ตอนที่ 358. ดารานิมิต

 กองทัพของเล่าปี่ไม่รู้ภูมิประเทศอย่างแจ่มแจ้ง จึงให้ฮองตงและอุยเอี๋ยนรักษาค่ายที่ยึดได้จากเหลงเปาและเตงเหียนซึ่งตั้งอยู่ปากทางซอกเขาอันเป็นมรณภูมิ แต่ในขณะที่กองทัพเมืองเสฉวนกำลังคิดอ่านวางแผนไขน้ำท่วมสองค่ายทหารดังกล่าว ก็พลันมีผู้เรืองปัญญาชื่อว่าแพเอี้ยวมาบอกกล่าวภูมิประเทศให้เล่าปี่และบังทองทราบ ทั้งได้ต่อว่าบังทองว่ารู้การในอากาศแต่ไฉนจึงตั้งอยู่ในความประมาทถึงเพียงนี้

            เล่าปี่จึงว่าเป็นบุญของทหารทั้งปวงที่ยังไม่ถึงฆาต สวรรค์จึงบันดาลให้ท่านอาจารย์มาบอกภูมิประเทศให้ดังนี้ แต่การในอากาศนั้นเป็นฉันใด ขอเชิญอาจารย์ท่านกล่าวให้แจ้งเถิด

            แพเอี้ยวจึงว่าในระยะนี้ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ด้วยดาวเทียนกังหรือดาวไถได้โคจรไปสถิตอยู่ฟากฟ้าเบื้องตะวันตกแต่มีสีขาวซีดหม่น ในขณะที่ดาวประจำเมืองหรือดาวไท้แป๊ะซึ่งสถิตเคียงคู่มีรัศมีสุกใสงามตา การในอากาศดังนี้เป็นดารานิมิตบ่งความหมายว่าเมืองเสฉวนถึงคราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว แต่จะสูญเสียยอดขุนพลคนสำคัญ ฉะนั้นท่านจงระวังตัวให้จงหนัก

            บังทองนั่งฟังแพเอี้ยวแล้วผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วย แต่มิได้กล่าวถ้อยคำประการใด ข้างเล่าปี่นั้นสำคัญนัยความหมายของคำแพเอี้ยวว่าจะได้รับชัยชนะต่อกองทัพเมืองเสฉวนและเข้าครองแดนเสฉวนได้สำเร็จดังปรารถนา ส่วนขุนพลคนสำคัญที่จะล่วงลับดับสูญก็สำคัญว่าเป็นเล่าเจี้ยง เล่าปี่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อแพเอี้ยวเป็นอันมาก จึงลุกขึ้นคำนับแพเอี้ยวอย่างนอบน้อมประดุจศิษย์คารวะอาจารย์ผู้ใหญ่

            แพเอี้ยวรับคารวะเล่าปี่แล้วก็คำนับลาเล่าปี่กลับออกไป แม้เล่าปี่จะเชื้อเชิญให้อยู่กินโต๊ะอีกสักหลายวันก็ไม่ตอบคำ คงส่ายหน้าราวกับว่าล่วงรู้ความคิดของเล่าปี่และบังทองว่าเป็นการสำคัญผิด ไม่แจ่มแจ้งถึงความนัยอันเป็นความหมายที่แท้แห่งดารานิมิตนั้น

            พอแพเอี้ยวกลับออกไปแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้ม้าเร็วรีบรุดไปแจ้งข่าวแก่ฮองตงและอุยเอี๋ยนว่า ภูมิประเทศซึ่งตั้งค่ายอยู่นั้นเป็นมรณภูมิ ข้าศึกอาจไขน้ำให้ไหลบ่ามาท่วมค่าย แล้วยกทหารเข้าซ้ำเติมโจมตีจะเป็นอันตราย ให้คิดอ่านระมัดระวังให้จงหนัก

            ฝ่ายฮองตงและอุยเอี๋ยนคุมทหารซึ่งรักษาค่ายที่ยึดได้จากเหลงเปาและเตงเหียนได้จัดแจงแต่งทหารลาดตระเวนเป็นกวดขัน ครั้นได้ทราบความจากเล่าปี่ก็ตกใจ พากันขี่ม้าออกไปตรวจตราภูมิประเทศก็เห็นต้องด้วยคำที่เล่าปี่เตือนมา จึงปรึกษากันว่าถ้าหากข้าศึกไขน้ำให้ไหลมาตามซอกเขา กองทัพเราก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง

            แล้วฮองตงจึงว่าการซึ่งจะทดน้ำและไขน้ำต้องใช้คนมากและเอิกเกริกอยู่ ถ้าหากยับยั้งป้องกันมิให้ทหารเมืองเสฉวนทำการได้สำเร็จเราก็จะไม่เป็นอันตราย ฉะนั้นข้าพเจ้าและท่านจงผลัดเปลี่ยนเวรกันคนละวัน ยกทหารไปตรวจตราป้องกันมิให้ข้าศึกไขน้ำได้สำเร็จ และถ้าหากข้าศึกยกมาทำการก็ให้รีบแจ้งแก่อีกคนหนึ่งให้ยกหนุนไปช่วยในทันที

            ฮองตงและอุยเอี๋ยนปรึกษาตกลงกันแล้วจึงจัดทหารออกไปลาดตระเวนตามลำแม่น้ำโปยกั๋ง คอยระมัดระวังมิให้ข้าศึกทดน้ำแล้วไขน้ำท่วมค่าย ทั้งจัดหน่วยลาดตระเวนที่คอยส่งข่าวประสานงานให้ฝ่ายซึ่งรักษาค่ายได้รับทราบอย่างรวดเร็ว

            ในคืนวันนั้นเป็นเวรของอุยเอี๋ยนคุมทหารออกไปลาดตระเวน ปรากฏฝนห่าใหญ่ตกลงมา อุยเอี๋ยนก็มิได้ท้อถอยต่อความยากลำบาก กลับสั่งให้ทหารระมัดระวังกวดขันป้องกันอันตรายให้เข้มงวดขึ้นกว่าเก่า

            พอถึงปลายยามแรกก็เห็นทหารเมืองเสฉวนยกออกจากเมืองลกเสีย ฝ่าสายฝนตรงมาที่ริมแม่น้ำ อุยเอี๋ยนจึงสั่งให้ม้าเร็วรีบส่งข่าวไปแจ้งแก่ฮองตง และสั่งทหารให้สงบสำเนียงถ้อยคำซุ่มคอยทีอยู่ที่ริมฝั่งน้ำ

            ฝ่ายเหลงเปาคุมทหารเมืองเสฉวนห้าพันยกออกจากเมืองลกเสียตรงมาที่ริมแม่น้ำท่ามกลางสายฝน เพื่อจะทำการทดน้ำแล้วขุดคลองให้เป็นทางน้ำไหลลงไปทางซอกเขาที่ทหารเล่าปี่ตั้งค่ายอยู่ ครั้นถึงริมฝั่งแม่น้ำก็สั่งทหารให้ขุดดินริมแม่น้ำซึ่งจะไหลลงไปทางค่ายของทหารเล่าปี่ แล้วเอาดินนั้นถมลงในแม่น้ำข้างท้ายเมืองเพื่อกั้นน้ำไม่ให้ไหลตามเส้นทางเดิม ทำน้ำให้ไหลไปตามคลองซึ่งขุดนั้น

            พอทหารของเหลงเปาเข้าประจำที่เตรียมการจะขุดคลอง อุยเอี๋ยนก็ให้สัญญาณทหารทั้งปวงยกออกจากที่ซุ่มรุกเข้าโจมตีทหารของเหลงเปาในทันที

            ทหารของเหลงเปากำลังเตรียมการจะขุดคลอง ในมือไม่มีอาวุธนอกจากจอบและเสียม ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารข้าศึกดังฝ่ามาตามสายฝนดังนั้นก็พากันตกใจแตกตื่นวิ่งหนี เหยียบกันตายเป็นอันมาก

            เหลงเปาคิดจะขับม้าหนีกลับเข้าเมืองก็เห็นอุยเอี๋ยนขี่ม้ามาสกัดขวางทางไว้ จึงชักม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยน พอรบกันได้ห้าเพลงอุยเอี๋ยนหลบทวนเหลงเปาแล้วชักม้ากลับวกเข้ามาทางด้านหลังของเหลาเปา จับเหลงเปาได้บนหลังม้านั้น

