ตอนที่ 370. คนพาลเหมือนถ่านไฟ
ม้าเฉียวยอดขุนพลหนุ่มผู้เข้มแข็งแกร่งกล้าแต่อ่อนความสามารถในการสงคราม จึงถูกเอียวหูทรยศวางแผนยึดเมืองกิจิ๋วกลับคืน จนครอบครัวบุตรภรรยาของม้าเฉียวถูกตัดศีรษะจนหมดสิ้น ในขณะที่ม้าเฉียวโกรธจะยกเข้าตีเมือง กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนก็ยกมาถึง ม้าเฉียวจึงจำเป็นต้องตีฝ่าออกไป
กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนเพิ่งยกมาถึงยังไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่ากองทัพม้าเฉียวอยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้นพอถูกม้าเฉียวนำทหารตีฝ่าออกไปจึงพากันแตกตื่น ม้าเฉียวจึงพาทหารตีฝ่าหนีออกไปได้โดยสะดวก
ครั้นม้าเฉียวพาทหารหนีไปได้ประมาณสองร้อยเส้นก็พบกับกองทัพของเกียงขิมและเอียวหูซึ่งกำลังจะยกมาที่เมืองกิจิ๋ว ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารรุกเข้าตีกองทหารของเกียงขิมและเอียวหูในทันที
กำลังฝีมือของม้าเฉียวกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนัก ดังนั้นม้าเฉียวกรายทวนฝ่าไปทางด้านใด ทหารของเกียงขิมและเอียวหูก็แตกกระจัดกระจาย ม้าเฉียวเกรงว่ากองทัพแฮหัวเอี๋ยนจะยกไล่ตามมา ดังนั้นเมื่อเห็นทหารของเกียงขิมและเอียวหูแตกกระจัดกระจายแล้วจึงพาทหารหนีต่อไป
แต่พอหนีพ้นมาได้ประมาณร้อยเส้นก็ปะทะกับกองทัพของเตียวกั๋งซึ่งเป็นกองหนุนที่ยกตามเกียงขิมและเอียวหูมาที่เมืองกิจิ๋ว เตียวกั๋งมีทหารมากกว่าจึงสั่งทหารให้เข้าล้อมทหารของม้าเฉียวไว้
ทหารของม้าเฉียวรบต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน อ่อนล้าอิดโรย และถูกกระหน่ำซ้ำตีหลายระลอก บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ครั้นถูกทหารของเตียวกั๋งล้อมไว้ทุกด้านก็แตกตื่นตกใจ ทหารของเตียวกั๋งได้ฆ่าฟันทหารของม้าเฉียวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ศพพาดกลาดเกลื่อนทั้งท้องทุ่ง
ม้าเฉียว บังเต๊ก และม้าต้ายเห็นเหตุการณ์คับขันและทหารเหลือน้อยตัวนัก เห็นว่าจะต่อสู้ต่อไปไม่ได้ จึงตีฝ่าพาทหารที่เหลือประมาณห้าสิบคนออกจากวงล้อมตรงไปยังแดนเมืองลกเส
ม้าเฉียวพาทหารหนีตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ถึงเมืองลกเส จึงพาทหารตรงไปที่ประตูเมืองใต้เชิงเทินของเมืองลกเส ในขณะนั้นทหารบนเชิงเทินเห็นทหารยกมาไม่ทันสังเกตด้วยเป็นเวลามืดค่ำสำคัญว่าเป็นเกียงขิมยกกองทัพกลับจึงเปิดประตูเมืองรับ
ม้าเฉียวเดิมทีกำลังคิดหาหนทางที่จะยึดเอาเมืองลกเส แต่ยังมิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่คิดที่จะเลียบเคียงดูลาดเลา แต่พอเห็นเหตุการณ์พลิกผันเป็นทีดังนั้น จึงสั่งทหารให้บุกเข้าไปในเมืองลกเส
ทหารภายในเมืองลกเสไม่ทันระวังตัว จึงถูกทหารม้าเฉียวบุกเข้ายึดเมืองลกเสได้โดยง่าย ทหารเมืองลกเสที่คิดขัดขืนก็ถูกทหารม้าเฉียวฆ่าฟันจนหมดสิ้น พวกที่ยอมจำนนเป็นเชลยแต่โดยดีม้าเฉียวก็รับไว้เป็นทหารในสังกัด
ม้าเฉียวคิดถึงชะตากรรมที่ตกอับปานนี้ เพราะเหตุที่เอียวหูและเกียงขิมหักหลังทำร้าย จึงคิดแก้แค้นให้แก่บุตรภรรยา เรียกทหารเมืองลกเสมาไต่ถามถึงครอบครัวของเกียงขิม ครั้นทราบว่าเกียงขิมมีแต่มารดาอายุแปดสิบสองปีแล้ว ม้าเฉียวจึงพาทหารไปที่บ้านมารดาของเกียงขิม จับตัวมารดาของเกียงขิมมัดออกมาที่ลานบ้าน
