ตอนที่ 354. คำพยากรณ์อันซ่อนนัย
เล่าปี่เลิกทัพจากด่านแฮบังก๋วนลงทางทิศใต้ทำทีจะยกกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ครั้นถึงด่านโปยสิก๋วนซึ่งเป็นด่านกั้นแดนต่อแดนเมืองเกงจิ๋วกับเมืองเสฉวน บังทองได้วางแผนหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกับเอียวหวยและโกภายสองนายทหารของเล่าเจี้ยงซึ่งคิดลอบสังหารเล่าปี่ สังหารสองนายทหารของเล่าเจี้ยงเสีย แล้วเกลี้ยกล่อมทหารเมืองเสฉวนเข้าเป็นพวกเตรียมการที่จะยกเข้ายึดด่านโปยสิก๋วน
ครั้นทหารเมืองเสฉวนพร้อมใจเข้าด้วยเล่าปี่แล้ว บังทองจึงจัดแจงกองทัพ สั่งการให้ทหารเมืองเสฉวนเป็นกองหน้า ทำทีเป็นว่ากำจัดเล่าปี่ได้แล้วจะยกกลับเข้าเมือง ลวงให้ทหารซึ่งรักษาด่านเปิดประตูด่านออกรับ ส่วนเล่าปี่และบังทองพร้อมด้วยทหารเมืองเกงจิ๋วเป็นกองทัพหลวงยกตามทหารเมืองเสฉวนไป
ครั้นเวลาค่ำกองหน้ายกไปถึงหน้าประตูด่านก็ร้องบอกทหารซึ่งรักษาด่านนั้นว่าบัดนี้เอียวหวยและโกภายกำลังจะกลับเข้ามาในด่าน ให้รีบเปิดประตู
ทหารซึ่งรักษาด่านเห็นเป็นพวกเดียวกันมิได้สงสัยว่าเพื่อนเราจะเผาเรือนแปรพักตร์เข้าด้วยเล่าปี่ไปแล้วก็เปิดประตูด่านออกรับ
ทหารเมืองเสฉวนจึงพากันเข้าไปในด่าน ในทันใดนั้นกองทัพของเล่าปี่ก็ยกตามมาถึงแล้วกรูกันเข้าไปในด่าน ทหารซึ่งรักษาด่านมีจำนวนน้อยกว่าไม่สามารถต่อสู้กองทัพของเล่าปี่ได้จึงพากันยอมจำนน แล้วขอสวามิภักดิ์กับเล่าปี่จนหมดสิ้น
ในคืนนั้นเล่าปี่ได้ควบคุมทหารและสถานการณ์ในด่านโปยสิก๋วนไว้ได้อย่างสิ้นเชิงโดยที่ไม่เสียทหารแม้แต่สักคนเดียว บังทองได้จัดแจงให้ทหารเมืองเกงจิ๋วขึ้นรักษาด่าน และจัดสังกัดทหารเมืองเสฉวนที่ยอมสวามิภักดิ์เข้าสังกัดในกองทัพเมืองเกงจิ๋วตั้งแต่คืนวันนั้น
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่บรรดาทหารทั้งปวงที่มีความชอบในการยึดด่านโปยสิก๋วนได้สำเร็จ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยชนะตามประเพณี
การยึดด่านโปยสิก๋วนของเล่าปี่ในครั้งนี้คือการประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับเล่าเจี้ยงอย่างเปิดเผย และพร้อมที่จะทำศึกชิงเอาเมืองเสฉวนตามยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สองอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เล่าปี่ยังติดข้องหมองใจเกรงคำคนจะครหานินทาว่าแย่งเอาเมืองท่านซึ่งเป็นคนแซ่เดียวกัน แต่บัดนี้เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเอื้ออำนวยเปิดช่องเพราะเหตุที่เล่าเจี้ยงตัดไมตรีก่อนไม่ยอมให้เล่าปี่ยืมทหารและเสบียงเพื่อยกไปป้องกันเมืองเกงจิ๋ว และยังให้เอียวหวยและโกภายคิดอ่านสังหารเล่าปี่อีก เล่าปี่จึงอ้างเหตุสองประการนี้เป็นความชอบธรรมในการทำสงครามยึดเมืองเสฉวนในครั้งนี้
เล่าปี่แต่งโต๊ะเลี้ยงสุราบำรุงขวัญทหารซึ่งมีความชอบจนเวลาล่วงเลยถึงยามแรก เล่าปี่เสพสุรามากเกินขนาดจึงมีอาการเมามาย แล้วกล่าวกับบังทองว่าเรายึดได้ด่านโปยสิก๋วนเพียงเท่านี้ก็เป็นที่พอใจแล้ว เห็นจะมีความสุขตามควรแก่ฐานะ ไยจะต้องยากลำบากกรำศึกสงครามยกกองทัพเข้าไปในแดนเมืองเสฉวนยิ่งกว่านี้เล่า
