ตอนที่ 367. ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง
เคล็ดลับในการต่อสู้ที่สำคัญข้อหนึ่งที่ตรงกันทั้งในทางการทหารและในทางวิทยายุทธ์คือ ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าก่อน การต่อสู้กับข้าศึกต้องจู่โจมที่ใจ ดังนั้นเมื่อขงเบ้งวางกลอุบายซุ่มซ้อนซุ่มอย่างซับซ้อนกำจัดเตียวหยิมยอดขุนพลเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นแกนหลักในการรักษาเมืองลกเสียสำเร็จแล้ว เป้าหมายสำคัญต่อไปก็คือการเข้ายึดเมืองลกเสีย และกลยุทธ์ในการเข้ายึดเมืองลกเสียนั้นคือการใช้ทหารเมืองเสฉวนเป็นกองหน้า
ฝ่ายเล่ากุ๋ยคุมทหารยืนรักษาการณ์อยู่บนเชิงเทินเมืองลกเสีย ครั้นเห็นกองทัพหน้าของเล่าปี่ล้วนเป็นทหารเมืองเสฉวน และตัวนายที่ข่มขู่ให้ยอมจำนนก็คือเงียมหงันเจ้าเมืองปากุ๋น เล่ากุ๋ยก็โกรธเป็นอันมาก ชี้หน้าเงียมหงันแล้วร้องด่ากลับลงมาว่าไอ้พวกหน้าไม่มียางอาย ประพฤติตนเป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย ไม่สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของเล่าเจี้ยง ยังจะมีหน้ามาเกลี้ยกล่อมให้เรานอบน้อมอีกหรือ
เงียมหงันได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เอาทวนที่ถืออยู่กับมือเงื้อเตรียมจะพุ่งซัดขึ้นไปบนเชิงเทิน แต่ในพลันนั้นก็เห็นทหารเมืองลกเสียคนหนึ่งซึ่งจำได้ว่าชื่อเตียวเอ๊กวิ่งเข้ามาทางด้านหลังของเล่ากุ๋ย ใช้กระบี่ฟันคอเล่ากุ๋ยขาดกระเด็น แล้วโยนศีรษะเล่ากุ๋ยลงมาข้างล่าง บนเชิงเทินเมืองลกเสียจึงเกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้น ทหารของเตียวเอ๊กได้เข้าควบคุมสถานการณ์บนเชิงเทินไว้จนหมดสิ้น
พร้อม ๆ กันนั้นประตูเมืองลกเสียก็เปิดออก มีทหารเมืองลกเสียกรูออกมาจากประตูเมือง ร้องมาทางเงียมหงันว่าพวกเราเป็นทหารของเตียวเอ๊ก มีน้ำใจศรัทธาต่อเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง บัดนี้ได้ฆ่าเล่ากุ๋ยเสียแล้วจึงขอเชิญกองทัพของเล่าปี่เข้าไปในเมืองเถิด
อันเล่ากุ๋ยผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดขุนพลของเมืองเสฉวนที่เล่าเจี้ยงมีคำสั่งให้ยกมารักษาเมืองลกเสีย คือเล่ากุ๋ย เตงเหียน เตียวหยิม และเหลงเปา ในขณะที่เคลื่อนทัพมายังเมืองลกเสียนั้น จีโฮเต้าหยินได้พยากรณ์บ่งบอกความนัยว่ามังกรจะเหินหาวเข้าสู่เสฉวน ลิขิตสวรรค์ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ผู้มีสติปัญญาพึงรู้จักรักษาตัวให้จงดี แต่สี่ยอดขุนพลไม่เข้าใจความหมาย กลับกล่าวหาว่าจีโฮเต้าหยินเป็นชาวป่าชาวดอยบ้าใบ้ ต่อมาเตงเหียน เหลงเปา และเตียวหยิม ก็ถูกกองทัพเล่าปี่สังหารจนหมดสิ้น เล่ากุ๋ยเป็นยอดขุนพลคนสุดท้ายที่ถูกพวกเดียวกันสังหารโดยไม่ทันได้รู้ตัว ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าลิขิตสวรรค์จึงดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด
เงียมหงันเห็นเหตุการณ์ผันแปรอย่างรวดเร็วดังนั้นก็มีความยินดี แต่ด้วยวิสัยขุนศึกเฒ่ายังคงกริ่งว่าอาจเป็นกลอุบายจึงรั้งรออยู่อีกครู่หนึ่ง เห็นการณ์ข้างในเมืองสมจริงตามคำของทหารเตียวเอ๊ก และเห็นกองทัพเล่าปี่เคลื่อนเข้ามาใกล้สามารถหนุนเนื่องพร้อมกันได้แล้ว เงียมหงันจึงสั่งทหารให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปในเมือง
ทหารเมืองเกงจิ๋วจึงพากันกรูเข้าไปในเมืองลกเสีย แล้วเข้าควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นเล่าชุนบุตรของเล่าเจี้ยงอยู่ที่ศาลาว่าราชการ พอได้ทราบจากทหารคนสนิทว่าเตียวเอ๊กแปรพักตร์สังหารเล่ากุ๋ยและเปิดประตูเมืองรับกองทัพของเล่าปี่ก็ตกใจ รีบวิ่งไปขึ้นม้าแล้วพาทหารคนสนิทสิบสี่สิบห้าคนเปิดประตูเมืองด้านตะวันตกหนีกลับไปเมืองเสฉวน
