ตอนที่ 369. กำลังกับปัญญา

 เล่าเจี้ยงไม่ยอมจำนนตามหนังสือของหวดเจ้ง กลับส่งทหารไปรักษาด่านกิมก๊ก แล้วมีหนังสือไปถึงเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งขอให้ยกทหารมาช่วยตีกระหนาบเล่าปี่ ในขณะที่เหตุการณ์ทางด้านม้าเฉียวซึ่งแตกหนีโจโฉไปตั้งตัวได้แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองกิจิ๋ว อุยของเจ้าเมืองไม่ฟังคำทัดทานของแม่ทัพนายกอง กลับเปิดประตูเมืองยอมอ่อนน้อมแก่ม้าเฉียว แต่ม้าเฉียวเห็นว่าเป็นการอ่อนน้อมโดยไม่สุจริต จึงประณามอุยของ

            หลังจากม้าเฉียวกล่าวประณามอุยของแล้ว จึงสั่งทหารให้เข้าควบคุมตัวอุยของ และให้จับครอบครัวของอุยของเอาไปประหารชีวิตพร้อมกัน

            ม้าเฉียวสั่งการสิ้นความก็มีทหารเมืองกิจิ๋วที่เข้าสวามิภักดิ์ทักท้วงว่า ซึ่งท่านจะให้ประหารชีวิตอุยของผู้ยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์นั้นไม่สมควร แต่เอียวหูต่างหากซึ่งเป็นผู้ขัดขวางทัดทานไม่ให้อุยของยอมอ่อนน้อมต่อท่าน ชอบที่จะประหารชีวิตเอียวหูเสีย

            ม้าเฉียวได้ฟังคำท้วงดังนั้นจึงว่า คนแบบอุยของเลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวแดงแกงร้อน เพราะรักตัวกลัวตายยิ่งกว่ารักหน้าที่ เห็นแก่ความสุขยิ่งกว่าศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร แม้นเลี้ยงไว้นานไปหัวเมืองอื่นยกมาย่ำยีก็จะยอมนอบน้อมอีกการเราก็จะเสียไป แลที่เอียวหูซึ่งเป็นผู้ทัดทานนั้นเป็นการทำการตามหน้าที่ของชายชาติทหาร บ่งบอกสันดานความเป็นคนซื่อตรง ไว้วางใจให้รับผิดชอบหน้าที่ได้ คนชนิดนี้แล้วที่พึงเลี้ยงไว้ใช้งาน

            ว่าแล้วม้าเฉียวจึงเร่งทหารให้คุมตัวอุยของและครอบครัวเอาไปประหารชีวิต และให้ตั้งเอียวหูเป็นปลัดเมืองกิจิ๋ว

            เอียวหูมีใจมั่นคงต่อเมืองหลวง มิได้ศรัทธาเชื่อถือม้าเฉียว แม้ส้มหล่นลงในมือโดยไม่คาดคิดก็มิได้ยินดี แต่เมื่อตกเป็นเชลยของม้าเฉียวก็คิดหาทางเอาชีวิตรอด เอียวหูจึงลุกมาตรงที่หน้าว่าราชการ คุกเข่าลงคำนับม้าเฉียวแล้วว่า ซึ่งท่านไว้ชีวิตและยังวางใจมอบหมายหน้าที่สำคัญทั้งนี้ คุณมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะรับใช้ท่านไปจนตลอดชีวิต แต่ทว่าบัดนี้ภรรยาข้าพเจ้าเสียชีวิตที่เมืองหลิมเอีย ยังมิได้ทำศพตามธรรมเนียม ด้วยห่วงการศึกข้างเมืองกิจิ๋ว บัดนี้เมื่อการศึกสิ้นแล้วข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปทำศพภรรยาสักสองเดือน เสร็จแล้วจะรีบกลับมาปฏิบัติหน้าที่รับใช้ท่าน

            ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าเอียวหูเป็นคนซื่อตรง ตระหนักต่อภาระหน้าที่ของบ้านเมืองยิ่งกว่าภาระหน้าที่ของครอบครัวก็มีน้ำใจเมตตา และอนุญาตให้เอียวหูกลับไปทำศพภรรยาได้ตามที่ขอร้อง

            ม้าเฉียววางใจอุยของเพียงแค่เห็นหน้าในครั้งแรก โดยมิได้รู้จักมักคุ้นกันมาแต่ก่อน ดังนั้นการไว้วางใจเช่นนี้จึงถือเป็นการวางใจคนตามอารมณ์และอำเภอใจ ไม่ชอบด้วยหลักการบังคับบัญชาคนที่ต้องดูและตรวจสอบถึงความเป็นมาแลเทือกเถาเหล่ากอแต่หนหลังให้ถ่องแท้ก่อน เห็นเป็นคนซื่อสัตย์ในประวัติอันยาวนานแล้วจึงค่อยใช้ และเมื่อใช้แล้วก็ต้องวางใจ แต่ม้าเฉียวเพียงเห็นหน้าเอียวหูก็วางใจสนิทและยังปล่อยกลับไปบ้านเดิม จึงสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายในภายหลัง เพราะหากแม้นเอียวหูไม่ซื่อสัตย์สมคำพูดแล้ว การปล่อยเอียวหูก็เหมือนปล่อยเสือใหญ่ไปเข้าป่า ปล่อยจระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำก็จะมีกำลัง และหวนกลับมาทำร้ายในภายหลัง

            เอียวหูคำนับลาม้าเฉียวแล้วจัดแจงข้าวของออกเดินทางจากเมืองกิจิ๋วไปเมืองลกเสซึ่งเกียงขิมบุตรของอาเอียวหูเป็นเจ้าเมือง

            ครั้นไปถึงเมืองลกเสแล้วเอียวหูจึงเข้าไปหามารดาของเกียงขิม คำนับแล้วร้องไห้ รำพันว่า “ตัวข้าพเจ้าไปทำราชการอยู่ด้วยอุยของ ณ เมืองกิจิ๋ว มิได้ป้องกันรักษานายของตัวให้พ้นอันตราย แลม้าเฉียวอ้ายศัตรูแผ่นดินมาฆ่าอุยของเสีย ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดได้เลย ได้ความอัปยศแก่ชาวเมืองทั้งปวงเพราะว่ารักษานายมิได้ แลบัดนี้อาณาประชาราษฎรในเมืองกิจิ๋วก็เดือดร้อนเจ็บแค้นอยู่ทุกคน คิดจะทำร้ายม้าเฉียวเสียให้ได้ เหตุใดพี่ข้าพเจ้าเป็นถึงเจ้าเมืองลกเส มิได้จัดทหารยกไปกำจัดศัตรูเสีย ช่างนิ่งอยู่ได้มิได้คิดอ่านเลย”

            เอียวหูมาถึงเมืองลกเสก็คิดอ่านเข้าไปหาอาสะใภ้ ปรารภถึงความอัปยศที่ไม่สามารถป้องกันรักษาชีวิตนายเอาไว้ได้ มิหนำยังซ้ำยังต่อว่าเกียงขิมผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้น้อง แต่มีอายุเป็นพี่ว่านิ่งดูดาย ไม่คิดแก้แค้นให้แก่อุยของ

            มารดาของเกียงขิมเป็นสตรีชรา อายุร่วมแปดสิบสองปี เคร่งครัดในความกตัญญูรู้คุณคน ได้ฟังคำเอียวหูก็พาเห็นจริงเห็นจังไปกับเอียวหูว่าการซึ่งเกียงขิมไม่คิดอ่านแก้แค้นให้กับอุยของเป็นการอกตัญญูต่อผู้เป็นนาย

            มารดาของเกียงขิมคิดดังนั้นแล้วจึงเรียกเกียงขิมเข้ามาหา แล้วถามเกียงขิมว่าซึ่งม้าเฉียวฆ่าอุยของผู้เป็นนายของเจ้าเสียนั้น เจ้ามิรู้ความหรือ

