวังจะจับตัวลิเหยียมด้วยกลอุบาย ได้ตัวลิเหยียมแล้วเห็นจะได้ด่านกิมก๊กโดยง่ายด้วย
ฮองตงจึงถามว่ากุนซือจะคิดอ่านอุบายประการใดจึงจะจับตัวลิเหยียมได้โดยง่าย
ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าได้สำรวจตรวจสอบภูมิประเทศโดยถี่ถ้วนแล้ว ห่างจากด่านไปสิบเส้นเป็นซอกเขาแคบทุรกันดาร เหมือนกับไซดักปลา หากได้ล่อปลามาเข้าไซแล้วก็จะจับปลาได้โดยง่าย ในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าจะให้ท่านออกไปรบล่อลิเหยียมเข้าไปที่ซอกเขา แล้วจับตัวลิเหยียมให้จงได้
ฮองตงและบรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ขงเบ้งจึงออกคำสั่งว่าเวลาปลายยามสามวันนี้ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารไปซุ่มอยู่ปากทางซอกเขา และให้แต่งทหารอีกสองกองไปซุ่มอยู่สองข้างทางภายในซอกเขา ให้ฮองตงออกไปล่อรบลิเหยียม ทำทีหนีไปในซอกเขา เมื่อลิเหยียมไล่ตามไปก็ให้ล้อมจับตัวไว้ให้จงได้
ทหารทั้งปวงรับคำสั่งขงเบ้งแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงกำลัง ครั้นเวลาปลายยามสามทหารทุกกองก็ยกออกจากค่ายไปตั้งซุ่มอยู่ตามจุดหมายที่กำหนดทุกประการ
ครั้นเวลาเช้าฮองตงจึงขี่ม้าพาทหารตรงไปที่หน้าด่าน ร้องท้าทายให้ลิเหยียมยกทหารออกมารบกัน
ฝ่ายลิเหยียมรบกับฮองตงแล้วยังไม่แพ้ชนะ แต่ทะนงว่าตัวอยู่ในวัยฉกรรจ์มีกำลังวังชากล้าแข็ง จึงสำคัญว่าหากรบกันต่อไปก็จะได้ชัยชนะแก่ฮองตงเป็นแน่แท้ ดังนั้นพอเห็นฮองตงยกทหารมาท้ารบก็กระหยิ่มใจ รีบพาทหารออกจากด่านตรงเข้ารบกับฮองตงในทันที
ฮองตงทำทีเป็นอ่อนล้าเรี่ยวแรงตามกลอุบายซึ่งขงเบ้งได้กำหนดไว้ พอประอาวุธกันได้สิบเพลงรบฮองตงก็ทำทีเป็นต้านทานกำลังของลิเหยียมไม่ได้ ชักม้าผละหนีออกจากลานรบ โฉมหน้าตรงไปทางซอกเขาที่ขงเบ้งแต่งอุบายซุ่มทหารไว้
ลิเหยียมไม่รู้กลศึก สำคัญว่าได้ทีแก่ฮองตงจึงคิดจะจับเป็นฮองตงให้จงได้ คิดดังนั้นแล้วจึงชักม้ารีบขับตามฮองตงไป ทหารของลิเหยียมเห็นตัวนายได้ทีแก่ข้าศึกก็พากันโห่ร้องกึกก้องแล้วยกตามลิเหยียมไป เหมือนหนึ่งฝูงปลาว่ายเข้าไปสู่ไซฉะนั้น
ลิเหยียมไล่ตามฮองตงด้วยความฮึกเหิมว่าจะจับตัวฮองตงเป็นความชอบ แต่ครั้นไล่ตามฮองตงเข้าไปกลางซอกเขา เห็นเส้นทางแคบและทุรกันดารก็พรั่นใจ ฉุกใจยั้งคิดว่าภูมิประเทศดังนี้คับขันนัก จึงชักม้ากลับหลังคิดจะถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม
ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นทั้งข้างหน้าข้างหลัง เสียงทหารเมืองเกงจิ๋วโห่ร้องก้องกระหึ่ม มองไปข้างหน้าเห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารเป็นอันมากสกัดขวางทางข้างหน้าไว้ ในขณะที่ทางด้านหลังฮองตงก็ยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหารขวางทางไว้อีก ลิเหยียมเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ
ในพลันนั้นได้ยินเสียงคนร้องมาแต่ยอดเขาว่า ลิเหยียมจงฟังคำเราให้จงดี บัดนี้ท่านตกเป็นเชลยของเราแล้ว จงยอมจำนนสวามิภักดิ์แต่โดยดี หากคิดอ่านต่อสู้เราก็จะสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สังหารจนหมดสิ้น