กองทัพเมืองเกงจิ๋วควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเสียได้สิ้นเชิงแล้ว จึงเชิญเล่าปี่ไปที่ศาลาว่าราชการ เล่าปี่จึงประชุมที่ปรึกษา แม่ทัพนายกอง และให้เรียกขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียเข้ามาพร้อมกัน
เล่าปี่ได้ถามว่านายทหารซึ่งตัดศีรษะเล่ากุ๋ยแล้วเปิดประตูเมืองรับกองทัพของเรานั้นเป็นผู้ใด
เงียมหงันจึงเรียกเตียวเอ๊กให้ออกไปคำนับเล่าปี่แล้วรายงานว่า นายทหารผู้นี้มีชื่อว่าเตียวเอ๊ก เป็นผู้ตัดศีรษะเล่ากุ๋ยและเปิดประตูเมืองรับท่าน
เล่าปี่ก็มีความยินดี สั่งให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่เตียวเอ๊กเป็นอันมาก จากนั้นจึงถามบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองลกเสียว่าบัดนี้เมืองลกเสียอยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นประการใด
บรรดาขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียจึงคุกเข่าคำนับพร้อมกันแล้วว่าพวกข้าพเจ้าทั้งนี้เป็นข้าราชการประจำในราชวงศ์ฮั่น ซึ่งตัวท่านก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีกิตติศัพท์ลือชาปรากฏไปทั่วว่ารักราษฎร ดังนั้นพวกข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงจึงมีความยินดีถ้วนหน้ากัน และตั้งใจรับใช้ท่านโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สุขของราษฎรทั้งปวงสืบไป
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงให้บรรดาขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเดิม เว้นแต่ฝ่ายทหารให้ขึ้นสังกัดต่อกองทัพเมืองเกงจิ๋ว
ขงเบ้งเห็นเล่าปี่จัดแจงการปกครองเมืองลกเสียเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “บัดนี้เมืองลกเสียก็ได้แก่เราแล้ว อันเมืองเสฉวนนั้นก็เหมือนอยู่ในกำมือ จะยกเข้าไปเมื่อใดก็จะได้ แต่ทว่าหัวเมืองทั้งปวงยังมิราบคาบ ขอให้เตียวเอ๊กกับงออี้พาจูล่งคุมทหารยกไปเที่ยวปราบปรามหัวเมืองเตงกั๋ง ให้เงียมหงันกับโตเอ๋งพาเตียวหุยคุมทหารไปกำจัดหัวเมืองเต๊กหยงซึ่งยังขัดแข็งอยู่นั้นให้ราบคาบเป็นปกติ จัดแจงตั้งแต่งขุนนางไว้อยู่รักษาเมืองตามภูมิลำเนาเสร็จแล้ว จึงให้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองเสฉวน”
การที่เล่าปี่ได้เมืองลกเสียแล้วนี้ทำให้แผนการเข้ายึดเอาเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของเมืองเสฉวนสะดวกและปลอดโปร่ง ดังที่ขงเบ้งได้อุปมาไว้ว่าเหมือนอยู่ในกำมือแล้ว แต่การที่ขงเบ้งยังไม่ยกกองทัพเข้าไปยึดเอาเมืองเสฉวนในทันทีนั้นก็เพราะว่าเมืองเสฉวนเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตก มีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา เป็นอันมาก หากเข้ายึดเอาเมืองเสฉวนในทันทีแล้วหัวเมืองภายนอกยังไม่สงบราบคาบ ก็จะเกิดการแข็งข้อต่อสู้ต่อไปอีก และหากเล่าเจี้ยงเสียทีก็อาจยกหนีไปตั้งหลักปักฐานทำการต่อสู้ใหม่ในหัวเมืองอื่นที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวน การศึกก็จะยืดเยื้อยาวนานสืบไป ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดยุทธศาสตร์ในการเข้าตีเมืองเสฉวนขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อทำให้การเข้ายึดเมืองเสฉวนสำเร็จราบคาบในคราวเดียว