            เกียงขิมฟังคำมารดาแล้วมองหน้าเอียวหูก็รู้ว่าความซึ่งมารดาถามทั้งนี้มีความนัยที่เกี่ยวข้องกับเอียวหู จึงว่าข้าพเจ้ารู้ความทั้งสิ้นอยู่ แต่มารดากล่าวเรื่องนี้ด้วยเหตุใดเพราะว่าเมื่อม้าเฉียวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว คนทั้งปวงก็ยอมสวามิภักดิ์แก่ม้าเฉียวสิ้น

            มารดาของเกียงขิมได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองกิจิ๋วมีศึกสงคราม แต่ตัวเจ้ามิได้ยกกองทัพไปช่วย อุยของจึงยอมสวามิภักดิ์และถูกม้าเฉียวฆ่าเสียแล้ว ความผิดก็จะมีอยู่แก่เจ้าเป็นอันมาก หากแม้นโจโฉทราบก็จะทำโทษเจ้า

            แล้วแม่เฒ่าจึงหันมาทางเอียวหู และว่าตัวเจ้าก็เช่นเดียวกันทำราชการอยู่กับโจโฉแต่กลับยอมรับตำแหน่งเป็นขุนนางในม้าเฉียว เวลาบัดนี้เจ้าก็เป็นข้าของม้าเฉียว เหตุไฉนจึงไม่คิดถึงคุณนาย กลับมาคิดอ่านทำร้ายนายผู้มีคุณอีกเล่า

            เอียวหูได้ฟังดังนั้นจึงว่า ที่ข้าพเจ้านอบน้อมต่อม้าเฉียวนั้นหวังจะแก้แค้นให้แก่อุยของ มิใช่การสวามิภักดิ์โดยสุจริต

            เกียงขิมได้ฟังเอียวหูดังนั้นจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า ซึ่งจะแก้แค้นให้แก่อุยของนั้นเห็นขัดสนเพราะม้าเฉียวชาวเมืองเสเหลียงผู้นี้มีฝีมือกล้าแข็ง ยากที่จะเอาชัยชนะได้ ท่านจะคิดอ่านประการใด

            เอียวหูจึงว่าการแพ้แลชนะหาได้ขึ้นอยู่กับกำลังและฝีมือเพียงอย่างเดียว อันม้าเฉียวแม้มีกำลังฝีมือกล้าแข็งก็จริงอยู่ แต่สติปัญญาความคิดอ่านนั้นเหมือนเด็กน้อย หากท่านยอมร่วมมือกับข้าพเจ้าแล้ว การจะกำจัดม้าเฉียวก็มิใช่เรื่องยากเย็นประการใด

            เกียงขิมจึงถามว่าท่านมีแผนการอย่างใดหรือ

            เอียวหูจึงว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะออกจากเมืองกิจิ๋วนั้น ได้ตกลงกับเลงควันและเตียวเหงสองนายทหารผู้ใหญ่ไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านอุบายออกไประดมผู้คนข้างนอกเมือง แม้นยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋วแล้ว เลงควันและเตียวเหงก็จะเป็นไส้ศึกทำการอยู่ในเมืองเห็นจะได้ชัยชนะแก่ม้าเฉียวโดยง่าย

            มารดาของเกียงขิมได้ฟังดังนั้นจึงสนับสนุนว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นคนพึงตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตและภักดีต่อนาย อย่าได้เสียดายแก่ชีวิตตัว ยามมีชีวิตอยู่มนุษย์ก็จะสรรเสริญ แม้นตายแล้วเทพยดาก็นับถือ ฉะนั้นเจ้าทั้งสองจงคิดอ่านทำการกำจัดม้าเฉียวแก้แค้นแทนอุยของผู้เป็นนายให้สำเร็จโดยไวเถิด

