ตอนที่ 351. สวรรค์สังหรณ์

โจโฉกำหนดแผนการละวางสถานการณ์ทางภาคตะวันตก ปล่อยให้กองทัพเมืองฮันต๋งและกองทัพเมืองเสฉวนสู้รบกันให้สิ้นกำลังก่อนแล้วค่อยซ้ำเติมในภายหลัง และฉวยโอกาสนั้นกรีฑาทัพสี่สิบหมื่นยกไปตีเมืองกังตั๋ง

           โจโฉได้รับบทเรียนจากสงครามเซ็กเพ็กที่พ่ายแพ้การรบทางยุทธนาวีแก่กองทัพเมืองกังตั๋ง ดังนั้นในการเดินทัพลงใต้ในครั้งนี้จึงหลีกจุดแข็งของข้าศึก หมายมั่นจะทำสงครามทางบก จึงยกกองทัพไปตั้งที่แดนเมืองยี่สู โดยหารู้ไม่ว่าในที่ใกล้กับที่ตั้งค่ายนั้นทางฝ่ายเมืองกังตั๋งได้สร้างป้อมซุ่มทหารเอาไว้เป็นอันมาก และเพราะเหตุที่โจโฉเตรียมกองทัพเนิ่นนานจนเกินไป จึงทำให้กองทัพเมืองกังตั๋งกำหนดแผนการตั้งรับอย่างรอบคอบ

           เมื่อโจโฉได้ทราบรายงานจากกองทัพหน้าว่าไม่เห็นกองทัพเมืองกังตั๋ง เห็นแต่ธงทิวปักอยู่เต็มชายหาดริมฝั่งแม่น้ำยี่สู โจโฉก็สงสัยว่านี่คือกลศึกประการใด จึงขี่ม้าพาทหารร้อยคนเศษออกจากค่ายขึ้นไปบนเนินเขา

           จากระดับที่สูงของเนินเขา เมื่อโจโฉมองลงไปทางแม่น้ำยี่สูก็เห็นกองเรือรบเมืองกังตั๋งกองใหญ่กำลังจะแล่นออกจากแม่น้ำ ธงทิวห้าสีของเรือแต่ละขบวนพลิ้วไสวแน่นขนัดเต็มท้องน้ำ เห็นเรือรบใหญ่เป็นเรือธงอยู่ในขบวนกลาง ซุนกวนยืนอยู่บนปากเรือภายใต้สัปทนสีเขียว มีแม่ทัพนายกองยืนขนาบอยู่ทั้งสองข้าง

           โจโฉเอาแส้ม้าชี้ไปที่ซุนกวนแล้วปรารภว่า “ผู้ใดมีบุตรเหมือนซุนกวนนี้ก็ควรนับถือสรรเสริญว่าดี อันมีบุตรเหมือนเล่าจ๋องก็มีเสียเปล่า หาต้องการไม่”

           โจโฉกล่าวพอสิ้นคำลงก็ได้ยินเสียงประทัดดังสนั่นด้านหลังเนินเขา เป็นกองทหารเมืองกังตั๋งที่ซุ่มอยู่ในป้อม ได้ลอบยกออกมาสกัดทางด้านหลังเนินเขา โจโฉได้ยินแต่เสียงโห่ร้องของทหาร ไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าใดก็ตกใจ มองไปทางแม่น้ำก็เห็นกองทัพเรือของ ซุนกวนเคลื่อนขบวนข้ามแม่น้ำมา

           โจโฉเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ถอยทัพจะกลับไปค่าย พอดีกองทหารเมืองกังตั๋งที่ยกมาแต่ด้านหลังเนินเขายกมาถึง ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ เคาทูเกรงว่าโจโฉจะเป็นอันตรายจึงคอยรบป้องกันระวังหลัง แล้วพาโจโฉกลับไปที่ค่าย

           โจโฉพ่ายศึกยกแรกแต่ไม่เสียหายมากมายนัก เพราะกองทัพเมืองกังตั๋งที่ยกมาโดยทางเรือยกพลขึ้นบกล่าช้าเกินกำหนด จึงคงมีแต่ทหารเมืองกังตั๋งที่ยกมาแต่ด้านหลังเนินเขาแต่เพียงกองเดียว