และยุทธศาสตร์ที่ขงเบ้งกำหนดในครั้งนี้ก็คือหลักยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง ซึ่งหลังจากนี้ร่วมสองพันปีเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ปรับปรุงและกำหนดขึ้นเป็นยุทธศาสตร์หลักในสงครามปฏิวัติจีนอันขึ้นชื่อลือชาว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง และใช้ยุทธศาสตร์นี้ในการปลดแอกประเทศจีน สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น
บรรดาหัวเมืองที่ขงเบ้งให้นายทหารเมืองเสฉวนนำจูล่งและเตียวหุยยกไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมนั้น ล้วนเป็นเมืองรอบนอกของเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองย่อยในแต่ละภาค ถ้าหากปราบปรามหัวเมืองเหล่านี้ได้ราบคาบแล้วก็เท่ากับว่าดินแดนแคว้นเมืองเสฉวนที่รายรอบเมืองหลวงอยู่นั้นได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเล่าปี่สิ้นแล้ว เมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงก็ไม่อาจดิ้นหลุดรอดได้อีกต่อไป จะต้องตกอยู่ในสภาพยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข
กลยุทธ์ในการยึดหัวเมืองรอบนอกเมืองหลวงดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในปลายสงครามปลดแอกประเทศจีน และเป็นยุทธการสุดท้ายในสามยุทธการหลักของการรุกใหญ่เพื่อปลดแอกประเทศจีนทั่วประเทศ มีชื่อว่ายุทธการเทียนสิน-เป่ยผิง ในยุทธการนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นประธานกรรมาธิการการทหารและจอมพลจูเต๋อเป็นเสนาธิการใหญ่ ได้ออกคำสั่งยุทธการให้ยึดเมืองเทียนสินและเมืองเป่ยผิง หรือที่มีชื่อว่าปักกิ่งในปัจจุบัน โดยให้ยึดหัวเมืองรอบนอกไว้ให้หมดสิ้น แต่ไม่ให้บุกโจมตีปักกิ่ง เพราะปักกิ่งนั้นเป็นเมืองหลวง มีอาคารสถานที่อันเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติที่มีคุณค่า ไม่อาจทำให้เสียหายได้ และไม่ต้องการให้ชัยชนะที่ได้รับต้องกลายเป็นชัยชนะเหนือเมืองร้าง ดังนั้นแกนหลักแห่งความคิดของยุทธการนี้คือการยึดหัวเมืองรอบนอกเป็นขั้นที่หนึ่ง และยึดเมืองหลวงเป็นขั้นสุดท้าย โดยชัยชนะนั้นจะต้องไม่ได้มาซึ่งเมืองร้างหรือหายนะของเมืองหลวง แต่จะต้องได้เมืองที่อุดมสมบูรณ์ในทุกด้าน
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของขงเบ้งในการยึดเมืองเสฉวนก็เพื่อให้เล่าปี่ตั้งตัวเป็นก๊กหนึ่ง ดังนั้นการทะนุถนอมแคว้นเสฉวนโดยเฉพาะเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้เล่าปี่เมื่อได้เข้าครองแคว้นเสฉวนแล้วสามารถก่อร่างตั้งตัวให้ก้าวหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องถอยหลังไปสร้างสรรค์บ้านเมืองใหม่ ซึ่งต้องสิ้นเปลืองทั้งกำลังคนและงบประมาณจำนวนมหาศาล ความยากลำบากของการบรรลุยุทธศาสตร์ขั้นนี้จึงอยู่ที่การรักษาความสมบูรณ์พูนสุขของแคว้นเสฉวนไว้ให้คงเดิมมากที่สุด ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และถ้าบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ดังนี้แล้วเล่าปี่ก็จะตั้งตัวได้ในทันที รอคอยเกาะกุมโอกาสที่จะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง อันเป็นยุทธศาสตร์สุดท้ายของยุทธศาสตร์สามก๊กที่ขงเบ้งได้เคยเสนอแก่เล่าปี่ตั้งแต่ครั้งที่อยู่เขาโงลังกั๋ง
