ตอนที่ 361. คาถารักษาเมือง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบแปด เดือนเก้า ขึ้นเก้าค่ำ เป็นเทศกาลวันสารทตงชิวหรือวันสารทกลางปี อากาศเป็นที่สบาย ทุกเมืองแลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงต่างจัดงานมหรสพเฉลิมฉลองวันสารทกันอย่างสนุกสนาน
ที่เมืองเกงจิ๋วขงเบ้งก็แต่งโต๊ะเลี้ยงบรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงตามประเพณีที่สนามหน้าของศาลาว่าราชการ มีมหรสพและดนตรีตามแบบอย่างที่เคยมีมาทุกประการ
ขงเบ้งนั่งกินโต๊ะอยู่กับขุนนางข้าราชการ ชมมหรสพและดนตรีจนเวลาล่วงเลยไปถึงปลายยามหนึ่ง ในทันใดนั้นเห็นดาวดวงหนึ่งซึ่งซีดขาวอยู่ในกลุ่มดาวไถ มีขนาดประมาณสี่กำมือตกลงจากฟากฟ้าข้างตะวันตก คนทั้งปวงต่างชี้ให้ดูปรากฏการณ์ประหลาดจากท้องฟ้าแต่ขงเบ้งนั้นตกใจ ลุกขึ้นยืน ทิ้งจอกสุราลงกับพื้นแล้วว่าเสียดายนัก เสียดายนัก จากนั้นขงเบ้งก็ร้องไห้
ทหารทั้งปวงเห็นอาการขงเบ้งดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าท่านตกใจร้องไห้ดังนี้เพราะเหตุสิ่งใด
ขงเบ้งจึงว่า “เดิมเราเห็นดวงดาวหนึ่งร้ายปรากฏอยู่ตรงเมืองลกเสียนั้นเข้าใจว่าซึ่งนายเรายกกองทัพไปครั้งนี้จะเสียนายทัพนายกองแลที่ปรึกษาเป็นมั่นคง เราได้ให้มีหนังสือไปแจ้งแก่เล่าปี่ให้ระมัดระวังรักษาตัว ควรหรือมิได้คิดอ่านป้องกันภัยอันตรายเลย ปล่อยให้มีเหตุถึงเพียงนี้ได้ แลบัดนี้เราเห็นดาวดวงใหญ่ตกลง ชะรอยบังทองถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง เล่าปี่นายเราแขนหักเสียข้างหนึ่งแล้ว”
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ติงว่าบนนภากาศมีดารานับแสนล้าน แต่ละวันเวลาก็มีดวงดาวร่วงลงมาเป็นธรรมชาติสืบมานานนักหนาดังนี้ ไฉนท่านจึงวิตกด้วยการซึ่งดวงดาวตกจากฟากฟ้า แล้วเล็งว่าบังทองถึงแก่ความตายเล่า
ขงเบ้งเห็นทหารทั้งปวงแคลงใจดังนั้นก็ไม่ตอบคำ ได้แต่กล่าวว่าท่านทั้งปวงจงคอยฟังข่าวสืบไปก็จะรู้เอง
ขงเบ้งหลังจากเห็นดาวตกจากฟ้าแล้วก็ไม่มีแก่ใจที่จะกินโต๊ะสืบไป ทั้งเห็นเวลาล่วงเลยมาสมควรแล้ว จึงสั่งให้ยุติงานแล้วแยกย้ายกันกลับไปที่พัก
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งสั่งให้ตามตัวกวนอู เตียวหุย จูล่ง มาพบพร้อมกันที่จวนของเล่าปี่ แล้วว่าเมื่อคืนนี้ซึ่งดาวดวงใหญ่ตกลงข้างเมืองลกเสียนั้น เห็นบังทองจะถึงแก่ความตายแล้ว เล่าปี่นายเราก็สิ้นคนช่วยคิดอ่านการสงคราม เห็นจะไม่อาจรุกล่วงเข้าถึงเมืองเสฉวนได้ ดีร้ายในสี่ห้าวันนี้เล่าปี่จะใช้คนให้มาตามเราขึ้นไปช่วยเป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงจงสั่งให้ทหารเตรียมพร้อมและคอยฟังข่าวอย่าได้ประมาท
กวนอู เตียวหุย และจูล่งได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็หลากใจ เพราะต่างคนต่างเชื่อมั่นในภูมิปัญญาวิทยาคุณของขงเบ้งว่าคาดการณ์สิ่งใดมักไม่มีพลาด จึงต่างคนต่างรู้สึกไม่สบายใจ ครั้นคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปแล้วจึงสั่งการให้ทหารทั้งปวงเตรียมพร้อมคอยฟังคำสั่งของขงเบ้ง
หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันขงเบ้งนั่งสนทนาอยู่กับกวนอู เตียวหุย และจูล่งที่จวนของเล่าปี่ตามปกติ ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานว่าบัดนี้เล่าปี่ใช้กวนเป๋งมาแต่เมืองลกเสีย พอกล่าวสิ้นคำลงกวนเป๋งก็ก้าวเท้าเข้ามาถึง
ขงเบ้งพอได้ยินข่าวว่าเล่าปี่ให้กวนเป๋งมาเมืองเกงจิ๋วก็รู้ว่าสิ่งที่คาดคะเนไว้กำลังจะได้ข่าวเป็นทางราชการแล้ว มองไปข้างหน้าก็เห็นกวนเป๋งตรงเข้ามาคำนับ ไม่ทันที่ขงเบ้งจะพูดจาประการใดกวนเป๋งได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ารีบมาแต่เมืองลกเสียทั้งวันทั้งคืน ด้วยเล่าปี่มีราชการเร่งด่วนให้ข้าพเจ้านำหนังสือมาถึงท่าน ว่าแล้วก็ส่งหนังสือของเล่าปี่แก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งรับหนังสือมาอ่านดูก็รู้ความตรงตามที่คาดหมายว่าบังทองถึงแก่ความตายแล้ว เล่าปี่ขอให้ขงเบ้งรีบยกทหารตามขึ้นไปที่เมืองลกเสียก็ร้องไห้ แล้วบอกแก่กวนอู เตียวหุย และจูล่งตามความในหนังสือของเล่าปี่นั้น
ทุกผู้คนภายในจวนครั้นทราบข่าวว่าบังทองถึงแก่ความตายก็พากันร้องไห้โศกเศร้าเสียใจอาลัยรักถึงบังทองเป็นอันมาก
ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงว่า “บัดนี้เล่าปี่นายเรามาตั้งอยู่ตำบลโปยสิก๋วน แลข้าศึกก็ยกมาประชิดติดพันอยู่ ครั้นจะตีหักเข้าไปก็มิได้ จะถอยหลังออกมาก็มิสะดวกเป็นที่ขัดสนคับขันนัก แม้เราจะมิยกไปช่วยนายเราบัดนี้ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก”
กวนอูได้ฟังคำขงเบ้งจึงกล่าวว่า ซึ่งท่านจะยกไปตามหนังสือของพี่ใหญ่ก็ควรอยู่ แต่เมืองเกงจิ๋วนี้ก็เป็นที่สำคัญจำต้องป้องกันรักษาไว้มิให้เป็นอันตราย ท่านจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งจึงตอบกวนอูว่าซึ่งเล่าปี่ให้กวนเป๋งบุตรของท่านถือหนังสือหาเราให้รีบยกไปในครั้งนี้ แม้มิได้แจ้งว่าให้ผู้ใดอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว เราก็รู้น้ำใจเล่าปี่นายเราว่าต้องการจะมอบหมายให้ท่านเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองเกงจิ๋ว ด้วยท่านแลเล่าปี่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ย่อมทำการโดยสุจริต ไม่คิดแปรผันให้เป็นอื่น ทั้งฝีมือการสงครามเล่าก็แข็งกล้ายากจะหาผู้ใดทัดเทียม
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่าอันการรักษาเมืองเกงจิ๋วเหมือนการนั่งอยู่ในกองเพลิงนั้นก็จริงอยู่ “แต่ท่านจงเอาความภักดีต่อเล่าปี่นั้นเป็นประธาน อย่าได้บิดพลิ้วเลย”
เตียวหุยและจูล่งได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็หนุนว่าที่ขงเบ้งกล่าวมานั้นชอบแล้ว กวนอูเห็นดังนั้นก็คำนับรับคำขงเบ้ง
ครั้นรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการทั้งปวง แล้วแจ้งความซึ่งบังทองถึงแก่ความตายและเล่าปี่มีหนังสือเรียกหาขึ้นไปเมืองลกเสียให้คนทั้งปวงทราบทุกประการ
แล้วขงเบ้งจึงว่าซึ่งเราจะยกไปเมืองลกเสียครั้งนี้จะแต่งตั้งมอบหมายให้กวนอูเป็นผู้รักษาเมืองเกงจิ๋วและบรรดาหัวเมืองทั้งปวง จากนั้นจึงสั่งทหารให้เอาตราสำหรับเมืองจะมอบแก่กวนอูตามประเพณี