มารดาเกียงขิมเป็นสตรีเหล็ก ประสบเหตุการณ์ร้ายก็มิได้พรั่นพรึง กลับชี้หน้าด่าม้าเฉียวว่าเป็นศัตรูแผ่นดิน เป็นพวกป่าเถื่อน ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ฟันมารดาเกียงขิมถึงแก่ความตาย
ทางฝ่ายเมืองกิจิ๋ว เมื่อกองทัพแฮหัวเอี๋ยนยกเข้าไปในเมืองแล้วได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพม้าเฉียวที่แตกหนีไปนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองลกเสเกรงว่าจะเข้ายึดเมืองลกเส เพราะทหารในเมืองเบาบางเนื่องจากเกียงขิมยกทหารมาช่วยเมืองกิจิ๋ว
แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ จึงสั่งให้จัดแจงกองทัพยกตามม้าเฉียวไปตั้งแต่คืนวันนั้น กองทัพยังไม่ทันเคลื่อนออกจากเมืองก็ได้รับรายงานอีกว่า บัดนี้ม้าเฉียวเข้ายึดเอาเมืองลกเสได้แล้ว แฮหัวเอี๋ยนจึงสั่งให้เร่งเดินทัพตรงไปที่เมืองลกเส
ครั้นสว่างกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนก็ยกล่วงเข้าถึงแดนเมืองลกเส ม้าเฉียวทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพตามมา เห็นว่ามีทหารน้อยตัว เกรงจะต่อสู้กับกองทัพแฮหัวเอี๋ยนไม่ได้ จึงพาทหารหนีออกจากเมืองลกเสไปตามทางลัดจะหนีไปทางแดนเมืองฮันต๋ง
ม้าเฉียวพาทหารหนีไปตามทางลัดจนถึงเวลาบ่าย คะเนว่ากองทัพของแฮหัวเอี๋ยนซึ่งยกมาตามทางใหญ่ผ่านไปแล้วจึงวกกลับเข้ามาในทางใหญ่เพื่อให้เดินทางได้โดยสะดวก
ม้าเฉียวพาทหารมาตามเส้นทางใหญ่ได้ไม่กี่เส้นสวนกับกองทัพของเอียวหู ซึ่งกำลังยกกลับมาเมืองลกเส ม้าเฉียวเห็นเอียวหูก็โกรธ แม้มีทหารน้อยกว่าก็มุด้วยมานะ สั่งทหารเข้าตีกองทัพของเอียวหูในทันที
ทหารทั้งสองฝ่ายได้ตะลุมบอนกันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวม้าเฉียวชักม้าเข้าต่อสู้กับเอียวหู หวังจะล้างแค้นให้แก่ภรรยา
เอียวหูสู้กำลังม้าเฉียวไม่ได้จึงถูกม้าเฉียวแทงด้วยทวนหลายแห่ง แต่ด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวของชายชาติทหาร แม้จะบาดเจ็บแสนสาหัสเอียวหูก็กัดฟันต่อสู้กับม้าเฉียว ไม่ย่อท้อต่อความเจ็บและความตาย
ในขณะที่เอียวหูกำลังกัดฟันสู้ตายอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงทหารโห่ร้องก้องมาจากด้านหลัง ชำเลืองมองไปเห็นเป็นกองทัพแฮหัวเอี๋ยนยกตามมาทันก็ใจชื้น กัดฟันประทวนกับม้าเฉียวต่อไป
แต่ทางด้านม้าเฉียวนั้นพลันที่ได้เห็นกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนยกตามมาทันก็พรั่นใจ เห็นกำลังทหารเหลือน้อยตัวนักเกรงว่าจะเสียที จึงชักม้าพาบังเต๊กและม้าต้ายหนีออกจากลานรบ ทหารของม้าเฉียวเหลืออยู่เพียงเจ็ดคนเห็นดังนั้นก็ขี่ม้าหนีตามม้าเฉียวไป
ครั้นม้าเฉียวหนีไปไกลแล้วแฮหัวเอี๋ยนจึงคุมกองทัพยกเข้าไปที่เมืองลกเส ตั้งให้เกียงขิมเป็นเจ้าเมืองลกเสดังแต่ก่อน ครั้นจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้วแฮหัวเอี๋ยนจึงพาเอียวหูซึ่งบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับยกทหารกลับไปเมืองฮูโต๋