เพราะเหตุนี้ในการที่จูล่งและเตียวหุยจะยกไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง จึงไม่อาจใช้ให้จูล่งและทหารเมืองเกงจิ๋วยกไปแต่ลำพัง เพราะไม่คุ้นเคยภูมิประเทศอย่างหนึ่ง และไม่คุ้นเคยกับผู้คน ขุนนาง ข้าราชการในหัวเมืองอีกอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องอาศัยขุนนางเก่าของเมืองเสฉวนที่เข้าสวามิภักดิ์ ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดให้เตียวเอ๊กและงออี้เป็นผู้นำพาจูล่งไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองสายหนึ่ง ส่วนเงียมหงันและโตเอ๋งนั้นให้เป็นผู้นำพาเตียวหุยไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองอีกสายหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากสี่ขุนนางเก่าของเมืองเสฉวนดังกล่าวเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของราษฎรและขุนนางข้าราชการตามหัวเมืองและด่านทั้งหลาย ทำให้ง่ายต่อการเข้ายึดครองหัวเมืองรอบนอกเหล่านั้น เพราะเมื่อบรรดาขุนนางข้าราชการของเมืองเสฉวนเห็นขุนนางผู้ใหญ่เข้าสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่แล้ว ก็จะจูงใจโน้มน้าวให้เข้าสวามิภักดิ์ตาม ดังที่เตียวหุยประสบความสำเร็จจากการที่เงียมหงันเป็นผู้นำทางเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งสี่สิบห้าหัวเมืองให้สวามิภักดิ์โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่กระนั้นเพื่อป้องกันการขัดแข็ง ขงเบ้งจึงให้ยอดขุนพลฝ่ายบู๊คือจูล่งและเตียวหุยกำกับไปในแต่ละสาย อันเป็นการประกันให้การปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกบรรลุผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ในการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกนี้ ขงเบ้งได้ใช้กุศโลบายการปกครองที่แตกต่างจากโจโฉอย่างสิ้นเชิง นั่นคือขงเบ้งกำหนดแนวทางการปกครองไว้ว่าเมื่อยึดครองหัวเมืองรอบนอกแต่ละหัวเมืองได้แล้ว ให้แต่งตั้งขุนนางข้าราชการที่ปกครองบ้านเมืองอยู่แต่ก่อนนั้นดำรงตำแหน่งตามเดิม
ขงเบ้งคาดหมายว่าการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกจะใช้เวลาไม่นานนัก จึงกำหนดให้กองทหารของเตียวหุยและจูล่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ให้ยกไปบรรจบทัพกันที่เมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของเมืองเสฉวนโดยตรง
ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในสามก๊กจึงปรากฏขึ้นด้วยประการฉะนี้ เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็เห็นชอบ สั่งนายทหารให้ปฏิบัติตามคำสั่งของขงเบ้งทุกประการ เตียวหุย จูล่ง และทหารเมืองเสฉวนที่รับหน้าที่ต่างพากันคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปแต่วันนั้น
ครั้นจัดแจงเรื่องการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองและให้นำตัวนายทหารเมืองเสฉวนที่ชำนาญภูมิประเทศมาเข้าร่วมประชุมปรึกษาด้วย
ขงเบ้งได้ถามว่าการยกกองทัพจากเมืองลกเสียไปเมืองเสฉวนยังจะต้องผ่านด่านและหัวเมืองอีกกี่ตำบล มีตำบลและด่านใหญ่ ด่านเล็กประการใด สภาพภูมิประเทศและเส้นทางสะดวกหรือคับขันทุรกันดารประการใด
ทหารเมืองเสฉวนซึ่งชำนาญภูมิประเทศและได้เข้าสวามิภักดิ์กับกองทัพของเล่าปี่ได้รายงานว่า “มีด่านกิมก๊กเป็นด่านใหญ่อยู่อีกตำบลหนึ่ง แลด่านกิมก๊กนี้ทหารพรักพร้อมนัก ถ้าแลได้ด่านนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะขัดขวาง จะยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนได้โดยง่าย”
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดแจงแต่งกองทัพไว้ให้พร้อม รอเวลาฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน.
