ตอนที่ 368. ศัตรูร่วมของคู่อริ
หลังกำจัดเตียวหยิมยอดขุนพลเมืองเสฉวนได้แล้ว เล่าปี่และขงเบ้งก็ยึดเมืองลกเสียไว้ได้โดยง่าย แต่เมื่อยึดเมืองลกเสียได้แล้วแทนที่จะยกกำลังเข้าตีเอาเมือง เสฉวนในทันที ขงเบ้งได้กำหนดแผนการยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง ส่งขุนนางเก่าเมืองเสฉวนที่เข้าสวามิภักดิ์นำจูล่งและเตียวหุยไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอก แล้วเตรียมกำลังเพื่อยึดเมืองเสฉวนต่อไป
หวดเจ้งขุนนางเก่าของเล่าเจี้ยงที่ได้เข้าสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่ เห็นขงเบ้งจัดแจงแต่งทหารไว้พร้อมแล้วจึงเสนอแก่ขงเบ้งว่า “ซึ่งท่านจะยกเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ข้าพเจ้าเห็นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนนัก ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน ด้วยเมืองลกเสียนั้นก็ได้แก่เราแล้ว เมืองเสฉวนเหมือนอยู่ในกำมือ ข้าพเจ้าจะมีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงฉบับหนึ่งให้มานอบน้อมตามประเพณี เล่าเจี้ยงรู้ว่าเมืองลกเสียนี้เสียแก่เราแล้วก็จะยอมคำนับ แม้จะขัดแข็งอยู่ประการใดเราจึงจะยกทหารไปตีต่อภายหลัง”
เพราะความเป็นขุนนางเก่าเมืองเสฉวน หวดเจ้งจึงสำคัญว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ดังนั้นหากได้มีหนังสือไปว่ากล่าวแต่โดยดี เล่าเจี้ยงก็อาจยอมนอบน้อมโดยไม่จำเป็นต้องทำศึกสงครามให้เปลืองแรงทหาร ความปรารถนาของหวดเจ้งดังนี้นับเป็นความปรารถนาขั้นสูงสุดของการสงคราม คือต้องการเอาชนะข้าศึกโดยไม่ต้องรบ
ขงเบ้งได้ฟังคำหวดเจ้งก็แจ้งในความคิด จึงว่าถ้าหากเล่าเจี้ยงยินยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์แต่โดยดีตามความคิดของท่าน ก็นับว่าเป็นบุญของอาณาประชาราษฎรที่จะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยศึกสงครามสืบไป ท่านจงแต่งหนังสือเข้าไปหาเล่าเจี้ยงตามที่เสนอนั้นเถิด
หวดเจ้งได้รับอนุญาตจากขงเบ้งดังนั้นจึงแต่งหนังสือให้ทหารคนสนิทถือไปเมืองเสฉวนตั้งแต่วันนั้น
ฝ่ายเล่าชุนผู้บุตรของเล่าเจี้ยง ครั้นพาทหารสิบสี่สิบห้าคนหนีออกจากเมืองลกเสียได้แล้ว ได้มุ่งหน้ารีบรุดกลับไปเมืองเสฉวนแล้วเข้าไปหาเล่าเจี้ยง รายงานความศึกให้เล่าเจี้ยงทราบทุกประการ
เล่าเจี้ยงทราบว่าเมืองลกเสียเสียแก่เล่าปี่แล้วก็ตกใจ จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภว่าเมื่อเล่าปี่ได้เมืองลกเสียแล้วเห็นจะมีน้ำใจกำเริบยกล่วงเข้ามายึดเอาเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
แต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเมืองเสฉวนได้ฟังปรารภดังนั้นจึงว่า อันแคว้นเสฉวนนี้มีดินแดนอันกว้างใหญ่ ถึงแม้นจะเสียเมืองลกเสียแก่เล่าปี่ แต่หัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวนก็ยังมีเป็นอันมาก แลเมืองเสฉวนนี้ก็มีกำแพงเมืองเชิงเทินปราการสูงใหญ่ ข้าวปลาอาหารก็พรักพร้อม ทหารก็มีเป็นจำนวนมาก สามารถตั้งรับกองทัพเล่าปี่ได้ อันกองทัพเล่าปี่ยกมาแต่แดนไกล เสบียงอาหารก็มิได้พรักพร้อมบริบูรณ์ กำลังทหารเล่าก็ประกอบไปด้วยทหารเชลยจากหลายหัวเมือง ไม่มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาน้ำใจเดียวกัน กำลังมากก็เหมือนน้อย ข้างเราถึงน้อยก็เหมือนมาก
