ตอนที่ 357. ว่าด้วยมรณภูมิ

 กองทัพเมืองเสฉวนเสียทีเสียค่ายปากทางเข้าเมืองลกเสียแก่เล่าปี่แล้ว เห็นจะสู้ไม่ได้จึงขอกำลังหนุนเพิ่มเติมจากเมืองเสฉวน งออี้ที่ปรึกษาซึ่งเล่าเจี้ยงส่งมาช่วยได้เปลี่ยนแปลงยุทธวิธีใหม่ ให้ช่วยกันคิดกลอุบายใช้สู้รบกับเล่าปี่แทนที่จะสู้รบด้วยกำลังอย่างเดียว

            เหลงเปาอาศัยความชำนาญภูมิประเทศจึงเสนอแผนการทำลายกองทัพเล่าปี่แก่  เล่ากุ๋ยว่า อันภูมิทำเลที่ตั้งเมืองลกเสียนี้ตั้งอยู่ในที่สูง ทางกองทัพของเล่าปี่ตั้งอยู่ในที่ต่ำ สองข้างทางเป็นซอกเขาทุรกันดาร แลข้างเมืองลกเสียนี้มีแม่น้ำใหญ่เชี่ยวกรากไหลวกอ้อมไปทางหน้าเมือง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขออาสาไปทำการทดน้ำไว้ที่หน้าเมือง แล้วขุดคลองปล่อยน้ำให้ไหลตรงไปทางกองทัพของเล่าปี่

            เหลงเปากล่าวสืบไปว่าเมื่อทดน้ำเสร็จและไขน้ำแล้ว น้ำก็จะไหลไปตามซอกเขาท่วมกองทัพของเล่าปี่ เราค่อยยกกองทัพเข้าซ้ำโจมตีเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย

            งออี้ซึ่งเป็นที่ปรึกษามากับเล่าชุน ได้ฟังแผนการของเหลงเปาแล้วก็เห็นชอบ จึงสั่งเกณฑ์ทหารห้าพันพร้อมจอบเสียมให้เหลงเปาไปทำการตามแผนการดังกล่าว แล้วให้งอหลันกับลุยต๋องคุมทหารคนละสองพันไปทำหน้าที่คุ้มกันการกั้นทำนบและขุดคลองตามแผนการของเหลงเปา

            นายทหารผู้มีหน้าที่รับคำสั่งแล้วคำนับลาเล่ากุ๋ยและเล่าชุนกลับออกไปเตรียมการ

            ทางด้านเล่าปี่หลังจากจัดแจงทหารที่เข้ามาสวามิภักดิ์เสร็จสิ้นแล้ว จึงให้อุยเอี๋ยนและฮองตงรักษาค่ายของเตงเหียนและเหลงเปาซึ่งยึดไว้ได้นั้น กำชับให้กวดขันระมัดระวังรักษาค่ายไว้ให้จงดี แล้วเล่าปี่จึงพาทหารยกกลับไปด่านโปยสิก๋วน

            ครั้นไปถึงด่านโปยสิก๋วนบังทองก็เข้ามารายงานว่า บัดนี้ซุนกวนมีหนังสือไปยุยงเตียวล่อให้ยกกองทัพเมืองฮันต๋งมาตีเมืองเสฉวน และเตียวล่อกำลังยกกองทัพมาที่ด่านแฮบังก๋วน ซึ่งเป็นด่านกั้นพรมแดนระหว่างแดนเมืองฮันต๋งกับแดนเมืองเสฉวน

            เล่าปี่ได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ด่านแฮบังก๋วนนั้นเป็นด่านสำคัญ ถ้าหากเตียวล่อยึดด่านแฮบังก๋วนได้แล้วก็จะคุกคามต่อเมืองเสฉวนอย่างหนึ่ง และคุกคามต่อเส้นทางติดต่อระหว่างเมืองเสฉวนกับเมืองเกงจิ๋ว รวมทั้งด่านโปยสิก๋วนอีกอย่างหนึ่ง ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะป้องกันรักษาด่านแฮบังก๋วนเอาไว้ได้

            บังทองจึงว่าด่านแฮบังก๋วนแม้ขึ้นต่อเมืองเสฉวน แต่บัดนี้ก็เหมือนขึ้นอยู่กับท่านเพราะบรรดาชาวด่านแลทหารทั้งปวงซึ่งรักษาด่านนั้นล้วนมีน้ำใจภักดีอยู่กับท่านสิ้นแล้ว  ซึ่งท่านคิดป้องกันรักษาด่านแฮบังก๋วนนั้นต้องด้วยความเห็นของข้าพเจ้า และเห็นว่าเบ้งตัดเป็นชาวเมืองเสฉวนมาแต่เดิม รู้จักภูมิประเทศทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี จึงขอให้เบ้งตัดไปรักษาด่านแฮบังก๋วน เห็นจะป้องกันเตียวล่อไม่ให้ยึดด่านแฮบังก๋วนได้