ฝ่ายเล่ากุ๋ยคุมทหารยืนรักษาการณ์อยู่บนเชิงเทินเมืองลกเสีย ครั้นเห็นกองทัพหน้าของเล่าปี่ล้วนเป็นทหารเมืองเสฉวน และตัวนายที่ข่มขู่ให้ยอมจำนนก็คือเงียมหงันเจ้าเมืองปากุ๋น เล่ากุ๋ยก็โกรธเป็นอันมาก ชี้หน้าเงียมหงันแล้วร้องด่ากลับลงมาว่าไอ้พวกหน้าไม่มียางอาย ประพฤติตนเป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย ไม่สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของเล่าเจี้ยง ยังจะมีหน้ามาเกลี้ยกล่อมให้เรานอบน้อมอีกหรือ
เงียมหงันได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เอาทวนที่ถืออยู่กับมือเงื้อเตรียมจะพุ่งซัดขึ้นไปบนเชิงเทิน แต่ในพลันนั้นก็เห็นทหารเมืองลกเสียคนหนึ่งซึ่งจำได้ว่าชื่อเตียวเอ๊กวิ่งเข้ามาทางด้านหลังของเล่ากุ๋ย ใช้กระบี่ฟันคอเล่ากุ๋ยขาดกระเด็น แล้วโยนศีรษะเล่ากุ๋ยลงมาข้างล่าง บนเชิงเทินเมืองลกเสียจึงเกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้น ทหารของเตียวเอ๊กได้เข้าควบคุมสถานการณ์บนเชิงเทินไว้จนหมดสิ้น
พร้อม ๆ กันนั้นประตูเมืองลกเสียก็เปิดออก มีทหารเมืองลกเสียกรูออกมาจากประตูเมือง ร้องมาทางเงียมหงันว่าพวกเราเป็นทหารของเตียวเอ๊ก มีน้ำใจศรัทธาต่อเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง บัดนี้ได้ฆ่าเล่ากุ๋ยเสียแล้วจึงขอเชิญกองทัพของเล่าปี่เข้าไปในเมืองเถิด
อันเล่ากุ๋ยผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดขุนพลของเมืองเสฉวนที่เล่าเจี้ยงมีคำสั่งให้ยกมารักษาเมืองลกเสีย คือเล่ากุ๋ย เตงเหียน เตียวหยิม และเหลงเปา ในขณะที่เคลื่อนทัพมายังเมืองลกเสียนั้น จีโฮเต้าหยินได้พยากรณ์บ่งบอกความนัยว่ามังกรจะเหินหาวเข้าสู่เสฉวน ลิขิตสวรรค์ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ผู้มีสติปัญญาพึงรู้จักรักษาตัวให้จงดี แต่สี่ยอดขุนพลไม่เข้าใจความหมาย กลับกล่าวหาว่าจีโฮเต้าหยินเป็นชาวป่าชาวดอยบ้าใบ้ ต่อมาเตงเหียน เหลงเปา และเตียวหยิม ก็ถูกกองทัพเล่าปี่สังหารจนหมดสิ้น เล่ากุ๋ยเป็นยอดขุนพลคนสุดท้ายที่ถูกพวกเดียวกันสังหารโดยไม่ทันได้รู้ตัว ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าลิขิตสวรรค์จึงดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด
เงียมหงันเห็นเหตุการณ์ผันแปรอย่างรวดเร็วดังนั้นก็มีความยินดี แต่ด้วยวิสัยขุนศึกเฒ่ายังคงกริ่งว่าอาจเป็นกลอุบายจึงรั้งรออยู่อีกครู่หนึ่ง เห็นการณ์ข้างในเมืองสมจริงตามคำของทหารเตียวเอ๊ก และเห็นกองทัพเล่าปี่เคลื่อนเข้ามาใกล้สามารถหนุนเนื่องพร้อมกันได้แล้ว เงียมหงันจึงสั่งทหารให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปในเมือง
ทหารเมืองเกงจิ๋วจึงพากันกรูเข้าไปในเมืองลกเสีย แล้วเข้าควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นเล่าชุนบุตรของเล่าเจี้ยงอยู่ที่ศาลาว่าราชการ พอได้ทราบจากทหารคนสนิทว่าเตียวเอ๊กแปรพักตร์สังหารเล่ากุ๋ยและเปิดประตูเมืองรับกองทัพของเล่าปี่ก็ตกใจ รีบวิ่งไปขึ้นม้าแล้วพาทหารคนสนิทสิบสี่สิบห้าคนเปิดประตูเมืองด้านตะวันตกหนีกลับไปเมืองเสฉวน
กองทัพเมืองเกงจิ๋วควบคุมสถานการณ์ในเมืองลกเสียได้สิ้นเชิงแล้ว จึงเชิญเล่าปี่ไปที่ศาลาว่าราชการ เล่าปี่จึงประชุมที่ปรึกษา แม่ทัพนายกอง และให้เรียกขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียเข้ามาพร้อมกัน