แล้วแต่ต่อจึงเสนอต่อไปว่า ขอให้ท่านกวาดต้อนอาณาประชาราษฎรที่อยู่ภายนอกเมืองเสฉวนเข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองเสียทั้งสิ้น โดยเฉพาะราษฎรที่อยู่เมืองปาเสด้านตะวันตกนั้นมีข้าวปลาเสบียงอาหารบริบูรณ์ เมื่อเกณฑ์เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้วก็ให้เผาทำลายบ้านช่องแลเสบียงอาหารเสียให้สิ้น อย่าให้เล่าปี่อาศัยใช้ประโยชน์ได้ จากนั้นท่านก็ตั้งรับอยู่แต่ในเมือง เล่าปี่จะหักเอาเมืองไม่ได้นานวันเข้าเสบียงอาหารก็จะขาดแคลน เห็นทีจะเลิกทัพกลับไปเอง ฝ่ายเราซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ก็ค่อยยกเข้าตามตีต่อภายหลัง คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ส่ายศีรษะ แล้วว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีปกติสุขตลอดมา หากข้าศึกยกล่วงขอบขัณฑสีมาเข้ามาแล้วก็ชอบที่จะเข้าต่อตีอย่าให้เป็นที่เดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง นี่เล่าปี่ยังไม่ทันยกมาท่านจะให้เราเกณฑ์ราษฎรเข้ามาอยู่ในเมืองแล้วทำลายเผาผลาญบ้านเรือน ไร่นา เสบียงอาหาร ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ราษฎรทั้งปวงนั้นเราไม่เห็นชอบด้วย
เล่าเจี้ยงกล่าวพอสิ้นคำลงอุยก๋วนขุนนางได้เดินเข้ามาที่ศาลาว่าราชการ แล้วรายงานว่าบัดนี้หวดเจ้งให้ทหารถือหนังสือมาถึงท่าน แล้วส่งหนังสือของหวดเจ้งแก่เล่าเจี้ยง
เล่าเจี้ยงรับหนังสือของหวดเจ้งมาอ่านดูปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าหวดเจ้งขอคำนับมาถึงท่าน ด้วยเดิมท่านมีใจรักใคร่เล่าปี่โดยสุจริต มิได้คิดรังเกียจสิ่งใด จึงใช้ให้ข้าพเจ้าคุมทหารออกไปรับเล่าปี่มา ณ เมืองเสฉวน หวังจะให้ช่วยป้องกันขอบขัณฑสีมาให้เป็นสุข แลบัดนี้ท่านมาเชื่อถือถ้อยคำคนยุยงมิได้พิเคราะห์ จึงมีความกินแหนงสนเท่ห์ในเล่าปี่ กลับเป็นข้าศึกแก่กัน ฝ่ายเล่าปี่ก็ได้ทำการใหญ่หลวงมาถึงเพียงนี้ อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เข้าอยู่ในเล่าปี่สิ้นแล้ว ขอให้ท่านคิดอ่านผ่อนผันอ่อนน้อมตามประเพณีเถิด อันเล่าปี่นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วก็อารีมิได้พยาบาทแก่ผู้ใด แม้ท่านพิเคราะห์เห็นชอบก็ให้คำนับเล่าปี่เสียแล้วก็จะมีความสุขสืบไป เห็นเล่าปี่จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าน”
เล่าเจี้ยงอ่านหนังสือของหวดเจ้งจบแล้วก็โกรธหวดเจ้งจนใบหน้าแดงก่ำ ฉีกหนังสือของหวดเจ้งขว้างลงที่พื้นแล้วว่า ไอ้หวดเจ้งเป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย มันกล่าวความทั้งนี้หวังเอาอาณาประโยชน์ความชอบแก่ตัว มิได้เห็นคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เราได้ทำนุบำรุงมาแต่ก่อน
แล้วเล่าเจี้ยงจึงว่า ตัวเราเป็นเชื้อพระวงศ์ สืบอำนาจในเมืองเสฉวนด้วยความสุจริต และเอื้ออารีต่อราษฎร มิได้เบียดเบียนราษฎรให้ทุกข์เข็ญ เป็นตายก็จะต่อสู้กับเล่าปี่ให้สิ้นฝีมือ
จากนั้นเล่าเจี้ยงจึงสั่งทหารให้ขับคนถือหนังสือของหวดเจ้งออกไปนอกเมือง