            ฝ่ายลุยต๋องและงอหลันยกทหารมาเป็นกองคุ้มกันเหลงเปา แต่เนื่องจากฟ้าฝนตกหนักลุยต๋องและงอหลันจึงรั้งรออยู่ ครั้นเห็นว่าฝนยังไม่สร่างฟ้าก็เกรงว่าหากเนิ่นช้าต่อไปข้าศึกอาจเข้าตีเหลงเปาก็จะเสียการไป จึงสั่งให้ทหารยกออกจากเมืองลกเสียฝ่าสายฝนตามไป พอยกมาใกล้ริมฝั่งน้ำก็ได้ยินเสียงชุลมุนอื้ออึง ก็รู้ว่ากองทหารของเหลงเปาถูกซุ่มโจมตี จึงสั่งทหารให้เร่งฝีเท้าหวังจะเข้าไปช่วย

            ในขณะที่กองทหารของงอหลันและลุยต๋องกำลังเร่งจะเข้าไปช่วยกองทหารของเหลงเปานั้น พลันได้ยินเสียงทหารอีกกองหนึ่งโห่ร้องดังสนั่นออกมาสกัดขวางหน้าไว้ ปรากฏเป็นฮองตงคุมทหารยกตามมาช่วยอุยเอี๋ยน เห็นทหารเมืองเสฉวนจะยกมาช่วยทหารของเหลงเปา จึงสั่งทหารให้สกัดกองทหารเมืองเสฉวนซึ่งยกมานั้น

            ฮองตงขี่ม้าออกหน้าทหารตรงเข้าไปหาตัวนายทัพ งอหลันและลุยต๋องเห็นนายทัพของข้าศึกขี่ม้านำหน้าทหารฝ่าสายฝนมาอย่างรวดเร็วก็ชักม้าเข้ารุมรบด้วยฮองตง

            แต่พอประมือกับง้าวของฮองตงได้ไม่ถึงสามเพลง สองนายทหารเมืองเสฉวนก็สำนึกได้ว่าฝีมือของทหารเสือเล่าปี่ผู้นี้หนักหน่วงรุนแรงราวอสุนีบาต หากขืนสู้รบต่อไปก็คงต้องเดินทางไปเยือนเมืองผีเป็นแน่แท้ ดังนั้นพอได้จังหวะงอหลันและลุยต๋องก็ชักม้าผละหนีไปดื้อ ๆ

            ทหารของฮองตงรุกเข้าโจมตีทหารของงอหลันและลุยต๋องบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก และจับเป็นเชลยได้อีกจำนวนหนึ่ง

            พอฝนสร่างอุยเอี๋ยนและฮองตงจึงมัดเหลงเปาแล้วพาเชลยศึกยกกลับมาที่ค่าย ครั้นรุ่งขึ้นก็ให้ฮองตงรักษาค่ายทั้งสอง ส่วนอุยเอี๋ยนพาเชลยศึกทั้งปวงไปหาเล่าปี่ที่ด่านโปยสิก๋วน

            เล่าปี่ได้ทราบความศึกก็มีความยินดี แต่พอเห็นหน้าเหลงเปาเล่าปี่ก็รู้ว่าเหลงเปาตระบัดสัตย์ ไม่คำนึงถึงคุณที่เล่าปี่ปล่อยตัวกลับไปแล้วยังอาสาคุมทหารมาสู้รบอีก เล่าปี่จึงโกรธเหลงเปา ด่าเหลงเปาว่าอ้ายคนไม่รักษาความสัตย์ เราสิมีน้ำใจเมตตาแก่สัตว์ผู้ยาก สู้อุตส่าห์ปล่อยตัวให้กลับไปเพื่อจะได้รักษาญาติพี่น้อง ยังกล้าอาสายกมารบกับเราอีก คนอาสัตย์เช่นนี้จะเลี้ยงไว้สืบไปไม่ได้การ

            ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารคุมตัวเหลงเปาเอาไปประหาร และให้ปูนบำเหน็จแก่   อุยเอี๋ยนเป็นอันมาก

