ตอนที่ 356. ประเพณีตีงูให้หลังหัก

 อุยเอี๋ยนละเมิดคำสั่งที่กำหนดให้ฮองตงยกเข้าตีค่ายของเหลงเปา ส่วนอุยเอี๋ยนให้ยกเข้าตีค่ายของเตงเหียน หวังเอาความชอบทั้งหมดแต่ผู้เดียว จึงลอบยกทหารออกจากด่านโปยสิก๋วนก่อนฮองตงแล้วคิดจะเข้าตีทั้งสองค่าย แต่กลับเสียทีถูกซุ่มกระหนาบโจมตี ฮองตงกู้สถานการณ์คืนได้ทันท่วงที แล้วไล่ตามตีข้าศึกซึ่งกำลังจะหนีกลับไปค่าย

            ในขณะที่ทหารของฮองตงและทหารของเหลงเปากำลังสู้รบชุลมุนกันอยู่นั้น เล่าปี่ก็ยกกองทัพหนุนตามมาทัน เห็นทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบชุลมุนอยู่ จึงถือโอกาสนั้นสั่งทหารให้เข้ายึดค่ายของเหลงเปาและแบ่งกำลังอีกส่วนหนึ่งยกไปยึดค่ายของเตงเหียน

            ในค่ายของเหลงเปาและค่ายของเตงเหียนเหลือทหารรักษาค่ายอยู่เพียงไม่กี่คน ดังนั้นกองทัพของเล่าปี่จึงยึดค่ายทั้งสองไว้ได้โดยง่ายดาย เล่าปี่ยึดค่ายเตงเหียนได้แล้วจึงคุมทหารออกมาคอยทีอยู่ที่หน้าค่าย 

            เหลงเปาพาทหารหนีฮองตงจะกลับไปค่าย เห็นทหารของเล่าปี่ยึดค่ายไว้ได้แล้วก็เสียใจ จึงพาทหารจะไปที่ค่ายของเตงเหียน แต่พอไปถึงหน้าค่ายก็เห็นเล่าปี่ใส่เกราะทองยืนม้าอยู่ระหว่างกวนเป๋งและเล่าฮองก็ยิ่งตกใจ

            เหลงเปาประเมินแล้วเห็นว่าทหารซึ่งหนีตามมาแตกตื่นคุมกันไม่ติดเห็นจะต้านทานทหารเล่าปี่ไม่ได้ ในทันใดนั้นเล่าปี่ก็ร้องมาว่ากูยึดค่ายมึงได้แล้วคอยท่าอยู่ มึงจะหนีไปทางไหนอีก จงยอมให้จับเสียแต่โดยดี เหลงเปาได้ยินดังนั้นก็พาทหารหนีไปตามซอกเขาซึ่งเป็นทางลัดจะไปยังเมืองลกเสีย

            ทางฝ่ายอุยเอี๋ยนเสียทีแก่ข้าศึกพลัดตกลงจากหลังม้า ขณะที่พยายามจะลุกขึ้นเห็นฮองตงใช้เกาทัณฑ์ยิงเตงเหียนตกม้าตายจึงวิ่งไปชิงเอาม้าของทหารเตงเหียนได้ตัวหนึ่ง และฉวยโอกาสในขณะที่สถานการณ์ชุลมุนคุมทหารหนีไปตามซอกเขาซึ่งเป็นทางลัดจะไปเมืองลกเสีย

            พออุยเอี๋ยนพาทหารเข้าไปในซอกเขาแล้วก็ให้ทหารคอยสังเกตการณ์การสู้รบ ครั้นทราบว่าเหลงเปากำลังแตกพ่ายหนีมาทางซอกเขาก็มีความยินดี เห็นช่องทางที่จะทำความชอบลบล้างความผิด จึงให้ทหารเอาเชือกขึงกั้นทางไว้ แล้วให้ทหารซุ่มคอยทีอยู่ที่ราวป่า