ลิเหยียมได้ยินเสียงเย็นยะเยือกดังนั้น จึงมองขึ้นไปบนเนินเขาเห็นขงเบ้งยืนมือไพล่หลังอยู่ท่ามกลางทหารแวดล้อมสามสี่สิบคน ธงประจำตัวจูกัดเหลียงพลิ้วสะบัดตามสายลมภูเขาก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เพราะรู้ดีว่าบุคคลผู้ยืนอยู่บนเนินเขานี้คือผู้บัญชาการทหารผู้ยิ่งใหญ่ ที่บัญชาการรบได้แม่นยำไม่มีผิดพลาดดุจหนึ่งบัญชาการทหารเทวดา ขวัญก็หนีดีก็ฝ่อระย่อลง
ลิเหยียมสำนึกว่าสถานการณ์บัดนี้แม้นคิดต่อสู้สืบไปเห็นจะไม่รอดชีวิต ขงเบ้งทอดสะพานชีวิตใหม่ให้เดินดังนี้แล้ว ชอบที่เราจะรับไมตรีนั้น เห็นจะทำการสนองคุณแผ่นดินได้สืบไป สำนึกดังนี้ลิเหยียมจึงลงจากหลังม้า ถอดเสื้อเกราะ วางอาวุธลงกับพื้น แล้วคุกเข่าลงคำนับขงเบ้ง และว่าขอขอบคุณที่ท่านไว้ชีวิต ข้าพเจ้าขอยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านตั้งแต่บัดนี้ไป
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้ควบคุมตัวลิเหยียมและทหารด่านกิมก๊ก และพากันกลับไปหาเล่าปี่ที่ค่าย
ขงเบ้งได้รายงานความศึกทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ ลิเหยียมเห็นดังนั้นก็คุกเข่าคำนับเล่าปี่ ขอนอบน้อมเป็นข้าโดยสุจริต เล่าปี่จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงลิเหยียม แล้วว่า “เราจะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขจึงมาทำการครั้งนี้” ท่านจงทำการด้วยเราโดยสุจริต ร่วมกันทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุขสืบไป
ลิเหยียมยกมือขึ้นคารวะคำนับเล่าปี่ แล้วกล่าวว่าชีวิตใหม่ที่ท่านประทานให้ข้าพเจ้านี้จะขอพลีแก่ท่านโดยมิเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก
ขงเบ้งจึงถามว่าผู้ใดเป็นผู้รักษาด่านกิมก๊กและท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้ด่านโดยง่าย
ลิเหยียมจึงว่าด่านกิมก๊กนี้เล่าเจี้ยงได้แต่งให้อุยหวนผู้เป็นญาติมาดูแลรักษา แต่ อุยหวนนั้นรักใคร่ใกล้ชิดสนิทสนมเชื่อฟังข้าพเจ้า จะว่ากล่าวประการใดอุยหวนก็จะเชื่อฟังสิ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าไปว่ากล่าวกับอุยหวนให้ออกมาอ่อนน้อมแก่ท่านโดยดี
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าเมื่อท่านดำริชอบดังนี้แล้วก็จงรีบเข้าไปในด่าน ว่ากล่าวกับอุยหวนให้ออกมานอบน้อมแต่โดยดี อย่าให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วลิเหยียมจึงคำนับลาเล่าปี่ พาทหารคนสนิทกลับเข้าไปในด่านกิมก๊ก แล้วเข้าไปหาอุยหวน เล่าเนื้อความซึ่งได้เสียทีแก่เล่าปี่ ขงเบ้ง ให้อุยหวนฟังทุกประการ และว่า “อันเล่าปี่นั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎร ซึ่ง เล่าปี่มาทำทั้งนี้หวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าท่านจะขัดแข็งอยู่ไม่ออกไปอ่อนน้อม เมืองเราก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง”.