บังทองแม้ยังไม่เมามายแต่ก็ได้ดื่มสุราไม่น้อย ได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นจึงท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เรามาตีเมืองเขาก็ปราบปรามยังมิราบคาบ ท่านจะประมาทว่าเป็นสุขนั้นยังมิบังควร”
เล่าปี่กำลังคะนองด้วยแรงสุรา ได้ฟังคำบังทองและท่าทีที่บังทองแสดงออกดังนั้นก็ขัดใจ จึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองอย่างเดียวกันว่า “ครั้งพระเจ้าจิวบู๊อ๋องยกไปตีเอาเมืองพระเจ้าติ๋วอ๋องนั้น ไปถึงตำบลใดก็มีความสุขสบายไปทุกแห่ง แลตัวเราได้ด่านโปยสิก๋วนล่วงเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นสุขเจียวหรือ ท่านว่าฉะนี้หาชอบไม่ จงถอยออกไปเสียเถิด”
บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่พูดด้วยความเมาสุราจึงมิได้ถือโทษโกรธเคือง แต่จะโต้เถียงกับเล่าปี่ต่อไปก็ไม่เห็นเป็นประโยชน์ประการใด บังทองจึงหัวเราะแล้วคำนับลาเล่าปี่กลับออกไป
เล่าปี่ดื่มสุราต่อไปจนเมามาย ทหารซึ่งอารักขาเล่าปี่เห็นดังนั้นจึงพยุงเล่าปี่กลับไปนอนแล้วให้เลิกงานเลี้ยง
ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่ตื่นนอนแล้ว ทหารซึ่งอารักขาได้แจ้งแก่เล่าปี่ว่าเมื่อคืนนี้ท่านเมาสุรา เจรจาปรามาสขับไล่บังทอง เห็นว่าบังทองจะน้อยใจท่าน ท่านจำได้หรือไม่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กลัวว่าบังทองจะโกรธจึงให้ทหารไปเชิญบังทองเข้ามาพบ แล้วคำนับบังทองขอขมาโทษที่เมาสุราแล้วกล่าววาจาล่วงเกิน ขอให้บังทองยกโทษให้ บังทองเองก็มิได้โกรธเคืองเล่าปี่เพราะวิสัยบัณฑิตเข้าใจสภาพของเล่าปี่ที่เมามายแล้วย่อมกล่าววาจาปรามาสล่วงเกิน
บังทองจึงกล่าวตอบเล่าปี่ว่า “ซึ่งเจรจาวานนี้ใช่จะผิดแต่ตัวท่านหามิได้ ข้าพเจ้าก็ประมาทผิดด้วยกัน ฝ่ายท่านก็อดโทษเถิด”
เล่าปี่และบังทองต่างถ้อยทีขอโทษขออภัยซึ่งกันและกัน ภายในใจของแต่ละคนนั้นก็หาได้ติดใจถือโทษของกันและกันไม่ ดังนั้นทั้งเล่าปี่และบังทองจึงพากันหัวเราะแล้วปรึกษากันตามปกติ
ทางด้านเมืองเสฉวน ครั้นเล่าเจี้ยงได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้เล่าปี่ยึดด่านโปยสิก๋วน มีทีท่าว่าจะยกกองทัพล่วงเข้ามาตีเมืองเสฉวนก็ตกใจ รีบเรียกที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุม แล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านป้องกันเมืองเสฉวนประการใด
อุยก๋วนซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า เส้นทางจากด่านโปยสิก๋วนมายังเมืองเสฉวนนี้เป็นทางทุรกันดาร มีซอกเขาและธารน้ำสลับซับซ้อน ที่เมืองลกเสียนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เส้นทางประกอบด้วยซอกเขาคล้ายคอขวดตลอดแนว มีป่ารกชัฏอยู่ทั้งสองข้างทาง มีแม่น้ำไหลผ่านเป็นที่ชอบกลอยู่ ถึงแม้นเล่าปี่มีทหารมากก็เหมือนหนึ่งมีทหารน้อย ขอให้ท่านแต่งกองทัพไปตั้งขัดตาทัพเล่าปี่ไว้ที่ตำบลลกเสีย เห็นจะต้านทานมิให้กองทัพของเล่าปี่ยกล่วงเข้ามาได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เหลงเปา เล่ากุ๋ย เตียวหยิม และเตงเหียน สี่นายทหารเอกคุมกองทัพห้าหมื่น ให้ไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองเกงจิ๋วไว้ที่ตำบลลกเสียและให้รีบเดินทางตั้งแต่คืนวันนั้น
