ตอนที่ 355. สูญลาภเพราะโลภ

 กองทัพของเล่าเจี้ยงที่มีเล่ากุ๋ย เหลงเปา เตียวหยิม และเตงเหียน สี่นายทหารเอกคุมทหารมายอทัพเมืองเกงจิ๋ว ณ เมืองลกเสีย อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองเสฉวน มีความเห็นสอดคล้องต้องกันว่าจำเป็นที่จะต้องรักษาเมืองลกเสียไว้ให้ได้ เพราะแม้นเสียเมืองลกเสียแล้วเมืองเสฉวนก็จะเป็นอันตราย

            สี่นายทหารเอกเมืองเสฉวนปรึกษาหารือกันแล้วจึงตกลงกันให้เล่ากุ๋ยและเตียวหยิมยกกองทัพไปเข้าตั้งอยู่ในเมืองลกเสีย แล้วแบ่งทหารสองหมื่นให้เหลงเปาและเตงเหียนยกออกไปตั้งสกัดเล่าปี่ที่ช่องแคบปากทาง อันเป็นทางที่จะเดินทัพจากด่านโปยสิก๋วนเข้ามายังเมืองลกเสีย

            ครั้นตกลงกันดังนั้นแล้วเหลงเปาและเตงเหียนจึงคุมทหารสองหมื่นยกไปตามซอกเขาถึงปากทางแล้วก็ตั้งค่ายเป็นสองค่าย ให้เตงเหียนคุมทหารครึ่งหนึ่งตั้งค่ายอยู่ทางด้านซ้ายทาง ส่วนเหลงเปาคุมทหารอีกครึ่งหนึ่งตั้งค่ายอยู่ทางด้านขวาทาง ทำหน้าที่สกัดกองทัพของเล่าปี่ไม่ให้ยกผ่านซอกเขาเข้าไปได้

            ทางกองทัพเล่าปี่หลังจากยึดด่านโปยสิก๋วนได้แล้วก็เตรียมการที่จะยกไปตีเมืองเสฉวน ซึ่งต้องเดินทัพผ่านซอกเขาปลายแดนเมืองลกเสีย เล่าปี่จึงเชิญบังทองมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด

            ในขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่นั้น หน่วยสอดแนมก็มารายงานว่าเล่าเจี้ยงได้ให้สี่นายทหารเอกยกกองทัพมาตั้งสกัดไว้ที่เมืองลกเสีย และตั้งค่ายไว้ที่ปากทางซอกเขาระยะทางห่างจากด่านโปยสิก๋วนหกร้อยเส้น

            บังทองไม่สันทัดในภูมิประเทศจึงได้แต่ให้คำปรึกษาไปตามสถานการณ์ว่าเมื่อจะเข้าตีเมืองเสฉวนก็จะต้องผ่านเส้นทางนี้ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่นเลือก ชอบที่เล่าปี่จะยกกองทัพเข้าโจมตีทหารเมืองเสฉวนที่ตำบลลกเสียให้ได้ชัยชนะก่อนแล้วยกล่วงเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าการครั้งนี้จะมีผู้ใดอาสายกกองทัพไปตีค่ายเตงเหียนและเหลงเปาซึ่งตั้งค่ายสกัดอยู่ที่ปากทางบ้าง

            ฮองตงได้ฟังคำเล่าปี่ก็ลุกขึ้นอาสาขอคุมทหารยกไปตีค่ายที่ปากทางซอกเขาให้แตกไปจงได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี

            ยังไม่ทันที่เล่าปี่จะกล่าวความอื่นสืบไป อุยเอี๋ยนได้ลุกขึ้นอาสาบ้างว่าการศึกครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะถ้าหากตีทัพเหลงเปาและเตงเหียนแตกก็จะสามารถยกล่วงเข้าตีเมืองลงเสียได้โดยสะดวก แต่ถ้าเสียทีก็จะเสียการใหญ่ ซึ่งฮองตงจะอาสานำทัพไปในครั้งนี้ข้าพเจ้าวิตกว่าฮองตงแม้จะเป็นยอดขุนพลมีฝีมือกล้าหาญ แต่บัดนี้ชราภาพแล้วเกรงจะเสียทีแก่ข้าศึก ขอให้ฮองตงอยู่รักษาด่านด้วยท่าน แล้วให้ข้าพเจ้าคุมทหารยกไปแทนเถิด

            ฮองตงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจคิดว่าอุยเอี๋ยนกล่าวความหมิ่นประมาท จึงหันมาต่อว่าอุยเอี๋ยนว่าข้าพเจ้าอาสานำทัพไปตีค่ายข้าศึกก่อนแล้ว ไยท่านจึงต้องมาดูหมิ่นข้าพเจ้าด้วยเล่า