เมื่อไปถึงเมืองฮูโต๋แล้วแฮหัวเอี๋ยนได้รายงานความศึกให้โจโฉทราบทุกประการ โจโฉได้ฟังเรื่องราวของเอียวหูที่กตัญญูภักดี มิได้กลัวยากมิได้กลัวตายก็มีความชื่นชม แต่งตั้งให้เอียวหูเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในเมืองหลวง
ทางด้านม้าเฉียวพาบังเต๊ก ม้าต้ายและทหารเจ็ดคนหนีออกจากแดนเมืองลกเสและพ้นออกจากเขตแดนเมืองกิจิ๋วอันเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคเหนือแล้ว ก็ปรึกษากับบังเต๊กและม้าต้ายว่าดินแดนในหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ล้วนขึ้นต่อโจโฉ ไม่มีดินแดนใดที่จะพออาศัยได้ ถึงแม้นว่าจะเข้ายึดเอาหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยเป็นที่ตั้ง ไม่ทันนานกองทัพเมืองหลวงก็จะยกมาตีเอาคืน เป็นการเสียเวลาเปล่า
จากนั้นจึงปรึกษากันว่าจะไปอาศัยที่แห่งใดดี ในที่สุดก็เห็นว่าเมืองฮันต๋งของเตียวล่อมีดินแดนต่อเนื่องกับทางภาคเหนือและเป็นอริกับโจโฉ ชอบที่จะไปขออาศัยอยู่กับเตียวล่อก็จะพ้นอันตราย
ครั้นเห็นพ้องต้องกันแล้วม้าเฉียวจึงพาบังเต๊ก ม้าต้าย และทหารเจ็ดคนรุดหน้าไปทางภาคตะวันตกตรงไปที่เมืองฮันต๋ง
ม้าเฉียวรอนแรมเดินทางจากดินแดนภาคเหนือเข้าสู่ภาคตะวันตกหลายวัน ครั้นถึงเมืองฮันต๋งจึงเข้าไปหาเตียวล่อ แล้วปรารภความแต่หนหลังให้เตียวล่อฟังทุกประการ แล้วว่าตัวข้าพเจ้าและตัวท่านต่างเป็นอริกับโจโฉ จึงเหมือนหนึ่งมีหัวอกอย่างเดียวกัน เหตุนี้จึงดั้นด้นบากหน้ามาขอพึ่งพาอาศัยท่าน
เตียวล่อได้กิตติศัพท์ของม้าเฉียวมาแต่ก่อนว่ามีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญเสมอด้วยเตียวหุย ครั้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ต้อนรับขับสู้ม้าเฉียวอย่างแขกเมืองคนสำคัญ
ครั้นถึงวันออกว่าราชการเตียวล่อจึงปรารภความแก่บรรดาขุนนางที่ปรึกษาและข้าราชการทั้งปวงว่า การที่ม้าเฉียวมาอยู่ด้วยเราบัดนี้ซึ่งจะคิดการใหญ่ไปภายหน้าเห็นจะทำการได้สะดวก “ฝ่ายทิศตะวันออกก็จะได้ต่อสู้กับโจโฉ ข้างตะวันตกนั้นก็คิดจะเอาเมืองเสฉวน ครั้งนี้ข้าศึกทั้งปวงก็จะยำเกรงเพราะม้าเฉียวมาเป็นกำลังของเรา ควรที่จะยกลูกสาวเราให้อยู่ด้วยกันตามประเพณี”
เตียวล่อตีคุณค่าราคาของม้าเฉียวเป็นขุนพลของแดนฮันต๋ง แล้วกำเริบใจคิดจะทำศึกทั้งด้านตะวันออกกับโจโฉ และจะยึดเอาเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยงทางด้านตะวันตกเพื่อสถาปนาอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อกำเริบใจคิดการใหญ่ดังนี้แล้วก็คิดที่จะผูกดองม้าเฉียวให้สนิทชิดเชื้อแน่นแฟ้น จึงปรารภความที่จะยกลูกสาวให้เป็นเมียของม้าเฉียว
แต่เอียวเป๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเตียวล่อครั้นได้ฟังปรารภของเตียวล่อแล้วได้ทัดทานว่า ม้าเฉียวเพิ่งมาอยู่ด้วยท่านไม่ทันไร จะยกลูกสาวให้แก่ม้าเฉียวนั้นไม่สมควร ก็แลม้าเฉียวนี้มีบุตรภรรยามาแต่ก่อน แต่ไม่สมศักดิ์รักษาบุตรภรรยาไว้ไม่ได้จนถึงแก่ความตายสิ้น ท่านจะยกบุตรสาวให้แก่ม้าเฉียวดังนี้ หากวันหน้าม้าเฉียวรักษาบุตรภรรยาไม่ได้เหมือนดังที่เป็นมาท่านก็จะเสียบุตรเป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวง ท่านจงยับยั้งชั่งใจให้จงดี