นายทหารทั้งสี่รับคำสั่งแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงกองทัพ พอค่ำลงก็เคลื่อนทัพออกจากเมืองเสฉวน
ครั้นเดินทัพมาถึงตำบลเขากิมปินสานเล่ากุ๋ยซึ่งคุ้นเคยพื้นที่มีความชำนาญภูมิประเทศจึงปรึกษากับเพื่อนนายทหารอีกสามคนว่า ที่เขากิมปินสานนี้มีนักพรตผู้ทรงภูมิธรรมอันวิเศษอยู่ผู้หนึ่งมีนามว่า “จีโฮเต้าหยิน” มีญาณหยั่งรู้อดีตและอนาคตได้อย่างแจ่มแจ้ง รู้เคราะห์แลโชคของผู้คนทั้งปวง เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านมานานช้า
แล้วว่าวันนี้พวกเราเดินทัพผ่านเขากิมปินสานแล้ว ชอบที่จะเข้าไปคำนับจีโฮเต้าหยินแล้วขอให้พยากรณ์โชคดีแลร้าย จะได้ไม่เสียทีที่ผ่านทางนี้
เตียวหยิมได้ฟังดังนั้นก็ท้วงว่า อันเกิดมาเป็นคนไหนเลยจะรอดพ้นซึ่งความตาย ตัวเราเป็นทหารทำการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะเป็นธรรมดา อันแพ้แลชนะประการใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยในการสงคราม คือกำลังกองทัพระหว่างข้าศึกและฝ่ายเรา ภูมิประเทศอันใกล้และไกล ขวัญกำลังใจของไพร่พลตลอดจนระเบียบวินัยและความสามารถในการบัญชาการทัพ มิได้ขึ้นอยู่กับโชคเคราะห์และคำพยากรณ์ใด ๆ ไยจะต้องเสียเวลาไปปรึกษาถามอนาคตจากคนป่าคนดอย
เล่ากุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าท่านกล่าวดังนี้มิชอบด้วยประเพณี อันการสงครามนั้นมีแพ้แลชนะก็จริงอยู่ แต่หากผู้ใดล่วงรู้ผลแพ้แลชนะได้ล่วงหน้า แม้ปราชัยก็เลี่ยงหลีกภัยมิได้เป็นอันตราย หรือถ้าได้ชัยก็จะเสริมส่งชัยชนะนั้นให้เป็นผลมากขึ้น การซึ่งจะไปคำนับจีโฮเต้า หยินมิได้เสื่อมเสียเกียรติยศหรือเป็นลางร้ายแต่ประการใดไยท่านจึงต้องกังวล พวกเราทุกคนจงไปด้วยกันเถิด
สามนายทหารเมืองเสฉวนฟังเล่ากุ๋ยดึงดันจะไปพบจีโฮเต้าหยินแข็งขันนักก็เกรงใจ จึงตกลงพร้อมใจไปด้วยกัน
เมื่อตกลงดังนั้นสี่นายทหารจึงให้กองทัพเดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วแวะเข้าไปถามชาวป่าว่าอาศรมของจีโฮเต้าหยินตั้งอยู่ที่ใด เมื่อทราบแหล่งที่แล้วจึงพากันไปหา
ครั้นไปถึงเห็นเป็นอาศรมเล็ก ๆ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังทั้งสี่ด้านทำด้วยไม้ไผ่ ดูสมถะวิเวกน่าเลื่อมใสนัก สี่นายทหารจึงลงจากหลังม้าจะเดินเข้าไปที่อาศรมนั้น พลันเห็นนักพรตน้อยเปิดประตูอาศรมออกมาต้อนรับ
เมื่อได้ถามชื่อแซ่ตามประเพณีแล้ว นักพรตน้อยจึงพาสี่นายทหารเมืองเสฉวนเข้าไปข้างใน เห็นจีโฮเต้าหยินนั่งพริ้มหลับตาอยู่บนตั่งซึ่งปูด้วยเสื่อกก สี่นายทหารจึงเข้าไปคำนับเต้าหยินตามประเพณี แล้วว่าพวกข้าพเจ้าทั้งสี่เป็นนายทหารเมืองเสฉวน จะยกไปสกัดกองทัพเล่าปี่มิให้ยกล่วงล้ำเข้ามา มิทราบการข้างหน้าเป็นประการใดจึงพร้อมใจกันมาคำนับหวังพึ่งสติปัญญาท่านช่วยพยากรณ์ดีและร้ายให้พวกข้าพเจ้าทราบด้วยเถิด
จีโฮเต้าหยินรู้สึกตัวว่ามีแขกมาเยือนถึงอาศรมจึงลืมตาขึ้นเห็นสี่นายทหารคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจึงว่า ตัวเราเป็นชาวป่าชาวดอย ไร้การศึกษา ไหนเลยจะมีสติปัญญาพยากรณ์การเบื้องหน้าแก่พวกท่านได้