เล่าปี่ได้ถามว่านายทหารซึ่งตัดศีรษะเล่ากุ๋ยแล้วเปิดประตูเมืองรับกองทัพของเรานั้นเป็นผู้ใด
เงียมหงันจึงเรียกเตียวเอ๊กให้ออกไปคำนับเล่าปี่แล้วรายงานว่า นายทหารผู้นี้มีชื่อว่าเตียวเอ๊ก เป็นผู้ตัดศีรษะเล่ากุ๋ยและเปิดประตูเมืองรับท่าน
เล่าปี่ก็มีความยินดี สั่งให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่เตียวเอ๊กเป็นอันมาก จากนั้นจึงถามบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงของเมืองลกเสียว่าบัดนี้เมืองลกเสียอยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นประการใด
บรรดาขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียจึงคุกเข่าคำนับพร้อมกันแล้วว่าพวกข้าพเจ้าทั้งนี้เป็นข้าราชการประจำในราชวงศ์ฮั่น ซึ่งตัวท่านก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีกิตติศัพท์ลือชาปรากฏไปทั่วว่ารักราษฎร ดังนั้นพวกข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงจึงมีความยินดีถ้วนหน้ากัน และตั้งใจรับใช้ท่านโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สุขของราษฎรทั้งปวงสืบไป
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงให้บรรดาขุนนางข้าราชการเมืองลกเสียปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามเดิม เว้นแต่ฝ่ายทหารให้ขึ้นสังกัดต่อกองทัพเมืองเกงจิ๋ว
ขงเบ้งเห็นเล่าปี่จัดแจงการปกครองเมืองลกเสียเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “บัดนี้เมืองลกเสียก็ได้แก่เราแล้ว อันเมืองเสฉวนนั้นก็เหมือนอยู่ในกำมือ จะยกเข้าไปเมื่อใดก็จะได้ แต่ทว่าหัวเมืองทั้งปวงยังมิราบคาบ ขอให้เตียวเอ๊กกับงออี้พาจูล่งคุมทหารยกไปเที่ยวปราบปรามหัวเมืองเตงกั๋ง ให้เงียมหงันกับโตเอ๋งพาเตียวหุยคุมทหารไปกำจัดหัวเมืองเต๊กหยงซึ่งยังขัดแข็งอยู่นั้นให้ราบคาบเป็นปกติ จัดแจงตั้งแต่งขุนนางไว้อยู่รักษาเมืองตามภูมิลำเนาเสร็จแล้ว จึงให้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองเสฉวน”
การที่เล่าปี่ได้เมืองลกเสียแล้วนี้ทำให้แผนการเข้ายึดเอาเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของเมืองเสฉวนสะดวกและปลอดโปร่ง ดังที่ขงเบ้งได้อุปมาไว้ว่าเหมือนอยู่ในกำมือแล้ว แต่การที่ขงเบ้งยังไม่ยกกองทัพเข้าไปยึดเอาเมืองเสฉวนในทันทีนั้นก็เพราะว่าเมืองเสฉวนเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตก มีหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา เป็นอันมาก หากเข้ายึดเอาเมืองเสฉวนในทันทีแล้วหัวเมืองภายนอกยังไม่สงบราบคาบ ก็จะเกิดการแข็งข้อต่อสู้ต่อไปอีก และหากเล่าเจี้ยงเสียทีก็อาจยกหนีไปตั้งหลักปักฐานทำการต่อสู้ใหม่ในหัวเมืองอื่นที่ขึ้นต่อเมืองเสฉวน การศึกก็จะยืดเยื้อยาวนานสืบไป ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดยุทธศาสตร์ในการเข้าตีเมืองเสฉวนขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อทำให้การเข้ายึดเมืองเสฉวนสำเร็จราบคาบในคราวเดียว
และยุทธศาสตร์ที่ขงเบ้งกำหนดในครั้งนี้ก็คือหลักยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง ซึ่งหลังจากนี้ร่วมสองพันปีเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ปรับปรุงและกำหนดขึ้นเป็นยุทธศาสตร์หลักในสงครามปฏิวัติจีนอันขึ้นชื่อลือชาว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง และใช้ยุทธศาสตร์นี้ในการปลดแอกประเทศจีน สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น