เตียวล่อได้ฟังคำท้วงของเอียวเป๊กก็ได้คิด จึงงดการยกลูกสาวให้เป็นเมียของม้าเฉียวไว้ก่อน แต่ให้แต่งตั้งม้าเฉียวเป็นขุนนางฝ่ายทหารของเมืองฮันต๋ง
ความที่เตียวล่อปรารภในที่ว่าราชการล่วงรู้ไปถึงหูม้าเฉียวก็น้อยใจเอียวเป๊กว่ามิได้มีอริแค้นเคืองกันมาแต่ก่อน ไฉนจึงคิดตัดรอนโชควาสนาของเราดังนี้ คิดดังนั้นแล้วม้าเฉียวก็ผูกเจ็บเอียวเป๊กไว้ในใจตั้งแต่บัดนั้น
ฝ่ายอุยก๋วนซึ่งถือหนังสือของเล่าเจี้ยงมาแต่เมืองเสฉวน ครั้นมาถึงเมืองฮันต๋งจึงเข้าไปขอพบเตียวล่อตามธรรมเนียม
เตียวล่อเป็นอริกับเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนมาแต่ก่อน และไม่เคยติดต่อไปมาหาสู่กันเป็นเวลาช้านาน จู่ ๆ ก็มีขุนนางเมืองเสฉวนมาขอพบจึงรู้สึกประหลาดใจ แต่เพื่อมิให้เสียประเพณี เตียวล่อจึงให้หาอุยก๋วนเข้ามาพบ
อุยก๋วนคำนับทักทายเตียวล่อตามธรรมเนียมแล้ว จึงมอบหนังสือของเล่าเจี้ยงแก่เตียวล่อ
เตียวล่อรับหนังสือของเล่าเจี้ยงแล้วเปิดอ่านดูมีใจความว่า “บัดนี้เล่าปี่ยกมาทำร้ายแก่เมืองเสฉวน คิดการกำเริบใหญ่หลวงนัก แลเมืองเสฉวนกับเมืองฮันต๋งนี้ก็เหมือนปากกับฟันใกล้กันนัก แม้เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วก็เห็นว่าจะมาทำร้ายแก่เมืองฮันต๋ง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน ขอท่านยกทหารมาช่วยกันกำจัดเล่าปี่เสีย ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะยกหัวเมืองเสฉวนให้แก่ท่านยี่สิบหัวเมือง”
เตียวล่อมีน้ำใจพยาบาทอยู่กับเล่าเจี้ยง แต่ครั้นทราบความตามหนังสือของเล่าเจี้ยงแล้วก็เห็นสมจริงว่าหากแม้นเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน ก็จะยกมายึดเมืองฮันต๋งเป็นมั่นคง ดังนั้นเล่าปี่จึงเป็นอันตรายแก่เมืองฮันต๋งมากกว่าเล่าเจี้ยง ชอบที่จะกำจัดเล่าปี่เสียก่อนที่จะเติบใหญ่แล้วยกมายึดเมืองฮันต๋ง ทั้งการยกไปช่วยเล่าเจี้ยงในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกันรักษาเมืองฮันต๋งไว้เท่านั้น ยังจะได้รับดินแดนเมืองเสฉวนจากเล่าเจี้ยงอีกยี่สิบหัวเมือง
เตียวล่อคิดดังนั้นแล้วก็มีความยินดี ละความพยาบาทแต่ก่อนมานั้นเสีย และกล่าวกับอุยก๋วนว่าท่านอย่าได้ทุกข์ร้อน เราจะยกกองทัพไปช่วยเล่าเจี้ยงกำจัดเล่าปี่เสียให้จงได้
เตียวล่อกล่าวสิ้นคำลง เงียมเภาซึ่งเป็นขุนนางก็คัดค้านว่าท่านอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเพราะเล่าเจี้ยงกับตัวท่านก็เป็นอริกันมาช้านาน เล่าเจี้ยงมีหนังสือมาถึงท่านในครั้งนี้เพราะเหตุจวนตัวกลัวเล่าปี่จะยึดเอาเมืองเสฉวน จึงมีหนังสือมาลวงท่านให้ยกกองทัพไปช่วย หากแม้นท่านหลงคำลวงของเล่าเจี้ยงคนพาลแล้วก็เสมือนหนึ่งท่านเอามือจับถ่านไฟ ยามลุกไหม้ก็จะร้อนมือ แม้มอดแล้วก็เปรอะเปื้อนโสโครก อันเล่าปี่นี้มีขงเบ้งเป็นที่ปรึกษามีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งทหารเอกมีฝีมือก็มีนับไม่ถ้วน หากพลาดพลั้งเสียทีแก่เล่าปี่แล้วเล่าปี่ก็จะยกมาตีเอาเมืองฮันต๋ง เล่าเจี้ยงก็จะนั่งหัวเราะเยาะท่าน จงยับยั้งการซึ่งจะยกไปช่วยเล่าเจี้ยงเสียเถิด.
กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนเพิ่งยกมาถึงยังไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่ากองทัพม้าเฉียวอยู่ในบริเวณนั้น ดังนั้นพอถูกม้าเฉียวนำทหารตีฝ่าออกไปจึงพากันแตกตื่น ม้าเฉียวจึงพาทหารตีฝ่าหนีออกไปได้โดยสะดวก
ครั้นม้าเฉียวพาทหารหนีไปได้ประมาณสองร้อยเส้นก็พบกับกองทัพของเกียงขิมและเอียวหูซึ่งกำลังจะยกมาที่เมืองกิจิ๋ว ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารรุกเข้าตีกองทหารของเกียงขิมและเอียวหูในทันที
กำลังฝีมือของม้าเฉียวกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนัก ดังนั้นม้าเฉียวกรายทวนฝ่าไปทางด้านใด ทหารของเกียงขิมและเอียวหูก็แตกกระจัดกระจาย ม้าเฉียวเกรงว่ากองทัพแฮหัวเอี๋ยนจะยกไล่ตามมา ดังนั้นเมื่อเห็นทหารของเกียงขิมและเอียวหูแตกกระจัดกระจายแล้วจึงพาทหารหนีต่อไป
แต่พอหนีพ้นมาได้ประมาณร้อยเส้นก็ปะทะกับกองทัพของเตียวกั๋งซึ่งเป็นกองหนุนที่ยกตามเกียงขิมและเอียวหูมาที่เมืองกิจิ๋ว เตียวกั๋งมีทหารมากกว่าจึงสั่งทหารให้เข้าล้อมทหารของม้าเฉียวไว้
ทหารของม้าเฉียวรบต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน อ่อนล้าอิดโรย และถูกกระหน่ำซ้ำตีหลายระลอก บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ครั้นถูกทหารของเตียวกั๋งล้อมไว้ทุกด้านก็แตกตื่นตกใจ ทหารของเตียวกั๋งได้ฆ่าฟันทหารของม้าเฉียวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ศพพาดกลาดเกลื่อนทั้งท้องทุ่ง
ม้าเฉียว บังเต๊ก และม้าต้ายเห็นเหตุการณ์คับขันและทหารเหลือน้อยตัวนัก เห็นว่าจะต่อสู้ต่อไปไม่ได้ จึงตีฝ่าพาทหารที่เหลือประมาณห้าสิบคนออกจากวงล้อมตรงไปยังแดนเมืองลกเส
ม้าเฉียวพาทหารหนีตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ถึงเมืองลกเส จึงพาทหารตรงไปที่ประตูเมืองใต้เชิงเทินของเมืองลกเส ในขณะนั้นทหารบนเชิงเทินเห็นทหารยกมาไม่ทันสังเกตด้วยเป็นเวลามืดค่ำสำคัญว่าเป็นเกียงขิมยกกองทัพกลับจึงเปิดประตูเมืองรับ
ม้าเฉียวเดิมทีกำลังคิดหาหนทางที่จะยึดเอาเมืองลกเส แต่ยังมิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่คิดที่จะเลียบเคียงดูลาดเลา แต่พอเห็นเหตุการณ์พลิกผันเป็นทีดังนั้น จึงสั่งทหารให้บุกเข้าไปในเมืองลกเส
ทหารภายในเมืองลกเสไม่ทันระวังตัว จึงถูกทหารม้าเฉียวบุกเข้ายึดเมืองลกเสได้โดยง่าย ทหารเมืองลกเสที่คิดขัดขืนก็ถูกทหารม้าเฉียวฆ่าฟันจนหมดสิ้น พวกที่ยอมจำนนเป็นเชลยแต่โดยดีม้าเฉียวก็รับไว้เป็นทหารในสังกัด
ม้าเฉียวคิดถึงชะตากรรมที่ตกอับปานนี้ เพราะเหตุที่เอียวหูและเกียงขิมหักหลังทำร้าย จึงคิดแก้แค้นให้แก่บุตรภรรยา เรียกทหารเมืองลกเสมาไต่ถามถึงครอบครัวของเกียงขิม ครั้นทราบว่าเกียงขิมมีแต่มารดาอายุแปดสิบสองปีแล้ว ม้าเฉียวจึงพาทหารไปที่บ้านมารดาของเกียงขิม จับตัวมารดาของเกียงขิมมัดออกมาที่ลานบ้าน
มารดาเกียงขิมเป็นสตรีเหล็ก ประสบเหตุการณ์ร้ายก็มิได้พรั่นพรึง กลับชี้หน้าด่าม้าเฉียวว่าเป็นศัตรูแผ่นดิน เป็นพวกป่าเถื่อน ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ฟันมารดาเกียงขิมถึงแก่ความตาย