จีโฮเต้าหยินกล่าวคำราวกับหยั่งรู้ความซึ่งเตียวหยิมได้ท้วงติงกับเล่ากุ๋ยก่อนหน้านี้ เตียวหยิมได้ฟังดังนั้นก็พรั่นใจแต่ทำเป็นนิ่งเฉย ตีสีหน้าเป็นปกติ แต่เล่ากุ๋ยนั้นมีใจศรัทธาเลื่อมใสในจีโฮเต้าหยินจึงอ้อนวอนขอให้เต้าหยินพยากรณ์การร้ายแลดีให้ทราบ
จีโฮเต้าหยินถูกอ้อนวอนหลายครั้งก็ขัดมิได้ จึงใช้ให้นักพรตน้อยเข้าไปหยิบพู่กันและน้ำหมึก แล้วเขียนเป็นอักษรแปดคำเป็นใจความว่า “พญามังกรหนึ่ง หงส์หนึ่ง เหินหาวเข้าเสฉวน หงส์ร่วงลงสู่พื้น มังกรทะยานสู่ฟากฟ้า ลิขิตสวรรค์บัญชาแน่นอน ใครใดทัดทาน ไม่พ้นวางวาย”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความคำพยากรณ์ของจีโฮเต้า หยินว่า “มังกรกับหงส์จะเข้ามาในเมืองเสฉวน ส่วนหงส์มีปีกบินได้มิอาจไปโดยอากาศ ตกอยู่ในพื้นแผ่นดิน ฝ่ายมังกรบินมิได้กลับขึ้นไปสำแดงอานุภาพอยู่ในอากาศ ถ้าผู้ใดรู้จักลักษณะดังนี้แล้ว ก็จงเร่งผ่อนพักรักษาตัวก็จะพ้นจากอันตราย”
คำพยากรณ์ดังนี้ได้แฝงนัยยะอันลี้ลับ เพราะเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จัดเป็นเชื้อสายมังกร แลมังกรนั้นมีความหมายถึงพระมหากษัตริย์ตามคติของจีน ส่วนหงส์นั้นเล่ามีความหมายเป็นสองนัย คือผู้มีสติปัญญาอันมีสมญาว่าฮองซู หรือหงส์คะนองอย่างหนึ่งและหมายถึงอัครมเหสีของฮ่องเต้อีกอย่างหนึ่ง คำพยากรณ์ดังนี้จึงหมายถึงตัวเล่าปี่และบังทองโดยตรง
แต่สี่นายทหารเมืองเสฉวนไม่ทราบความนัย เห็นคำพยากรณ์ของจีโฮเต้าหยินเป็นปริศนาดังนั้นก็ไม่เข้าใจ เล่ากุ๋ยจึงเร่งถามต่อไปว่าซึ่งท่านว่าดังนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับพวกข้าพเจ้า ขอท่านได้เมตตาพยากรณ์โชคเคราะห์ของข้าพเจ้าทั้งสี่ให้สมกับที่ตั้งใจมาคำนับด้วยเถิด
จีโฮเต้าหยินได้ฟังคำเล่ากุ๋ยดังนั้นจึงกล่าวว่า โชคชะตามนุษย์สุดแท้แต่สวรรค์ลิขิต ใครไหนจะฝ่าฝืนต้านทานได้เล่า ไฉนเจ้าจึงเซ้าซี้มาถามเราอีก ว่าแล้วจีโฮเต้าหยินก็พริ้มหลับตาลง
เล่ากุ๋ยขยับปากจะอ้อนวอนให้จีโฮเต้าหยินพยากรณ์โชคชะตาต่อไป แต่สังเกตเห็นว่าจีโฮเต้าหยินหลับตานิ่งอยู่เหมือนคนนั่งหลับจึงไม่อาจเอ่ยเอื้อนปากถามอีก หันมามองหน้าเพื่อนนายทหารอีกสามคนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงชวนกลับออกไป
สี่นายทหารคำนับลาจีโฮเต้าหยินแล้วเดินกลับออกไปข้างนอก เตียวหยิมซึ่งไม่มีความเชื่อในเรื่องศาสตร์อันลี้ลับจึงกล่าวกับเพื่อนนายทหารว่า ข้าพเจ้าได้ทัดทานแต่ต้นแล้วว่าอย่าเสียเวลามาที่นี่ ก็ได้แลเห็นกันแล้วมิใช่หรือว่าพวกเราเสียเวลากับคนแก่บ้า ๆ บอ ๆ หาประโยชน์อันใดมิได้ กล่าวแล้วเตียวหยิมก็เร่งฝีเท้าเดินไปที่ม้า
สี่นายทหารขึ้นม้าแล้วเร่งขี่ม้าตามกองทหารซึ่งยกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ครั้นกองทัพเมืองเสฉวนยกมาถึงตำบลลกเสียเล่ากุ๋ยจึงให้ปลงทัพไว้ แล้วปรึกษากับเพื่อนนายทหารว่าอันเมืองลกเสียนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากแม้นเสียเมืองลกเสียแก่เล่าปี่แล้ว กองทัพเมืองเกงจิ๋วก็จะยกล่วงเข้าไปในเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก ดังนั้นจำจะต้องรักษาเมืองลกเสียไว้มิให้กองทัพเล่าปี่ยกล่วงเข้ามาได้ พวกท่านจะคิดอ่านประการใด.
