ตอนที่ 363. ปล่อยหนึ่งได้หมื่น

เงียมหงันเจ้าเมืองปากุ๋นต้องกลของเตียวหุยเพราะไม่คิดว่าคนเจ้า โทสะและวู่วามจะกลับกลายเป็นคนที่สามารถคิดอ่านกลอุบายที่ลึกซึ้งได้ จึงยกทหารออกจากเมืองไปซุ่มโจมตีเตียวหุยที่ซอกเขาข้างทางน้อย คอยให้เตียวหุยผ่านพ้นไปแล้วก็ยกทหารออกตีกองเสบียง แต่นายทหารซึ่งคุมกองเสบียงนั้นแทนที่จะตกใจแตกหนี กลับชักม้าเข้าหาเงียมหงันแล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดัง

            เงียมหงันได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จ้องเขม้นไปก็เห็นนายทหารซึ่งคุมเสบียงนั้นที่แท้คือเตียวหุยตัวจริงก็รู้ ว่าต้องกล และเตียวหุยคนที่ผ่านพ้นไปนั้นคงจะเป็นตัวปลอม ก็คิดที่จะชักม้าหนี แต่ในทันใดนั้นกองทหารของเตียวหุยก็ตีกระหนาบล้อมเข้ามาจากทุกด้าน

            เงียมหงันไม่ทันชักม้าหนีเตียวหุยก็ชักม้าปราดเข้ามาใกล้ตัว เงียมหงันจึงจำใจเข้าต่อสู้กับเตียวหุย ในขณะที่ทหารของเตียวหุยได้โจมตีทหารของเงียมหงันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ที่เหลือพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนีเข้าราวป่า พวกที่หนีไม่ทันก็ถูกจับเป็นเชลยจนหมดสิ้น

            เงีย มหงันต่อสู้กับเตียวหุยบนหลังม้าจนถึงเพลงที่สิบ เงียมหงันเอาง้าวฟันเตียวหุยแต่เตียวหุยหลบง้าวได้ทันเงียมหงันจึงเซถลาเสีย หลัก ในขณะนั้นเตียวหุยได้ชักม้าตลบกลับเข้ามาประชิดตัวเงียมหงัน แล้วกระโดดจากหลังม้าพุ่งเข้าจับตัวเงียมหงัน ทั้งเตียวหุยและเงียมหงันจึงพลัดตกลงจากหลังม้าแล้วปล้ำฟัดกันอยู่ที่พื้น เตียวหุยและทหารได้ช่วยกันจับเงียมหงันได้แล้วเอาเชือกมัดตัวไว้

            พอจับเงียมหงันได้แล้วเตียวหุยจึงสั่งทหารให้เข้ายึดเอาเมืองปากุ๋น ทหารซึ่งรักษาเมืองมีน้อยตัวเห็นเงียมหงันถูกจับก็ยอมสวามิภักดิ์แก่เตียว หุยแต่โดยดี เตียวหุยพาทหารเข้าเมืองปากุ๋นแล้วก็ตรงไปที่ศาลาว่าราชการ และให้คุมทหารเชลยเข้ามาหา แล้วถามว่าผู้ใดจะสวามิภักดิ์อยู่ด้วยเราก็จะเลี้ยงดูทำนุบำรุงมิได้ รังเกียจ ผู้ใดมิได้เต็มใจก็จะปล่อยกลับไปอยู่กับครอบครัว

            บรรดาทหารเมืองเสฉวนเห็นเตียวหุยโอนอ่อนผ่อนปรนและให้โอกาสดังนั้นก็มีความ ยินดี ประกอบทั้งเคยได้กิตติศัพท์ของกองทัพเล่าปี่ว่ามีคุณธรรมและโอบอ้อมอารีต่อ คนทั้งปวง จึงพากันขอสวามิภักดิ์อยู่กับเตียวหุยสิ้น