ม้าเฉียวแม้ได้ฟังคำทัดทานจากเงียมเภาขุนนางเก่าก็หาได้คิดหน้าคิดหลังแต่ประการใดไม่ กลับหักหน้าเงียมเภาเสนอแก่เตียวล่อว่า การยกกองทัพไปช่วยเล่าเจี้ยงคือการป้องกันเมืองฮันต๋งไม่ให้เป็นอันตรายและยังมีรางวัลก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า จะปรารมภ์ไปไยว่าเล่าปี่แตกพ่ายไปแล้ว เล่าเจี้ยงจะกล้าบิดพลิ้ว เพราะถ้าเล่าเจี้ยงบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามคำสัญญา ท่านก็จะถือโอกาสนั้นยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองเสฉวนเสียทีเดียว
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำม้าเฉียวองอาจเฉียบขาดยิ่งนักก็ถูกอัธยาศัย พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า “ข้าพเจ้าได้มาพึ่งท่านอยู่ก็ยังมิได้แทนคุณเลย บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาตีได้ตำบลแฮบังก๋วน ซึ่งเป็นด่านเมืองเสฉวน ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารไปทำการรบจับเอาตัวเล่าปี่ฆ่าเสีย”
เตียวล่อได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี บรรดาที่ปรึกษาผู้อื่นเห็นท่าทีเตียวล่อคล้อยตามความเห็นของม้าเฉียวก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจ ต่างพากันนิ่งเงียบ
เตียวล่อจึงกล่าวกับอุยก๋วนว่า ท่านจงกลับไปเมืองเสฉวน บอกแก่เล่าเจี้ยงเถิดว่าเราจะรับเป็นธุระยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่เสีย การสำเร็จแล้วเล่าเจี้ยงอย่าได้คืนคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่เรา
อุยก๋วนได้ยินคำเตียวล่อเห็นการสำเร็จดังประสงค์ก็มีความยินดี คำนับลาเตียวล่อแล้วกลับไปเมืองเสฉวน
เตียวล่อจึงสั่งให้จัดกองทัพกำลังพลสองหมื่น ตั้งให้ม้าเฉียวเป็นแม่ทัพ ให้เอียวเป๊กเป็นปลัดทัพ ในขณะนั้นบังเต๊กทหารเอกของม้าเฉียวป่วยไปด้วยกองทัพมิได้ จำเป็นต้องรักษาอาการไข้อยู่ที่เมืองฮันต๋ง ม้าเฉียวจึงจัดทหารคนสนิทไว้อารักขารับใช้บังเต๊ก
อันการซึ่งเตียวล่อแต่งกองทัพครั้งนี้เป็นที่วิปริตนัก ด้วยไม่ทราบข่าวสารและตั้งความสังเกตถึงความขัดแย้งภายในกองทัพว่าเอียวเป๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาเก่าของเมืองฮันต๋งนั้นถูกม้าเฉียวผูกพยาบาทแต่เหตุซึ่งคัดค้านมิให้เตียวล่อยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของม้าเฉียว ดังนั้นการแต่งกองทัพที่แม่ทัพและปลัดทัพเป็นอริกันดุจขมิ้นกับปูนไปทำการด้วยกันดังนี้ ลักษณะกองทัพของม้าเฉียวจึงมีลักษณะเป็นกองทัพพ่ายตั้งแต่ต้น
ครั้นถึงวันฤกษ์ดีม้าเฉียวจึงยกกองทัพสองหมื่นออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่ด่านแฮบังก๋วน
ทางฝ่ายเล่าปี่ตั้งทัพอยู่ที่เมืองลกเสีย รอคอยเวลาและโอกาสที่บรรดานายทหารซึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองโดยรอบเมืองเอ๊กจิ๋วให้สวามิภักดิ์และถือโอกาสนั้นปรับปรุงบำรุงกองทัพจนมีความพร้อมรบอย่างเต็มที่
