ตอนที่ 362. ตัวจริงกับตัวปลอม
นิมิตลางและคำตักเตือนของผู้มีปัญญาทั้งปวงไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตบังทองเอาไว้ได้ และถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตายที่ซอกเขาใกล้กับเนินหงส์ร่วง เล่าปี่จึงจำเป็นต้องเชิญขงเบ้งให้ยกไปช่วย หลังจากวางภาระเมืองเกงจิ๋วไว้แก่กวนอูแล้ว ขงเบ้งจึงยาตราทัพบกทัพเรือมุ่งสู่เป้าหมายคือเมืองลกเสีย โดยเตียวหุยยกไปทางแดนเมืองปากุ๋นแล้วท้าเงียมหงันเจ้าเมืองซึ่งเป็นขุนพลผู้เฒ่าให้ยกออกมารบ เงียมหงันด้วยแรงแห่งโทสะจึงจัดแจงทหารจะยกไปรบด้วยเตียวหุย
เฮกอวดนายทหารรองของเมืองปากุ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปทักท้วงเงียมหงันว่าซึ่งท่านจะยกออกไปรบกับเตียวหุยนั้นไม่ชอบ ด้วยเตียวหุยนั้นเป็นยอดทหารเสือของเล่าปี่ มีฝีมือการรบเข้มแข็งกล้าหาญนัก เมื่อครั้งศึกสะพานเตียงปันเพียงแค่ตวาดด้วยเสียงอันดังก็ทำให้ทหารโจโฉทั้งกองทัพต้องถอยกลับไป ตัวท่านชราแล้วเห็นจะไม่สามารถต้านทานกำลังของเตียวหุยได้ ท่านอย่าเพ่อยกออกไปเลย
แล้วเฮกอวดจึงกล่าวสืบไปว่าแต่เตียวหุยนั้นเป็นคนใจร้อน แรงด้วยโทสะ ถ้าหากท่านตั้งรับอยู่แต่ในเมือง คอยระมัดระวังป้องกันรักษาเมืองไว้ เตียวหุยยกเข้าตีเมืองไม่ได้ก็จะพาลโกรธทหารแล้วเฆี่ยนตีลงโทษทหารตามประสาคนอารมณ์ร้ายก็จะเกิดความวุ่นวายสับสนขึ้นในกองทัพของข้าศึก
อนึ่งเล่ากองทัพเตียวหุยยกมาแต่ทางไกล ไหนเลยเสบียงอาหารจะบริบูรณ์ได้ เมื่อตั้งทัพต่อสู้กันนานวันเข้าเสบียงอาหารก็ต้องขาดลง ความระส่ำระสายก็จะเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นท่านค่อยยกกองทัพออกโจมตี เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง
เงียมหงันได้ฟังคำเฮกอวดดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ทหารตั้งมั่นอยู่แต่ในเมือง กำชับให้ขึ้นประจำอยู่บนเชิงเทินและกำแพงเมือง รักษาค่ายคูประตูหอรบแล้วเตรียมพลเกาทัณฑ์จำนวนมากไว้รับมือกับการเข้าตีเมืองของกองทัพเตียวหุย
เฮกอวดเสนอความเห็นครั้งนี้เป็นที่คมสันลึกซึ้ง แต่เป็นความเห็นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานข่าวสารข้อมูลเก่าที่ว่าเตียวหุยเป็นคนเจ้าโทสะ อารมณ์ร้าย มักเฆี่ยนตีทหาร ทั้งเป็นคนวู่วามซึ่งเป็นกิตติศัพท์ที่ปรากฏทั่วไป โดยหารู้ไม่ว่าสรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเตียวหุยบัดนี้หลังจากได้สัมผัสกับความคิดอ่านในการสงครามของขงเบ้ง ก็ได้ประจักษ์ถึงการใช้กลอุบายและสติปัญญาในการสงคราม มีสติยั้งคิดมากขึ้น ดังจะเห็นได้ชัดจากเมื่อครั้งออกไปชำระความบังทองแกล้งเมาสุรา แทนที่เตียวหุยจะวู่วามด้วยโทสะกลับยั้งคิดจนประจักษ์ความจริงว่าบังทองคือผู้มีสติปัญญาที่ซ่อนกาย จึงกลับมาแจ้งแก่เล่าปี่ ดังนั้นเตียวหุยในวันนี้จึงไม่ใช่เตียวหุยในอดีต การที่เฮกอวดรู้จักแต่เตียวหุยคนก่อนแต่กลับไม่รู้ความนัยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเตียวหุยคนใหม่แล้ว จึงเท่ากับไม่รู้เขาโดยกระจ่างอันต้องลักษณะปราชัยแห่งพิชัยสงครามนั่นเอง
เตียวหุยใช้ทหารออกไปท้ารบแต่ข้างในเมืองกลับตั้งมั่นไม่ยอมออกรบ จึงสั่งทหารให้ไปเจรจากับเงียมหงันเพื่อเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์แต่โดยดี จะได้ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ราษฎรทั้งปวง
ทหารซึ่งไปเจรจานั้นก็แจ้งความตามคำสั่งของเตียวหุย ให้เงียมหงันเปิดประตูเมืองยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี มิฉะนั้นหากตีเข้าเมืองได้แล้วก็จะฆ่าฟันเสียให้สิ้น ไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง
เงียมหงันได้ฟังก็โกรธ ตวาดทหารของเตียวหุยว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีแต่ทหารที่ยอมหัวขาดโดยไม่ยอมค้อมศีรษะสวามิภักดิ์ต่อข้าศึก ซึ่งจะมาขอให้เราสวามิภักดิ์นั้นเป็นการปรามาสเหยียดหยามชายชาติทหาร เราหาได้หวั่นกลัวต่อคำขู่นายมึงไม่ จะขอยืมปากมึงออกไปบอกแก่นายมึงว่าเร่งระวังรักษาศีรษะตัวไว้ให้จงดี
ว่าแล้วเงียมหงันจึงสั่งทหารให้ตัดปากและจมูกของทหารเตียวหุย แล้วขับออกไปจากเมือง
ทหารนั้นได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก พอกลับไปถึงค่ายก็เข้าไปรายงานความให้เตียวหุยทราบทุกประการ
เตียวหุยเห็นเงียมหงันดูหมิ่นดังนั้นก็โกรธ พาทหารสองร้อยออกจากค่ายตรงไปที่ประตูเมือง ด่าว่าเงียมหงันและท้าให้ยกทหารออกมารบกัน
เงียมหงันไม่ยอมยกทหารออกไปรบ กลับให้ทหารด่าว่าเตียวหุยเป็นหยาบช้านานาประการ “เตียวหุยยิ่งโกรธดังเพลิงเผาในหัวใจ จะขับม้ารุกเข้าไปก็ติดคูเมืองอยู่เข้าไปมิได้ ได้แต่คำรามอยู่ในคอจนเวลาเย็นแล้วก็กลับมาค่าย”
พอรุ่งขึ้นเช้าเตียวหุยก็พาทหารยกไปที่หน้าประตูเมืองร้องด่าว่าเงียมหงันและท้าให้ยกทหารออกมารบกันอีก เงียมหงันโกรธแต่ยังคงยึดมั่นในแนวทางการตั้งรับไม่ยอมยกออกไปรบ กลับเอาเกาทัณฑ์ยิงมาที่เตียวหุยถูกหมวกเกราะของเตียวหุยแล้วลูกเกาทัณฑ์กระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง
เตียวหุยถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่หมวกเกราะก็ยิ่งโกรธเงียมหงันเป็นอันมาก ร้องด่าเงียมหงันว่าไอ้เฒ่าขี้ขลาด “แม้กูได้ตัวมึงจะฉีกเนื้อเคี้ยวเสียให้สาใจ”
เตียวหุยคุมทหารร้องด่าเงียมหงันอยู่จนเวลาเย็น เงียมหงันก็ไม่ยกทหารออกมารบ เตียวหุยไม่รู้ที่จะทำประการใดก็พาทหารกลับมาค่าย
วันรุ่งขึ้นเตียวหุยจึงจัดทหารเป็นสี่หน่วยย่อย หน่วยละสองร้อยคนยกไปที่กำแพงเมืองด้านละกอง แล้วร้องด่าเงียมหงันทั้งสี่ด้านของกำแพงเมือง เงียมหงันก็ระงับโทสะไว้ไม่ยอมยกทหารออกไปรบ และกำชับทหารให้สงบนิ่งรักษาเชิงเทินไว้ให้มั่นคง
เตียวหุยร้องด่าเงียมหงันอยู่จนถึงเวลาบ่าย เห็นเงียมหงันไม่ยกออกมารบจึงพา ทหารขึ้นไปบนเนินเขา แลลงไปข้างในเมืองก็เห็นทหารเงียมหงันแต่งตัวใส่เสื้อเกราะพร้อมอาวุธเตรียมพร้อมอยู่เป็นอันมากแต่ไม่ยอมออกรบ ก็ได้คิดว่าซึ่งข้าศึกไม่ยอมออกรบนั้นใช่ว่าจะมีกำลังน้อยหรือหวาดกลัว หากแต่เป็นกลอุบายแสร้งยั่วยุโทสะของฝ่ายเราและถ่วงเวลาจนกว่าเสบียงจะหมดสิ้นแล้วจึงจะยกเข้าทำการ
เตียวหุยได้สติยั้งคิดดังนั้นก็คิดต่อไปว่าถึงมาตรแม้นเราจะยกทหารมาด่าว่าสักเพียงไร ข้างในเมืองก็คงไม่ยอมยกออกมาต่อรบด้วย กระนั้นเลยชอบที่จะคิดอ่านกลอุบายเอาชนะข้าศึกให้จงได้
เตียวหุยคิดดังนั้นแล้วในจินตนาภาพก็ปรากฏหน้าขงเบ้งมีทีท่าเยือกเย็นสงบ โบกพัดขนนกไปมา ใจก็คิดเคลิบเคลิ้มไปถึงกลอุบายที่ขงเบ้งเคยใช้ซุ่มตีข้าศึก เตียวหุยก็ค่อยชุ่มชื่นขึ้น แล้วพาทหารลงมาจากเนิน ตรงไปที่หน้ากำแพงเมืองอีก
พอถึงหน้ากำแพงเมืองเตียวหุยก็ให้ทหารร้องด่าว่าเงียมหงันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งให้ทหารนั่งบ้างนอนบ้างทำทีว่าอิดโรยอ่อนกำลัง แต่ก็ไม่เห็นข้างในเมืองยกทหารออกมา จนถึงเวลาเย็นเตียวหุยจึงยกทหารกลับค่าย
เตียวหุยกลับมาถึงค่ายแล้วก็คิดว่าเงียมหงันแสร้งอดกลั้นโทสะหวังให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในกองทัพเราแล้วก็จะโจมตีซ้ำเติม เตียวหุยครุ่นคิดหาอุบายที่จะเอาชนะต่อกองทัพเมืองปากุ๋นอยู่จนดึกก็ยังคิดไม่ออก
รุ่งขึ้นเตียวหุยก็คุมทหารออกไปท้ารบเงียมหงันอีก พักหนึ่งก็ให้ทหารนั่งพักผ่อน ทั้งนั่งทั้งนอนอยู่ตามแนวป่า เตียวหุยเอาสุรามาดื่มแล้วดุด่าทหารเสียงดังสนั่น แต่ข้างในเมืองก็ยังไม่ยกทหารออกมารบ เตียวหุยก็สั่งทหารให้ทำทีเข้าไปตัดฟืนและถางป่าทำท่าคล้ายกับเป็นการตัดทาง จนกระทั่งถึงเวลาเย็นเตียวหุยก็ยกทหารกลับไป
เตียวหุยทำการในลักษณะนี้ติดต่อกันอีกถึงสามวัน ข้างในเมืองก็ยังไม่ยกทหารออกมารบ
แต่การกระทำของเตียวหุยที่ผ่านมานั้นใช่ว่าจะเสียเปล่า เพราะการทั้งปวงได้ถูกจับตามองจากเงียมหงันอย่างใกล้ชิด เห็นแต่ละวันทหารของเตียวหุยร้องด่าแล้วนั่งบ้างนอนบ้าง ก็เห็นว่าทหารของเตียวหุยเริ่มอิดโรยอ่อนแรงลง ยิ่งเห็นเตียวหุยเอาสุรามาดื่มแล้วดุด่าทหารสอดคล้องตรงกันที่เฮกอวดคาดคะเนก็มีความยินดี สำคัญว่าเตียวหุยกำลังเกิดโทสะที่ท้าทายให้ยกออกไปรบไม่สำเร็จแล้วพาลโกรธทหาร
พอเห็นทหารของเตียวหุยออกไปตัดฟืน เงียมหงันก็สำคัญว่าฟืนไฟและเสบียงของเตียวหุยยิ่งร่อยหรอลงก็มีความยินดีเป็นอันมาก คิดว่าในไม่ช้านี้กองทัพเตียวหุยคงสับสนอลหม่านขึ้น จะได้ยกกองทัพเข้าโจมตี
แต่พอเห็นทหารของเตียวหุยออกไปฟันทางถางป่าก็หลากใจ คิดว่าหรือเตียวหุยเตรียมการที่จะยกอ้อมเมืองปากุ๋นตรงไปที่เมืองลกเสียทีเดียว แต่จะจริงเท็จประการใดก็ไม่แน่นอน ดังนั้นเงียมหงันจึงให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปะปนเข้าไปทำทีตีสนิทชิดเชื้อเพื่อสืบข่าวคราวจากทหารของเตียวหุยที่ไปตัดทางถางป่านั้น
ในวันที่สาม ทหารซึ่งเงียมหงันให้ปลอมตัวไปสืบข่าวก็เห็นทหารของเตียวหุยที่ตัดทางถางป่ามารายงานกับเตียวหุยว่า บัดนี้ได้พบเส้นทางที่จะอ้อมเมืองปากุ๋นไปเมืองลกเสียแล้ว เป็นเส้นทางน้อยอยู่ตามริมซอกเขา และเห็นท่าทีเตียวหุยมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งทหารให้เตรียมการหุงข้าวตั้งแต่เวลายามสอง และจะยกออกจากค่ายไปตามเส้นทางน้อยตรงไปเมืองลกเสียทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาสู้รบกับเงียมหงันที่เมืองปากุ๋น
เตียวหุยยังทำทีกำชับทหารว่า การครั้งนี้ต้องกระทำด้วยความลับอย่างยิ่งยวด อย่าให้ข้างในเมืองรู้ตัว แม้ม้าก็ให้เอาขลุบใส่ปากผูกไว้อย่าให้ร้องส่งเสียงได้เป็นอันขาด ในเวลายามสามตัวเราจะนำทหารไปตามทางสายน้อย และให้ทหารทั้งปวงยกตามไป ให้ระมัดระวังอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท
เตียวหุยทำทีกำชับทหารอย่างเข้มงวดกวดขัน และให้บอกทหารเตรียมการพร้อมกันทุกค่าย
ทหารของเงียมหงันที่แปลกปลอมมาสืบทราบความศึกจึงนำความทั้งปวงเข้าไปรายงานให้เงียมหงันทราบ
เงียมหงันคาดการณ์อยู่แต่ต้นแล้วว่าซึ่งเตียวหุยให้ทหารไปถางป่าหาทางนั้นมีอาการน่าสงสัย ครั้นได้ทราบความตามรายงานก็กระจ่างว่าซึ่งเตียวหุยทำการทั้งนี้หวังจะยกอ้อมเมืองปากุ๋นไปตีเมืองลกเสีย
เงียมหงันสำคัญดังนั้นแล้วจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามา แล้วปรารภว่าซึ่งเราตั้งรับอยู่ในเมืองบัดนี้การสมคะเนแล้ว เตียวหุยจะเข้าตีเมืองมิได้จึงวางแผนจะยกกองทัพหนีอ้อมไปตามทางน้อยตรงไปเมืองลกเสียทีเดียว ทหารทั้งปวงต่างรู้เห็นความเป็นไปอย่างเดียวกัน ได้ฟังคำเงียมหงันก็เห็นด้วย แล้วปรึกษาว่าจะทำการประการใด
เงียมหงันจึงว่ากองทัพเตียวหุยยกหนีไปครั้งนี้เราจะโจมตีก็แต่เฉพาะทำลายเสบียงให้สิ้น กองทัพเตียวหุยก็จะพินาศไปเอง ซึ่งเตียวหุยจะยกทัพหนีไปนั้นเตียวหุยจะนำทหารเป็นกองหน้าโดยกองเสบียงจะอยู่ข้างหลัง เราจะยกทหารออกไปซุ่มตีเสบียงให้จงได้ แล้วยกไล่ตามจับตัวเตียวหุย เห็นจะได้ตัวโดยง่าย
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำเงียมหงันก็เห็นพ้องต้องกันว่าแผนการดังกล่าวจะสามารถได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย เงียมหงันจึงสั่งให้จัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้ พอค่ำลงก็ลอบยกออกจากเมืองไปตั้งซุ่มคอยสกัดเตียวหุยอยู่ที่ซอกเขาข้างทางน้อยนั้น
ครั้นเวลายามสามเห็นกองหน้าของเตียวหุยยกมามีธงประจำตัวระบุชื่อว่าเป็นเตียวหุย และตัวนายนั้นใส่เกราะถือทวนพาดมาบนหน้าตัก เงียมหงันจึงกำชับทหารว่าให้สงบกำลังไว้ก่อน รอให้เตียวหุยยกกองหน้าผ่านพ้นไปแล้วให้ค่อยโจมตีที่กองเสบียง
ครู่หนึ่งกองหน้าของเตียวหุยก็ยกผ่านไป กองเสบียงก็เคลื่อนมาถึง เงียมหงันจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นแล้วยกทหารออกจากสองข้างทางเข้าโจมตีกองเสบียง ตัวเงียมหงันขี่ม้านำหน้าทหารตรงไปที่ทหารตัวนายซึ่งคุมกองเสบียงอยู่นั้น
แต่พอเข้าไปใกล้ นายทหารซึ่งคุมกองเสบียงอยู่นั้นก็ชักม้าตรงเข้ามาหาเงียมหงัน ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายศัตรูเฒ่า มึงต้องกลของกูแล้ว ครานี้มึงจะหนีกูไปไหนพ้น
เตียวหุยคนที่เฮกอวดรู้จักบัดนี้กลายเป็นเตียวหุยตัวปลอมเพราะเตียวหุยที่คุ้นเคยกับขงเบ้งได้กลายเป็นเตียวหุยตัวจริง ส่วนเตียวหุยที่เงียมหงันเห็นขี่ม้าผ่านไปในตอนแรกก็คือเตียวหุยตัวปลอม แต่ทหารคุมเสบียงที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นกลับเป็นเตียวหุยตัวจริง.
เฮกอวดนายทหารรองของเมืองปากุ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปทักท้วงเงียมหงันว่าซึ่งท่านจะยกออกไปรบกับเตียวหุยนั้นไม่ชอบ ด้วยเตียวหุยนั้นเป็นยอดทหารเสือของเล่าปี่ มีฝีมือการรบเข้มแข็งกล้าหาญนัก เมื่อครั้งศึกสะพานเตียงปันเพียงแค่ตวาดด้วยเสียงอันดังก็ทำให้ทหารโจโฉทั้งกองทัพต้องถอยกลับไป ตัวท่านชราแล้วเห็นจะไม่สามารถต้านทานกำลังของเตียวหุยได้ ท่านอย่าเพ่อยกออกไปเลย
แล้วเฮกอวดจึงกล่าวสืบไปว่าแต่เตียวหุยนั้นเป็นคนใจร้อน แรงด้วยโทสะ ถ้าหากท่านตั้งรับอยู่แต่ในเมือง คอยระมัดระวังป้องกันรักษาเมืองไว้ เตียวหุยยกเข้าตีเมืองไม่ได้ก็จะพาลโกรธทหารแล้วเฆี่ยนตีลงโทษทหารตามประสาคนอารมณ์ร้ายก็จะเกิดความวุ่นวายสับสนขึ้นในกองทัพของข้าศึก
อนึ่งเล่ากองทัพเตียวหุยยกมาแต่ทางไกล ไหนเลยเสบียงอาหารจะบริบูรณ์ได้ เมื่อตั้งทัพต่อสู้กันนานวันเข้าเสบียงอาหารก็ต้องขาดลง ความระส่ำระสายก็จะเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นท่านค่อยยกกองทัพออกโจมตี เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง
เงียมหงันได้ฟังคำเฮกอวดดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ทหารตั้งมั่นอยู่แต่ในเมือง กำชับให้ขึ้นประจำอยู่บนเชิงเทินและกำแพงเมือง รักษาค่ายคูประตูหอรบแล้วเตรียมพลเกาทัณฑ์จำนวนมากไว้รับมือกับการเข้าตีเมืองของกองทัพเตียวหุย
เฮกอวดเสนอความเห็นครั้งนี้เป็นที่คมสันลึกซึ้ง แต่เป็นความเห็นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานข่าวสารข้อมูลเก่าที่ว่าเตียวหุยเป็นคนเจ้าโทสะ อารมณ์ร้าย มักเฆี่ยนตีทหาร ทั้งเป็นคนวู่วามซึ่งเป็นกิตติศัพท์ที่ปรากฏทั่วไป โดยหารู้ไม่ว่าสรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเตียวหุยบัดนี้หลังจากได้สัมผัสกับความคิดอ่านในการสงครามของขงเบ้ง ก็ได้ประจักษ์ถึงการใช้กลอุบายและสติปัญญาในการสงคราม มีสติยั้งคิดมากขึ้น ดังจะเห็นได้ชัดจากเมื่อครั้งออกไปชำระความบังทองแกล้งเมาสุรา แทนที่เตียวหุยจะวู่วามด้วยโทสะกลับยั้งคิดจนประจักษ์ความจริงว่าบังทองคือผู้มีสติปัญญาที่ซ่อนกาย จึงกลับมาแจ้งแก่เล่าปี่ ดังนั้นเตียวหุยในวันนี้จึงไม่ใช่เตียวหุยในอดีต การที่เฮกอวดรู้จักแต่เตียวหุยคนก่อนแต่กลับไม่รู้ความนัยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเตียวหุยคนใหม่แล้ว จึงเท่ากับไม่รู้เขาโดยกระจ่างอันต้องลักษณะปราชัยแห่งพิชัยสงครามนั่นเอง
เตียวหุยใช้ทหารออกไปท้ารบแต่ข้างในเมืองกลับตั้งมั่นไม่ยอมออกรบ จึงสั่งทหารให้ไปเจรจากับเงียมหงันเพื่อเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์แต่โดยดี จะได้ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ราษฎรทั้งปวง
ทหารซึ่งไปเจรจานั้นก็แจ้งความตามคำสั่งของเตียวหุย ให้เงียมหงันเปิดประตูเมืองยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี มิฉะนั้นหากตีเข้าเมืองได้แล้วก็จะฆ่าฟันเสียให้สิ้น ไม่เว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง
เงียมหงันได้ฟังก็โกรธ ตวาดทหารของเตียวหุยว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีแต่ทหารที่ยอมหัวขาดโดยไม่ยอมค้อมศีรษะสวามิภักดิ์ต่อข้าศึก ซึ่งจะมาขอให้เราสวามิภักดิ์นั้นเป็นการปรามาสเหยียดหยามชายชาติทหาร เราหาได้หวั่นกลัวต่อคำขู่นายมึงไม่ จะขอยืมปากมึงออกไปบอกแก่นายมึงว่าเร่งระวังรักษาศีรษะตัวไว้ให้จงดี
ว่าแล้วเงียมหงันจึงสั่งทหารให้ตัดปากและจมูกของทหารเตียวหุย แล้วขับออกไปจากเมือง
ทหารนั้นได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก พอกลับไปถึงค่ายก็เข้าไปรายงานความให้เตียวหุยทราบทุกประการ
เตียวหุยเห็นเงียมหงันดูหมิ่นดังนั้นก็โกรธ พาทหารสองร้อยออกจากค่ายตรงไปที่ประตูเมือง ด่าว่าเงียมหงันและท้าให้ยกทหารออกมารบกัน
เงียมหงันไม่ยอมยกทหารออกไปรบ กลับให้ทหารด่าว่าเตียวหุยเป็นหยาบช้านานาประการ “เตียวหุยยิ่งโกรธดังเพลิงเผาในหัวใจ จะขับม้ารุกเข้าไปก็ติดคูเมืองอยู่เข้าไปมิได้ ได้แต่คำรามอยู่ในคอจนเวลาเย็นแล้วก็กลับมาค่าย”
พอรุ่งขึ้นเช้าเตียวหุยก็พาทหารยกไปที่หน้าประตูเมืองร้องด่าว่าเงียมหงันและท้าให้ยกทหารออกมารบกันอีก เงียมหงันโกรธแต่ยังคงยึดมั่นในแนวทางการตั้งรับไม่ยอมยกออกไปรบ กลับเอาเกาทัณฑ์ยิงมาที่เตียวหุยถูกหมวกเกราะของเตียวหุยแล้วลูกเกาทัณฑ์กระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง
เตียวหุยถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ที่หมวกเกราะก็ยิ่งโกรธเงียมหงันเป็นอันมาก ร้องด่าเงียมหงันว่าไอ้เฒ่าขี้ขลาด “แม้กูได้ตัวมึงจะฉีกเนื้อเคี้ยวเสียให้สาใจ”
เตียวหุยคุมทหารร้องด่าเงียมหงันอยู่จนเวลาเย็น เงียมหงันก็ไม่ยกทหารออกมารบ เตียวหุยไม่รู้ที่จะทำประการใดก็พาทหารกลับมาค่าย
วันรุ่งขึ้นเตียวหุยจึงจัดทหารเป็นสี่หน่วยย่อย หน่วยละสองร้อยคนยกไปที่กำแพงเมืองด้านละกอง แล้วร้องด่าเงียมหงันทั้งสี่ด้านของกำแพงเมือง เงียมหงันก็ระงับโทสะไว้ไม่ยอมยกทหารออกไปรบ และกำชับทหารให้สงบนิ่งรักษาเชิงเทินไว้ให้มั่นคง
เตียวหุยร้องด่าเงียมหงันอยู่จนถึงเวลาบ่าย เห็นเงียมหงันไม่ยกออกมารบจึงพา ทหารขึ้นไปบนเนินเขา แลลงไปข้างในเมืองก็เห็นทหารเงียมหงันแต่งตัวใส่เสื้อเกราะพร้อมอาวุธเตรียมพร้อมอยู่เป็นอันมากแต่ไม่ยอมออกรบ ก็ได้คิดว่าซึ่งข้าศึกไม่ยอมออกรบนั้นใช่ว่าจะมีกำลังน้อยหรือหวาดกลัว หากแต่เป็นกลอุบายแสร้งยั่วยุโทสะของฝ่ายเราและถ่วงเวลาจนกว่าเสบียงจะหมดสิ้นแล้วจึงจะยกเข้าทำการ
เตียวหุยได้สติยั้งคิดดังนั้นก็คิดต่อไปว่าถึงมาตรแม้นเราจะยกทหารมาด่าว่าสักเพียงไร ข้างในเมืองก็คงไม่ยอมยกออกมาต่อรบด้วย กระนั้นเลยชอบที่จะคิดอ่านกลอุบายเอาชนะข้าศึกให้จงได้
เตียวหุยคิดดังนั้นแล้วในจินตนาภาพก็ปรากฏหน้าขงเบ้งมีทีท่าเยือกเย็นสงบ โบกพัดขนนกไปมา ใจก็คิดเคลิบเคลิ้มไปถึงกลอุบายที่ขงเบ้งเคยใช้ซุ่มตีข้าศึก เตียวหุยก็ค่อยชุ่มชื่นขึ้น แล้วพาทหารลงมาจากเนิน ตรงไปที่หน้ากำแพงเมืองอีก
พอถึงหน้ากำแพงเมืองเตียวหุยก็ให้ทหารร้องด่าว่าเงียมหงันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งให้ทหารนั่งบ้างนอนบ้างทำทีว่าอิดโรยอ่อนกำลัง แต่ก็ไม่เห็นข้างในเมืองยกทหารออกมา จนถึงเวลาเย็นเตียวหุยจึงยกทหารกลับค่าย
เตียวหุยกลับมาถึงค่ายแล้วก็คิดว่าเงียมหงันแสร้งอดกลั้นโทสะหวังให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในกองทัพเราแล้วก็จะโจมตีซ้ำเติม เตียวหุยครุ่นคิดหาอุบายที่จะเอาชนะต่อกองทัพเมืองปากุ๋นอยู่จนดึกก็ยังคิดไม่ออก
รุ่งขึ้นเตียวหุยก็คุมทหารออกไปท้ารบเงียมหงันอีก พักหนึ่งก็ให้ทหารนั่งพักผ่อน ทั้งนั่งทั้งนอนอยู่ตามแนวป่า เตียวหุยเอาสุรามาดื่มแล้วดุด่าทหารเสียงดังสนั่น แต่ข้างในเมืองก็ยังไม่ยกทหารออกมารบ เตียวหุยก็สั่งทหารให้ทำทีเข้าไปตัดฟืนและถางป่าทำท่าคล้ายกับเป็นการตัดทาง จนกระทั่งถึงเวลาเย็นเตียวหุยก็ยกทหารกลับไป
เตียวหุยทำการในลักษณะนี้ติดต่อกันอีกถึงสามวัน ข้างในเมืองก็ยังไม่ยกทหารออกมารบ
แต่การกระทำของเตียวหุยที่ผ่านมานั้นใช่ว่าจะเสียเปล่า เพราะการทั้งปวงได้ถูกจับตามองจากเงียมหงันอย่างใกล้ชิด เห็นแต่ละวันทหารของเตียวหุยร้องด่าแล้วนั่งบ้างนอนบ้าง ก็เห็นว่าทหารของเตียวหุยเริ่มอิดโรยอ่อนแรงลง ยิ่งเห็นเตียวหุยเอาสุรามาดื่มแล้วดุด่าทหารสอดคล้องตรงกันที่เฮกอวดคาดคะเนก็มีความยินดี สำคัญว่าเตียวหุยกำลังเกิดโทสะที่ท้าทายให้ยกออกไปรบไม่สำเร็จแล้วพาลโกรธทหาร
พอเห็นทหารของเตียวหุยออกไปตัดฟืน เงียมหงันก็สำคัญว่าฟืนไฟและเสบียงของเตียวหุยยิ่งร่อยหรอลงก็มีความยินดีเป็นอันมาก คิดว่าในไม่ช้านี้กองทัพเตียวหุยคงสับสนอลหม่านขึ้น จะได้ยกกองทัพเข้าโจมตี
แต่พอเห็นทหารของเตียวหุยออกไปฟันทางถางป่าก็หลากใจ คิดว่าหรือเตียวหุยเตรียมการที่จะยกอ้อมเมืองปากุ๋นตรงไปที่เมืองลกเสียทีเดียว แต่จะจริงเท็จประการใดก็ไม่แน่นอน ดังนั้นเงียมหงันจึงให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปะปนเข้าไปทำทีตีสนิทชิดเชื้อเพื่อสืบข่าวคราวจากทหารของเตียวหุยที่ไปตัดทางถางป่านั้น
ในวันที่สาม ทหารซึ่งเงียมหงันให้ปลอมตัวไปสืบข่าวก็เห็นทหารของเตียวหุยที่ตัดทางถางป่ามารายงานกับเตียวหุยว่า บัดนี้ได้พบเส้นทางที่จะอ้อมเมืองปากุ๋นไปเมืองลกเสียแล้ว เป็นเส้นทางน้อยอยู่ตามริมซอกเขา และเห็นท่าทีเตียวหุยมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งทหารให้เตรียมการหุงข้าวตั้งแต่เวลายามสอง และจะยกออกจากค่ายไปตามเส้นทางน้อยตรงไปเมืองลกเสียทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาสู้รบกับเงียมหงันที่เมืองปากุ๋น
เตียวหุยยังทำทีกำชับทหารว่า การครั้งนี้ต้องกระทำด้วยความลับอย่างยิ่งยวด อย่าให้ข้างในเมืองรู้ตัว แม้ม้าก็ให้เอาขลุบใส่ปากผูกไว้อย่าให้ร้องส่งเสียงได้เป็นอันขาด ในเวลายามสามตัวเราจะนำทหารไปตามทางสายน้อย และให้ทหารทั้งปวงยกตามไป ให้ระมัดระวังอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท
เตียวหุยทำทีกำชับทหารอย่างเข้มงวดกวดขัน และให้บอกทหารเตรียมการพร้อมกันทุกค่าย
ทหารของเงียมหงันที่แปลกปลอมมาสืบทราบความศึกจึงนำความทั้งปวงเข้าไปรายงานให้เงียมหงันทราบ
เงียมหงันคาดการณ์อยู่แต่ต้นแล้วว่าซึ่งเตียวหุยให้ทหารไปถางป่าหาทางนั้นมีอาการน่าสงสัย ครั้นได้ทราบความตามรายงานก็กระจ่างว่าซึ่งเตียวหุยทำการทั้งนี้หวังจะยกอ้อมเมืองปากุ๋นไปตีเมืองลกเสีย
เงียมหงันสำคัญดังนั้นแล้วจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามา แล้วปรารภว่าซึ่งเราตั้งรับอยู่ในเมืองบัดนี้การสมคะเนแล้ว เตียวหุยจะเข้าตีเมืองมิได้จึงวางแผนจะยกกองทัพหนีอ้อมไปตามทางน้อยตรงไปเมืองลกเสียทีเดียว ทหารทั้งปวงต่างรู้เห็นความเป็นไปอย่างเดียวกัน ได้ฟังคำเงียมหงันก็เห็นด้วย แล้วปรึกษาว่าจะทำการประการใด
เงียมหงันจึงว่ากองทัพเตียวหุยยกหนีไปครั้งนี้เราจะโจมตีก็แต่เฉพาะทำลายเสบียงให้สิ้น กองทัพเตียวหุยก็จะพินาศไปเอง ซึ่งเตียวหุยจะยกทัพหนีไปนั้นเตียวหุยจะนำทหารเป็นกองหน้าโดยกองเสบียงจะอยู่ข้างหลัง เราจะยกทหารออกไปซุ่มตีเสบียงให้จงได้ แล้วยกไล่ตามจับตัวเตียวหุย เห็นจะได้ตัวโดยง่าย
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำเงียมหงันก็เห็นพ้องต้องกันว่าแผนการดังกล่าวจะสามารถได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย เงียมหงันจึงสั่งให้จัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้ พอค่ำลงก็ลอบยกออกจากเมืองไปตั้งซุ่มคอยสกัดเตียวหุยอยู่ที่ซอกเขาข้างทางน้อยนั้น
ครั้นเวลายามสามเห็นกองหน้าของเตียวหุยยกมามีธงประจำตัวระบุชื่อว่าเป็นเตียวหุย และตัวนายนั้นใส่เกราะถือทวนพาดมาบนหน้าตัก เงียมหงันจึงกำชับทหารว่าให้สงบกำลังไว้ก่อน รอให้เตียวหุยยกกองหน้าผ่านพ้นไปแล้วให้ค่อยโจมตีที่กองเสบียง
ครู่หนึ่งกองหน้าของเตียวหุยก็ยกผ่านไป กองเสบียงก็เคลื่อนมาถึง เงียมหงันจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นแล้วยกทหารออกจากสองข้างทางเข้าโจมตีกองเสบียง ตัวเงียมหงันขี่ม้านำหน้าทหารตรงไปที่ทหารตัวนายซึ่งคุมกองเสบียงอยู่นั้น
แต่พอเข้าไปใกล้ นายทหารซึ่งคุมกองเสบียงอยู่นั้นก็ชักม้าตรงเข้ามาหาเงียมหงัน ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายศัตรูเฒ่า มึงต้องกลของกูแล้ว ครานี้มึงจะหนีกูไปไหนพ้น
เตียวหุยคนที่เฮกอวดรู้จักบัดนี้กลายเป็นเตียวหุยตัวปลอมเพราะเตียวหุยที่คุ้นเคยกับขงเบ้งได้กลายเป็นเตียวหุยตัวจริง ส่วนเตียวหุยที่เงียมหงันเห็นขี่ม้าผ่านไปในตอนแรกก็คือเตียวหุยตัวปลอม แต่ทหารคุมเสบียงที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นกลับเป็นเตียวหุยตัวจริง.