            ณ เวลาบัดนี้สี่นายทหารเอกเมืองเสฉวนที่อาสาเล่าเจี้ยงมาสกัดกองทัพเล่าปี่คือ  เล่ากุ๋ย เตียวหยิม เหลงเปาและเตงเหียน ซึ่งจีโฮเต้าหยินได้เตือนว่าหากมีปัญญาก็ให้เร่งระมัดระวังรักษาตัวจึงจะพ้นอันตราย แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความนัยอันซ่อนเร้น คิดเห็นแต่ว่าจีโฮเต้าหยินเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็ได้ล้มหายตายจากไปแล้วสองคน คือเตงเหียนและเหลงเปา คงเหลือเพียงเล่ากุ๋ยกับเตียวหยิมเท่านั้น

            ในขณะที่เล่าปี่กำลังปูนบำเหน็จทหารซึ่งมีความชอบนั้น ทหารรักษาการณ์ได้พาม้าเลี้ยงซึ่งขงเบ้งใช้มาแต่เมืองเกงจิ๋วเข้ามาขอพบเล่าปี่

            เล่าปี่เห็นม้าเลี้ยงมาก็มีความยินดี ม้าเลี้ยงคำนับเล่าปี่ตามธรรมเนียมแล้วจึงรายงานว่าขงเบ้งใช้ข้าพเจ้ามารายงานความแก่ท่านว่า การข้างเมืองเกงจิ๋วนั้นเป็นปกติทุกประการ มิได้มีภัยอันตรายใด ๆ มาแผ้วพาน ท่านอย่าได้กังวลเลย แต่ขงเบ้งได้ฝากหนังสือมาฉบับหนึ่งกำชับว่าเป็นการสำคัญ ให้ท่านทำตามที่บอกไว้ในหนังสือนั้นอย่าได้ประมาท

            แล้วม้าเลี้ยงจึงมอบหนังสือของขงเบ้งแก่เล่าปี่

            เล่าปี่รับหนังสือจากม้าเลี้ยงมาอ่านดูเป็นใจความว่า “ในปีกุนนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งปรากฏตรงเมืองลกเสียอยู่ฝ่ายปราจีนทิศนั้นร้ายนัก เห็นจะเสียแม่ทัพนายกองซึ่งยกมาครั้งนี้เป็นมั่นคง ขอให้ท่านเร่งระมัดรักษาตัวอย่าประมาท”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความตอนนี้ว่า “ข้าเหลียงได้คำนวณตำราไท้อิก (ดาราศาสตร์สูงสุด) ปีนี้เป็นปีกุ้ยไห (ปีกุนหรือปีที่มีน้ำมาก) ดาวเทียมกัง (ดาวไถ) ขึ้นอยู่ทางทิศตะวันตกและทั้งวิเคราะห์ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ดาวไท้แป๊ะ (ดาวประจำเมือง) โคจรเข้าใกล้เมืองลกเซียะ เรื่องจะเกิดกับผู้เป็นแม่ทัพ จะต้องประสบอันตรายอย่างใหญ่หลวง เรื่องอันเป็นมงคลจะน้อยมาก ขอให้จงระมัดระวังให้ดี”

            ขณะนั้นเป็นเจี้ยนอันศกปีที่สิบแปด เดือนเก้า ดาวไถมีปกติ สถิตอยู่กลางท้องฟ้า สีฟ้าแกมขาว ในขณะที่ดาวประจำเมืองหรือดาวไท้แป๊ะจะมีปกติสถิตเบื้องทิศตะวันตกค่อนเฉียงไปทางใต้ รัศมีสีฟ้าอมเหลือง แต่ไม่เจิดจ้าด้วยเป็นเวลาช่วงวสันตฤดู แต่ในยามนั้นบังเกิดเป็นปรากฏการณ์ประหลาด คือดาวไถกลับโคจรเข้าไปอยู่ใกล้กับดาวประจำเมือง และแสงแห่งดาราก็วิปริตแปรปรวนสิ้น ดาวไถกลับมีสีขาวประดุจสีไว้ทุกข์งานศพ ในขณะที่ดาวประจำเมืองซึ่งควรจะขุ่นมัวกลับสุกใสเจิดจ้า