            เตียว หุยจึงกำชับทหารมิให้ข่มเหงรังแกราษฎร มิให้ปล้นชิงวิ่งราวเอาทรัพย์สินของราษฎร ผู้ใดฝ่าฝืนจะลงโทษประหารชีวิต ราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดี เอาข้าวของมามอบให้แก่ทหารของเตียวหุยเป็นอันมาก 

            เมื่อจัดแจงการปกครองและเชลยศึกเสร็จแล้ว เตียวหุยจึงให้คุมเงียมหงันเข้ามาพบ เงียมหงันเห็นเตียวหุยนั่งอยู่บนที่ว่าราชการก็โกรธ ยืนแข็งขืนมิได้คำนับ

            เตียวหุยเห็นเงียมหงันไม่อ่อนน้อม ทั้งเห็นท่าทีท้าทายทรนงนักก็ทำเป็นโกรธ ขบฟันกรอด ๆ แล้วตวาดว่าตัวกูเป็นทหารเอกของเล่าปี่ ยกมายึดเมืองปากุ๋นได้แล้ว ตัวเป็นเชลยไฉนจึงมิได้คำนับตามประเพณี

            เงีย มหงันสะบัดหน้าแล้วโต้ว่าตัวกูปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบร่มเย็น ตัวมึงเป็นโจรยกมาปล้นบ้านเมืองท่าน ทำให้อาณาประชาราษฎรทั้งปวงเดือดร้อน ไฉนจะมาเรียกให้เราผู้เฒ่าคำนับโจรเล่า อันตัวกูนี้เป็นชายชาติทหาร ถึงแม้นตกเป็นเชลยก็มิได้กลัวแก่ความตาย ถึงแม้จะตัดศีรษะกู ศีรษะกูก็จะไม่ยอมค้อมคำนับให้เป็นเด็ดขาด

            เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวเงียมหงันไปตัดศีรษะ เงียมหงันก็ร้องด่ามาอีกว่ามึงจะฆ่ากูก็ฆ่าเถิด ไยจะต้องมาแสร้งทำเป็นโกรธให้วุ่นวายไปเล่า

            เตียวหุยมองตามหลังทหารซึ่งคุมตัวเงียมหงัน ในทันใดนั้นก็ได้สติยั้งคิดว่าซึ่งถ้อยคำเงียมหงันนั้นทนงองอาจกว่าคนทั้ง ปวง ถึงจะข่มขู่คุกคามหรือแม้สั่งประหารชีวิตก็ไม่สามารถทำให้เงียมหงันอ่อนน้อม ได้ คนชนิดนี้หากใช้ท่าทีอ่อนน้อมเข้าหาก็เห็นทีท่าว่าจะอ่อนน้อมเข้ามาสวามิภัก ดิ์ จะเป็นผลดีแก่ราชการยิ่งกว่าประหารชีวิตให้ตายเปล่า

            เตียว หุยได้สติดังนั้นแล้วจึงร้องบอกทหารซึ่งคุมตัวเงียมหงันจะเอาไปประหารนั้น ให้หยุดอยู่ก่อน แล้วเตียวหุยจึงลงจากที่ว่าราชการตรงเข้าไปหา คุกเข่าลงคำนับ  เงียมหงันแล้วว่าข้าพเจ้าสำนึกได้แล้วว่าท่านผู้เฒ่าเคร่งในศักดิ์และศรีของ ชายชาติทหาร ต้องด้วยอัธยาศัยข้าพเจ้ายิ่ง น้ำใจจึงศรัทธาบูชาท่าน ที่ล่วงเกินท่านไว้จงอภัยให้แก่ข้าพเจ้าผู้น้อยด้วยเถิด

            เหตุการณ์พลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผิดความคาดหมายของผู้คนทั้งปวง ทหารของเตียวหุยไม่เคยเห็นตัวนายยอมอ่อนน้อมต่อผู้ใด เคยเห็นแต่โทสะวู่วาม เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจ แม้เงียมหงันเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ด้วยวิสัยผู้ทะนงตนครั้นเห็นคนอื่นยอมอ่อนข้อแสดงท่าทีเคารพนับถือดังนี้ น้ำใจที่แข็งอยู่ก็อ่อนลงแล้วตะลึงไป

            ในขณะนั้นเตียวหุยได้ลุกขึ้นแล้วแก้มัดเงียมหงันออก พยุงเงียมหงันไปนั่งที่ว่าราชการ แล้วเตียวหุยก้าวมายืนอยู่ข้างที่ว่าราชการ คำนับเงียมหงันอีกครั้งหนึ่งแล้วว่า “ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านผู้ เฒ่าเป็นคนดีมีอัชฌาสัย ประกอบด้วยสติปัญญามาแต่ก่อน แลตัวข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยมิได้คารวะแก่ผู้ใหญ่ มากล่าวถ้อยคำหยาบช้าประมาททั้งนี้ มิควรแก่ตัวเลยผิดนักหนา ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด”

            เงียมหงันเห็นเตียวหุยให้เกียรติและแสดงความเคารพนบนอบดังนั้น ความรู้สึกซึ่งขึ้งโกรธเตียวหุยก็มอดมลายไป สำนึกถึงบุญคุณของเตียวหุยที่ไว้ชีวิตมิได้คิดถึงถ้อยคำที่กล่าวหยาบช้ามา แต่ก่อน เงียมหงันจึงลุกออกจากที่ว่าราชการลงมาคำนับเตียวหุยแล้วว่า “แต่ ก่อนเราได้ยินเขาเลื่องลือว่าท่านนี้มีใจหยาบช้าสามาญย์นัก มิได้รู้จักเด็กแลผู้ใหญ่ บัดนี้เห็นท่านเป็นคนสุภาพ รู้จักที่ผิดแลชอบ ขอบใจหนักหนา ถึงท่านเป็นเด็กก็จริงก็ควรเราจะคำนับ”

            ว่าแล้วเงียมหงันก็คุกเข่าลงคำนับเตียวหุยอีกครั้งหนึ่ง แล้วเชิญเตียวหุยให้ขึ้นนั่งบนที่ว่าราชการดังเดิม

            เตียวหุยเห็นเงียมหงันอ่อนน้อมดังนั้นก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเงียมหงันแล้วว่าเมืองเสฉวนตกอยู่ในอันตราย เล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่พี่ข้าพเจ้าให้ยกกองทัพมาป้องกันข้าศึก แต่ตระบัดสัตย์ลอบให้ทหารทำการร้ายหมายสังหารเล่าปี่เสีย ดังนั้นเล่าปี่จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว แลเมืองเสฉวนนั้นเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งจะให้ตกเป็นของผู้อื่นนั้นไม่ชอบ ดังนั้นเล่าปี่จึงจำที่จะต้องเข้ารักษาเมืองเสฉวนไว้

            แล้วว่าเฉพาะหน้านี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปที่เมืองลกเสีย ตัวท่านเป็นผู้ชำนาญภูมิประเทศจงเมตตาบอกกล่าวเส้นทางให้กระจ่างเถิด

            เงีย มหงันได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านจะปรารมภ์ไปไยกับการที่จะเดินทัพไปเมืองลกเสียอันเส้นทางเดินทัพไปเมือง ลกเสียนั้นถึงจะมีด่านและกองทหารหลายแห่งหลายตำบล เดินทัพขัดสนก็จริงอยู่ แต่บัดนี้เมื่อท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ให้ คุณย่อมมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขออาสานำทางไปข้างหน้า ด้วยบรรดาด่านและกองทหารตามรายทางนั้นล้วนอยู่ในบังคับบัญชาของข้าพเจ้าสิ้น เมื่อเห็นข้าพเจ้ายกไปเป็นกองหน้าก็จะมาสวามิภักดิ์มิให้ท่านได้ลำบากเลย

            เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ตั้งให้เงียมหงันเป็นกองทัพหน้า เตียวหุยเป็นกองทัพหลวง ยกออกจากเมืองปากุ๋นตรงไปเมืองลกเสีย

            เงียมหงันเป็นนายทหารผู้ใหญ่ของเมืองเสฉวน มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองปากุ๋น บังคับบัญชาด่านและกองทหารทั้งปวงตลอดแนวชายแดนด้านนอก บรรดาด่านและกองทหารตั้งแต่เมืองปากุ๋นจนถึงเมืองลกเสียล้วนเป็นทหารใน บังคับบัญชาของเงียมหงันทั้งสิ้นดังนั้นเมื่อกองหน้าของเงียมหงันยกไปถึง ด่านและกองทหารใด นายด่านและกองทหารทั้งนั้นก็พากันออกมาคำนับ ยอมเข้าสวามิภักดิ์แต่โดยดี

            เตียวหุยจึงเดินทัพจากเมืองปากุ๋นไปเมืองลกเสียโดยสะดวกดาย ได้ทหารเข้าสวามิภักดิ์ในกองทัพเป็นจำนวนมาก การเดินทางจึงเป็นไปโดยราบรื่นและถึงเมืองลกเสียก่อนกองทัพเรือของจูล่งและ กองทัพหลวงของขงเบ้ง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “ครั้น เงียมหงันยกไปถึงตำบลใด ขุนนางนายด่านทั้งปวงก็ออกมาคำนับยอมเข้าด้วย มิได้ขัดขวางทุกตำบล เตียวหุยยกไปครั้งนั้นโดยสะดวกนัก แต่กระบี่ก็มิได้ถอดออกจากฝัก เกาทัณฑ์ก็มิได้ขึ้นสาย เพราะเงียมหงันเป็นทัพหน้าไป”

            เตียว หุยไว้ชีวิตเงียมหงันเจ้าเมืองปากุ๋นและเกลี้ยกล่อมเข้าเป็นพวกเพียงคนเดียว กลับได้กำลังทหารเพิ่มขึ้นจากการสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก ได้ทั้งเสบียงอาหารและความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง ทั้งนี้คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเตียวหุยจากการที่ได้สัมผัสกับ ขงเบ้งโดยแท้ 

            ฝ่ายเล่าปี่รั้งกองทัพอยู่ที่ด่านโปยสิก๋วน ครั้นได้รับหนังสือจากขงเบ้งว่าได้จัดแจงให้กวนอูอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว และกรีฑาทัพยกมาช่วยทั้งทางบกและทางเรือก็มีความยินดี จึงเรียกฮองตงมาปรึกษาปรารภว่าขงเบ้งแจ้งมาว่าได้ยกกองทัพออกจากเมืองเก งจิ๋วมาตั้งแต่วันแรมห้าค่ำเดือนเก้า บัดนี้วันเวลาผ่านมาหลายวันแล้วเห็นว่ากองทัพของขงเบ้งคงยกใกล้จะถึงเมือง ลกเสียแล้ว จึงชอบที่เราจะยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพของขงเบ้งที่เมืองลกเสีย

            ฮองตงจึงว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ท่านตั้งรับข้าศึกอยู่แต่ในด่าน เตียวหยิมเห็นท่านมิได้ออกรบก็จะกำเริบและตั้งอยู่ในความประมาท ในเวลาคืนวันนี้ขอให้ท่านแต่งทหารยกออกปล้นค่ายเตียวหยิมเถิด เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง เมื่อตีกองทัพเตียวหยิมแตกแล้วจึงค่อยยกทหารไปบรรจบกับกองทัพของขงเบ้ง

            เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงสั่งให้เตรียมทหารแล้วจะยกเข้าปล้นค่ายของเตียวหยิมในเวลากลางคืน

            พอเวลาสองยามความมืดแผ่ปกคลุมทั่ว เล่าปี่จึงยกทหารออกจากด่านเป็นสามกอง ให้แยกกันเข้าตีค่ายของเตียวหยิมสามด้าน เว้นไว้ด้านหนึ่งเปิดทางให้เตียวหยิมหนีกลับไปเมืองลกเสีย

            พอกองทหารทั้งสามกองยกไปถึงค่ายของเตียวหยิมก็ระดมยิงเกาทัณฑ์เพลิงเข้าไป ที่ค่ายของเตียวหยิมพร้อมกัน และยกทหารตีเข้าไปในค่ายของเตียวหยิม ทหารของเตียวหยิมไม่ทันระวังตัวก็แตกตื่นเป็นอลหม่าน ต่างคนต่างวิ่งหนีออกจากค่ายคุมกันไม่ติด

            ทหาร ของเตียวหยิมเห็นทางค่ายด้านที่จะไปเมืองลกเสียไม่มีทหารของเล่าปี่เข้าตี จึงพากันแตกหนีไปตามทางนั้น ทหารของเล่าปี่ได้ทีก็ไล่ตามตีทหารของเตียวหยิมไปจนถึงใกล้ประตูเมือง ลกเสีย

            ฝ่ายทหารในเมืองลกเสียทราบว่าเตียวหยิมแตกทัพหนีกลับมา และเห็นกองทัพเล่าปี่ไล่ตามตีมาติด ๆ ก็เปิดประตูเมืองแล้วยกทหารออกไปต้านทหารเล่าปี่ไว้และรับเตียวหยิมกลับเข้า มาในเมือง

            ทหารเล่าปี่จะตีเข้าเมืองไม่ได้จนเวลาสว่างก็พากันถอยมาตั้งค่ายในระยะห่างเมืองลกเสียประมาณร้อยเส้น

            เล่าปี่ตั้งค่ายได้แล้วรุ่งอีกสองวันก็ยกทหารเข้าล้อมจะตีเมืองลกเสีย แต่เตียวหยิมไม่ยอมยกทหารออกมารบคงตั้งมั่นอยู่ในเมือง ให้ทหารรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองคอยระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่ทหารของเล่าปี่ ซึ่งจะเข้าไปใกล้กำแพงเมือง

            เล่าปี่เข้าตี เมืองในรอบเช้าไม่สำเร็จ พอตกเวลาบ่ายก็แบ่งทหารออกเป็นสองกอง เล่าปี่คุมทหารกองหนึ่งเข้าตีทางด้านตะวันตก ฮองตงและอุยเอี๋ยนคุมทหารเข้าตีทางด้านตะวันออก เว้นประตูเมืองด้านใต้และด้านเหนือไว้หวังจะล่อให้ทหารและชาวเมืองซึ่งกลัว ภัยหนีออกจากเมือง

            เตียวหยิมขึ้นไปบนเชิงเทินมองลงมาทางด้านตะวันตกเห็นเล่าปี่ขี่ม้าตรวจตรา ทหารอยู่จนถึงเวลาบ่าย แลทหารนั้นอ่อนล้าอิดโรยลงเป็นอันมากหากเข้าตีเห็นจะได้ทีแก่ข้าศึก เตียวหยิมจึงรีบลงจากบนเชิงเทิน แล้วจัดแจงทหารเตรียมจะยกออกไปโจมตีเล่าปี่ แต่ทหารนั้นน้อยตัวนักเตียวหยิมจึงเกณฑ์ทหารจากบนเชิงเทินมาสมทบ แล้วเกณฑ์ชาวเมืองแต่งตัวเป็นทหารขึ้นไปรักษาการณ์บนเชิงเทินแทน

            เตียวหยิมได้จัดแบ่งทหารเป็นสองกอง เตียวหยิมคุมกองหนึ่งและให้ลุยต๋องและงอหลันคุมอีกกองหนึ่ง

            เตียว หยิมคุมทหารออกจากประตูเมืองด้านทิศใต้วกเข้าตีกองทัพเล่าปี่ ส่วนลุยต๋องและงอหลันให้ยกออกจากประตูด้านทิศเหนืออ้อมไปเข้าตีกองทัพของอุย เอี๋ยนและฮองตง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