ในขณะที่กวนอูคำนับยกมือขึ้นจะรับตราจากขงเบ้งนั้น ขงเบ้งได้รั้งมือซึ่งถือตราอยู่นั้นกลับมาชิดไว้กับตัว แล้วว่านับแต่เวลาที่ท่านรับเอาตราประจำเมืองนี้ไว้แล้ว ภารกิจราชการหนักเบาทั้งหลายก็จะตกเป็นธุระของท่านทั้งสิ้น
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็ยั้งคำพูดไว้แต่เพียงเท่านั้น กวนอูก็รู้ทีว่าขงเบ้งต้องการคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาเมืองให้รอดปลอดภัยได้หรือไม่ จึงว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นชายชาติทหาร ถึงมาตรว่าตัวจะตายก็มิได้คืนคำเสีย”
ขงเบ้งได้ฟังคำกวนอูพูดถึงความตายในยามสำคัญก็พรั่นใจ สะดุ้งขึ้นทั้งตัว ในใจก็รำพึงว่าการซึ่งเราจะมอบตราประจำเมืองให้กวนอูดูแลเมืองเกงจิ๋วนี้เป็นการมงคล แลกวนอูมาเจรจาเป็นลางร้ายเอ่ยถึงความตายในยามนี้มิบังควรเลย
ขงเบ้งพรั่นใจแล้วจึงถามความหยั่งน้ำใจของกวนอูว่าซึ่งท่านจะรักษาเมืองเกงจิ๋วนี้เราใคร่จะรู้ว่าถ้าหากโจโฉยกกองทัพมาตีเอาเมืองเกงจิ๋ว ท่านจะคิดอ่านประการใด
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าเป็นทหาร ไม่มีความคิดเกรงกลัวข้าศึก ไม่ว่าจะยกมาแต่หนไหน มาตรแม้นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาข้าพเจ้าก็จะต่อสู้โดยเต็มกำลังให้แพ้แลชนะไปข้างหนึ่ง มิให้เสื่อมเสียเกียรติยศเลย
ขงเบ้งจึงถามสืบต่อไปว่าถ้าหากโจโฉและซุนกวนคบคิดกันยกกองทัพมากระหนาบตีเอาเมืองเกงจิ๋วเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
กวนอูก็ตอบว่าหากกรณีเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็จะแบ่งทหารออกเป็นสองกอง กองหนึ่งรบกับโจโฉ อีกกองหนึ่งรบกับซุนกวน ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ตราบใดซุนกวนและโจโฉไม่มีวันได้เมืองเกงจิ๋วเป็นเด็ดขาด ต่อข้าพเจ้าตายแล้วนั่นแหละจึงจะยึดเมืองเกงจิ๋วได้ ท่านจงวางใจเถิด
ขงเบ้งได้ฟังก็ส่ายศีรษะแล้วว่า “แม้การศึกมีมาท่านมิได้คิดอ่านทำการด้วยกลอุบาย จะเอาแต่กำลังห้าวหาญเข้าหักเอาข้าศึกนั้น เราเห็นว่าเมืองเกงจิ๋วจะเสียเป็นมั่นคง ซึ่งท่านจะอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วนี้จงจำเอาถ้อยคำของเราไว้ ถ้าท่านจะประพฤติตามแล้วเมืองเกงจิ๋วก็จะมิได้มีอันตราย”
กวนอูได้ฟังก็พยักหน้ารับคำเป็นทีว่าเห็นด้วย แล้วถามว่าท่านจะให้ข้าพเจ้าทำการประการใดจงว่ามาให้แจ้งเถิด
ขงเบ้งจึงว่าถ้อยคำเราซึ่งจะกล่าว ณ บัดนี้จะเปรียบประดุจดังเกราะเพชรที่คุ้มกันเมืองเกงจิ๋วไว้มิให้เป็นอันตราย ท่านจงจำคำแปดคำนี้ไว้ให้จงมั่น แล้วทำตามอย่าได้ลังเลสงสัย ท่านก็จะปลอดภัย เมืองเกงจิ๋วก็จะไร้อันตราย
แล้วขงเบ้งจึงว่า “เหนือรบโจโฉ ใต้ร่วมซุนกวน” แลคาถาแปดคำนี้ท่านจงประพฤติปฏิบัติตามจงดีเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตอนนี้ว่าขงเบ้งได้บอกกวนอูว่า “ท่านจะอยู่ภายหลังนั้นจงจัดแจงระมัดระวังตัว ข้างเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข”
กวนอูได้ฟังคาถาแปดคำของขงเบ้งก็มีความยินดี คำนับขงเบ้งแล้วว่าคำสั่งสอนของกุนซือครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจำใส่ใจและจะปฏิบัติตามมิให้ขาดตกบกพร่อง