เล่าเจี้ยงได้ถามบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่า เมื่อเราไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเล่าปี่ เล่าปี่ก็คงจะยกทัพล่วงเข้ามาเมืองเสฉวน จำจะต้องยกทหารไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่ด่านกิมก๊กซึ่งเป็นด่านสำคัญก่อนที่จะเข้ามาเมืองเสฉวน ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นประการใด
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังปรารภของเล่าเจี้ยงดังนั้นจึงเห็นชอบพร้อมกัน เล่าเจี้ยงจึงแต่งให้อุยหวนซึ่งเป็นน้องภริยาเป็นแม่ทัพ ให้ลิเหยียมเป็นปลัดทัพคุมทหารสามหมื่นยกไปตั้งรักษาด่านกิมก๊กไว้อย่าให้กองทัพเล่าปี่ล่วงเขตด่านเข้ามาได้
อุยหวนและลิเหยียมรับคำสั่งเล่าเจี้ยงแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหาร ยกออกจากเมืองเสฉวนไปด่านกิมก๊กตั้งแต่เวลานั้น
พออุยหวนและลิเหยียมออกไปแล้ว ตั้งโหซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอแก่เล่าเจี้ยงว่าซึ่งเล่าปี่ยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวนในครั้งนี้ เห็นเตียวล่อเมืองฮันต๋งจะตื่นตระหนกเห็นภัยอันตรายของเล่าปี่ด้วย เพราะหากเล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วก็คงจะยกไปตีเอาเมืองฮันต๋งต่อไปอีก ดังนั้นเล่าปี่จึงเป็นศัตรูร่วมกันของเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋ง ชอบที่ท่านจะมีหนังสือไปถึงเตียวล่อ ขอให้เตียวล่อยกกองทัพมาตีกระหนาบเล่าปี่ เมื่อเตียวล่อยกมาแล้วเราจึงค่อยยกทหารออกไปรบกับเล่าปี่เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เล่าเจี้ยงได้ฟังแผนการของตั้งโหแล้วนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงว่าที่ท่านว่ามาทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เตียวล่อกับเรานั้นเป็นอริกันมาช้านาน ไหนเลยเตียวล่อจะยกทหารมาช่วยเรา หากมีหนังสือไปขอให้เตียวล่อยกมาช่วยแล้ว จะมิอับอายขายหน้าเตียวล่อดอกหรือ
ตั้งโหจึงว่าอันความเป็นอริระหว่างท่านกับเตียวล่อนั้นจริงแล้ว แต่เป็นความอริส่วนตัว การซึ่งเล่าปี่ยกมาตีเมืองเสฉวนนั้นเป็นการใหญ่หลวง เพราะเดือดร้อนถึงเมืองฮันต๋งเป็นส่วนรวมด้วย “อันเมืองเสฉวนอุปมาเหมือนริมฝีปาก เมืองฮันต๋งดั่งฟัน ถ้าริมฝีปากแหว่งแล้วก็จะเห็นฟันด้วยใกล้กว่าใกล้กันนัก”
ดังนั้นถ้าหากท่านมีหนังสือไปชี้แจงให้เตียวล่อตระหนักถึงภัยที่เล่าปี่จะยกเข้าเมืองฮันต๋ง ก็เห็นว่าเตียวล่อจะวางความเป็นอริกับท่าน แล้วร่วมมือกับท่านคิดอ่านทำสงครามกับเล่าปี่เป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังเหตุผลดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือชี้แจงความศึกทุกประการแล้วให้ทหารถือไปให้แก่เตียวล่อที่เมืองฮันต๋ง
ย้อนกลับไปทางด้านม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งแห่งเมืองเสเหลียง หลังจากปราชัยในการศึกภาคพายัพแก่โจโฉแล้ว ได้พาทหารที่แตกหนียกไปอยู่เมืองเจี๋ยงนอกเขตแดนแคว้นจิ๋นด้วยความอัปยศอดสูยิ่งนักที่ความแค้นของบิดายังไม่สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ กลับต้องเสียทีแก่โจโฉจนกองทัพต้องย่อยยับถึงปานนี้
ม้าเฉียวยกทหารไปตั้งที่เมืองเจี๋ยงนอกได้สามเดือนค่อยคลายโศกแล้ว จึงระดมซ่องสุมผู้คนเข้าเป็นทหารเป็นจำนวนมาก แล้วยกทหารไปตีเอาหัวเมืองรอบนอกที่ขึ้นต่อเมืองหลวงไว้อยู่ในอำนาจได้หลายเมือง