บรรดาหัวเมืองที่ขงเบ้งให้นายทหารเมืองเสฉวนนำจูล่งและเตียวหุยยกไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมนั้น ล้วนเป็นเมืองรอบนอกของเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองย่อยในแต่ละภาค ถ้าหากปราบปรามหัวเมืองเหล่านี้ได้ราบคาบแล้วก็เท่ากับว่าดินแดนแคว้นเมืองเสฉวนที่รายรอบเมืองหลวงอยู่นั้นได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเล่าปี่สิ้นแล้ว เมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงก็ไม่อาจดิ้นหลุดรอดได้อีกต่อไป จะต้องตกอยู่ในสภาพยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข
กลยุทธ์ในการยึดหัวเมืองรอบนอกเมืองหลวงดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในปลายสงครามปลดแอกประเทศจีน และเป็นยุทธการสุดท้ายในสามยุทธการหลักของการรุกใหญ่เพื่อปลดแอกประเทศจีนทั่วประเทศ มีชื่อว่ายุทธการเทียนสิน-เป่ยผิง ในยุทธการนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นประธานกรรมาธิการการทหารและจอมพลจูเต๋อเป็นเสนาธิการใหญ่ ได้ออกคำสั่งยุทธการให้ยึดเมืองเทียนสินและเมืองเป่ยผิง หรือที่มีชื่อว่าปักกิ่งในปัจจุบัน โดยให้ยึดหัวเมืองรอบนอกไว้ให้หมดสิ้น แต่ไม่ให้บุกโจมตีปักกิ่ง เพราะปักกิ่งนั้นเป็นเมืองหลวง มีอาคารสถานที่อันเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติที่มีคุณค่า ไม่อาจทำให้เสียหายได้ และไม่ต้องการให้ชัยชนะที่ได้รับต้องกลายเป็นชัยชนะเหนือเมืองร้าง ดังนั้นแกนหลักแห่งความคิดของยุทธการนี้คือการยึดหัวเมืองรอบนอกเป็นขั้นที่หนึ่ง และยึดเมืองหลวงเป็นขั้นสุดท้าย โดยชัยชนะนั้นจะต้องไม่ได้มาซึ่งเมืองร้างหรือหายนะของเมืองหลวง แต่จะต้องได้เมืองที่อุดมสมบูรณ์ในทุกด้าน
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของขงเบ้งในการยึดเมืองเสฉวนก็เพื่อให้เล่าปี่ตั้งตัวเป็นก๊กหนึ่ง ดังนั้นการทะนุถนอมแคว้นเสฉวนโดยเฉพาะเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้เล่าปี่เมื่อได้เข้าครองแคว้นเสฉวนแล้วสามารถก่อร่างตั้งตัวให้ก้าวหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องถอยหลังไปสร้างสรรค์บ้านเมืองใหม่ ซึ่งต้องสิ้นเปลืองทั้งกำลังคนและงบประมาณจำนวนมหาศาล ความยากลำบากของการบรรลุยุทธศาสตร์ขั้นนี้จึงอยู่ที่การรักษาความสมบูรณ์พูนสุขของแคว้นเสฉวนไว้ให้คงเดิมมากที่สุด ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และถ้าบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ดังนี้แล้วเล่าปี่ก็จะตั้งตัวได้ในทันที รอคอยเกาะกุมโอกาสที่จะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง อันเป็นยุทธศาสตร์สุดท้ายของยุทธศาสตร์สามก๊กที่ขงเบ้งได้เคยเสนอแก่เล่าปี่ตั้งแต่ครั้งที่อยู่เขาโงลังกั๋ง