            อุยเอี๋ยนจึงว่าท่านอย่าเพ่อหาว่าข้าพเจ้าดูหมิ่น ความอันข้าพเจ้ากล่าวทั้งนี้ล้วนหวังดีต่อท่าน ด้วยเห็นว่าท่านอายุมากแล้ว กำลังก็ลดน้อยถอยลง เห็นจะต่อสู้เตงเหียนและเหลงเปาสองนายทหารเอกของเมืองเสฉวนซึ่งยังหนุ่มแน่นและมีกำลังวังชามิได้ จึงเกรงว่าจะเสียการของนายเรา

            ฮองตงได้ฟังคำอุยเอี๋ยนคำหนึ่งก็ว่าชรา สองคำก็ว่าแก่ ก็โกรธ จึงตวาดอุยเอี๋ยนว่าท่านดูหมิ่นข้าพเจ้าหาว่าชราภาพแล้วจะต่อสู้ข้าศึกมิได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จงมาลองฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ว่าข้าพเจ้าและท่านใครจะมีกำลังฝีมือเข้มแข็งกว่ากัน

            อุยเอี๋ยนได้ฟังคำท้าของฮองตงก็โกรธ ต่างคนจึงต่างโต้เถียงกันเป็นชุลมุน ฮองตงเห็นจะพูดกับอุยเอี๋ยนไม่ได้ความแล้ว จึงสั่งทหารคนสนิทให้ไปเอาง้าวเพื่อจะลองฝีมือกับอุยเอี๋ยน

            เล่าปี่และบังทองนั่งฟังสองยอดขุนพลโต้เถียงกัน เห็นว่าเหตุการณ์จะบานปลาย  เล่าปี่จึงห้ามสองนายทหารและสั่งให้กลับไปนั่งในที่เดิม แล้วว่าเรายกมาทำการครั้งนี้เป็นการสำคัญหวังพึ่งกำลังของท่านทั้งสองคน สิกลับมาทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันเอง จะมิเสียการไปหรือ ขอให้ทั้งสองท่านเห็นแก่ข้าพเจ้าหยุดการพิพาทบาดหมางกันตั้งแต่บัดนี้

            ฮองตงและอุยเอี๋ยนได้ฟังคำของเล่าปี่ก็เกรงใจ จึงต่างคนต่างนั่งนิ่งแล้วก้มหน้าอยู่กับที่

            บังทองเห็นดังนั้นจึงว่า ท่านนายพลทั้งสองจงลืมความครั้งนี้เสียแล้วร่วมมือทำการของนายเราให้สำเร็จจะดีกว่า ท่านทั้งสองต่างก็เป็นนายทหารมีฝีมือ ซึ่งจะให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปแต่คนเดียว อีกคนหนึ่งก็จะน้อยใจ

            แล้วบังทองจึงหันมากล่าวกับเล่าปี่ว่า ชอบที่ท่านจะให้ทั้งฮองตงและอุยเอี๋ยนยกไปทำการครั้งนี้ โดยให้แต่ละคนแยกกันไปตีค่ายของข้าศึก ผู้ใดตีค่ายข้าศึกได้ก่อนก็จะได้รับความชอบเป็นอันมาก

            เล่าปี่ได้ฟังคำบังทองก็พยักหน้าเป็นทีเห็นชอบ บังทองจึงกล่าวสืบไปว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ให้ฮองตงยกทหารไปตีค่ายเหลงเปา ให้อุยเอี๋ยนไปตีค่ายเตงเหียน และให้รีบยกไปทำการในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า

            สองนายทหารรับคำสั่งแล้วคำนับลาเล่าปี่และบังทองกลับออกไปจัดแจงทหาร

            ครั้นฮองตงและอุยเอี๋ยนกลับออกไปแล้ว บังทองจึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าฮองตงและอุยเอี๋ยนเพิ่งวิวาทกัน แม้จะแบ่งหน้าที่ให้ยกทหารไปตีคนละค่าย แต่กริ่งใจว่าความขุ่นเคืองในใจของสองนายทหารยังไม่สิ้น อาจทำการใดที่ผิดความคาดหมายก็จะเสียการไป ฉะนั้นจึงชอบที่ท่านจะยกทหารเป็นกองหนุนตามไปอีกกองหนึ่ง หากพลาดพลั้งประการใดก็จะได้ช่วยคิดอ่านแก้ไข

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้บังทองคุมทหารอยู่รักษาค่าย และสั่งให้จัดแจงเตรียมทหารเป็นกองหนุนอีกกองหนึ่ง

            ฝ่ายฮองตงเมื่อรับคำสั่งแล้วก็จัดแจงทหารเตรียมจะยกออกจากด่านโปยสิก๋วนตั้งแต่เวลาเช้า จึงสั่งทหารให้รีบเข้านอน แล้วหุงหาอาหารกินให้เสร็จสิ้นก่อนสว่างจะได้รีบยกไป