            พอเหลงเปาคุมทหารแตกหนีเข้ามาในซอกเขา คิดว่าพ้นจากการติดตามของเล่าปี่แล้ว จึงรีบพาทหารจะกลับไปเมืองลกเสีย แต่พอมาถึงจุดซุ่มขาม้าของเหลงเปาก็ถูกเชือกพานขาล้มลง เหลงเปาพลัดลงจากหลังม้า อุยเอี๋ยนจึงให้สัญญาณให้ทหารกรูกันเข้าจับเหลงเปามัดไว้ บรรดาทหารของเหลงเปาเห็นตัวนายถูกจับได้ก็ยอมสวามิภักดิ์ต่ออุยเอี๋ยนจนหมดสิ้น

            ทางฝ่ายเล่าปี่เมื่อยึดค่ายเหลงเปาและเตงเหียนได้แล้วได้ออกคำสั่งสนามให้ทหารทั้งปวงเคร่งครัดในระเบียบวินัย หากข้าศึกยอมแพ้ก็มิให้ทำอันตรายหรือดูหมิ่นเหยียดหยาม หากผู้ใดละเมิดจะลงโทษถึงประหาร

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเล่าปี่ได้ให้จารึกไว้ในผืนธงเป็นใจความว่า “มิให้ผู้ใดทำอันตรายชีวิตข้าศึก ซึ่งเข้ามานบนอบเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังจะเอาตัวเป็นโทษให้ตายตกไปตามกัน ครั้นจารึกแล้วก็ให้ธงไปปักไว้หน้าค่าย”

            เล่าปี่สั่งทหารให้ควบคุมเชลยศึกเข้ามาพบ แล้วสั่งให้แก้มัดเสียทั้งสิ้น และว่า “ท่านทั้งปวงบรรดาเป็นเชลยเรานี้ แม้มีน้ำใจรักจะสมัครอยู่ด้วยเราก็อยู่ ถ้าผู้ใดคิดถึงบิดามารดาแลญาติพี่น้อง จะกลับคืนไปบ้านเมืองก็ตามใจเถิด”

            บรรดาทหารเมืองเสฉวนได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้นก็แตกความเห็นออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเห็นว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง ต้องด้วยลักษณะของคนซึ่งจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ควรที่จะเป็นหลักเป็นที่อาศัยได้ก็พอใจอยู่กับเล่าปี่ เล่าปี่ก็มีความยินดี จัดสังกัดให้เข้าอยู่ในกองทัพ

            อีกพวกหนึ่งแม้คิดถึงคุณของเล่าปี่ที่ไม่เอาโทษทั้งโทษเป็นแลโทษตาย ทั้งยังมีน้ำใจให้หนทางเลือก แต่ความรำลึกถึงบ้านและครอบครัวก็มากอยู่ ทหารเมืองเสฉวนพวกนี้จึงตัดสินใจขอกลับไปเมืองเล่าปี่ก็มีความยินดี อนุญาตให้กลับไปเมืองได้ตามใจเลือกและให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูเป็นที่สำราญแล้วปล่อยตัวกลับไป

            การดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อเชลยศึกของเล่าปี่ในครั้งนี้แม้ว่าด้านหนึ่งจะไม่เป็นการทำลายล้างกำลังของข้าศึกเพราะปล่อยให้ข้าศึกกลับไปเมืองดังเดิมก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นกลับกลายเป็นว่าเล่าปี่ได้ส่งกำลังทหารที่มีน้ำใจนิยมศรัทธาเข้าไปแฝงฝังอยู่ในกองทัพของเมืองเสฉวน ให้อยู่ในการดูแลเลี้ยงดูของเมืองเสฉวน ในขณะที่ใจกลับฝักใฝ่ต่อเล่าปี่ไปแล้ว นโยบายเช่นนี้จึงเป็นนโยบายที่เล่าปี่มีแต่ได้กับได้เท่านั้น เพราะเมื่อทหารเมืองเสฉวนกลับไปเมืองแล้วต่างก็นำความโอบอ้อมอารีของเล่าปี่ไปสรรเสริญเยินยอกันเป็นที่เอิกเกริก ทำให้กิตติศัพท์ของเล่าปี่ยิ่งแพร่หลายในเมืองเสฉวน เท่ากับเป็นการส่งหน่วยโฆษณาชวนเชื่อหรือกองกำลังอาวุธที่ไร้สภาพเข้าโจมตีเมืองเสฉวนล่วงหน้าก่อนนั่นเอง