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ แล้วกล่าวกับเบ้งตัดว่าครานี้เห็นทีต้องพึ่งพาท่านช่วยป้องกันรักษาด่านแฮบังก๋วนไว้ไม่ให้เป็นอันตราย ท่านต้องการสิ่งใดไปทำการครั้งนี้บ้าง

            เบ้งตัดจึงว่าข้าพเจ้าขอแต่ฮักจุ้นนายทหารรองซึ่งเคยรับราชการอยู่กับเล่าเปียวและเป็นทหารมีฝีมือดีไปช่วยเหลือข้าพเจ้าก็เห็นว่าเพียงพอต่อการรักษาด่านแฮบังก๋วนไว้ได้

            เล่าปี่อนุญาตแล้วสั่งให้ฮักจุ้นเป็นผู้ช่วยของเบ้งตัดคุมทหารยกไปรักษาด่านแฮบังก๋วนแต่เวลานั้น

            ครั้นปรึกษาราชการกับเล่าปี่เสร็จแล้วบังทองก็คำนับลากลับมาที่อยู่ ครู่หนึ่งทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานบังทองว่ามีชายประหลาดมาหาท่าน ขณะนี้ยืนคอยอยู่ที่ประตู ท่านจะอนุญาตให้เข้ามาหรือไม่

            บังทองได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจจึงเดินมาที่ประตูเพื่อจะดูเหตุการณ์ด้วยตนเอง เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างใหญ่ สูงห้าศอก อยู่ในวัยห้าสิบเศษ บุคลิกลักษณะสง่างาม ไม่เกล้ามวย แต่ตัดผมสั้นปลกศีรษะจนถึงคอ สวมใส่เสื้อผ้าคล้ายนักเลงหรือคนคุก แต่ดูทีท่ามีสง่าราศียิ่งนัก

            บังทองเห็นบุคลิกลักษณะชายแปลกประหลาดผู้นี้แล้วมองทะลุผ่านเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยขาดวิ่น เห็นถึงความเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา จึงเข้าไปคำนับแล้วว่าท่านอาจารย์มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร และมาพบข้าพเจ้าด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ เชิญท่านเข้าไปสนทนากันข้างในก่อนเถิด

            ชายประหลาดผู้นั้นไม่ตอบคำบังทอง แต่พอบังทองกล่าวคำเชิญสิ้นคำชายนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของบังทอง แล้วล้มตัวลงนอนไขว้ห้างอยูบนเตียง

            บังทองยิ่งสงสัยจึงเดินตามเข้าไปแล้วถามซ้ำอีกว่าท่านอาจารย์ชื่อไร จะมาพบข้าพเจ้าด้วยธุระอันใด

            ชายประหลาดผู้นั้นจึงกล่าวตอบว่า ท่านอย่าเพ่อถามเลย จะคอยให้ข้าพเจ้าพักหายเหนื่อยสักครู่มิได้เจียวหรือ ข้าพเจ้าหายเหนื่อยสบายใจแล้ว ก็จะบอกความเมืองที่ใหญ่หลวงให้แก่ท่าน

            บังทองได้ฟังดังนั้นก็ขัดมิได้ แต่รู้สึกได้ว่าชายประหลาดผู้นี้ย่อมมีลับลมคมในที่อาจเป็นประโยชน์แก่ราชการ บังทองจึงสั่งทหารให้แต่งโต๊ะยกเข้ามาเลี้ยงชายประหลาดถึงในห้องนอน

            ชายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงและไม่รอคำเชิญ กลับลุกขึ้นนั่งแล้วกินข้าวปลาอาหารที่บังทองแต่งโต๊ะมาเลี้ยงนั้นแต่ผู้เดียว ครั้นกินอิ่มก็ล้มตัวลงนอนในที่เดิม แล้วทำทีหลับตาเหมือนคนนอนหลับ

            บังทองเห็นดังนั้นก็ยิ่งสงสัย จึงสั่งทหารให้ไปตามหวดเจ้งเพราะสำคัญว่าหวดเจ้งเป็นชาวเมืองเสฉวนอาจจะรู้กิตติศัพท์ชายผู้นี้ พอทราบว่าหวดเจ้งมาถึงบังทองก็ออกไปต้อนรับที่ประตูแล้วเล่าความให้หวดเจ้งฟังทุกประการ

            หวดเจ้งฟังความจากบังทองแล้วจึงว่าอากัปกิริยาแปลกประหลาดดั่งนี้เห็นจะมีก็แต่แพเอี้ยวผู้เดียวเท่านั้น