ครั้นทหารเมืองเสฉวนพร้อมใจเข้าด้วยเล่าปี่แล้ว บังทองจึงจัดแจงกองทัพ สั่งการให้ทหารเมืองเสฉวนเป็นกองหน้า ทำทีเป็นว่ากำจัดเล่าปี่ได้แล้วจะยกกลับเข้าเมือง ลวงให้ทหารซึ่งรักษาด่านเปิดประตูด่านออกรับ ส่วนเล่าปี่และบังทองพร้อมด้วยทหารเมืองเกงจิ๋วเป็นกองทัพหลวงยกตามทหารเมืองเสฉวนไป
ครั้นเวลาค่ำกองหน้ายกไปถึงหน้าประตูด่านก็ร้องบอกทหารซึ่งรักษาด่านนั้นว่าบัดนี้เอียวหวยและโกภายกำลังจะกลับเข้ามาในด่าน ให้รีบเปิดประตู
ทหารซึ่งรักษาด่านเห็นเป็นพวกเดียวกันมิได้สงสัยว่าเพื่อนเราจะเผาเรือนแปรพักตร์เข้าด้วยเล่าปี่ไปแล้วก็เปิดประตูด่านออกรับ
ทหารเมืองเสฉวนจึงพากันเข้าไปในด่าน ในทันใดนั้นกองทัพของเล่าปี่ก็ยกตามมาถึงแล้วกรูกันเข้าไปในด่าน ทหารซึ่งรักษาด่านมีจำนวนน้อยกว่าไม่สามารถต่อสู้กองทัพของเล่าปี่ได้จึงพากันยอมจำนน แล้วขอสวามิภักดิ์กับเล่าปี่จนหมดสิ้น
ในคืนนั้นเล่าปี่ได้ควบคุมทหารและสถานการณ์ในด่านโปยสิก๋วนไว้ได้อย่างสิ้นเชิงโดยที่ไม่เสียทหารแม้แต่สักคนเดียว บังทองได้จัดแจงให้ทหารเมืองเกงจิ๋วขึ้นรักษาด่าน และจัดสังกัดทหารเมืองเสฉวนที่ยอมสวามิภักดิ์เข้าสังกัดในกองทัพเมืองเกงจิ๋วตั้งแต่คืนวันนั้น
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่บรรดาทหารทั้งปวงที่มีความชอบในการยึดด่านโปยสิก๋วนได้สำเร็จ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยชนะตามประเพณี
การยึดด่านโปยสิก๋วนของเล่าปี่ในครั้งนี้คือการประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับเล่าเจี้ยงอย่างเปิดเผย และพร้อมที่จะทำศึกชิงเอาเมืองเสฉวนตามยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สองอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เล่าปี่ยังติดข้องหมองใจเกรงคำคนจะครหานินทาว่าแย่งเอาเมืองท่านซึ่งเป็นคนแซ่เดียวกัน แต่บัดนี้เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเอื้ออำนวยเปิดช่องเพราะเหตุที่เล่าเจี้ยงตัดไมตรีก่อนไม่ยอมให้เล่าปี่ยืมทหารและเสบียงเพื่อยกไปป้องกันเมืองเกงจิ๋ว และยังให้เอียวหวยและโกภายคิดอ่านสังหารเล่าปี่อีก เล่าปี่จึงอ้างเหตุสองประการนี้เป็นความชอบธรรมในการทำสงครามยึดเมืองเสฉวนในครั้งนี้
เล่าปี่แต่งโต๊ะเลี้ยงสุราบำรุงขวัญทหารซึ่งมีความชอบจนเวลาล่วงเลยถึงยามแรก เล่าปี่เสพสุรามากเกินขนาดจึงมีอาการเมามาย แล้วกล่าวกับบังทองว่าเรายึดได้ด่านโปยสิก๋วนเพียงเท่านี้ก็เป็นที่พอใจแล้ว เห็นจะมีความสุขตามควรแก่ฐานะ ไยจะต้องยากลำบากกรำศึกสงครามยกกองทัพเข้าไปในแดนเมืองเสฉวนยิ่งกว่านี้เล่า
บังทองแม้ยังไม่เมามายแต่ก็ได้ดื่มสุราไม่น้อย ได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นจึงท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เรามาตีเมืองเขาก็ปราบปรามยังมิราบคาบ ท่านจะประมาทว่าเป็นสุขนั้นยังมิบังควร”
เล่าปี่กำลังคะนองด้วยแรงสุรา ได้ฟังคำบังทองและท่าทีที่บังทองแสดงออกดังนั้นก็ขัดใจ จึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองอย่างเดียวกันว่า “ครั้งพระเจ้าจิวบู๊อ๋องยกไปตีเอาเมืองพระเจ้าติ๋วอ๋องนั้น ไปถึงตำบลใดก็มีความสุขสบายไปทุกแห่ง แลตัวเราได้ด่านโปยสิก๋วนล่วงเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นสุขเจียวหรือ ท่านว่าฉะนี้หาชอบไม่ จงถอยออกไปเสียเถิด”
บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่พูดด้วยความเมาสุราจึงมิได้ถือโทษโกรธเคือง แต่จะโต้เถียงกับเล่าปี่ต่อไปก็ไม่เห็นเป็นประโยชน์ประการใด บังทองจึงหัวเราะแล้วคำนับลาเล่าปี่กลับออกไป
เล่าปี่ดื่มสุราต่อไปจนเมามาย ทหารซึ่งอารักขาเล่าปี่เห็นดังนั้นจึงพยุงเล่าปี่กลับไปนอนแล้วให้เลิกงานเลี้ยง
ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่ตื่นนอนแล้ว ทหารซึ่งอารักขาได้แจ้งแก่เล่าปี่ว่าเมื่อคืนนี้ท่านเมาสุรา เจรจาปรามาสขับไล่บังทอง เห็นว่าบังทองจะน้อยใจท่าน ท่านจำได้หรือไม่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กลัวว่าบังทองจะโกรธจึงให้ทหารไปเชิญบังทองเข้ามาพบ แล้วคำนับบังทองขอขมาโทษที่เมาสุราแล้วกล่าววาจาล่วงเกิน ขอให้บังทองยกโทษให้ บังทองเองก็มิได้โกรธเคืองเล่าปี่เพราะวิสัยบัณฑิตเข้าใจสภาพของเล่าปี่ที่เมามายแล้วย่อมกล่าววาจาปรามาสล่วงเกิน
บังทองจึงกล่าวตอบเล่าปี่ว่า “ซึ่งเจรจาวานนี้ใช่จะผิดแต่ตัวท่านหามิได้ ข้าพเจ้าก็ประมาทผิดด้วยกัน ฝ่ายท่านก็อดโทษเถิด”
เล่าปี่และบังทองต่างถ้อยทีขอโทษขออภัยซึ่งกันและกัน ภายในใจของแต่ละคนนั้นก็หาได้ติดใจถือโทษของกันและกันไม่ ดังนั้นทั้งเล่าปี่และบังทองจึงพากันหัวเราะแล้วปรึกษากันตามปกติ
ทางด้านเมืองเสฉวน ครั้นเล่าเจี้ยงได้ทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้เล่าปี่ยึดด่านโปยสิก๋วน มีทีท่าว่าจะยกกองทัพล่วงเข้ามาตีเมืองเสฉวนก็ตกใจ รีบเรียกที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุม แล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านป้องกันเมืองเสฉวนประการใด
อุยก๋วนซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า เส้นทางจากด่านโปยสิก๋วนมายังเมืองเสฉวนนี้เป็นทางทุรกันดาร มีซอกเขาและธารน้ำสลับซับซ้อน ที่เมืองลกเสียนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เส้นทางประกอบด้วยซอกเขาคล้ายคอขวดตลอดแนว มีป่ารกชัฏอยู่ทั้งสองข้างทาง มีแม่น้ำไหลผ่านเป็นที่ชอบกลอยู่ ถึงแม้นเล่าปี่มีทหารมากก็เหมือนหนึ่งมีทหารน้อย ขอให้ท่านแต่งกองทัพไปตั้งขัดตาทัพเล่าปี่ไว้ที่ตำบลลกเสีย เห็นจะต้านทานมิให้กองทัพของเล่าปี่ยกล่วงเข้ามาได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เหลงเปา เล่ากุ๋ย เตียวหยิม และเตงเหียน สี่นายทหารเอกคุมกองทัพห้าหมื่น ให้ไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองเกงจิ๋วไว้ที่ตำบลลกเสียและให้รีบเดินทางตั้งแต่คืนวันนั้น
นายทหารทั้งสี่รับคำสั่งแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงกองทัพ พอค่ำลงก็เคลื่อนทัพออกจากเมืองเสฉวน
ครั้นเดินทัพมาถึงตำบลเขากิมปินสานเล่ากุ๋ยซึ่งคุ้นเคยพื้นที่มีความชำนาญภูมิประเทศจึงปรึกษากับเพื่อนนายทหารอีกสามคนว่า ที่เขากิมปินสานนี้มีนักพรตผู้ทรงภูมิธรรมอันวิเศษอยู่ผู้หนึ่งมีนามว่า “จีโฮเต้าหยิน” มีญาณหยั่งรู้อดีตและอนาคตได้อย่างแจ่มแจ้ง รู้เคราะห์แลโชคของผู้คนทั้งปวง เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านมานานช้า
แล้วว่าวันนี้พวกเราเดินทัพผ่านเขากิมปินสานแล้ว ชอบที่จะเข้าไปคำนับจีโฮเต้าหยินแล้วขอให้พยากรณ์โชคดีแลร้าย จะได้ไม่เสียทีที่ผ่านทางนี้
เตียวหยิมได้ฟังดังนั้นก็ท้วงว่า อันเกิดมาเป็นคนไหนเลยจะรอดพ้นซึ่งความตาย ตัวเราเป็นทหารทำการสงครามย่อมมีแพ้แลชนะเป็นธรรมดา อันแพ้แลชนะประการใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยในการสงคราม คือกำลังกองทัพระหว่างข้าศึกและฝ่ายเรา ภูมิประเทศอันใกล้และไกล ขวัญกำลังใจของไพร่พลตลอดจนระเบียบวินัยและความสามารถในการบัญชาการทัพ มิได้ขึ้นอยู่กับโชคเคราะห์และคำพยากรณ์ใด ๆ ไยจะต้องเสียเวลาไปปรึกษาถามอนาคตจากคนป่าคนดอย
เล่ากุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าท่านกล่าวดังนี้มิชอบด้วยประเพณี อันการสงครามนั้นมีแพ้แลชนะก็จริงอยู่ แต่หากผู้ใดล่วงรู้ผลแพ้แลชนะได้ล่วงหน้า แม้ปราชัยก็เลี่ยงหลีกภัยมิได้เป็นอันตราย หรือถ้าได้ชัยก็จะเสริมส่งชัยชนะนั้นให้เป็นผลมากขึ้น การซึ่งจะไปคำนับจีโฮเต้า หยินมิได้เสื่อมเสียเกียรติยศหรือเป็นลางร้ายแต่ประการใดไยท่านจึงต้องกังวล พวกเราทุกคนจงไปด้วยกันเถิด
สามนายทหารเมืองเสฉวนฟังเล่ากุ๋ยดึงดันจะไปพบจีโฮเต้าหยินแข็งขันนักก็เกรงใจ จึงตกลงพร้อมใจไปด้วยกัน
เมื่อตกลงดังนั้นสี่นายทหารจึงให้กองทัพเดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วแวะเข้าไปถามชาวป่าว่าอาศรมของจีโฮเต้าหยินตั้งอยู่ที่ใด เมื่อทราบแหล่งที่แล้วจึงพากันไปหา
ครั้นไปถึงเห็นเป็นอาศรมเล็ก ๆ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังทั้งสี่ด้านทำด้วยไม้ไผ่ ดูสมถะวิเวกน่าเลื่อมใสนัก สี่นายทหารจึงลงจากหลังม้าจะเดินเข้าไปที่อาศรมนั้น พลันเห็นนักพรตน้อยเปิดประตูอาศรมออกมาต้อนรับ
เมื่อได้ถามชื่อแซ่ตามประเพณีแล้ว นักพรตน้อยจึงพาสี่นายทหารเมืองเสฉวนเข้าไปข้างใน เห็นจีโฮเต้าหยินนั่งพริ้มหลับตาอยู่บนตั่งซึ่งปูด้วยเสื่อกก สี่นายทหารจึงเข้าไปคำนับเต้าหยินตามประเพณี แล้วว่าพวกข้าพเจ้าทั้งสี่เป็นนายทหารเมืองเสฉวน จะยกไปสกัดกองทัพเล่าปี่มิให้ยกล่วงล้ำเข้ามา มิทราบการข้างหน้าเป็นประการใดจึงพร้อมใจกันมาคำนับหวังพึ่งสติปัญญาท่านช่วยพยากรณ์ดีและร้ายให้พวกข้าพเจ้าทราบด้วยเถิด
จีโฮเต้าหยินรู้สึกตัวว่ามีแขกมาเยือนถึงอาศรมจึงลืมตาขึ้นเห็นสี่นายทหารคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจึงว่า ตัวเราเป็นชาวป่าชาวดอย ไร้การศึกษา ไหนเลยจะมีสติปัญญาพยากรณ์การเบื้องหน้าแก่พวกท่านได้
จีโฮเต้าหยินกล่าวคำราวกับหยั่งรู้ความซึ่งเตียวหยิมได้ท้วงติงกับเล่ากุ๋ยก่อนหน้านี้ เตียวหยิมได้ฟังดังนั้นก็พรั่นใจแต่ทำเป็นนิ่งเฉย ตีสีหน้าเป็นปกติ แต่เล่ากุ๋ยนั้นมีใจศรัทธาเลื่อมใสในจีโฮเต้าหยินจึงอ้อนวอนขอให้เต้าหยินพยากรณ์การร้ายแลดีให้ทราบ