ขงเบ้งเห็นกวนอูรับคำที่จะทำตามอุบายที่ให้ไว้สำหรับรักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วก็ค่อยคลายใจ ยื่นมือที่ถือตราออกไป กวนอูก็คำนับรับเอาตราประจำเมืองนั้น
เมื่อขงเบ้งมอบตราประจำเมืองเกงจิ๋วแก่กวนอูแล้วก็ออกคำสั่งจัดแจงแต่งทหาร ให้อีเจี้ย ม้าเลี้ยง เอี่ยงลอง บิต๊ก เป็นที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือน ให้บิฮอง เล่าฮอง กวนเป๋ง และจิวฉอง ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่กับกวนอูช่วยรักษาเมืองเกงจิ๋ว ส่วนเตียวหุยและจูล่งให้ไปทัพกับขงเบ้ง
ขงเบ้งสั่งให้จัดแจงกองทัพซึ่งจะยกไปช่วยเล่าปี่เป็นสามกอง
กองหนึ่งให้เตียวหุยเป็นแม่ทัพบกคุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตามทางบก ตีตะลุยตรงเข้าไปคอยท่ากองทัพหลวงอยู่ที่หน้าประตูด้านตะวันตกของเมืองลกเสีย
กองหนึ่งให้จูล่งเป็นแม่ทัพเรือคุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปตามแม่น้ำตรงไปที่เมืองลกเสีย
อีกกองหนึ่งขงเบ้งคุมทหารห้าพันเป็นกองทัพหลวงในกระบวนกองทัพเรือ
ครั้นเวลาฤกษ์ดีทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือก็ยกออกจากเมืองเกงจิ๋วพร้อมกัน พอกองทัพและกองทัพเรือยกออกไปแล้วขงเบ้งจึงยกกองทัพหลวงตามจูล่งไป
เตียวหุยยกกองทัพบกไปตามทางหลวงล่วงเข้าไปถึงแดนเมืองปากุ๋นก็ได้กำชับทหารทั้งปวงให้เข้มงวดกวดขันในระเบียบและวินัย ไม่ให้ข่มเหงรังแกราษฎร ให้สร้างความรักศรัทธาในหมู่ประชาชนทุกหนแห่งที่เดินทัพผ่าน ครั้นถึงหน้าเมืองปากุ๋นเตียวหุยจึงให้ตั้งค่ายประชิดไว้
ฝ่ายข้างในเมืองปากุ๋น เล่าเจี้ยงได้ตั้งให้เงียมหงันเป็นเจ้าเมือง ครั้นทราบว่าเตียวหุยยกกองทัพมาประชิดเมืองก็สั่งทหารให้ขึ้นประจำกำแพงเมืองและเชิงเทิน กวดขัน รักษาค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง
อันเงียมหงันผู้นี้มีอายุอยู่ในวัยล่วงหกสิบเศษ แต่เป็นทหารมีฝีมือเข้มแข็ง มีกำลังมาก ใช้ง้าวใหญ่เป็นอาวุธ สามารถต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากได้ ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าเล่าปี่ยกมายึดด่านโปยสิก๋วนเงียมหงันก็มีความโกรธเคืองเล่าปี่ คิดจะยกกองทัพไปตีชิงเอาด่านโปยสิก๋วนคืน แต่เกรงว่าเล่าปี่อาจแต่งกองทัพวกอ้อมมาตีเอาเมืองปากุ๋น จึงจำต้องงดกองทัพไว้ แล้วแต่งค่ายคูหอรบเตรียมรักษาเมือง
ฝ่ายเตียวหุยครั้นตั้งค่ายลงมั่นแล้ว และเห็นข้างในเมืองปากุ๋นแต่งทหารขึ้นรักษาเชิงเทินค่ายคูประตูหอรบจึงให้ทหารออกไปท้าเงียมหงันที่หน้าประตูเมืองว่า “ไอ้เฒ่าชราจงเร่งออกมาคำนับกูโดยดี แม้จะขัดแข็งอยู่ กูจะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองเสีย แต่ทารกอยู่ในอู่ก็มิเว้นจะฆ่าเสียให้สิ้น”
เงียมหงันแม้อยู่ในวัยชราแต่ก็ทรนงในศักดิ์ศรีชายชาติทหาร ครั้นได้ทราบว่าเตียวหุยให้ทหารมาด่าว่าท้าทายและกล่าวคำปรามาสกระทบใจดำหาว่าเป็นคนแก่เฒ่าชราก็โกรธ สั่งให้จัดแจงแต่งทหารจะยกออกไปรบกับเตียวหุย.
ที่เมืองเกงจิ๋วขงเบ้งก็แต่งโต๊ะเลี้ยงบรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงตามประเพณีที่สนามหน้าของศาลาว่าราชการ มีมหรสพและดนตรีตามแบบอย่างที่เคยมีมาทุกประการ
ขงเบ้งนั่งกินโต๊ะอยู่กับขุนนางข้าราชการ ชมมหรสพและดนตรีจนเวลาล่วงเลยไปถึงปลายยามหนึ่ง ในทันใดนั้นเห็นดาวดวงหนึ่งซึ่งซีดขาวอยู่ในกลุ่มดาวไถ มีขนาดประมาณสี่กำมือตกลงจากฟากฟ้าข้างตะวันตก คนทั้งปวงต่างชี้ให้ดูปรากฏการณ์ประหลาดจากท้องฟ้าแต่ขงเบ้งนั้นตกใจ ลุกขึ้นยืน ทิ้งจอกสุราลงกับพื้นแล้วว่าเสียดายนัก เสียดายนัก จากนั้นขงเบ้งก็ร้องไห้
ทหารทั้งปวงเห็นอาการขงเบ้งดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าท่านตกใจร้องไห้ดังนี้เพราะเหตุสิ่งใด
ขงเบ้งจึงว่า “เดิมเราเห็นดวงดาวหนึ่งร้ายปรากฏอยู่ตรงเมืองลกเสียนั้นเข้าใจว่าซึ่งนายเรายกกองทัพไปครั้งนี้จะเสียนายทัพนายกองแลที่ปรึกษาเป็นมั่นคง เราได้ให้มีหนังสือไปแจ้งแก่เล่าปี่ให้ระมัดระวังรักษาตัว ควรหรือมิได้คิดอ่านป้องกันภัยอันตรายเลย ปล่อยให้มีเหตุถึงเพียงนี้ได้ แลบัดนี้เราเห็นดาวดวงใหญ่ตกลง ชะรอยบังทองถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง เล่าปี่นายเราแขนหักเสียข้างหนึ่งแล้ว”
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ติงว่าบนนภากาศมีดารานับแสนล้าน แต่ละวันเวลาก็มีดวงดาวร่วงลงมาเป็นธรรมชาติสืบมานานนักหนาดังนี้ ไฉนท่านจึงวิตกด้วยการซึ่งดวงดาวตกจากฟากฟ้า แล้วเล็งว่าบังทองถึงแก่ความตายเล่า
ขงเบ้งเห็นทหารทั้งปวงแคลงใจดังนั้นก็ไม่ตอบคำ ได้แต่กล่าวว่าท่านทั้งปวงจงคอยฟังข่าวสืบไปก็จะรู้เอง
ขงเบ้งหลังจากเห็นดาวตกจากฟ้าแล้วก็ไม่มีแก่ใจที่จะกินโต๊ะสืบไป ทั้งเห็นเวลาล่วงเลยมาสมควรแล้ว จึงสั่งให้ยุติงานแล้วแยกย้ายกันกลับไปที่พัก
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งสั่งให้ตามตัวกวนอู เตียวหุย จูล่ง มาพบพร้อมกันที่จวนของเล่าปี่ แล้วว่าเมื่อคืนนี้ซึ่งดาวดวงใหญ่ตกลงข้างเมืองลกเสียนั้น เห็นบังทองจะถึงแก่ความตายแล้ว เล่าปี่นายเราก็สิ้นคนช่วยคิดอ่านการสงคราม เห็นจะไม่อาจรุกล่วงเข้าถึงเมืองเสฉวนได้ ดีร้ายในสี่ห้าวันนี้เล่าปี่จะใช้คนให้มาตามเราขึ้นไปช่วยเป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงจงสั่งให้ทหารเตรียมพร้อมและคอยฟังข่าวอย่าได้ประมาท
กวนอู เตียวหุย และจูล่งได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็หลากใจ เพราะต่างคนต่างเชื่อมั่นในภูมิปัญญาวิทยาคุณของขงเบ้งว่าคาดการณ์สิ่งใดมักไม่มีพลาด จึงต่างคนต่างรู้สึกไม่สบายใจ ครั้นคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปแล้วจึงสั่งการให้ทหารทั้งปวงเตรียมพร้อมคอยฟังคำสั่งของขงเบ้ง
หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันขงเบ้งนั่งสนทนาอยู่กับกวนอู เตียวหุย และจูล่งที่จวนของเล่าปี่ตามปกติ ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งเข้ามารายงานว่าบัดนี้เล่าปี่ใช้กวนเป๋งมาแต่เมืองลกเสีย พอกล่าวสิ้นคำลงกวนเป๋งก็ก้าวเท้าเข้ามาถึง
ขงเบ้งพอได้ยินข่าวว่าเล่าปี่ให้กวนเป๋งมาเมืองเกงจิ๋วก็รู้ว่าสิ่งที่คาดคะเนไว้กำลังจะได้ข่าวเป็นทางราชการแล้ว มองไปข้างหน้าก็เห็นกวนเป๋งตรงเข้ามาคำนับ ไม่ทันที่ขงเบ้งจะพูดจาประการใดกวนเป๋งได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ารีบมาแต่เมืองลกเสียทั้งวันทั้งคืน ด้วยเล่าปี่มีราชการเร่งด่วนให้ข้าพเจ้านำหนังสือมาถึงท่าน ว่าแล้วก็ส่งหนังสือของเล่าปี่แก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งรับหนังสือมาอ่านดูก็รู้ความตรงตามที่คาดหมายว่าบังทองถึงแก่ความตายแล้ว เล่าปี่ขอให้ขงเบ้งรีบยกทหารตามขึ้นไปที่เมืองลกเสียก็ร้องไห้ แล้วบอกแก่กวนอู เตียวหุย และจูล่งตามความในหนังสือของเล่าปี่นั้น
ทุกผู้คนภายในจวนครั้นทราบข่าวว่าบังทองถึงแก่ความตายก็พากันร้องไห้โศกเศร้าเสียใจอาลัยรักถึงบังทองเป็นอันมาก
ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงว่า “บัดนี้เล่าปี่นายเรามาตั้งอยู่ตำบลโปยสิก๋วน แลข้าศึกก็ยกมาประชิดติดพันอยู่ ครั้นจะตีหักเข้าไปก็มิได้ จะถอยหลังออกมาก็มิสะดวกเป็นที่ขัดสนคับขันนัก แม้เราจะมิยกไปช่วยนายเราบัดนี้ก็จะเสียทีแก่ข้าศึก”
กวนอูได้ฟังคำขงเบ้งจึงกล่าวว่า ซึ่งท่านจะยกไปตามหนังสือของพี่ใหญ่ก็ควรอยู่ แต่เมืองเกงจิ๋วนี้ก็เป็นที่สำคัญจำต้องป้องกันรักษาไว้มิให้เป็นอันตราย ท่านจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งจึงตอบกวนอูว่าซึ่งเล่าปี่ให้กวนเป๋งบุตรของท่านถือหนังสือหาเราให้รีบยกไปในครั้งนี้ แม้มิได้แจ้งว่าให้ผู้ใดอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว เราก็รู้น้ำใจเล่าปี่นายเราว่าต้องการจะมอบหมายให้ท่านเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองเกงจิ๋ว ด้วยท่านแลเล่าปี่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ย่อมทำการโดยสุจริต ไม่คิดแปรผันให้เป็นอื่น ทั้งฝีมือการสงครามเล่าก็แข็งกล้ายากจะหาผู้ใดทัดเทียม
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่าอันการรักษาเมืองเกงจิ๋วเหมือนการนั่งอยู่ในกองเพลิงนั้นก็จริงอยู่ “แต่ท่านจงเอาความภักดีต่อเล่าปี่นั้นเป็นประธาน อย่าได้บิดพลิ้วเลย”
เตียวหุยและจูล่งได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็หนุนว่าที่ขงเบ้งกล่าวมานั้นชอบแล้ว กวนอูเห็นดังนั้นก็คำนับรับคำขงเบ้ง
ครั้นรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเรียกประชุมขุนนางข้าราชการทั้งปวง แล้วแจ้งความซึ่งบังทองถึงแก่ความตายและเล่าปี่มีหนังสือเรียกหาขึ้นไปเมืองลกเสียให้คนทั้งปวงทราบทุกประการ
แล้วขงเบ้งจึงว่าซึ่งเราจะยกไปเมืองลกเสียครั้งนี้จะแต่งตั้งมอบหมายให้กวนอูเป็นผู้รักษาเมืองเกงจิ๋วและบรรดาหัวเมืองทั้งปวง จากนั้นจึงสั่งทหารให้เอาตราสำหรับเมืองจะมอบแก่กวนอูตามประเพณี
ในขณะที่กวนอูคำนับยกมือขึ้นจะรับตราจากขงเบ้งนั้น ขงเบ้งได้รั้งมือซึ่งถือตราอยู่นั้นกลับมาชิดไว้กับตัว แล้วว่านับแต่เวลาที่ท่านรับเอาตราประจำเมืองนี้ไว้แล้ว ภารกิจราชการหนักเบาทั้งหลายก็จะตกเป็นธุระของท่านทั้งสิ้น
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็ยั้งคำพูดไว้แต่เพียงเท่านั้น กวนอูก็รู้ทีว่าขงเบ้งต้องการคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาเมืองให้รอดปลอดภัยได้หรือไม่ จึงว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นชายชาติทหาร ถึงมาตรว่าตัวจะตายก็มิได้คืนคำเสีย”
ขงเบ้งได้ฟังคำกวนอูพูดถึงความตายในยามสำคัญก็พรั่นใจ สะดุ้งขึ้นทั้งตัว ในใจก็รำพึงว่าการซึ่งเราจะมอบตราประจำเมืองให้กวนอูดูแลเมืองเกงจิ๋วนี้เป็นการมงคล แลกวนอูมาเจรจาเป็นลางร้ายเอ่ยถึงความตายในยามนี้มิบังควรเลย
ขงเบ้งพรั่นใจแล้วจึงถามความหยั่งน้ำใจของกวนอูว่าซึ่งท่านจะรักษาเมืองเกงจิ๋วนี้เราใคร่จะรู้ว่าถ้าหากโจโฉยกกองทัพมาตีเอาเมืองเกงจิ๋ว ท่านจะคิดอ่านประการใด
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าเป็นทหาร ไม่มีความคิดเกรงกลัวข้าศึก ไม่ว่าจะยกมาแต่หนไหน มาตรแม้นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาข้าพเจ้าก็จะต่อสู้โดยเต็มกำลังให้แพ้แลชนะไปข้างหนึ่ง มิให้เสื่อมเสียเกียรติยศเลย
ขงเบ้งจึงถามสืบต่อไปว่าถ้าหากโจโฉและซุนกวนคบคิดกันยกกองทัพมากระหนาบตีเอาเมืองเกงจิ๋วเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
กวนอูก็ตอบว่าหากกรณีเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็จะแบ่งทหารออกเป็นสองกอง กองหนึ่งรบกับโจโฉ อีกกองหนึ่งรบกับซุนกวน ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ตราบใดซุนกวนและโจโฉไม่มีวันได้เมืองเกงจิ๋วเป็นเด็ดขาด ต่อข้าพเจ้าตายแล้วนั่นแหละจึงจะยึดเมืองเกงจิ๋วได้ ท่านจงวางใจเถิด
ขงเบ้งได้ฟังก็ส่ายศีรษะแล้วว่า “แม้การศึกมีมาท่านมิได้คิดอ่านทำการด้วยกลอุบาย จะเอาแต่กำลังห้าวหาญเข้าหักเอาข้าศึกนั้น เราเห็นว่าเมืองเกงจิ๋วจะเสียเป็นมั่นคง ซึ่งท่านจะอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วนี้จงจำเอาถ้อยคำของเราไว้ ถ้าท่านจะประพฤติตามแล้วเมืองเกงจิ๋วก็จะมิได้มีอันตราย”
กวนอูได้ฟังก็พยักหน้ารับคำเป็นทีว่าเห็นด้วย แล้วถามว่าท่านจะให้ข้าพเจ้าทำการประการใดจงว่ามาให้แจ้งเถิด
ขงเบ้งจึงว่าถ้อยคำเราซึ่งจะกล่าว ณ บัดนี้จะเปรียบประดุจดังเกราะเพชรที่คุ้มกันเมืองเกงจิ๋วไว้มิให้เป็นอันตราย ท่านจงจำคำแปดคำนี้ไว้ให้จงมั่น แล้วทำตามอย่าได้ลังเลสงสัย ท่านก็จะปลอดภัย เมืองเกงจิ๋วก็จะไร้อันตราย
แล้วขงเบ้งจึงว่า “เหนือรบโจโฉ ใต้ร่วมซุนกวน” แลคาถาแปดคำนี้ท่านจงประพฤติปฏิบัติตามจงดีเถิด
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตอนนี้ว่าขงเบ้งได้บอกกวนอูว่า “ท่านจะอยู่ภายหลังนั้นจงจัดแจงระมัดระวังตัว ข้างเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข”
กวนอูได้ฟังคาถาแปดคำของขงเบ้งก็มีความยินดี คำนับขงเบ้งแล้วว่าคำสั่งสอนของกุนซือครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจำใส่ใจและจะปฏิบัติตามมิให้ขาดตกบกพร่อง
ขงเบ้งเห็นกวนอูรับคำที่จะทำตามอุบายที่ให้ไว้สำหรับรักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วก็ค่อยคลายใจ ยื่นมือที่ถือตราออกไป กวนอูก็คำนับรับเอาตราประจำเมืองนั้น
เมื่อขงเบ้งมอบตราประจำเมืองเกงจิ๋วแก่กวนอูแล้วก็ออกคำสั่งจัดแจงแต่งทหาร ให้อีเจี้ย ม้าเลี้ยง เอี่ยงลอง บิต๊ก เป็นที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือน ให้บิฮอง เล่าฮอง กวนเป๋ง และจิวฉอง ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่กับกวนอูช่วยรักษาเมืองเกงจิ๋ว ส่วนเตียวหุยและจูล่งให้ไปทัพกับขงเบ้ง
ขงเบ้งสั่งให้จัดแจงกองทัพซึ่งจะยกไปช่วยเล่าปี่เป็นสามกอง
กองหนึ่งให้เตียวหุยเป็นแม่ทัพบกคุมทหารหนึ่งหมื่นยกไปตามทางบก ตีตะลุยตรงเข้าไปคอยท่ากองทัพหลวงอยู่ที่หน้าประตูด้านตะวันตกของเมืองลกเสีย
กองหนึ่งให้จูล่งเป็นแม่ทัพเรือคุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปตามแม่น้ำตรงไปที่เมืองลกเสีย
อีกกองหนึ่งขงเบ้งคุมทหารห้าพันเป็นกองทัพหลวงในกระบวนกองทัพเรือ
ครั้นเวลาฤกษ์ดีทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือก็ยกออกจากเมืองเกงจิ๋วพร้อมกัน พอกองทัพและกองทัพเรือยกออกไปแล้วขงเบ้งจึงยกกองทัพหลวงตามจูล่งไป
เตียวหุยยกกองทัพบกไปตามทางหลวงล่วงเข้าไปถึงแดนเมืองปากุ๋นก็ได้กำชับทหารทั้งปวงให้เข้มงวดกวดขันในระเบียบและวินัย ไม่ให้ข่มเหงรังแกราษฎร ให้สร้างความรักศรัทธาในหมู่ประชาชนทุกหนแห่งที่เดินทัพผ่าน ครั้นถึงหน้าเมืองปากุ๋นเตียวหุยจึงให้ตั้งค่ายประชิดไว้
ฝ่ายข้างในเมืองปากุ๋น เล่าเจี้ยงได้ตั้งให้เงียมหงันเป็นเจ้าเมือง ครั้นทราบว่าเตียวหุยยกกองทัพมาประชิดเมืองก็สั่งทหารให้ขึ้นประจำกำแพงเมืองและเชิงเทิน กวดขัน รักษาค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง
อันเงียมหงันผู้นี้มีอายุอยู่ในวัยล่วงหกสิบเศษ แต่เป็นทหารมีฝีมือเข้มแข็ง มีกำลังมาก ใช้ง้าวใหญ่เป็นอาวุธ สามารถต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากได้ ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าเล่าปี่ยกมายึดด่านโปยสิก๋วนเงียมหงันก็มีความโกรธเคืองเล่าปี่ คิดจะยกกองทัพไปตีชิงเอาด่านโปยสิก๋วนคืน แต่เกรงว่าเล่าปี่อาจแต่งกองทัพวกอ้อมมาตีเอาเมืองปากุ๋น จึงจำต้องงดกองทัพไว้ แล้วแต่งค่ายคูหอรบเตรียมรักษาเมือง
ฝ่ายเตียวหุยครั้นตั้งค่ายลงมั่นแล้ว และเห็นข้างในเมืองปากุ๋นแต่งทหารขึ้นรักษาเชิงเทินค่ายคูประตูหอรบจึงให้ทหารออกไปท้าเงียมหงันที่หน้าประตูเมืองว่า “ไอ้เฒ่าชราจงเร่งออกมาคำนับกูโดยดี แม้จะขัดแข็งอยู่ กูจะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองเสีย แต่ทารกอยู่ในอู่ก็มิเว้นจะฆ่าเสียให้สิ้น”
เงียมหงันแม้อยู่ในวัยชราแต่ก็ทรนงในศักดิ์ศรีชายชาติทหาร ครั้นได้ทราบว่าเตียวหุยให้ทหารมาด่าว่าท้าทายและกล่าวคำปรามาสกระทบใจดำหาว่าเป็นคนแก่เฒ่าชราก็โกรธ สั่งให้จัดแจงแต่งทหารจะยกออกไปรบกับเตียวหุย.