            เล่าปี่อ่านความตามหนังสือของขงเบ้งจบแล้วก็พรั่นใจ เพราะได้บ่งบอกวิถีโคจรของดวงดาวบนอากาศสอดคล้องต้องกับคำของแพเอี้ยว แต่ความซึ่งขงเบ้งเตือนมานั้นตรงกันข้ามกับความเข้าใจของเล่าปี่

            เล่าปี่และบังทองสำคัญว่าดาวประจำเมืองซึ่งสุกใสนั้นเป็นนิมิตหมายว่าเล่าปี่จะได้เข้าครองเมืองเสฉวน แลดาวไถซึ่งซีดขาวราวกับสีเสื้อไว้ทุกข์นั้นหมายถึงเล่าเจี้ยงซึ่งจะล่วงลับดับวาสนาจากเมืองเสฉวน แต่ขงเบ้งกลับเห็นว่าจะเกิดเภทภัยอันตรายใหญ่หลวงกับแม่ทัพนายกองซึ่งมาในกองทัพของเล่าปี่
เล่าปี่นั้นเคยประจักษ์ถึงภูมิปัญญาวิชาคุณในการวิพากษ์วิจารณ์ดวงดาราบนนภากาศของขงเบ้งตั้งแต่ครั้งแรกพบที่เขาโงลังกั๋ง ดังนั้นเมื่อสิ่งที่ขงเบ้งเตือนมาขัดกับสิ่งที่สำคัญอยู่ในใจ เล่าปี่ก็หวั่นใจว่าการน่าจะเป็นไปตามหนังสือของขงเบ้ง

            เล่าปี่หวั่นใจแล้วสีหน้าก็หม่นหมองมิรู้ที่จะคิดประการใด กล่าวกับม้าเลี้ยงว่า “ซึ่งขงเบ้งให้หนังสือมาทั้งนี้ก็แจ้งแล้ว เราก็ระมัดระวังตัวอยู่มิได้ขาด ให้ท่านรีบกลับไปบอกแก่ขงเบ้งเถิด”

            ม้าเลี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงคำนับลาเล่าปี่แล้วเดินทางกลับไปเมืองเกงจิ๋วแต่เวลานั้น

            เล่าปี่ขุ่นข้องหมองใจด้วยความตามหนังสือของขงเบ้ง ครุ่นคิดวิตกกังวลอยู่ พอม้าเลี้ยงคำนับลากลับออกไปแล้ว จึงแจ้งความที่ขงเบ้งมีหนังสือมานั้นแก่บังทอง แล้วปรึกษาด้วยบังทองว่าขงเบ้งมีหนังสือมาเตือนดังนี้เห็นว่าจะประมาทมิได้ ครั้นจะเร่งทำการรุดหน้าต่อไปเกิดอันตรายแล้วขงเบ้งก็จะตำหนิติเตียนได้ว่าไม่ฟังคำ ดังนั้นจึงชอบที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองเกงจิ๋วก่อน ปรึกษาหารือกับขงเบ้งแล้วค่อยคิดอ่านทำการต่อไป

            บังทองพอทราบความตามหนังสือของขงเบ้ง แทนที่จะคิดว่าสหายสนิทร่วมสำนักมีความห่วงใยในความปลอดภัยจึงเตือนมาให้ระมัดระวัง ชอบที่จะน้อมใจปฏิบัติตาม แต่บังทองยามนี้โมหะจริตเข้าครองจิต สำคัญผิดคิดว่าขงเบ้งริษยาว่าหากบังทองนำทัพไปกับเล่าปี่ยึดได้เมืองเสฉวนสำเร็จแล้ว ความชอบก็จะตกแก่บังทองแต่ผู้เดียว จึงแกล้งมีหนังสือมาทักท้วงให้เสียการไป

            นี่แหละคือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า คนเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทำกรรมอย่างใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ซึ่งจะหลีกลี้หนีกรรมนั้นมิได้เลย แลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตว่า “วินาศกาเล วิปริตตะพุทธิ” ซึ่งแปลความหมายว่าถึงแม้นมีสติปัญญาสักปานไหน เมื่อกาลวินาศมาถึงแล้ว สติปัญญานั้นก็วิปลาสแปรปรวนไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