เพราะเหตุนี้ในการที่จูล่งและเตียวหุยจะยกไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง จึงไม่อาจใช้ให้จูล่งและทหารเมืองเกงจิ๋วยกไปแต่ลำพัง เพราะไม่คุ้นเคยภูมิประเทศอย่างหนึ่ง และไม่คุ้นเคยกับผู้คน ขุนนาง ข้าราชการในหัวเมืองอีกอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องอาศัยขุนนางเก่าของเมืองเสฉวนที่เข้าสวามิภักดิ์ ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดให้เตียวเอ๊กและงออี้เป็นผู้นำพาจูล่งไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองสายหนึ่ง ส่วนเงียมหงันและโตเอ๋งนั้นให้เป็นผู้นำพาเตียวหุยไปปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองอีกสายหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากสี่ขุนนางเก่าของเมืองเสฉวนดังกล่าวเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของราษฎรและขุนนางข้าราชการตามหัวเมืองและด่านทั้งหลาย ทำให้ง่ายต่อการเข้ายึดครองหัวเมืองรอบนอกเหล่านั้น เพราะเมื่อบรรดาขุนนางข้าราชการของเมืองเสฉวนเห็นขุนนางผู้ใหญ่เข้าสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่แล้ว ก็จะจูงใจโน้มน้าวให้เข้าสวามิภักดิ์ตาม ดังที่เตียวหุยประสบความสำเร็จจากการที่เงียมหงันเป็นผู้นำทางเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งสี่สิบห้าหัวเมืองให้สวามิภักดิ์โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่กระนั้นเพื่อป้องกันการขัดแข็ง ขงเบ้งจึงให้ยอดขุนพลฝ่ายบู๊คือจูล่งและเตียวหุยกำกับไปในแต่ละสาย อันเป็นการประกันให้การปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกบรรลุผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ในการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกนี้ ขงเบ้งได้ใช้กุศโลบายการปกครองที่แตกต่างจากโจโฉอย่างสิ้นเชิง นั่นคือขงเบ้งกำหนดแนวทางการปกครองไว้ว่าเมื่อยึดครองหัวเมืองรอบนอกแต่ละหัวเมืองได้แล้ว ให้แต่งตั้งขุนนางข้าราชการที่ปกครองบ้านเมืองอยู่แต่ก่อนนั้นดำรงตำแหน่งตามเดิม
ขงเบ้งคาดหมายว่าการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกจะใช้เวลาไม่นานนัก จึงกำหนดให้กองทหารของเตียวหุยและจูล่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ให้ยกไปบรรจบทัพกันที่เมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นเมืองหลวงของเมืองเสฉวนโดยตรง
ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในสามก๊กจึงปรากฏขึ้นด้วยประการฉะนี้ เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็เห็นชอบ สั่งนายทหารให้ปฏิบัติตามคำสั่งของขงเบ้งทุกประการ เตียวหุย จูล่ง และทหารเมืองเสฉวนที่รับหน้าที่ต่างพากันคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปแต่วันนั้น
ครั้นจัดแจงเรื่องการปราบปรามเกลี้ยกล่อมหัวเมืองรอบนอกแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองและให้นำตัวนายทหารเมืองเสฉวนที่ชำนาญภูมิประเทศมาเข้าร่วมประชุมปรึกษาด้วย
ขงเบ้งได้ถามว่าการยกกองทัพจากเมืองลกเสียไปเมืองเสฉวนยังจะต้องผ่านด่านและหัวเมืองอีกกี่ตำบล มีตำบลและด่านใหญ่ ด่านเล็กประการใด สภาพภูมิประเทศและเส้นทางสะดวกหรือคับขันทุรกันดารประการใด
ทหารเมืองเสฉวนซึ่งชำนาญภูมิประเทศและได้เข้าสวามิภักดิ์กับกองทัพของเล่าปี่ได้รายงานว่า “มีด่านกิมก๊กเป็นด่านใหญ่อยู่อีกตำบลหนึ่ง แลด่านกิมก๊กนี้ทหารพรักพร้อมนัก ถ้าแลได้ด่านนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะขัดขวาง จะยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนได้โดยง่าย”
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดแจงแต่งกองทัพไว้ให้พร้อม รอเวลาฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน.