ตอนที่ 359. แผนการของซุนปิน

  นักพรตจีโฮเต้าหยินพยากรณ์ด้วยญาณทัศนะว่ามังกรบินไม่ได้แต่เหิรฟ้าเข้าเสฉวน ส่วนหงส์มีปีกบินได้กลับร่วงลงสู่พื้น ผู้ใดฝืนลิขิตสวรรค์จะเป็นอันตราย แต่สี่นายทหารเอกเมืองเสฉวนไม่เข้าใจความนัย หาว่าจีโฮเต้าหยินบ้าใบ้จึงไม่เชื่อฟัง จน เหลงเปาและเตงเหียนเสียชีวิตไปสองคน ในขณะที่ทางด้านเล่าปี่ แพเอี้ยวและขงเบ้งก็เตือนว่าปรากฏการณ์บนอากาศที่ดาวประจำเมืองและดาวไถโคจรเป็นเชิงมุมร้าย จะเกิดอันตรายแก่แม่ทัพนายกอง ให้เร่งระมัดระวังตัว

            เล่าปี่นั้นทราบความตามหนังสือขงเบ้งแล้วก็หวั่นใจ แต่บังทองยามถึงคราวินาศสติปัญญากลับวิปลาสแปรปรวน พอได้ฟังคำปรึกษาของเล่าปี่จึงว่า “ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ ดูในอากาศเห็นดาวดวงหนึ่งร้ายจริง แต่ว่าเหตุนั้นได้แก่เหลงเปาต่างหาก ซึ่งดาวดวงนี้ปรากฏอยู่ทุกวันนี้จะได้แก่ตัวท่านซึ่งจะได้เป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนอีก เหตุไฉนท่านมาสงสัยว่าจะมีอันตราย จะยกกลับไปเมืองเล่าข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ขอให้ท่านเร่งยกทหารรีบทำการเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิด”

            ความอันบังทองกล่าวบัดนี้ก็ประจักษ์เช่นเดียวกันว่าบังทองก็มีภูมิปัญญาวิทยาคุณ รู้การในอากาศอย่างเดียวกับแพเอี้ยวและขงเบ้ง เห็นการโคจรของดาวไถและดาวประจำเมืองวิปริตอยู่จึงพยากรณ์ตรงกันข้อหนึ่งว่า ซึ่งดาวประจำเมืองรุ่งเรืองสว่างไสวนั้นได้แก่เล่าปี่ซึ่งจะมีอำนาจเป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวน แต่แย้งกันข้อหนึ่งคือปรากฏการณ์ด้านดาวไถซึ่งมีสีขาวราวกับสีเสื้อไว้ทุกข์อันเป็นดาวร้ายนั้นบังทองสำคัญหมายถึงเหลงเปาซึ่งเป็นทหารเอกเมืองเสฉวนและถูกประหารตามคำสั่งของเล่าปี่ ในขณะที่ขงเบ้งเห็นว่าหมายถึงแท่ทัพนายกองของเล่าปี่เอง ดังนั้นเมื่อเล่าปี่จะได้ทีเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนจึงเห็นว่าไม่ชอบที่จะยกกลับไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ควรที่จะยกเข้าตีเอาเมืองเสฉวนเสียทีเดียว

            เล่าปี่แม้กริ่งความตามหนังสือของขงเบ้ง แต่คำกล่าวของบังทองนั้นกลับต้องด้วยความคิดของเล่าปี่เอง เล่าปี่จึงละเสียซึ่งหลักแห่งความเชื่อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเตือนสั่งสอนว่าอย่าได้เชื่อสิ่งไร แม้จะตรงกับความเชื่อของตัวเอง แต่ให้เชื่อกรรมเป็นสำคัญ

            เมื่อเล่าปี่เชื่อคำบังทองแล้วจึงสั่งการให้เคลื่อนทัพไปสมทบกับกองทัพส่วนหน้าซึ่งฮองตงและอุยเอี๋ยนรักษาค่ายอยู่ที่ปากทางซอกเขา ครั้นยกไปถึงก็เรียกประชุมปรึกษาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเพื่อคิดอ่านวางแผนจะเข้าตีเมืองลกเสีย

            บังทองไม่ทราบภูมิประเทศจึงถามหวดเจ้งว่าหนทางซึ่งจะยกเข้าตีเมืองลกเสียนั้นมีแต่ทางเดียวซึ่งเป็นทางสายใหญ่ตรงไปทางเบื้องหน้าหรือว่ายังมีเส้นทางอื่นอยู่อีก

            หวดเจ้งจึงว่าอันเส้นทางทั้งปวงในแดนเมืองเสฉวนนี้เตียวสงได้วาดไว้ในแผนที่โดยถี่ถ้วนละเอียดดีแล้ว จึงควรที่จะเอาแผนที่นั้นมากางดู เล่าปี่จึงเอาแผนที่ซึ่งเตียวสงให้ไว้นั้นมากางออกดู ก็เห็นเส้นทางที่จะไปยังเมืองลกเสียนั้นมีอยู่สองเส้น เป็นเส้นทางใหญ่เส้นหนึ่งและเส้นทางเล็กอีกเส้นหนึ่ง

            เส้นทางใหญ่แม้จะสะดวกกว่าแต่เป็นทางอ้อม ส่วนเส้นทางเล็กแม้ทุรกันดารผ่านซอกเขาแคบ ๆ แต่เป็นเส้นทางลัด

            บังทองจึงว่า “ซึ่งจะยกเข้าไปเมืองลกเสียครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารไปทางน้อย ขอให้ท่านยกไปทางใหญ่”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงท้วงว่าเส้นทางเล็กเป็นเส้นทางคับขันแลทุรกันดาร ตัวท่านไม่ชำนาญในการรบหากข้าศึกยกมาซุ่มโจมตีก็จะเสียทีโดยง่าย ส่วนตัวข้าพเจ้าชีวิตเติบโตกรำศึกอยู่บนหลังม้าแม้นข้าศึกยกมาตั้งสกัดอยู่ก็พอจะต่อสู้เอาชนะได้ จึงขอพาทหารไปตามเส้นทางลัดเอง ส่วนตัวท่านขอให้คุมทหารไปตามเส้นทางใหญ่ แล้วยกเข้าตีเมืองทางทิศตะวันออกเถิด

            บังทองได้ฟังก็แย้งว่า “อันทางใหญ่นั้นข้าพเจ้าเห็นว่าข้าศึกจะยกทหารมาสกัดอยู่เป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปนั้นจะต่อด้วยกำลังข้าศึกมิได้ จึงจะขอไปทางน้อยด้วยเห็นว่าข้าศึกจะเบาบางพอกำลังข้าพเจ้าจะสู้ได้ อันทางใหญ่นั้นผู้อื่นจะยกไปเห็นจะเสียที ควรท่านยกไปเองจึงจะชอบ”

            เล่าปี่ได้ฟังเหตุผลของบังทองก็เห็นด้วยแต่ยังคงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านจงไปทางใหญ่ตามข้าพเจ้าว่าเถิด อย่าได้ไปทางน้อยเลย ด้วยเวลาคืนนี้ข้าพเจ้าฝันร้าย เห็นหลากใจอยู่ว่ามีเทพยดาองค์หนึ่งเอาไม้ตะบองเหล็กมาตีถูกแขนซ้ายข้าพเจ้าเจ็บปวดเป็นกำลัง จนตื่นขึ้นแล้วยังมิหายเจ็บ กริ่งใจอยู่ฉะนี้จึงให้ท่านไปทางใหญ่”

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่าในฝันของเล่าปี่นั้นเทพยดาเอากระบี่มาตีถูกแขนขวาแต่ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลว่าเป็นแขนซ้าย ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องตามคติความเชื่อเรื่องซ้ายขวา โดยคติของจีนนั้นถือว่าข้างซ้ายเป็นใหญ่กว่าข้างขวา ในขณะที่คติของไทยถือว่าข้างขวาใหญ่กว่าข้างซ้าย แลเล่าปี่นั้นมีกุนซือผู้ใหญ่สองคน คือขงเบ้งซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่และบังทองเป็นที่ปรึกษารอง ตามคติจีนจึงถือว่าขงเบ้งประดุจดังแขนซ้าย และบังทองเป็นประดุจดังแขนขวาของเล่าปี่ เหตุนี้ในฉบับภาษาจีนจึงระบุว่าเทพยดาตีถูกแขนขวา ซึ่งหมายถึงบังทองตามคติจีน แต่พอแปลเป็นภาษาไทยจึงระบุว่าเทพยดาตีถูกแขนซ้ายซึ่งมีความหมายถึงบังทองตามคติไทย

            เจตนาของเล่าปี่ดังนี้คล้ายประหนึ่งว่าเล่าปี่เองก็พรั่นใจตามหนังสือของขงเบ้ง ประกอบกับความฝันดังกล่าวว่าบังทองจะเป็นอันตราย จึงพยายามที่จะเกี่ยงให้บังทองคุมทัพไปตามเส้นทางใหญ่ เพราะถึงแม้จะมีทหารข้าศึกมาสกัดกั้นก็พออาศัยกำลังฝีมือทหารเอกตีฝ่าหักออกไปได้โดยไม่ถึงกับต้องได้รับอันตราย แต่ทางเส้นน้อยนั้นทุรกันดารและเป็นทางแคบ หากถูกซุ่มโจมตีย่อมยากจะหลบหนี และอาจเป็นอันตรายได้

            บังทองได้ฟังเล่าปี่ดังนั้นก็ไม่เห็นด้วยและยืนยันความเห็นเดิมว่า “อันเกิดมาเป็นทหารทำการสงคราม แม้มิตายก็จำต้องบาดเจ็บเป็นประเพณี เหตุใดท่านจะมาวิตกเดือดร้อนด้วยความฝันฉะนี้หาต้องการไม่”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า ซึ่งท่านว่ามานี้ก็ชอบด้วยประเพณีการสงครามอยู่ แต่หนังสือซึ่งขงเบ้งเตือนมานั้นก็ไม่อาจดูแคลนได้โดยเด็ดขาด ข้าพเจ้าจึงวิตกว่าจะเกิดอันตราย การจะยกกองทัพไปครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่มีความวางใจเลย ถ้าหากท่านยังต้องการจะไปตามเส้นทางน้อย ข้าพเจ้าก็ขอเปลี่ยนความคิดให้ท่านอยู่รักษาด่านโปยสิก๋วนไว้ให้มั่นคง ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวจะยกทหารไปทำการเอง

            บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็สำคัญว่าเล่าปี่เชื่อถือถ้อยคำของขงเบ้งยิ่งกว่าความคิดตัว เก็บความคิดอันวิปริตด้วยโมหะไว้มิได้ จึงกล่าวกับเล่าปี่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวแต่แสร้งทำเป็นหัวเราะแล้วว่า “ซึ่งขงเบ้งให้หนังสือมานั้นด้วยริษยาเห็นว่าข้าพเจ้ามาทำการด้วยท่านจะได้เมืองเสฉวนเป็นความชอบ จึงว่ามาทั้งนี้หวังจะให้ท่านสงสัยใจมิให้ทำการตลอด ข้าพเจ้าก็จะหามีความชอบไม่ ซึ่งท่านนิมิตฝันก็ดีอยู่ดอก อย่ากินใจเลย แลตัวข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ตั้งใจจะอาสาให้ถึงขนาด ปรารถนาจะเอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฏไปในภายหน้า ถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตก็มิได้คิด เวลาพรุ่งนี้เช้าขอให้ท่านรีบยกทหารไปเถิด”

            เล่าปี่เห็นบังทองมีความขุ่นเคืองชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็เกรงใจ จึงว่าเมื่อท่านมีความเห็นดังนี้ก็ตกลงตามความคิดของท่าน

            ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้จัดกองทัพเป็นสองกอง กองแรกเล่าปี่ให้ฮองตงเป็นกองทัพหน้า เล่าปี่เป็นกองทัพหลวง ยกเข้าตีเมืองลกเสียตามเส้นทางสายใหญ่ อีกกองหนึ่งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า บังทองเป็นกองทัพหลวง ยกเข้าตีเมืองลกเสียตามเส้นทางลัด

            ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่และบังทองจึงขี่ม้าเคียงคู่กันออกตรวจตรากองทหารทั้งสองกองซึ่งเตรียมการพรักพร้อมคอยท่าอยู่ เทพยดาได้บันดาลนิมิตให้ปรากฏอีกครั้งหนึ่ง โดยเท้าม้าบังทองเดินสะดุดขาตัวเองทรุดตัวลง บังทองพลัดตกลงจากหลังม้า

            เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบกระโจนลงจากหลังม้าเข้ามาพยุงบังทอง แล้วรำพึงว่าเหตุไฉนม้าท่านจึงมีอันเป็นดังนี้ บังทองก็ว่าม้าตัวนี้ข้าพเจ้าขี่ทำการมาช้านาน มิเคยเป็นอาการดังนี้เลย

            เล่าปี่จึงว่าอาการม้าดังนี้ประหนึ่งเป็นลางร้าย หากแม้นท่านยกไปจะมิเสียทีแก่ข้าศึกหรือ ท่านจงเปลี่ยนเอาม้าที่ข้าพเจ้าขี่ไปขี่เถิด ข้าพเจ้าจะเอาม้าท่านมาขี่เอง

            ว่าแล้วไม่ฟังคำบังทอง เล่าปี่จึงขึ้นขี่ม้าของบังทองแล้วสั่งทหารให้จูงม้าที่ขี่มาให้บังทองขี่

            บังทองเห็นกิริยาอาการของเล่าปี่ก็รู้ทีว่าเล่าปี่มีความเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าชีวิตของเล่าปี่ ความรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอิบในใจจึงประดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว น้ำตาบังทองก็ไหลซึมออกจากเบ้าตาทั้งสอง เล่าปี่เห็นน้ำตาบังทองก็ยิ่งพรั่นใจวิตกว่าเป็นลางร้ายบังทองไปครั้งนี้แล้วจะเกิดอันตรายอาจไม่ได้พบกันอีก จึงขี่ม้าเข้ามาประชิดม้าบังทอง เอามือทั้งสองกุมมือบังทองแล้วว่าบุญวาสนาอันใดหากมีอานิสงส์แท้ ขอบุญวาสนานั้นจงแผ่ปกป้องท่านให้ปลอดภัยทุกประการเถิด

            บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ก็ยิ่งซาบซึ้ง คำนับเล่าปี่แล้วว่าน้ำใจไมตรีและเมตตาท่านได้ประจักษ์แจ่มจ้าแก่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลือนเลย พระคุณท่านหาที่สุดมิได้ ชีวิตนี้ข้าพเจ้าได้ทำการอยู่ด้วยท่านก็เป็นวาสนาแล้ว แม้จะถึงแก่ความตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย

            เล่าปี่ได้ยินคำบังทองกล่าวถึงความตายถึงสองครั้งสามคราก็ยิ่งหวั่นใจ แต่เมื่อได้เตรียมกองทัพถึงเพียงนี้ อุปมาดังน้าวธนูสุดแหล่งแล้วไหนเลยจะหยุดยั้งได้ จำต้องปล่อยลูกธนูให้แล่นไปสุดแท้แต่บุญและกรรม เล่าปี่จึงรับคำนับบังทองแล้วยืนม้าดูบังทองนำกองทัพเคลื่อนออกไปตามเส้นทางลัด ในขณะที่ในใจนั้นก็รู้สึกกังวล วังเวง และอาลัยอาวรณ์บังทองยิ่งนัก

            พอกองทัพบังทองเคลื่อนออกไปหมดสิ้นแล้ว เล่าปี่จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพไปตามเส้นทางสายใหญ่

            ทางด้านเมืองลกเสีย ครั้นเล่ากุ๋ยและงออี้ได้ทราบรายงานว่าเหลงเปาเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ความตายแล้วก็ตกใจและเสียใจ นั่งลงปรึกษากันว่าจะคิดอ่านทำการประการใด

            ในขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่นั้น เตียวหยิมได้ไปตรวจตรากองทหารเสร็จแล้วกลับเข้ามาสมทบ และว่าเล่าปี่ได้ทีในการศึกแล้วเห็นจะยกกองทัพล่วงเข้ามาตีเอาเมืองลกเสีย ข้าพเจ้าเล็งว่าเล่าปี่จะยกกองทัพมาตามเส้นทางลัดเพื่อประหยัดเวลาเดินทัพ ดังนั้นข้าพเจ้าขออาสานำทหารยกไปรักษาเส้นทางลัดไม่ให้เล่าปี่ยกทัพเข้ามาถึงเมืองลกเสียได้

            งออี้ที่ปรึกษาจึงว่าความคิดของเตียวหยิมนี้ชอบแล้ว อันเส้นทางลัดนี้เป็นที่คับขัน ถึงแม้เล่าปี่ยกกองทัพมามากเท่าใดก็เหมือนหนึ่งกำลังน้อย แลท่านชำนาญภูมิประเทศเห็นจะต้านทานข้าศึกเอาไว้ได้

            งออี้กล่าวขาดคำลงทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพมาเป็นสองกอง กองหนึ่งมาตามเส้นทางสายใหญ่ อีกกองหนึ่งมาตามเส้นทางลัด แต่ไม่รู้ว่าตัวเล่าปี่มาตามเส้นทางใด

            เตียวหยิมทราบรายงานดังนั้นจึงคำนับลาเล่ากุ๋ยและงออี้ออกมาจัดแจงทหาร แล้วยกไปตั้งสกัดอยู่ที่ซอกเขาตรงจุดที่เป็นช่องแคบที่สุด มีหน้าผาสูงชันเป็นที่ประหลาด

            เตียวหยิมกล่าวกับทหารทั้งปวงว่าภูมิประเทศซึ่งเรายกมาทำการครั้งนี้เป็นอย่างเดียวกับเมื่อครั้งซุนปินทำศึกกับผังเจียน ในครั้งนั้นกองทัพผังเจียนมีกำลังเป็นอันมาก ยกมาตามซอกเขา ซุนปินได้แต่งทหารขึ้นไปซุ่มอยู่บนหน้าผาเตรียมพลเกาทัณฑ์ไว้เป็นอันมาก เมื่อผังเจียนยกมาก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ถูกผังเจียนถึงแก่ความตาย การศึกครั้งนี้เราจะทำตามแผนการของซุนปินเห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง

            ว่าแล้วเตียวหยิมจึงสั่งให้ทหารแยกย้ายกันขึ้นไปซุ่มอยู่บนยอดหน้าผาทั้งสองข้างทาง ถ้าหากกองทัพของเล่าปี่ยกผ่านมาก็ให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ตัวนายพร้อมกัน ทหารทั้งปวงรับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันเข้าประจำที่คอยทีอยู่.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