เมื่อม้าเฉียวยึดดินแดนในอำนาจของโจโฉได้มากขึ้น และกำลังทหารได้เพิ่มพูนขึ้นแล้ว จึงยกกองทัพจะไปตีเมืองกิจิ๋วซึ่งเคยเป็นเมืองในปกครองของอ้วนเสี้ยวมาแต่ก่อน ต่อมาโจโฉปราบปรามได้ราบคาบและขึ้นต่อราชสำนัก ส่งส่วยสาอากรเป็นบรรณาการตามประเพณี
ฝ่ายอุยของเจ้าเมืองกิจิ๋ว ครั้นทราบว่าม้าเฉียวยกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้แฮหัวเอี๋ยนเพื่อขอให้แฮหัวเอี๋ยนซึ่งรับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือยกทหารไปช่วย
แฮหัวเอี๋ยนได้ทราบความตามหนังสือของอุยของแล้วยังไม่กล้ายกทหารออกไปช่วยเมืองกิจิ๋ว เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากโจโฉ จึงให้ทหารถือหนังสือเข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อขออนุญาตโจโฉยกทหารไปช่วยเมืองกิจิ๋ว
อุยของรอทหารของแฮหัวเอี๋ยนอยู่หลายวันก็ไม่เห็นแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาช่วยจึงเกิดความท้อถอย เกรงว่าจะรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ไม่ได้ จึงปรึกษาด้วยบรรดาคนสนิทเพื่อจะออกไปสวามิภักดิ์กับม้าเฉียว
เอียวหูนายทหารเมืองกิจิ๋วได้ฟังดังนั้นก็รีบคัดค้านว่าท่านจะเกรงกลัวกองทัพม้าเฉียวไปไยกัน อันเมืองกิจิ๋วนี้เป็นเมืองใหญ่ เพียงแต่ท่านตั้งรับอยู่ในเมืองม้าเฉียวก็จะยกมาทำอันตรายไม่ได้ เมื่อใดที่แฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาช่วยเราจึงค่อยยกทหารออกไปตีกระหนาบ ม้าเฉียวก็จะแตกพ่ายเป็นแน่แท้
แล้วว่าอันม้าเฉียวนี้เป็นคนวู่วาม ไร้ความกตัญญู เจรจาหาความสัตย์มิได้ ท่านจะไปคำนับนบนอบต่อคนชนิดนี้ อันตรายก็จะมีแก่ท่านในวันหน้า สู้รักษาตัวตั้งมั่นอยู่ในเมืองจะดีกว่า
อุยของเป็นขุนนางขี้ขลาด ได้กิตติศัพท์ฝีมือรบพุ่งของม้าเฉียวว่าแกร่งกล้าเด็ดขาดนักก็กลัวว่าจะไม่สามารถต้านรับกองทัพม้าเฉียวได้ และหากม้าเฉียวเข้าเมืองได้แล้วก็จะประหารชีวิตผู้คนและครอบครัวทั้งสิ้น ซึ่งจะรอกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนก็ไม่มีข่าวคราวว่าจะยกมาช่วยหรือไม่ในเวลาใด
อุยของหวาดหวั่นดังนั้นแล้วจึงปัดข้อเสนอของเอียวหู พาทหารออกจากศาลาว่าราชการตรงไปที่ประตูเมือง สั่งให้ทหารเปิดประตูเมืองแล้วออกไปคำนับม้าเฉียว แล้วเชิญม้าเฉียวเข้าไปในเมือง
ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงมองไปที่ประตูเมืองเพื่อดูให้แน่นอนใจว่าอุยของยอมออกมาอ่อนน้อมในครั้งนี้เป็นกลอุบายหรือไม่ ครั้นพิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นเป็นกลอุบาย ม้าเฉียวจึงขี่ม้าพาทหารยกเข้าไปในเมืองกิจิ๋ว และให้อุยของขี่ม้าตามไปห่าง ๆ
ม้าเฉียวไปถึงศาลาว่าราชการเมืองกิจิ๋วแล้วให้ทหารควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองจนเป็นปกติ เห็นมั่นใจแล้วจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงและเรียกอุยของมายืนอยู่ตรงหน้าที่ว่าราชการ
อุยของออกไปยืนอยู่ข้างหน้าที่ว่าราชการแล้วคำนับม้าเฉียวตามประเพณี
ม้าเฉียวจึงว่า “ตัวท่านเปิดประตูรับคำนับเราบัดนี้ จะได้นบนอบโดยสุภาพหามิได้ เหตุว่าการจวนตัวแล้วก็จำเป็น ถ้าท่านภักดีต่อเราจริงก็จะคำนับเราแต่แรกมาโดยปกติ ทำทั้งนี้เห็นหาสุจริตไม่ นานไปก็จะคิดทำอันตราย จะไว้ใจมิได้”.
หวดเจ้งขุนนางเก่าของเล่าเจี้ยงที่ได้เข้าสวามิภักดิ์แก่เล่าปี่ เห็นขงเบ้งจัดแจงแต่งทหารไว้พร้อมแล้วจึงเสนอแก่ขงเบ้งว่า “ซึ่งท่านจะยกเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ข้าพเจ้าเห็นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนนัก ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน ด้วยเมืองลกเสียนั้นก็ได้แก่เราแล้ว เมืองเสฉวนเหมือนอยู่ในกำมือ ข้าพเจ้าจะมีหนังสือไปถึงเล่าเจี้ยงฉบับหนึ่งให้มานอบน้อมตามประเพณี เล่าเจี้ยงรู้ว่าเมืองลกเสียนี้เสียแก่เราแล้วก็จะยอมคำนับ แม้จะขัดแข็งอยู่ประการใดเราจึงจะยกทหารไปตีต่อภายหลัง”
เพราะความเป็นขุนนางเก่าเมืองเสฉวน หวดเจ้งจึงสำคัญว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ดังนั้นหากได้มีหนังสือไปว่ากล่าวแต่โดยดี เล่าเจี้ยงก็อาจยอมนอบน้อมโดยไม่จำเป็นต้องทำศึกสงครามให้เปลืองแรงทหาร ความปรารถนาของหวดเจ้งดังนี้นับเป็นความปรารถนาขั้นสูงสุดของการสงคราม คือต้องการเอาชนะข้าศึกโดยไม่ต้องรบ
ขงเบ้งได้ฟังคำหวดเจ้งก็แจ้งในความคิด จึงว่าถ้าหากเล่าเจี้ยงยินยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์แต่โดยดีตามความคิดของท่าน ก็นับว่าเป็นบุญของอาณาประชาราษฎรที่จะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยศึกสงครามสืบไป ท่านจงแต่งหนังสือเข้าไปหาเล่าเจี้ยงตามที่เสนอนั้นเถิด
หวดเจ้งได้รับอนุญาตจากขงเบ้งดังนั้นจึงแต่งหนังสือให้ทหารคนสนิทถือไปเมืองเสฉวนตั้งแต่วันนั้น
ฝ่ายเล่าชุนผู้บุตรของเล่าเจี้ยง ครั้นพาทหารสิบสี่สิบห้าคนหนีออกจากเมืองลกเสียได้แล้ว ได้มุ่งหน้ารีบรุดกลับไปเมืองเสฉวนแล้วเข้าไปหาเล่าเจี้ยง รายงานความศึกให้เล่าเจี้ยงทราบทุกประการ
เล่าเจี้ยงทราบว่าเมืองลกเสียเสียแก่เล่าปี่แล้วก็ตกใจ จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรารภว่าเมื่อเล่าปี่ได้เมืองลกเสียแล้วเห็นจะมีน้ำใจกำเริบยกล่วงเข้ามายึดเอาเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
แต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเมืองเสฉวนได้ฟังปรารภดังนั้นจึงว่า อันแคว้นเสฉวนนี้มีดินแดนอันกว้างใหญ่ ถึงแม้นจะเสียเมืองลกเสียแก่เล่าปี่ แต่หัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวนก็ยังมีเป็นอันมาก แลเมืองเสฉวนนี้ก็มีกำแพงเมืองเชิงเทินปราการสูงใหญ่ ข้าวปลาอาหารก็พรักพร้อม ทหารก็มีเป็นจำนวนมาก สามารถตั้งรับกองทัพเล่าปี่ได้ อันกองทัพเล่าปี่ยกมาแต่แดนไกล เสบียงอาหารก็มิได้พรักพร้อมบริบูรณ์ กำลังทหารเล่าก็ประกอบไปด้วยทหารเชลยจากหลายหัวเมือง ไม่มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาน้ำใจเดียวกัน กำลังมากก็เหมือนน้อย ข้างเราถึงน้อยก็เหมือนมาก