            หวดเจ้งกล่าวแล้วก็มีหน้าตายินดี พากันเดินเข้าไปข้างใน พอเห็นชายประหลาดหวดเจ้งก็กล่าวว่าที่แท้เป็นท่านนี่เอง ไม่ได้พบกันเสียนานท่านสบายดีหรือ

            ชายประหลาดนั้นเห็นหวดเจ้งก็มีความยินดีรีบลุกขึ้นจากเตียง ปรบมือหัวเราะและกล่าวสวนกลับมาว่า หวดเจ้งท่านอยู่ที่นี่ด้วยหรือ โชคดีแท้ที่ข้าพเจ้าได้มาพบท่านที่นี่ ไม่เสียทีที่มาเปล่า การได้พบกับท่านย่อมนับว่าได้ค่าตอบแทนที่คุ้มแล้ว

            หวดเจ้งเข้ามาคำนับแพเอี้ยว แพเอี้ยวก็คำนับตอบตามธรรมเนียม ในขณะนั้นบังทองก็ถามว่าท่านอาจารย์ผู้นี้ชื่อใดหรือ

            หวดเจ้งจึงตอบแทนว่าคนผู้นี้มีชื่อว่าแพเอี้ยว เป็นชาวเมืองก๋งหาน มีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่มีวาจาสัตย์ซื่อเปิดเผยตรงไปตรงมา เคยเป็นที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงเพราะความเปิดเผยตรงไปตรงมาจึงไม่ต้องอัธยาศัยของเล่าเจี้ยง กลับเห็นว่าแพเอี้ยวมีวาจาหยาบช้า พูดจาไม่ต้องใจ จึงพาลโกรธลงโทษแพเอี้ยวขับออกจากราชการ และให้กร้อนผมเสียทั้งศีรษะเพื่อให้ได้อาย แพเอี้ยวจึงกลายเป็นคนร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้

            บังทองพยักหน้าเป็นทีแสดงความนับถือแล้วกล่าวสืบไปว่า แพเอี้ยวท่านจะมาพบข้าพเจ้าด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ

            แพเอี้ยวจึงว่าข้าพเจ้ามาหาท่านด้วยราชการสำคัญ หวังจะช่วยท่านให้พ้นจากอันตราย แต่ความนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องรอให้เล่าปี่อยู่ด้วยจึงจะบอกได้

            บังทองได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไปเชิญเล่าปี่ เล่าปี่ทราบความแล้วก็ประหลาดใจจึงรีบมายังที่พักของบังทอง ครั้นได้ทักทายปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงกล่าวกับแพเอี้ยวว่า ซึ่งท่านอาจารย์มีความนัยประการใดก็จงได้เมตตาสั่งสอนข้าพเจ้าให้เข้าใจเถิด

            แพเอี้ยวยังไม่ตอบคำ แต่ถามกลับมาว่าซึ่งท่านให้ทหารรักษาค่ายอยู่ปากทางช่องแคบจะเข้าเมืองลกเสียนั้นมีทหารอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใด

            เล่าปี่จึงว่านายทหารเอกผู้รักษาค่ายมีสองคนคืออุยเอี๋ยนและฮองตง ส่วนทหารเลวก็มีประมาณหมื่นหนึ่ง ท่านถามความดังนี้มีเรื่องราวประการใดหรือ

            แพเอี้ยวจึงว่าตัวท่านก็ชำนาญในการสงคราม กิตติศัพท์ลือชาว่ามีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่ไฉนท่านยกมาทำการครั้งนี้จึงไม่สำรวจตรวจตราภูมิประเทศให้กระจ่างก่อน จึงทำการเหมือนดูเบาประมาทแก่ข้าศึกยิ่งนัก

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ฉงนใจ จึงกล่าวว่าท่านอาจารย์มีความนัยอันลี้ลับเกี่ยวกับภูมิประเทศอย่างใดก็จงว่าให้แจ้งเถิด

            แพเอี้ยวจึงว่าท่านได้พิเคราะห์ดูบ้างหรือไม่ว่าภูมิประเทศอันตั้งค่ายอยู่ดังนี้ดีร้ายประการใด

            เล่าปี่และบังทองได้ฟังคำถามก็นิ่งอึ้ง แพเอี้ยวหยุดคำไว้ครู่หนึ่งแล้วกล่าวสืบไปว่า แลแม่น้ำโปยกั๋งก็อยู่ใกล้ ที่ตั้งค่ายนั้นเป็นที่ลุ่ม แม้ข้าศึกจะไขน้ำให้บ่าหักมาท่วมค่ายเสียแล้ว จะยกทหารมาล้อมหน้าหลังไว้ระดมรบ ท่านจะมิตายเสียสิ้นหรือ