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาคำของมารดาเกียงขิมตอนนี้ว่า “อันเกิดเป็นคน ไหน ๆ ก็จะตายหนหนึ่งเหมือนกัน เจ้าจะทำสงครามอย่ากลัวแก่ความตาย อนึ่งอย่าได้คิดอาลัยพะวักพะวนถึงมารดานี้เลย ถ้าเจ้าวิตกถึงเราอยู่ เราก็จะตายเสียให้รู้แล้วไป มิให้เป็นกังวลแก่เจ้า”

            สองนายทหารเก่าของอุยของได้ฟังคำแม่เฒ่าดังนั้น จึงรับคำพร้อมกันว่าจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าทั้งสองจะคิดอ่านกำจัดม้าเฉียวเสียให้จงได้

            แม่เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงว่า เจ้าทั้งสองมีความกตัญญูรู้คุณนายดังนี้ เทพยดาก็จะปกป้องคุ้มครองให้เจ้าทำการได้สำเร็จดังปรารถนา อย่ามัวชักช้าอยู่เลย เพราะหากละไว้นานวันแล้วอำนาจม้าเฉียวในเมืองกิจิ๋วก็จะหยั่งรากลงลึก จะทำการลำบาก

            เกียงขิมและเอียวหูคำนับลาแม่เฒ่าแล้วตรงไปที่ศาลาว่าราชการ สั่งให้เตียวกั๋งจัดแจงทหารทั้งปวง แล้วยกออกจากเมืองลกเสตรงไปที่เมืองกิจิ๋ว

            ทางฝ่ายม้าเฉียวหลังจากยึดได้เมืองกิจิ๋วแล้วก็จัดแจงบ้านเมืองจนเป็นปกติ ให้ทหารรักษากำแพงเมือง เชิงเทิน ค่ายคูประตูหอรบ และระมัดระวังรักษาด่านไว้ทุกตำบล ทั้งกำชับให้หน่วยลาดตระเวนและกองสอดแนมคอยติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่เป็นไปทั่วแคว้นแดนเมืองกิจิ๋ว

            ดังนั้นพอเกียงขิมและเอียวหูยกทหารออกจากเมืองลกเส หน่วยสอดแนมจึงรายงานความให้ม้าเฉียวทราบ

            ม้าเฉียวทราบว่าเอียวหูทรยศคบคิดกับเกียงขิมยกกองทัพจะมาชิงเอาเมืองกิจิ๋วก็โกรธ จึงจัดแจงกองทัพให้บังเต๊กและม้าต้ายเป็นปีกซ้ายและปีกขวา ตัวม้าเฉียวคุมทหารเป็นกองทัพหลวง ยกออกไปสกัดกองทัพของเกียงขิมและเอียวหู

            ทหารของทั้งสองฝ่ายยกออกมาถึงกลางทางก็เผชิญหน้ากัน เกียงขิมเห็นม้าเฉียวคุมทหารยกมาสกัดไว้ก็ขี่ม้าออกไปหน้าทหาร ชี้หน้าด่าม้าเฉียวว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ ยังจะมีหน้ามาสกัดหน้าเราอีกหรือ

            ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ไม่ต่อถ้อยร้อยคำให้เป็นที่เสียเวลาอีกต่อไป สั่งทหารให้เคลื่อนขบวนเข้าตีกองทัพของเกียงขิมในทันที ทหารของม้าเฉียวได้ยินคำสั่งก็พากันกรูออกหน้า รุกเข้าตีกองทหารของเกียงขิมอย่างดุเดือด

            ทหารทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันเป็นสามารถ เพียงครู่เดียวทหารของเกียงขิมก็ถูกทหารของม้าเฉียวฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            เอียวหูและเกียงขิมเห็นทหารเมืองลกเสสู้ทหารของม้าเฉียวไม่ได้ พากันแตกตื่นเป็นอลหม่านและบาดเจ็บล้มตายลงดังนั้นก็ตกใจ ชวนกันชักม้าหนีออกจากลานรบ