อยู่มาวันหนึ่งหวดเจ้งได้เข้ามารายงานว่า ทหารซึ่งได้ส่งไปประสานงานกับไส้ศึกในเมืองเสฉวนได้รายงานเข้ามาว่า บัดนี้แต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงได้เสนอให้เล่าเจี้ยงเกณฑ์ผู้คนนอกเมืองเสฉวนเข้ามาอยู่ภายในเมืองและเผาบ้านเรือนทำลายเสบียงภายนอกเมืองให้จงสิ้น กำหนดแผนการตั้งรับอยู่ภายในตัวเมือง ไม่ออกมาสู้รบ คอยท่าให้กองทัพเมืองเกงจิ๋วสิ้นเสบียงแล้วเลิกทัพกลับไปเอง จากนั้นจึงค่อยตามตี
ขงเบ้งนั่งฟังอยู่ข้างเล่าปี่ ได้ยินความดังนั้นจึงถามหวดเจ้งว่าท่านเป็นขุนนางเก่าของเมืองเสฉวน คุ้นเคยกับอุปนิสัยใจคอของเล่าเจี้ยงมาแต่ก่อน เมื่อได้ฟังแผนการของแต่ต่อแล้ว ท่านจงประเมินสถานการณ์ว่าเล่าเจี้ยงจะคิดอ่านประการใด
หวดเจ้งจึงว่าอันแต่ต่อผู้นี้เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญในกลอุบายทั้งปวง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่เล่าเจี้ยงไม่ได้เห็นคุณค่าราคาค่างวดประการใด ข้าพเจ้าเล็งอุปนิสัยของเล่าเจี้ยงแล้วเห็นว่าการเกณฑ์ราษฎรและเผาผลาญทรัพย์สินเสบียงอาหารดังนี้ ไม่เป็นที่ต้องอัธยาศัยของเล่าเจี้ยง เห็นว่าเล่าเจี้ยงจะไม่ยอมรับ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า และว่าถ้าการเป็นไปดังที่ท่านคาดคะเน กองทัพของเราก็จะไม่เหนื่อยแรง ไม่ทันนานทหารสอดแนมก็เข้ามารายงานอีกว่า เล่าเจี้ยงได้ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอของแต่ต่อ
เล่าปี่และขงเบ้งทราบรายงานแล้วก็มีความยินดี ขงเบ้งจึงว่าเวลาซึ่งรอคอยการเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอก บัดนี้ผ่านมาเนิ่นนานวัน เห็นการจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี สมควรแก่เวลาที่จะยกไปตีด่านกิมก๊กแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงยกกองทัพออกจากเมืองลกเสีย ให้ฮองตง อุยเอี๋ยน เป็นกองทัพหน้า เล่าปี่และขงเบ้งเป็นกองทัพหลวง ยกตรงไปที่ด่านกิมก๊ก แล้วตั้งค่ายประชิดด่านไว้
ฝ่ายอุยหวนซึ่งเป็นนายด่านกิมก๊กทราบข่าวศึกจึงสั่งให้ทหารกวดขันรักษาด่านทั้งปวงไว้ให้มั่นคง และแต่งให้ลิเหยียมคุมทหารสามพันยกออกไปตีค่ายของเล่าปี่ที่นอกด่าน
ลิเหยียมรับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดแจงทหารยกออกนอกด่านไปที่หน้าค่ายของเล่าปี่ ฮองตงซึ่งเป็นแม่ทัพกองทัพหน้าเห็นกองทัพยกออกมาจากด่านกิมก๊กจึงยกทหารออกไปสกัดไว้
ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตั้งขบวนเผชิญหน้ากัน ฮองตงและลิเหยียมซึ่งเป็นแม่ทัพของแต่ละฝ่ายต่างชักม้าเข้าสู่ลานรบ เสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้น ฮองตงได้เข้ารบกับลิเหยียมอย่างดุเดือด จนล่วงถึงเพลงที่ห้าสิบยังมิแพ้ชนะกัน
ขงเบ้งสังเกตการรบของทั้งสองฝ่ายอยู่ เห็นเพลงรบผ่านไปห้าสิบเพลงแล้ว จึงสั่งทหารให้ตีระฆังเป็นสัญญาณให้ฮองตงกลับมาที่ค่าย
คู่ศึกได้ยินเสียงสัญญาณระฆังดังนั้นจึงต่างฝ่ายต่างแยกออกจากวงรบ แล้วต่างพาทหารกลับไปที่ค่าย
ฮองตงกลับไปถึงค่ายก็ตรงไปหาขงเบ้ง แล้วถามว่าข้าพเจ้าทำการจวนได้ชัยชนะแก่ทหารของด่านกิมก๊กแล้ว เหตุไฉนท่านจึงให้สัญญาณถอยเสียเล่า