            ครั้นจัดแจงเกี่ยวกับเชลยศึกเสร็จแล้วเล่าปี่จึงเชิญฮองตงเข้ามาพบ ฮองตงคำนับเล่าปี่แล้วรายงานความซึ่งอุยเอี๋ยนละเมิดคำสั่งหวังจะเอาความชอบแต่ผู้เดียวแล้วเสียทีแก่ข้าศึก จนกระทั่งฮองตงยกทหารมาแก้ไขไว้ได้ทันท่วงทีให้เล่าปี่ทราบทุกประการ

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าการศึกข้างหน้ายังมีสืบไป อุยเอี๋ยนประพฤติล่วงพระอัยการศึกครั้งนี้หากมิเอาโทษก็จะเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่น ฉะนั้นจำเป็นจะต้องลงโทษอุยเอี๋ยนสถานหนัก

            ว่าแล้วเล่าปี่จึงให้ทหารไปตามตัวอุยเอี๋ยน ทหารรับคำสั่งแล้วยังไม่ทันออกไปจากค่ายอุยเอี๋ยนก็คุมเหลงเปามัดเข้ามาหาเล่าปี่ แล้วรายงานความให้เล่าปี่ทราบทุกประการ

            เล่าปี่ทราบความแล้วจึงว่าท่านทำผิดวินัยทัพครั้งนี้มีโทษสถานหนัก แต่โชคท่านยังดีจึงสามารถจับตัวเหลงเปาทำคุณไถ่โทษได้ เราจะยกโทษให้ท่านครั้งหนึ่ง หากวันหน้าสืบไปท่านละเมิดวินัยทัพอีกเราจะไม่เว้นชีวิตให้

            แล้วเล่าปี่จึงว่าการศึกครั้งนี้ท่านเสียทีแก่ข้าศึกจักแหล่นจะถึงแก่ความตาย แต่ฮองตงได้เข้าช่วยแก้เอาไว้ได้ทันท่านจึงรอดกลับมาได้ ฉะนี้ท่านจงคำนับขอบคุณฮองตงตามประเพณีเถิด

            อุยเอี๋ยนได้ยินว่าเล่าปี่ไม่เอาโทษก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเล่าปี่แล้วหันมาคำนับขอขมาฮองตงที่กระทำความผิดแล้วล่วงเกินฮองตงไว้ ฮองตงก็มิได้ถือโทษ

            เล่าปี่จึงให้ปูนบำเหน็จฮองตงเป็นอันมาก ส่วนทหารที่มีความชอบก็ให้ปูนบำเหน็จทั่วถึงทุกคน จากนั้นเล่าปี่จึงเข้าไปแก้มัดเหลงเปาแล้วเชิญเหลงเปานั่งสนทนาในที่อันสมควร

            เล่าปี่ได้โอภาปราศรัยกับเหลงเปาเป็นอันดี แล้วว่าตัวท่านเป็นแต่นายทหารต้องทำการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เราไม่ถือโทษโกรธท่าน แลบัดนี้ท่านตกเป็นเชลยของเราแล้ว ท่านจะยอมสวามิภักดิ์ต่อเราหรือจะคิดอ่านประการใด

            เหลงเปาคำนับเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นชายชาติทหาร เมื่อทำการเสียทีตกเป็นเชลยท่าน ชีวิตของข้าพเจ้าก็เป็นสิทธิอยู่แก่ท่าน จะประทานความเป็นหรือความตายก็สุดแท้แต่น้ำใจท่านเถิด

            เล่าปี่จึงว่าตัวเราทำการสิ่งใดก็ตั้งใจเอาความเมตตาเป็นที่ตั้ง ตัวท่านมีครอบครัวแลคนอันเป็นที่รัก เราไหนเลยจะคิดหักเอาชีวิตท่าน ท่านจะอยู่ด้วยเราหรือจะกลับไปเมืองก็สุดแท้แต่ใจเถิด

            เหลงเปาจึงว่าเมื่อท่านประทานชีวิตใหม่ข้าพเจ้าก็พร้อมใจสนองคุณท่าน ท่านอย่าได้ระแวงแคลงใจเลย อนึ่งเล่ากุ๋ยและเตียวหยิมซึ่งยกมาตั้งอยู่ที่เมืองลกเสียนั้นก็เป็นสหายสนิท น้ำหนึ่งใจเดียวกับข้าพเจ้า ถ้าหากท่านเมตตาข้าพเจ้าจะกลับไปเกลี้ยกล่อมเล่ากุ๋ยและเตียวหยิมให้มาสวามิภักดิ์ ท่านก็จะได้เมืองลกเสียโดยไม่พักต้องเปลืองแรงแลชีวิตของทหาร

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเราจะคอยฟังข่าวดีจากท่าน จากนั้นจึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเหลงเปา และมอบเสื้อผ้า ปูนบำเหน็จเป็นสินน้ำใจแก่เหลงเปาเป็นอันมาก

            ครั้นกินโต๊ะเสร็จเล่าปี่จึงบอกให้เหลงเปารีบกลับไปเมืองลกเสีย เหลงเปาก็มีความยินดีคำนับลาเล่าปี่แล้วกลับออกไป เล่าปี่จึงสั่งทหารให้จัดม้าให้แก่เหลงเปาสำหรับขี่กลับไปเมืองลกเสีย

            พอเหลงเปากลับออกไปแล้วอุยเอี๋ยนจึงกล่าวกับเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านปล่อยเหลงเปาไปครั้งนี้เห็นทีเหลงเปาจะไม่ซื่อต่อท่าน ชอบที่จะตามไปสังหารเหลงเปาเสีย

            เล่าปี่ได้ฟังก็ว่า “ตัวเรามีความเอ็นดูเขามิได้คิดทำร้าย เมื่อเขามิคิดแล้วก็ตามแต่บุญ จะหน่วงเหนี่ยวไว้ไย ให้เขาไปเถิด”

            อันการซึ่งเล่าปี่ปล่อยเหลงเปากลับไปนี้ก็คืออุบายอย่างเดียวกันกับการปล่อยทหารเมืองเสฉวน เพราะการประหารเหลงเปาก็เพียงฆ่าคนตายไปคนหนึ่ง เล่าปี่ไม่ได้มรรคได้ผลอันใดที่เป็นประโยชน์แก่การสงคราม แต่การปล่อยเหลงเปากลับไปนั้นมีแต่ได้และเสมอตัว คือถ้าเหลงเปาซื่อตรงต่อคำพูดก็จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เล่าปี่ที่จะได้ทั้งคนได้ทั้งเมืองลกเสียโดยไม่ต้องรบให้เหนื่อยแรง หรือถ้าเหลงเปาไม่ซื่อตรงก็อาจเกิดความหวาดระแวงขึ้นภายในกองทัพเมืองเสฉวน หรือแม้นไม่เกิดความหวาดระแวงเหลงเปาก็จะคิดอ่านทำร้ายเล่าปี่ไม่ได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเหตุดังนี้ความคิดของเล่าปี่จึงลึกซึ้งยิ่งกว่าข้อเสนอของอุยเอี๋ยนมากมายนัก