            ม้าเฉียวเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีเอียวหูและเกียงขิม

            ในขณะนั้นเตียวกั๋งยกทหารหนุนตามมาถึง เห็นเอียวหูและเกียงขิมกำลังแตกหนีข้าศึกจึงยกทหารวกอ้อมเข้าตีตลบหลังทหารของม้าเฉียว

            ทหารของเตียวกั๋งโห่ร้องเข้าโจมตีทหารของม้าเฉียวเสียงดังสนั่น เอียวหูและเกียงขิมกำลังแตกหนีเหลียวกลับมาเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงคุมทหารกลับลงมาสมทบ ตีกระหนาบทหารของม้าเฉียวไว้ในระหว่างกลาง

            ทางฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนหลังจากได้ทำหนังสือขออนุญาตเข้าเมืองหลวงเพื่อยกกองทัพไปช่วยเมืองกิจิ๋วแล้ว หลายวันต่อมาโจโฉก็ให้ทหารเดินสารมาถึงแฮหัวเอี๋ยนอนุญาตให้รีบยกกองทัพไปช่วยเมืองกิจิ๋ว

            แฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาถึง เห็นทหารของเตียวกั๋ง เกียงขิม และเอียวหู กระหนาบตีทหารของม้าเฉียวอยู่ ก็สั่งทหารให้เข้าตีทหารของม้าเฉียวในทันที

            ม้าเฉียวคุมทหารสู้รบอยู่ท่ามกลางศึกถึงสามด้านเห็นจะต้านทานข้าศึกไม่ได้ พอได้โอกาสจึงชักม้าพาทหารตีฝ่ากลับมายังเมืองกิจิ๋ว

            ม้าเฉียวคุมทหารแตกหนีมาทั้งคืน จนสว่างก็มาถึงหน้าประตูเมือง จึงเรียกทหารซึ่งรักษาเชิงเทินให้เปิดประตูเมืองรับ

            ในขณะนั้นเตียวเหงซึ่งเป็นพรรคพวกของเอียวหูรักษาการอยู่ในเมือง ครั้นได้ทราบว่าม้าเฉียวเสียทีแก่กองทัพเมืองหลวง กำลังแตกหนีกลับมาที่เมืองก็มีความยินดี สั่งทหารให้จับครอบครัวบุตรภรรยาของม้าเฉียวขึ้นไปคุมไว้บนเชิงเทิน

            ครั้นเตียวเหงได้ยินเสียงม้าเฉียวร้องเรียกให้เปิดประตูเมือง จึงสั่งทหารที่รักษาเชิงเทินให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ม้าเฉียวและทหารมิให้เข้ามาใกล้กำแพงเมือง

            ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชักม้าพาทหารออกมาจนพ้นระยะเกาทัณฑ์ แลขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นเตียวเหงควบคุมครอบครัวบุตรภรรยาไว้ก็ตกใจ ไม่ทันที่ม้าเฉียวจะว่ากล่าวประการใด เตียวเหงก็สั่งทหารให้ตัดศีรษะบุตรภรรยาของม้าเฉียวแล้วโยนลงมาจากบนเชิงเทิน

            ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ตกใจ โกรธแค้นเตียวเหงถึงขีดสุด ร้องด่าเตียวเหงจนสุดเสียง แรงโทสะทำให้ม้าเฉียวคุมสติไม่อยู่พลัดตกลงจากหลังม้า ครั้นขึ้นม้าใหม่ก็พลัดตกลงจากหลังม้าอีกสามสี่ครั้ง

            ในขณะที่ม้าเฉียวกำลังโกรธคุมสติไม่ได้นั้น กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนซึ่งยกไล่ตามตีมาทั้งคืนก็ยกมาถึง ม้าเฉียวได้ยินเสียงทหารโห่ร้องตลบมาทางด้านหลัง เห็นทหารแฮหัวเอี๋ยนจำนวนมากยกมาก็ได้สติ สั่งทหารให้ตีฝ่าออกไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