ทางฝ่ายเมืองกิจิ๋ว เมื่อกองทัพแฮหัวเอี๋ยนยกเข้าไปในเมืองแล้วได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่า กองทัพม้าเฉียวที่แตกหนีไปนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองลกเสเกรงว่าจะเข้ายึดเมืองลกเส เพราะทหารในเมืองเบาบางเนื่องจากเกียงขิมยกทหารมาช่วยเมืองกิจิ๋ว
แฮหัวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ จึงสั่งให้จัดแจงกองทัพยกตามม้าเฉียวไปตั้งแต่คืนวันนั้น กองทัพยังไม่ทันเคลื่อนออกจากเมืองก็ได้รับรายงานอีกว่า บัดนี้ม้าเฉียวเข้ายึดเอาเมืองลกเสได้แล้ว แฮหัวเอี๋ยนจึงสั่งให้เร่งเดินทัพตรงไปที่เมืองลกเส
ครั้นสว่างกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนก็ยกล่วงเข้าถึงแดนเมืองลกเส ม้าเฉียวทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพตามมา เห็นว่ามีทหารน้อยตัว เกรงจะต่อสู้กับกองทัพแฮหัวเอี๋ยนไม่ได้ จึงพาทหารหนีออกจากเมืองลกเสไปตามทางลัดจะหนีไปทางแดนเมืองฮันต๋ง
ม้าเฉียวพาทหารหนีไปตามทางลัดจนถึงเวลาบ่าย คะเนว่ากองทัพของแฮหัวเอี๋ยนซึ่งยกมาตามทางใหญ่ผ่านไปแล้วจึงวกกลับเข้ามาในทางใหญ่เพื่อให้เดินทางได้โดยสะดวก
ม้าเฉียวพาทหารมาตามเส้นทางใหญ่ได้ไม่กี่เส้นสวนกับกองทัพของเอียวหู ซึ่งกำลังยกกลับมาเมืองลกเส ม้าเฉียวเห็นเอียวหูก็โกรธ แม้มีทหารน้อยกว่าก็มุด้วยมานะ สั่งทหารเข้าตีกองทัพของเอียวหูในทันที
ทหารทั้งสองฝ่ายได้ตะลุมบอนกันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวม้าเฉียวชักม้าเข้าต่อสู้กับเอียวหู หวังจะล้างแค้นให้แก่ภรรยา
เอียวหูสู้กำลังม้าเฉียวไม่ได้จึงถูกม้าเฉียวแทงด้วยทวนหลายแห่ง แต่ด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวของชายชาติทหาร แม้จะบาดเจ็บแสนสาหัสเอียวหูก็กัดฟันต่อสู้กับม้าเฉียว ไม่ย่อท้อต่อความเจ็บและความตาย
ในขณะที่เอียวหูกำลังกัดฟันสู้ตายอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงทหารโห่ร้องก้องมาจากด้านหลัง ชำเลืองมองไปเห็นเป็นกองทัพแฮหัวเอี๋ยนยกตามมาทันก็ใจชื้น กัดฟันประทวนกับม้าเฉียวต่อไป
แต่ทางด้านม้าเฉียวนั้นพลันที่ได้เห็นกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนยกตามมาทันก็พรั่นใจ เห็นกำลังทหารเหลือน้อยตัวนักเกรงว่าจะเสียที จึงชักม้าพาบังเต๊กและม้าต้ายหนีออกจากลานรบ ทหารของม้าเฉียวเหลืออยู่เพียงเจ็ดคนเห็นดังนั้นก็ขี่ม้าหนีตามม้าเฉียวไป
ครั้นม้าเฉียวหนีไปไกลแล้วแฮหัวเอี๋ยนจึงคุมกองทัพยกเข้าไปที่เมืองลกเส ตั้งให้เกียงขิมเป็นเจ้าเมืองลกเสดังแต่ก่อน ครั้นจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้วแฮหัวเอี๋ยนจึงพาเอียวหูซึ่งบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับยกทหารกลับไปเมืองฮูโต๋
เมื่อไปถึงเมืองฮูโต๋แล้วแฮหัวเอี๋ยนได้รายงานความศึกให้โจโฉทราบทุกประการ โจโฉได้ฟังเรื่องราวของเอียวหูที่กตัญญูภักดี มิได้กลัวยากมิได้กลัวตายก็มีความชื่นชม แต่งตั้งให้เอียวหูเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในเมืองหลวง
ทางด้านม้าเฉียวพาบังเต๊ก ม้าต้ายและทหารเจ็ดคนหนีออกจากแดนเมืองลกเสและพ้นออกจากเขตแดนเมืองกิจิ๋วอันเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคเหนือแล้ว ก็ปรึกษากับบังเต๊กและม้าต้ายว่าดินแดนในหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ล้วนขึ้นต่อโจโฉ ไม่มีดินแดนใดที่จะพออาศัยได้ ถึงแม้นว่าจะเข้ายึดเอาหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยเป็นที่ตั้ง ไม่ทันนานกองทัพเมืองหลวงก็จะยกมาตีเอาคืน เป็นการเสียเวลาเปล่า
จากนั้นจึงปรึกษากันว่าจะไปอาศัยที่แห่งใดดี ในที่สุดก็เห็นว่าเมืองฮันต๋งของเตียวล่อมีดินแดนต่อเนื่องกับทางภาคเหนือและเป็นอริกับโจโฉ ชอบที่จะไปขออาศัยอยู่กับเตียวล่อก็จะพ้นอันตราย
ครั้นเห็นพ้องต้องกันแล้วม้าเฉียวจึงพาบังเต๊ก ม้าต้าย และทหารเจ็ดคนรุดหน้าไปทางภาคตะวันตกตรงไปที่เมืองฮันต๋ง
ม้าเฉียวรอนแรมเดินทางจากดินแดนภาคเหนือเข้าสู่ภาคตะวันตกหลายวัน ครั้นถึงเมืองฮันต๋งจึงเข้าไปหาเตียวล่อ แล้วปรารภความแต่หนหลังให้เตียวล่อฟังทุกประการ แล้วว่าตัวข้าพเจ้าและตัวท่านต่างเป็นอริกับโจโฉ จึงเหมือนหนึ่งมีหัวอกอย่างเดียวกัน เหตุนี้จึงดั้นด้นบากหน้ามาขอพึ่งพาอาศัยท่าน
เตียวล่อได้กิตติศัพท์ของม้าเฉียวมาแต่ก่อนว่ามีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญเสมอด้วยเตียวหุย ครั้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ต้อนรับขับสู้ม้าเฉียวอย่างแขกเมืองคนสำคัญ
ครั้นถึงวันออกว่าราชการเตียวล่อจึงปรารภความแก่บรรดาขุนนางที่ปรึกษาและข้าราชการทั้งปวงว่า การที่ม้าเฉียวมาอยู่ด้วยเราบัดนี้ซึ่งจะคิดการใหญ่ไปภายหน้าเห็นจะทำการได้สะดวก “ฝ่ายทิศตะวันออกก็จะได้ต่อสู้กับโจโฉ ข้างตะวันตกนั้นก็คิดจะเอาเมืองเสฉวน ครั้งนี้ข้าศึกทั้งปวงก็จะยำเกรงเพราะม้าเฉียวมาเป็นกำลังของเรา ควรที่จะยกลูกสาวเราให้อยู่ด้วยกันตามประเพณี”
เตียวล่อตีคุณค่าราคาของม้าเฉียวเป็นขุนพลของแดนฮันต๋ง แล้วกำเริบใจคิดจะทำศึกทั้งด้านตะวันออกกับโจโฉ และจะยึดเอาเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยงทางด้านตะวันตกเพื่อสถาปนาอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อกำเริบใจคิดการใหญ่ดังนี้แล้วก็คิดที่จะผูกดองม้าเฉียวให้สนิทชิดเชื้อแน่นแฟ้น จึงปรารภความที่จะยกลูกสาวให้เป็นเมียของม้าเฉียว
แต่เอียวเป๊กซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเตียวล่อครั้นได้ฟังปรารภของเตียวล่อแล้วได้ทัดทานว่า ม้าเฉียวเพิ่งมาอยู่ด้วยท่านไม่ทันไร จะยกลูกสาวให้แก่ม้าเฉียวนั้นไม่สมควร ก็แลม้าเฉียวนี้มีบุตรภรรยามาแต่ก่อน แต่ไม่สมศักดิ์รักษาบุตรภรรยาไว้ไม่ได้จนถึงแก่ความตายสิ้น ท่านจะยกบุตรสาวให้แก่ม้าเฉียวดังนี้ หากวันหน้าม้าเฉียวรักษาบุตรภรรยาไม่ได้เหมือนดังที่เป็นมาท่านก็จะเสียบุตรเป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวง ท่านจงยับยั้งชั่งใจให้จงดี