จีโฮเต้าหยินถูกอ้อนวอนหลายครั้งก็ขัดมิได้ จึงใช้ให้นักพรตน้อยเข้าไปหยิบพู่กันและน้ำหมึก แล้วเขียนเป็นอักษรแปดคำเป็นใจความว่า “พญามังกรหนึ่ง หงส์หนึ่ง เหินหาวเข้าเสฉวน หงส์ร่วงลงสู่พื้น มังกรทะยานสู่ฟากฟ้า ลิขิตสวรรค์บัญชาแน่นอน ใครใดทัดทาน ไม่พ้นวางวาย”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความคำพยากรณ์ของจีโฮเต้า หยินว่า “มังกรกับหงส์จะเข้ามาในเมืองเสฉวน ส่วนหงส์มีปีกบินได้มิอาจไปโดยอากาศ ตกอยู่ในพื้นแผ่นดิน ฝ่ายมังกรบินมิได้กลับขึ้นไปสำแดงอานุภาพอยู่ในอากาศ ถ้าผู้ใดรู้จักลักษณะดังนี้แล้ว ก็จงเร่งผ่อนพักรักษาตัวก็จะพ้นจากอันตราย”
คำพยากรณ์ดังนี้ได้แฝงนัยยะอันลี้ลับ เพราะเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จัดเป็นเชื้อสายมังกร แลมังกรนั้นมีความหมายถึงพระมหากษัตริย์ตามคติของจีน ส่วนหงส์นั้นเล่ามีความหมายเป็นสองนัย คือผู้มีสติปัญญาอันมีสมญาว่าฮองซู หรือหงส์คะนองอย่างหนึ่งและหมายถึงอัครมเหสีของฮ่องเต้อีกอย่างหนึ่ง คำพยากรณ์ดังนี้จึงหมายถึงตัวเล่าปี่และบังทองโดยตรง
แต่สี่นายทหารเมืองเสฉวนไม่ทราบความนัย เห็นคำพยากรณ์ของจีโฮเต้าหยินเป็นปริศนาดังนั้นก็ไม่เข้าใจ เล่ากุ๋ยจึงเร่งถามต่อไปว่าซึ่งท่านว่าดังนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับพวกข้าพเจ้า ขอท่านได้เมตตาพยากรณ์โชคเคราะห์ของข้าพเจ้าทั้งสี่ให้สมกับที่ตั้งใจมาคำนับด้วยเถิด
จีโฮเต้าหยินได้ฟังคำเล่ากุ๋ยดังนั้นจึงกล่าวว่า โชคชะตามนุษย์สุดแท้แต่สวรรค์ลิขิต ใครไหนจะฝ่าฝืนต้านทานได้เล่า ไฉนเจ้าจึงเซ้าซี้มาถามเราอีก ว่าแล้วจีโฮเต้าหยินก็พริ้มหลับตาลง
เล่ากุ๋ยขยับปากจะอ้อนวอนให้จีโฮเต้าหยินพยากรณ์โชคชะตาต่อไป แต่สังเกตเห็นว่าจีโฮเต้าหยินหลับตานิ่งอยู่เหมือนคนนั่งหลับจึงไม่อาจเอ่ยเอื้อนปากถามอีก หันมามองหน้าเพื่อนนายทหารอีกสามคนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงชวนกลับออกไป
สี่นายทหารคำนับลาจีโฮเต้าหยินแล้วเดินกลับออกไปข้างนอก เตียวหยิมซึ่งไม่มีความเชื่อในเรื่องศาสตร์อันลี้ลับจึงกล่าวกับเพื่อนนายทหารว่า ข้าพเจ้าได้ทัดทานแต่ต้นแล้วว่าอย่าเสียเวลามาที่นี่ ก็ได้แลเห็นกันแล้วมิใช่หรือว่าพวกเราเสียเวลากับคนแก่บ้า ๆ บอ ๆ หาประโยชน์อันใดมิได้ กล่าวแล้วเตียวหยิมก็เร่งฝีเท้าเดินไปที่ม้า
สี่นายทหารขึ้นม้าแล้วเร่งขี่ม้าตามกองทหารซึ่งยกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ครั้นกองทัพเมืองเสฉวนยกมาถึงตำบลลกเสียเล่ากุ๋ยจึงให้ปลงทัพไว้ แล้วปรึกษากับเพื่อนนายทหารว่าอันเมืองลกเสียนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากแม้นเสียเมืองลกเสียแก่เล่าปี่แล้ว กองทัพเมืองเกงจิ๋วก็จะยกล่วงเข้าไปในเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก ดังนั้นจำจะต้องรักษาเมืองลกเสียไว้มิให้กองทัพเล่าปี่ยกล่วงเข้ามาได้ พวกท่านจะคิดอ่านประการใด.