แล้วแต่ต่อจึงเสนอต่อไปว่า ขอให้ท่านกวาดต้อนอาณาประชาราษฎรที่อยู่ภายนอกเมืองเสฉวนเข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองเสียทั้งสิ้น โดยเฉพาะราษฎรที่อยู่เมืองปาเสด้านตะวันตกนั้นมีข้าวปลาเสบียงอาหารบริบูรณ์ เมื่อเกณฑ์เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้วก็ให้เผาทำลายบ้านช่องแลเสบียงอาหารเสียให้สิ้น อย่าให้เล่าปี่อาศัยใช้ประโยชน์ได้ จากนั้นท่านก็ตั้งรับอยู่แต่ในเมือง เล่าปี่จะหักเอาเมืองไม่ได้นานวันเข้าเสบียงอาหารก็จะขาดแคลน เห็นทีจะเลิกทัพกลับไปเอง ฝ่ายเราซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ก็ค่อยยกเข้าตามตีต่อภายหลัง คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ส่ายศีรษะ แล้วว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีปกติสุขตลอดมา หากข้าศึกยกล่วงขอบขัณฑสีมาเข้ามาแล้วก็ชอบที่จะเข้าต่อตีอย่าให้เป็นที่เดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง นี่เล่าปี่ยังไม่ทันยกมาท่านจะให้เราเกณฑ์ราษฎรเข้ามาอยู่ในเมืองแล้วทำลายเผาผลาญบ้านเรือน ไร่นา เสบียงอาหาร ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ราษฎรทั้งปวงนั้นเราไม่เห็นชอบด้วย
เล่าเจี้ยงกล่าวพอสิ้นคำลงอุยก๋วนขุนนางได้เดินเข้ามาที่ศาลาว่าราชการ แล้วรายงานว่าบัดนี้หวดเจ้งให้ทหารถือหนังสือมาถึงท่าน แล้วส่งหนังสือของหวดเจ้งแก่เล่าเจี้ยง
เล่าเจี้ยงรับหนังสือของหวดเจ้งมาอ่านดูปรากฏความว่า “ข้าพเจ้าหวดเจ้งขอคำนับมาถึงท่าน ด้วยเดิมท่านมีใจรักใคร่เล่าปี่โดยสุจริต มิได้คิดรังเกียจสิ่งใด จึงใช้ให้ข้าพเจ้าคุมทหารออกไปรับเล่าปี่มา ณ เมืองเสฉวน หวังจะให้ช่วยป้องกันขอบขัณฑสีมาให้เป็นสุข แลบัดนี้ท่านมาเชื่อถือถ้อยคำคนยุยงมิได้พิเคราะห์ จึงมีความกินแหนงสนเท่ห์ในเล่าปี่ กลับเป็นข้าศึกแก่กัน ฝ่ายเล่าปี่ก็ได้ทำการใหญ่หลวงมาถึงเพียงนี้ อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เข้าอยู่ในเล่าปี่สิ้นแล้ว ขอให้ท่านคิดอ่านผ่อนผันอ่อนน้อมตามประเพณีเถิด อันเล่าปี่นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วก็อารีมิได้พยาบาทแก่ผู้ใด แม้ท่านพิเคราะห์เห็นชอบก็ให้คำนับเล่าปี่เสียแล้วก็จะมีความสุขสืบไป เห็นเล่าปี่จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าน”
เล่าเจี้ยงอ่านหนังสือของหวดเจ้งจบแล้วก็โกรธหวดเจ้งจนใบหน้าแดงก่ำ ฉีกหนังสือของหวดเจ้งขว้างลงที่พื้นแล้วว่า ไอ้หวดเจ้งเป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย มันกล่าวความทั้งนี้หวังเอาอาณาประโยชน์ความชอบแก่ตัว มิได้เห็นคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เราได้ทำนุบำรุงมาแต่ก่อน
แล้วเล่าเจี้ยงจึงว่า ตัวเราเป็นเชื้อพระวงศ์ สืบอำนาจในเมืองเสฉวนด้วยความสุจริต และเอื้ออารีต่อราษฎร มิได้เบียดเบียนราษฎรให้ทุกข์เข็ญ เป็นตายก็จะต่อสู้กับเล่าปี่ให้สิ้นฝีมือ
จากนั้นเล่าเจี้ยงจึงสั่งทหารให้ขับคนถือหนังสือของหวดเจ้งออกไปนอกเมือง
เล่าเจี้ยงได้ถามบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่า เมื่อเราไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเล่าปี่ เล่าปี่ก็คงจะยกทัพล่วงเข้ามาเมืองเสฉวน จำจะต้องยกทหารไปตั้งขัดตาทัพไว้ที่ด่านกิมก๊กซึ่งเป็นด่านสำคัญก่อนที่จะเข้ามาเมืองเสฉวน ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นประการใด
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังปรารภของเล่าเจี้ยงดังนั้นจึงเห็นชอบพร้อมกัน เล่าเจี้ยงจึงแต่งให้อุยหวนซึ่งเป็นน้องภริยาเป็นแม่ทัพ ให้ลิเหยียมเป็นปลัดทัพคุมทหารสามหมื่นยกไปตั้งรักษาด่านกิมก๊กไว้อย่าให้กองทัพเล่าปี่ล่วงเขตด่านเข้ามาได้
อุยหวนและลิเหยียมรับคำสั่งเล่าเจี้ยงแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหาร ยกออกจากเมืองเสฉวนไปด่านกิมก๊กตั้งแต่เวลานั้น
พออุยหวนและลิเหยียมออกไปแล้ว ตั้งโหซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอแก่เล่าเจี้ยงว่าซึ่งเล่าปี่ยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวนในครั้งนี้ เห็นเตียวล่อเมืองฮันต๋งจะตื่นตระหนกเห็นภัยอันตรายของเล่าปี่ด้วย เพราะหากเล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วก็คงจะยกไปตีเอาเมืองฮันต๋งต่อไปอีก ดังนั้นเล่าปี่จึงเป็นศัตรูร่วมกันของเมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋ง ชอบที่ท่านจะมีหนังสือไปถึงเตียวล่อ ขอให้เตียวล่อยกกองทัพมาตีกระหนาบเล่าปี่ เมื่อเตียวล่อยกมาแล้วเราจึงค่อยยกทหารออกไปรบกับเล่าปี่เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เล่าเจี้ยงได้ฟังแผนการของตั้งโหแล้วนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงว่าที่ท่านว่ามาทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เตียวล่อกับเรานั้นเป็นอริกันมาช้านาน ไหนเลยเตียวล่อจะยกทหารมาช่วยเรา หากมีหนังสือไปขอให้เตียวล่อยกมาช่วยแล้ว จะมิอับอายขายหน้าเตียวล่อดอกหรือ
ตั้งโหจึงว่าอันความเป็นอริระหว่างท่านกับเตียวล่อนั้นจริงแล้ว แต่เป็นความอริส่วนตัว การซึ่งเล่าปี่ยกมาตีเมืองเสฉวนนั้นเป็นการใหญ่หลวง เพราะเดือดร้อนถึงเมืองฮันต๋งเป็นส่วนรวมด้วย “อันเมืองเสฉวนอุปมาเหมือนริมฝีปาก เมืองฮันต๋งดั่งฟัน ถ้าริมฝีปากแหว่งแล้วก็จะเห็นฟันด้วยใกล้กว่าใกล้กันนัก”
ดังนั้นถ้าหากท่านมีหนังสือไปชี้แจงให้เตียวล่อตระหนักถึงภัยที่เล่าปี่จะยกเข้าเมืองฮันต๋ง ก็เห็นว่าเตียวล่อจะวางความเป็นอริกับท่าน แล้วร่วมมือกับท่านคิดอ่านทำสงครามกับเล่าปี่เป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังเหตุผลดังนั้นก็เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือชี้แจงความศึกทุกประการแล้วให้ทหารถือไปให้แก่เตียวล่อที่เมืองฮันต๋ง
ย้อนกลับไปทางด้านม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งแห่งเมืองเสเหลียง หลังจากปราชัยในการศึกภาคพายัพแก่โจโฉแล้ว ได้พาทหารที่แตกหนียกไปอยู่เมืองเจี๋ยงนอกเขตแดนแคว้นจิ๋นด้วยความอัปยศอดสูยิ่งนักที่ความแค้นของบิดายังไม่สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ กลับต้องเสียทีแก่โจโฉจนกองทัพต้องย่อยยับถึงปานนี้
ม้าเฉียวยกทหารไปตั้งที่เมืองเจี๋ยงนอกได้สามเดือนค่อยคลายโศกแล้ว จึงระดมซ่องสุมผู้คนเข้าเป็นทหารเป็นจำนวนมาก แล้วยกทหารไปตีเอาหัวเมืองรอบนอกที่ขึ้นต่อเมืองหลวงไว้อยู่ในอำนาจได้หลายเมือง
เมื่อม้าเฉียวยึดดินแดนในอำนาจของโจโฉได้มากขึ้น และกำลังทหารได้เพิ่มพูนขึ้นแล้ว จึงยกกองทัพจะไปตีเมืองกิจิ๋วซึ่งเคยเป็นเมืองในปกครองของอ้วนเสี้ยวมาแต่ก่อน ต่อมาโจโฉปราบปรามได้ราบคาบและขึ้นต่อราชสำนัก ส่งส่วยสาอากรเป็นบรรณาการตามประเพณี
ฝ่ายอุยของเจ้าเมืองกิจิ๋ว ครั้นทราบว่าม้าเฉียวยกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้แฮหัวเอี๋ยนเพื่อขอให้แฮหัวเอี๋ยนซึ่งรับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือยกทหารไปช่วย
แฮหัวเอี๋ยนได้ทราบความตามหนังสือของอุยของแล้วยังไม่กล้ายกทหารออกไปช่วยเมืองกิจิ๋ว เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากโจโฉ จึงให้ทหารถือหนังสือเข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อขออนุญาตโจโฉยกทหารไปช่วยเมืองกิจิ๋ว
อุยของรอทหารของแฮหัวเอี๋ยนอยู่หลายวันก็ไม่เห็นแฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาช่วยจึงเกิดความท้อถอย เกรงว่าจะรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ไม่ได้ จึงปรึกษาด้วยบรรดาคนสนิทเพื่อจะออกไปสวามิภักดิ์กับม้าเฉียว
เอียวหูนายทหารเมืองกิจิ๋วได้ฟังดังนั้นก็รีบคัดค้านว่าท่านจะเกรงกลัวกองทัพม้าเฉียวไปไยกัน อันเมืองกิจิ๋วนี้เป็นเมืองใหญ่ เพียงแต่ท่านตั้งรับอยู่ในเมืองม้าเฉียวก็จะยกมาทำอันตรายไม่ได้ เมื่อใดที่แฮหัวเอี๋ยนยกกองทัพมาช่วยเราจึงค่อยยกทหารออกไปตีกระหนาบ ม้าเฉียวก็จะแตกพ่ายเป็นแน่แท้
แล้วว่าอันม้าเฉียวนี้เป็นคนวู่วาม ไร้ความกตัญญู เจรจาหาความสัตย์มิได้ ท่านจะไปคำนับนบนอบต่อคนชนิดนี้ อันตรายก็จะมีแก่ท่านในวันหน้า สู้รักษาตัวตั้งมั่นอยู่ในเมืองจะดีกว่า
อุยของเป็นขุนนางขี้ขลาด ได้กิตติศัพท์ฝีมือรบพุ่งของม้าเฉียวว่าแกร่งกล้าเด็ดขาดนักก็กลัวว่าจะไม่สามารถต้านรับกองทัพม้าเฉียวได้ และหากม้าเฉียวเข้าเมืองได้แล้วก็จะประหารชีวิตผู้คนและครอบครัวทั้งสิ้น ซึ่งจะรอกองทัพของแฮหัวเอี๋ยนก็ไม่มีข่าวคราวว่าจะยกมาช่วยหรือไม่ในเวลาใด
อุยของหวาดหวั่นดังนั้นแล้วจึงปัดข้อเสนอของเอียวหู พาทหารออกจากศาลาว่าราชการตรงไปที่ประตูเมือง สั่งให้ทหารเปิดประตูเมืองแล้วออกไปคำนับม้าเฉียว แล้วเชิญม้าเฉียวเข้าไปในเมือง
ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงมองไปที่ประตูเมืองเพื่อดูให้แน่นอนใจว่าอุยของยอมออกมาอ่อนน้อมในครั้งนี้เป็นกลอุบายหรือไม่ ครั้นพิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นเป็นกลอุบาย ม้าเฉียวจึงขี่ม้าพาทหารยกเข้าไปในเมืองกิจิ๋ว และให้อุยของขี่ม้าตามไปห่าง ๆ
ม้าเฉียวไปถึงศาลาว่าราชการเมืองกิจิ๋วแล้วให้ทหารควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองจนเป็นปกติ เห็นมั่นใจแล้วจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงและเรียกอุยของมายืนอยู่ตรงหน้าที่ว่าราชการ
อุยของออกไปยืนอยู่ข้างหน้าที่ว่าราชการแล้วคำนับม้าเฉียวตามประเพณี
ม้าเฉียวจึงว่า “ตัวท่านเปิดประตูรับคำนับเราบัดนี้ จะได้นบนอบโดยสุภาพหามิได้ เหตุว่าการจวนตัวแล้วก็จำเป็น ถ้าท่านภักดีต่อเราจริงก็จะคำนับเราแต่แรกมาโดยปกติ ทำทั้งนี้เห็นหาสุจริตไม่ นานไปก็จะคิดทำอันตราย จะไว้ใจมิได้”.