            บังทองได้ยินคำท้วงก็รำลึกถึงคัมภีร์พิชัยสงครามอันว่าด้วยนวภูมิ คือพื้นที่ทำศึกเก้าประเภท ได้แก่

            ประเภทแรก เรียกว่าอุทธัจจภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศในการทำศึกที่ข้าศึกรุกเข้ามาโจมตีในแดนของฝ่ายเรา

            ประเภทที่สอง เรียกว่าลหุภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศในดินแดนของข้าศึกที่ต่อแดนกับดินแดนของฝ่ายเรา

            ประเภทที่สาม เรียกว่าอุกฤษฏ์ภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศอันเป็นจุดที่มั่น ซึ่งหากยึดได้แล้วจะอำนวยเปรียบและประโยชน์ในการรบกับข้าศึก

            ประเภทที่สี่ เรียกว่าสัญจรภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศซึ่งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเราสามารถเดินทัพผ่านไปมาได้โดยสะดวกเสมอกัน

            ประเภทที่ห้า เรียกว่ามรรคภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศซึ่งเป็นแดนต่อแดนกับหลายประเทศเขตแคว้น หากกองทัพฝ่ายใดเข้ายึดได้ก่อนก็จะกุมระบบเศรษฐกิจและความมั่งคั่งอันจะได้รับการสนับสนุนจากมหาชน

            ประเภทที่หก เรียกว่าครุภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศในเขตแดนของข้าศึกที่กองทัพฝ่ายเรารุกลึกเข้าไปแล้วตั้งด่านค่ายคูวางขวากหนามสนามเพลาะไว้มากมายหลายชั้น ป้องกันมิให้ข้าศึกตลบหลัง

            ประเภทที่เจ็ด เรียกว่าทุรภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศอันเป็นที่วิบาก ได้แก่เขตป่าเขา ซอกเขา ห้วยธารละหาน หนองคลองบึงอันยากแก่การสัญจรไปมา

            ประเภทที่แปด เรียกว่าบัญชรภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศอันเป็นเขตช่วงชิง มีลักษณะปากทางเข้าแคบ กว่าจะเดินทัพถึงปากทางเป็นเส้นทางวกอ้อมห่างไกล เอื้อให้ข้าศึกใช้กำลังน้อยตีกำลังมากได้โดยสะดวก

            ประเภทที่เก้า เรียกว่ามรณภูมิ ได้แก่ภูมิประเทศอันเป็นอันตรายต่อการเดินทัพ จากการซุ่มโจมตีด้วยอาวุธนานาชนิด นับแต่การใช้เพลิงเผา ไขน้ำเข้าท่วม ทุ่มกลิ้งก้อนศิลา ยิงเกาทัณฑ์จากสองข้างทาง หรือยกกำลังเข้าตีกระหนาบจากทุกทิศทาง

            เพราะเหตุนี้คัมภีร์พิชัยสงครามจึงบัญญัติให้หลีกเลี่ยงการรบในอุทธัจจภูมิ ให้รุกตะลุยเข้าไปในลหุภูมิอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง อย่าวู่วามประมาทในการเข้าตีอุกฤษฏ์ภูมิ อย่าได้สกัดกั้นข้าศึกในสัญจรภูมิ ให้เร่งสะสมเสบียงอาหารและผูกน้ำใจไมตรีในมรรคภูมิ ให้รีบเคลื่อนผ่านพ้นทุรภูมิ แม้นตกอยู่ในบัญชรภูมิก็ให้รีบตีฝ่าอย่าหยุดยั้ง

            ประการสำคัญพึงหลีกหลบมรณภูมิ ถ้าหลบหลีกมิได้หรือพลาดพลั้งหลงเข้าไปในมรณภูมิ ต้องรีบเร่งรุดให้หลุดพ้นออกจากมรณภูมิโดยพลัน แม้ถูกสกัดกั้นก็จงตีฝ่าเอาตัวรอดโดยไวเถิด

            เล่าปี่และบังทองทราบหลักการแห่งพิชัยสงคราม แต่ไม่ทราบความนัยของภูมิประเทศว่าค่ายทั้งสองซึ่งฮองตงและอุยเอี๋ยนรักษาอยู่นั้น ตกอยู่ในมรณะภูมิที่ถ้าหากข้าศึกไขน้ำท่วมแล้วก็จะวายวอดสิ้น

            ครั้นเล่าปี่และบังทองได้ฟังสภาพภูมิประเทศจากคำของแพเอี้ยวดังนั้นก็ตกใจ แต่ยังไม่ทันที่จะว่ากล่าวประการใด แพเอี้ยวก็กล่าวอีกว่าบังทองท่านก็แจ้งอยู่ในการอากาศ ไฉนจึงประมาทดังนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