            ในขณะที่ฮองตงจัดแจงทหารเตรียมจะยกไปแต่เวลาเช้าตรู่ ความรู้ไปถึงอุยเอี๋ยนก็คิดว่าหากฮองตงยกไปทำการตามเวลากำหนดก็คงจะตีค่ายของเหลงเปาได้เป็นแน่แท้ ความชอบก็จะมีแก่ฮองตง กระไรเลยเราจะยกกองทัพล่วงหน้าไปก่อน ตีค่ายของเหลงเปาให้ได้ก่อนแล้วจึงจะยกไปตีค่ายของเตงเหียน ความชอบก็จะมีแก่เราแต่ผู้เดียว

            อุยเอี๋ยนคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารให้รีบเข้านอนตั้งแต่ก่อนพลบ พอพ้นยามสองก็ปลุกทหารทั้งปวงให้หุงข้าวกิน พอทหารกินข้าวเสร็จก็เคลื่อนทัพออกจากด่านโปยสิก๋วน อุยเอี๋ยนสั่งทหารทั้งปวงว่าให้ยกเข้าตีค่ายของเหลงเปาซึ่งอยู่ทางด้านขวาทางก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยยกเข้าตีค่ายของเตงเหียนทางด้านซ้ายทาง หวังชิงทำการเอาความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว

            พอกองทหารของอุยเอี๋ยนเคลื่อนออกจากด่าน หน่วยสอดแนมของเหลงเปาก็ทราบความจึงรีบรายงานความให้เหลงเปาทราบ

            พอเหลงเปาทราบความจึงสั่งทหารให้แจ้งข่าวแก่เตงเหียนซึ่งตั้งค่ายอยู่ทางด้านซ้ายมือทราบ แล้วเหลงเปาจึงจัดทหารเป็นสองกอง กองหนึ่งเหลงเปาคุมทหารคอยตั้งรับอยู่ที่นอกค่าย อีกกองหนึ่งให้ยกไปซุ่มในแนวป่าทางด้านซึ่งกองทัพของอุยเอี๋ยนจะยกมา ให้คอยฟังประทัดสัญญาณแล้วให้ทหารทั้งสองกองยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน

            ทางฝ่ายเตงเหียนครั้นทราบข่าวจากเหลงเปาก็ยกทหารออกจากค่ายไปซุ่มอยู่ในป่าต้นทางที่จะยกมาทางซอกเขา สั่งทหารทั้งปวงว่าเมื่อกองทัพของเล่าปี่ปะทะกับกองทัพของเหลงเปาแล้วเห็นทีข้าศึกจะแตกถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม ก็ให้ยกเข้าตีสกัดซ้ำ

            กองทหารของเหลงเปาและเตงเหียนยกออกมาตั้งซุ่มคอยทีตามแผนการ พอท้องฟ้าใกล้สางกองหน้าของอุยเอี๋ยนก็ยกล่วงเข้ามาใกล้หน้าค่ายของเหลงเปา อุยเอี๋ยนเห็นในค่ายนั้นเงียบสงบอยู่ก็สำคัญว่าทหารของเหลงเปากำลังนอนหลับพักผ่อนก็มีความยินดี สั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมเข้าโจมตี

            ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น เหลงเปาคุมทหารตรงเข้าตีกองทหารของอุยเอี๋ยนอย่างดุเดือด

            ทหารของอุยเอี๋ยนได้นอนหลับพักผ่อนเพียงชั่วยามเศษและต้องเดินทัพมาตลอดทั้งคืนไม่ทันได้ตั้งตัว พอได้ยินเสียงประทัดสัญญาณและเสียงโห่ร้องของทหารข้าศึกก็รู้ว่าต้องกลจึงพากันตกใจ

            กองทหารของเหลงเปายกเข้าตีกองทหารของอุยเอี๋ยนอย่างรวดเร็ว อุยเอี๋ยนเห็นเหลงเปาขี่ม้าคุมทหารมาข้างหน้าก็ชักม้าปรี่เข้ารบด้วยเหลงเปา ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารเป็นอันมากโห่ร้องมาจากด้านหลัง รู้ว่าถูกกองทหารของเหลงเปายกตีกระหนาบก็ตกใจ

            อุยเอี๋ยนรบกับเหลงเปาบนหลังม้าได้เพียงสามสิบเพลง เห็นทหารของเหลงเปาล้อมตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองด้าน ฆ่าฟันทหารของตัวเองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากก็ไม่เป็นอันสู้รบ พอได้จังหวะอุยเอี๋ยนก็หลบฉากจากการสู้รบกับเหลงเปา แล้วสั่งทหารให้ถอยทัพ ตัวอุยเอี๋ยนขี่ม้านำทหารย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม

            เหลงเปาเห็นได้ทีก็คุมทหารไล่ตามตีอุยเอี๋ยนไปเป็นระยะทางถึงห้าสิบเส้น ทหารของอุยเอี๋ยนถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            พออุยเอี๋ยนพาทหารหนีพ้นแนวสกัดของทหารเหลงเปาได้ประมาณแปดสิบเส้นก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้นจากราวป่า ปรากฏเป็นเตงเหียนคุมทหารยกออกมาสกัดหน้าอุยเอี๋ยนไว้

            อุยเอี๋ยนไม่มีทางอื่นเลือกจึงจำเป็นต้องตีฝ่ากองทหารของเตงเหียนออกไป ฝ่ายหนึ่งสกัด ฝ่ายหนึ่งตีฝ่า จึงเกิดการต่อสู้กันถึงขั้นตะลุมบอน อุยเอี๋ยนเห็นทหารแตกตื่นคุมกันไม่ติดก็ไม่มีใจคิดต่อสู้ ประทวนกับเตงเหียนได้ไม่ถึงเพลงก็ชักม้าพาทหารหนีกลับไปตามเส้นทางเดิม

            เตงเหียนเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามอุยเอี๋ยน

            ในขณะที่อุยเอี๋ยนขี่ม้าหนีไปตามทางลาดเนินเขา ม้าของอุยเอี๋ยนสะดุดก้อนหินเสียหลักแล้วล้มลง อุยเอี๋ยนพลัดตกลงจากหลังม้า เตงเหียนเห็นดังนั้นก็ชักม้าเข้าไปหาแล้วเงื้อทวนจะแทงอุยเอี๋ยน

            ในทันใดนั้นก็มีเสียงลูกเกาทัณฑ์กรีดฝ่าอากาศยามอรุณ เสียงหวีดหวิวดังลมพายุพุ่งปักถูกหน้าอกเตงเหียน เตงเหียนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย

            ผลลัพธ์ของความอิจฉาริษยาที่มีอยู่ประจำใจของอุยเอี๋ยนจึงทำให้อุยเอี๋ยน พลาดพลั้งเสียทีจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ยังโชคดีที่ฮองตงยกกองทัพตามมาทัน แล้วใช้ฝีมือเกาทัณฑ์อันล้ำเลิศยิงเตงเหียนถึงแก่ความตาย หาไม่แล้วคนที่จะต้องตายก็คืออุยเอี๋ยนเป็นแน่แท้ นี่แล้วที่โบราณว่าสูญลาภเพราะโลภ ถ้าหากว่าอุยเอี๋ยนไม่โลภในลาภ ปฏิบัติการตามแผนที่กำหนดก็อาจตีค่ายทั้งสองได้สำเร็จ ไม่ต้องเพลี่ยงพล้ำเสียทีสูญเสียทหารมากมายเหมือนครั้งนี้

            ในขณะนั้นเหลงเปาขี่ม้านำทหารไล่ตามมาทัน เห็นเตงเหียนถูกเกาทัณฑ์พลัดตกลงจากหลังม้าก็ชักม้าตรงเข้ามาจะช่วยเตงเหียน พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาตามทิศทางของลูกเกาทัณฑ์ซึ่งยิงเตงเหียนนั้นว่า “กูชื่อฮองตงทหารเอกอยู่นี่ ใครดีก็เข้ามา”

            เหลงเปาได้ยินเสียงตวาดก็เหลือบไปมอง สิ้นเสียงของฮองตงง้าวของฮองตงก็ฟาดมาถึงตัว เหลงเปาตกใจ รีบเอาทวนรับง้าวของฮองตงเพื่อป้องกันตัว ในใจก็คิดว่าทหารเอกของเล่าปี่ผู้นี้มีฝีมือรบหนักหน่วงรวดเร็วนัก ยิงเกาทัณฑ์ถูกเตงเหียนล้มลงแล้วก็ขี่ม้ามาด้วยความเร็วตามลูกเกาทัณฑ์มาถึงตัวเราจนแทบไม่ทันตั้งตัว

            เหลงเปาคำนึงไปแขนทั้งสองก็เจ็บแปลบแทบกุมทวนไว้ไม่ได้เพราะแรงปะทะแต่ละครั้งหนักหน่วงยิ่งนัก เหลงเปากัดฟันต่อสู้ได้จนสิ้นเพลงที่ห้าเห็นว่าหากขืนต่อสู้ต่อไปก็จะเสียทีแก่ฮองตง จึงชักม้ากลับหลังแล้วพาทหารหนีกลับไปทางค่าย

            ฮองตงเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีทหารของเหลงเปา ฆ่าฟันทหารของเหลงเปาบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารของเหลงเปาก็แตกตื่นหนีกระจัดกระจายกันไปสิ้น.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