ขงเบ้งจึงว่าอันการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเอาชนะด้วยกำลังเสมอไป การรบในวันนี้ก็พอรู้กระบวนท่าทีการศึกแล้ว อันลิเหยียมผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ การที่จะรบเอาชนะซึ่งหน้ามีแต่จะเปลืองกำลังและเวลาเปล่า ข้าพเจ้าจึงให้สัญญาณเรียกท่านกลับมา หวังจะจับตัวลิเหยียมด้วยกลอุบาย ได้ตัวลิเหยียมแล้วเห็นจะได้ด่านกิมก๊กโดยง่ายด้วย
ฮองตงจึงถามว่ากุนซือจะคิดอ่านอุบายประการใดจึงจะจับตัวลิเหยียมได้โดยง่าย
ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าได้สำรวจตรวจสอบภูมิประเทศโดยถี่ถ้วนแล้ว ห่างจากด่านไปสิบเส้นเป็นซอกเขาแคบทุรกันดาร เหมือนกับไซดักปลา หากได้ล่อปลามาเข้าไซแล้วก็จะจับปลาได้โดยง่าย ในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าจะให้ท่านออกไปรบล่อลิเหยียมเข้าไปที่ซอกเขา แล้วจับตัวลิเหยียมให้จงได้
ฮองตงและบรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ขงเบ้งจึงออกคำสั่งว่าเวลาปลายยามสามวันนี้ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารไปซุ่มอยู่ปากทางซอกเขา และให้แต่งทหารอีกสองกองไปซุ่มอยู่สองข้างทางภายในซอกเขา ให้ฮองตงออกไปล่อรบลิเหยียม ทำทีหนีไปในซอกเขา เมื่อลิเหยียมไล่ตามไปก็ให้ล้อมจับตัวไว้ให้จงได้
ทหารทั้งปวงรับคำสั่งขงเบ้งแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงกำลัง ครั้นเวลาปลายยามสามทหารทุกกองก็ยกออกจากค่ายไปตั้งซุ่มอยู่ตามจุดหมายที่กำหนดทุกประการ
ครั้นเวลาเช้าฮองตงจึงขี่ม้าพาทหารตรงไปที่หน้าด่าน ร้องท้าทายให้ลิเหยียมยกทหารออกมารบกัน
ฝ่ายลิเหยียมรบกับฮองตงแล้วยังไม่แพ้ชนะ แต่ทะนงว่าตัวอยู่ในวัยฉกรรจ์มีกำลังวังชากล้าแข็ง จึงสำคัญว่าหากรบกันต่อไปก็จะได้ชัยชนะแก่ฮองตงเป็นแน่แท้ ดังนั้นพอเห็นฮองตงยกทหารมาท้ารบก็กระหยิ่มใจ รีบพาทหารออกจากด่านตรงเข้ารบกับฮองตงในทันที
ฮองตงทำทีเป็นอ่อนล้าเรี่ยวแรงตามกลอุบายซึ่งขงเบ้งได้กำหนดไว้ พอประอาวุธกันได้สิบเพลงรบฮองตงก็ทำทีเป็นต้านทานกำลังของลิเหยียมไม่ได้ ชักม้าผละหนีออกจากลานรบ โฉมหน้าตรงไปทางซอกเขาที่ขงเบ้งแต่งอุบายซุ่มทหารไว้
ลิเหยียมไม่รู้กลศึก สำคัญว่าได้ทีแก่ฮองตงจึงคิดจะจับเป็นฮองตงให้จงได้ คิดดังนั้นแล้วจึงชักม้ารีบขับตามฮองตงไป ทหารของลิเหยียมเห็นตัวนายได้ทีแก่ข้าศึกก็พากันโห่ร้องกึกก้องแล้วยกตามลิเหยียมไป เหมือนหนึ่งฝูงปลาว่ายเข้าไปสู่ไซฉะนั้น
ลิเหยียมไล่ตามฮองตงด้วยความฮึกเหิมว่าจะจับตัวฮองตงเป็นความชอบ แต่ครั้นไล่ตามฮองตงเข้าไปกลางซอกเขา เห็นเส้นทางแคบและทุรกันดารก็พรั่นใจ ฉุกใจยั้งคิดว่าภูมิประเทศดังนี้คับขันนัก จึงชักม้ากลับหลังคิดจะถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม
ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นทั้งข้างหน้าข้างหลัง เสียงทหารเมืองเกงจิ๋วโห่ร้องก้องกระหึ่ม มองไปข้างหน้าเห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารเป็นอันมากสกัดขวางทางข้างหน้าไว้ ในขณะที่ทางด้านหลังฮองตงก็ยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหารขวางทางไว้อีก ลิเหยียมเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ
ในพลันนั้นได้ยินเสียงคนร้องมาแต่ยอดเขาว่า ลิเหยียมจงฟังคำเราให้จงดี บัดนี้ท่านตกเป็นเชลยของเราแล้ว จงยอมจำนนสวามิภักดิ์แต่โดยดี หากคิดอ่านต่อสู้เราก็จะสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์สังหารจนหมดสิ้น
ลิเหยียมได้ยินเสียงเย็นยะเยือกดังนั้น จึงมองขึ้นไปบนเนินเขาเห็นขงเบ้งยืนมือไพล่หลังอยู่ท่ามกลางทหารแวดล้อมสามสี่สิบคน ธงประจำตัวจูกัดเหลียงพลิ้วสะบัดตามสายลมภูเขาก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เพราะรู้ดีว่าบุคคลผู้ยืนอยู่บนเนินเขานี้คือผู้บัญชาการทหารผู้ยิ่งใหญ่ ที่บัญชาการรบได้แม่นยำไม่มีผิดพลาดดุจหนึ่งบัญชาการทหารเทวดา ขวัญก็หนีดีก็ฝ่อระย่อลง
ลิเหยียมสำนึกว่าสถานการณ์บัดนี้แม้นคิดต่อสู้สืบไปเห็นจะไม่รอดชีวิต ขงเบ้งทอดสะพานชีวิตใหม่ให้เดินดังนี้แล้ว ชอบที่เราจะรับไมตรีนั้น เห็นจะทำการสนองคุณแผ่นดินได้สืบไป สำนึกดังนี้ลิเหยียมจึงลงจากหลังม้า ถอดเสื้อเกราะ วางอาวุธลงกับพื้น แล้วคุกเข่าลงคำนับขงเบ้ง และว่าขอขอบคุณที่ท่านไว้ชีวิต ข้าพเจ้าขอยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านตั้งแต่บัดนี้ไป
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้ควบคุมตัวลิเหยียมและทหารด่านกิมก๊ก และพากันกลับไปหาเล่าปี่ที่ค่าย
ขงเบ้งได้รายงานความศึกทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ ลิเหยียมเห็นดังนั้นก็คุกเข่าคำนับเล่าปี่ ขอนอบน้อมเป็นข้าโดยสุจริต เล่าปี่จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงลิเหยียม แล้วว่า “เราจะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขจึงมาทำการครั้งนี้” ท่านจงทำการด้วยเราโดยสุจริต ร่วมกันทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุขสืบไป
ลิเหยียมยกมือขึ้นคารวะคำนับเล่าปี่ แล้วกล่าวว่าชีวิตใหม่ที่ท่านประทานให้ข้าพเจ้านี้จะขอพลีแก่ท่านโดยมิเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก
ขงเบ้งจึงถามว่าผู้ใดเป็นผู้รักษาด่านกิมก๊กและท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้ด่านโดยง่าย
ลิเหยียมจึงว่าด่านกิมก๊กนี้เล่าเจี้ยงได้แต่งให้อุยหวนผู้เป็นญาติมาดูแลรักษา แต่ อุยหวนนั้นรักใคร่ใกล้ชิดสนิทสนมเชื่อฟังข้าพเจ้า จะว่ากล่าวประการใดอุยหวนก็จะเชื่อฟังสิ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาเข้าไปว่ากล่าวกับอุยหวนให้ออกมาอ่อนน้อมแก่ท่านโดยดี
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าเมื่อท่านดำริชอบดังนี้แล้วก็จงรีบเข้าไปในด่าน ว่ากล่าวกับอุยหวนให้ออกมานอบน้อมแต่โดยดี อย่าให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก
ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วลิเหยียมจึงคำนับลาเล่าปี่ พาทหารคนสนิทกลับเข้าไปในด่านกิมก๊ก แล้วเข้าไปหาอุยหวน เล่าเนื้อความซึ่งได้เสียทีแก่เล่าปี่ ขงเบ้ง ให้อุยหวนฟังทุกประการ และว่า “อันเล่าปี่นั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎร ซึ่ง เล่าปี่มาทำทั้งนี้หวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าท่านจะขัดแข็งอยู่ไม่ออกไปอ่อนน้อม เมืองเราก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง”.