            พอเหลงเปากลับไปถึงเมืองลกเสียก็เข้าไปหาเล่ากุ๋ย แล้วว่าข้าพเจ้าและเตงเหียนยกกองทัพไปครั้งนี้ได้สู้รบกับกองทัพของเล่าปี่เป็นสามารถ แต่กองทัพของเล่าปี่เข้มแข็งนัก ข้าพเจ้าและเตงเหียนสู้มิได้ เตงเหียนก็ถึงแก่ความตายในที่รบ แม้ข้าพเจ้าเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด โชคยังดีที่ได้ม้าของทหารซึ่งเสียชีวิตแล้วหนีกลับมาได้ ท่านจะคิดอ่านประการใดก็สุดแต่ใจเถิด

            เล่ากุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็ทุกข์ใจ เห็นว่าจะสู้เล่าปี่ไม่ได้จึงทำหนังสือรายงานความศึกให้ทหารถือไปมอบแก่เล่าเจี้ยงที่เมืองเสฉวนเพื่อขอกำลังหนุนโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็ไม่อาจรักษาเมืองลกเสียเอาไว้ได้

            ครั้นเล่าเจี้ยงได้ทราบความศึกจากหนังสือของเล่ากุ๋ยก็ตกใจ เรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษา ปรารภความซึ่งเสียทีแก่ข้าศึกแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด

            เล่าชุนซึ่งเป็นบุตรของเล่าเจี้ยงได้ยินคำบิดาดังนั้นก็ขันอาสาว่าจะยกทหารไปรักษาเมืองลกเสียไว้ให้จงได้

            เล่าเจี้ยงได้ฟังคำอาสาของบุตรก็มีความยินดี จึงถามว่าจะมีผู้ใดอาสาเป็นที่ปรึกษาไปกับเล่าชุน

            งออี้ซึ่งเป็นน้องภรรยาของเล่าเจี้ยงได้ยินดังนั้นก็ขออาสาเป็นที่ปรึกษาไปกับเล่าชุน

            เล่าเจี้ยงได้ฟังคำอาสาก็เห็นชอบ จึงตั้งให้เล่าชุนเป็นแม่ทัพ ให้งออี้เป็นที่ปรึกษา ให้ลุยต๋องและงอหลันเป็นปีกซ้ายปีกขวาคุมทหารสองหมื่นยกไปช่วยเล่ากุ๋ยที่เมืองลกเสีย

            ครั้นเล่ากุ๋ยทราบว่าเล่าเจี้ยงให้เล่าชุนยกกองทัพมาช่วยก็มีความยินดี พาทหารขี่ม้าออกมาต้อนรับกองทัพของเล่าชุนที่นอกประตูเมือง ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่ากุ๋ยจึงเล่าความศึกแก่เล่าชุนทุกประการ

            แล้วเล่ากุ๋ยจึงเชิญเล่าชุนยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองลกเสีย จากนั้นจึงปรึกษาหารือถึงการจะรับมือกับกองทัพของเล่าปี่

            งออี้จึงว่ากองทัพเล่าปี่ยกมาครั้งนี้ประกอบด้วยทหารมีฝีมือเป็นอันมาก การจะรบซึ่งหน้านั้นเห็นขัดสน ชอบที่จะรบกันด้วยกลอุบายจึงจะได้ชัยชนะ ดังนั้นใครคิดแผนการกลอุบายประการใดก็จงเร่งคิดเถิด

            อันเหลงเปานั้นเป็นนายทหารซึ่งชำนาญภูมิประเทศแถบเมืองลกเสีย ครั้นได้ฟังคำงออี้ก็คิดกลอุบายที่จะทำลายกองทัพเล่าปี่ขึ้นมาได้ ความสัตย์อันได้ให้สัญญาไว้กับเล่าปี่จึงถูกละเสีย เข้าทำนองที่ว่า “ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันจะมักทำร้ายเมื่อภายหลัง” ด้วยประการฉะนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