เตียวล่อได้ฟังคำท้วงของเอียวเป๊กก็ได้คิด จึงงดการยกลูกสาวให้เป็นเมียของม้าเฉียวไว้ก่อน แต่ให้แต่งตั้งม้าเฉียวเป็นขุนนางฝ่ายทหารของเมืองฮันต๋ง
ความที่เตียวล่อปรารภในที่ว่าราชการล่วงรู้ไปถึงหูม้าเฉียวก็น้อยใจเอียวเป๊กว่ามิได้มีอริแค้นเคืองกันมาแต่ก่อน ไฉนจึงคิดตัดรอนโชควาสนาของเราดังนี้ คิดดังนั้นแล้วม้าเฉียวก็ผูกเจ็บเอียวเป๊กไว้ในใจตั้งแต่บัดนั้น
ฝ่ายอุยก๋วนซึ่งถือหนังสือของเล่าเจี้ยงมาแต่เมืองเสฉวน ครั้นมาถึงเมืองฮันต๋งจึงเข้าไปขอพบเตียวล่อตามธรรมเนียม
เตียวล่อเป็นอริกับเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนมาแต่ก่อน และไม่เคยติดต่อไปมาหาสู่กันเป็นเวลาช้านาน จู่ ๆ ก็มีขุนนางเมืองเสฉวนมาขอพบจึงรู้สึกประหลาดใจ แต่เพื่อมิให้เสียประเพณี เตียวล่อจึงให้หาอุยก๋วนเข้ามาพบ
อุยก๋วนคำนับทักทายเตียวล่อตามธรรมเนียมแล้ว จึงมอบหนังสือของเล่าเจี้ยงแก่เตียวล่อ
เตียวล่อรับหนังสือของเล่าเจี้ยงแล้วเปิดอ่านดูมีใจความว่า “บัดนี้เล่าปี่ยกมาทำร้ายแก่เมืองเสฉวน คิดการกำเริบใหญ่หลวงนัก แลเมืองเสฉวนกับเมืองฮันต๋งนี้ก็เหมือนปากกับฟันใกล้กันนัก แม้เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วก็เห็นว่าจะมาทำร้ายแก่เมืองฮันต๋ง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อน ขอท่านยกทหารมาช่วยกันกำจัดเล่าปี่เสีย ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะยกหัวเมืองเสฉวนให้แก่ท่านยี่สิบหัวเมือง”
เตียวล่อมีน้ำใจพยาบาทอยู่กับเล่าเจี้ยง แต่ครั้นทราบความตามหนังสือของเล่าเจี้ยงแล้วก็เห็นสมจริงว่าหากแม้นเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน ก็จะยกมายึดเมืองฮันต๋งเป็นมั่นคง ดังนั้นเล่าปี่จึงเป็นอันตรายแก่เมืองฮันต๋งมากกว่าเล่าเจี้ยง ชอบที่จะกำจัดเล่าปี่เสียก่อนที่จะเติบใหญ่แล้วยกมายึดเมืองฮันต๋ง ทั้งการยกไปช่วยเล่าเจี้ยงในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกันรักษาเมืองฮันต๋งไว้เท่านั้น ยังจะได้รับดินแดนเมืองเสฉวนจากเล่าเจี้ยงอีกยี่สิบหัวเมือง
เตียวล่อคิดดังนั้นแล้วก็มีความยินดี ละความพยาบาทแต่ก่อนมานั้นเสีย และกล่าวกับอุยก๋วนว่าท่านอย่าได้ทุกข์ร้อน เราจะยกกองทัพไปช่วยเล่าเจี้ยงกำจัดเล่าปี่เสียให้จงได้
เตียวล่อกล่าวสิ้นคำลง เงียมเภาซึ่งเป็นขุนนางก็คัดค้านว่าท่านอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเพราะเล่าเจี้ยงกับตัวท่านก็เป็นอริกันมาช้านาน เล่าเจี้ยงมีหนังสือมาถึงท่านในครั้งนี้เพราะเหตุจวนตัวกลัวเล่าปี่จะยึดเอาเมืองเสฉวน จึงมีหนังสือมาลวงท่านให้ยกกองทัพไปช่วย หากแม้นท่านหลงคำลวงของเล่าเจี้ยงคนพาลแล้วก็เสมือนหนึ่งท่านเอามือจับถ่านไฟ ยามลุกไหม้ก็จะร้อนมือ แม้มอดแล้วก็เปรอะเปื้อนโสโครก อันเล่าปี่นี้มีขงเบ้งเป็นที่ปรึกษามีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งทหารเอกมีฝีมือก็มีนับไม่ถ้วน หากพลาดพลั้งเสียทีแก่เล่าปี่แล้วเล่าปี่ก็จะยกมาตีเอาเมืองฮันต๋ง เล่าเจี้ยงก็จะนั่งหัวเราะเยาะท่าน จงยับยั้งการซึ่งจะยกไปช่วยเล่าเจี้ยงเสียเถิด.