           การศึกครั้งแรกนี้ก็ได้เห็นประจักษ์ถึงฝีมือการรบทางบกของกองทัพเมืองกังตั๋งว่าขาดความพร้อมเพรียง อันเกิดแต่การบกพร่องของการสื่อสารและการให้สัญญาณแก่ทุกกองทัพให้ทำการโดยพร้อมเพรียงกัน จึงทำให้โจโฉได้รับความเสียหายแต่น้อยและถอยกลับเข้าค่ายได้โดยปลอดภัย

           โจโฉกลับไปถึงค่ายก็ได้บำรุงขวัญทหารด้วยการปูนบำเหน็จความชอบแก่ทหารซึ่งตามไปบนเนินเขานั้น สำหรับเคาทูโจโฉได้ปูนบำเหน็จเป็นทองคำเป็นจำนวนมาก

           กองทัพของโจโฉเพิ่งยกมาถึงปากแม่น้ำยี่สูก็เสียทีแก่ข้าศึกในการรบครั้งแรก ประกอบทั้งมีความอ่อนเพลียจากการเดินทัพทางไกล ดังนั้นพอค่ำลงทหารของโจโฉก็พากันพักผ่อนนอนหลับ

           ครั้นเวลายามสามเศษในขณะที่ทหารโจโฉกำลังนอนหลับด้วยความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้น กองทัพเมืองกังตั๋งก็ยกกันเข้าปล้นค่ายของโจโฉ ธนูเพลิงถูกยิงมาทั้งสี่ทิศ เสียงโห่ร้องของทหารเมืองกังตั๋งและเสียงม้าล่อฆ้องกลองดังก้องฝ่าความมืดของราตรี

           โจโฉตกใจตื่นขึ้นรีบสั่งทหารให้รบป้องกันรักษาค่ายไว้ ทหารเมืองหลวงกำลังงัวเงียแต่ด้วยความชำนาญการรบทางบกต่างคนต่างวิ่งเข้าประจำที่ ทำการรบพุ่งป้องกันค่ายไว้เป็นสามารถ

           แต่เพราะทหารเมืองกังตั๋งเตรียมแผนการปล้นค่ายไว้เป็นอย่างดี ธนูเพลิงที่ถูกยิงมาราวห่าฝนได้ไหม้ลามไปตามค่ายและที่พักของทหารโจโฉ จนไฟลุกไหม้ขึ้นทั่วทั้งค่าย ทหารโจโฉด้านหนึ่งต้องวิ่งดับไฟ ด้านหนึ่งต้องคอยสู้รบป้องกันอยู่หน้าค่าย และต้องระมัดระวังเกาทัณฑ์ซึ่งยิงมาจากทั่วทุกสารทิศจึงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

           ถึงเวลาใกล้สว่างทหารโจโฉยันกองทัพเมืองกังตั๋งไว้ไม่อยู่ ทหารเมืองกังตั๋งบุกเข้าไปในค่ายของกองทัพโจโฉได้ แล้วโจมตีฆ่าฟันทหารของโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

           โจโฉเห็นค่ายถูกไฟไหม้เป็นหลายแห่ง และทหารแตกตื่นคุมกันไม่ติดเห็นจะรักษาค่ายไว้ไม่ได้จึงพาทหารหนีออกจากค่าย ทหารเมืองกังตั๋งก็ไล่ตามตีจนสว่างเห็นว่าไม่ทันทหารโจโฉแล้วจึงพากันยกกลับ

           โจโฉพาทหารหนีไปได้ห้าร้อยเส้นก็ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าเรายกกองทัพมาไม่ทันไรก็ปราชัยแก่กองทัพเมืองกังตั๋งถึงสองครั้ง ท่านทั้งปวงจะมีความคิดอ่านประการใด

           เทียหยกที่ปรึกษาจึงว่าอันการพิชัยสงครามนั้นท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ว่าการศึกต้องทำการโดยเด็ดขาดรวดเร็ว การครั้งนี้กองทัพของเราละพิชัยสงครามเสียจึงเตรียมทัพอย่างเอิกเกริก แต่เคลื่อนทัพด้วยความล่าช้า เมืองกังตั๋งจึงเตรียมป้องกันตัวได้อย่างเต็มที่ หากยังสู้รบกันต่อไปคงจะไม่ได้รับชัยชนะโดยง่าย บัดนี้ก็เป็นฤดูหนาวจึงควรที่ท่านจะยกกองทัพกลับไปเมืองหลวงก่อน บำรุงกองทัพให้เข้มแข็งพรักพร้อมแล้วค่อยยกมาทำการต่อไป

           บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังคำเทียหยกดังนั้นก็พากันเห็นด้วย แต่ครั้นมองหน้าโจโฉเห็นนิ่งเฉยอยู่ก็รู้ว่าไม่ต้องด้วยความคิด จึงต่างคนต่างพากันนิ่ง

           โจโฉเห็นไม่มีใครเสนอความเห็นเป็นอย่างอื่น แต่ยังไม่ตัดสินใจตามข้อเสนอของเทียหยก จึงสั่งเลิกประชุม

           ในคืนวันนั้นโจโฉนอนหลับแล้วฝันว่า “ได้ยินเสียงคลื่นในท้องมหาสมุทรนั้นฟัดฝั่งดังกึกก้องเหมือนคนอึงคะนึงอยู่ จึงลุกออกไปดู เห็นเป็นพระอาทิตย์ดวงหนึ่งผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทร มีรัศมีอันกล้า แล้วเห็นพระอาทิตย์ปรากฏอยู่บนอากาศสองดวง แลพระอาทิตย์ซึ่งขึ้นจากท้องมหาสมุทรนั้นไปตกลงตรงเนินเขาตรงหน้าค่าย”

           โจโฉตกใจตื่นขึ้นเห็นฟ้าสว่างจ้า จึงถามทหารซึ่งรักษาการณ์ว่าขณะนี้เป็นเวลาใด ทหารรักษาการณ์จึงรายงานว่าบัดนี้เป็นเวลาเที่ยง โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงผลุนผลันรีบลุกขึ้น ในใจก็สงสัยว่าที่เนินเขาตรงหน้าค่ายนั้นมีสิ่งใดเป็นสำคัญ จึงตรงกับความฝันว่าพระอาทิตย์ดวงใหญ่ผุดจากพระมหาสมุทรแล้วไปตกลงตรงที่นั้น

           โจโฉรีบแต่งตัวออกจากค่าย ขี่ม้าพาทหารห้าสิบคนตรงไปที่เนินเขาทางด้านหน้าค่ายตามความฝัน

           ในขณะที่โจโฉกำลังพิเคราะห์ภูมิประเทศว่าจะมีเหตุสำคัญประการใด ในทันใดนั้นก็เห็นทหารกองหนึ่งยกพ้นออกมาจากเหลี่ยมเขา ตัวนายใส่เสื้อเกราะและหมวกสีทอง กั้นสัปทนทอง ขี่ม้าอยู่ภายใต้ธงประจำตัวนายทัพจารึกชื่อว่าซุนกวน นำหน้าทหารตรงมา

           โจโฉเห็นซุนกวนคุมทหารมาไม่มากนักก็คุมสติมั่นยืนม้าคอยทีอยู่ ซุนกวนขี่ม้าทหารตรงมาที่โจโฉ ใช้แส้ม้าชี้หน้าโจโฉแล้วว่า “มหาอุปราชเป็นใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ประกอบด้วยยศศฤงคารบริวารเป็นอันมาก มีความสุขดุจหนึ่งอยู่ในวิมาน ควรหรือยังมิอิ่มใจอีกเล่า ลุอำนาจแก่โลภ มิได้พิเคราะห์ด้วยปัญญาให้เป็นธรรม ยกทหารมาจะทำร้ายแก่เรา ไม่สมควรเลย”

           โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เอาแส้ม้าชี้หน้าซุนกวนแล้วว่า ซึ่งเรายกกองทัพมาครั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติและบ้านเมืองท่านนั้นหามิได้ การทั้งนี้สืบแต่ท่านเป็นขุนนางในพระเจ้าเหี้ยนเต้ อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ขาดความกตัญญูภักดีต่อเจ้า ทำตัวเป็นกบฏแข็งเมือง ไม่ยอมอ่อนน้อม พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดเกล้าให้เรายกกองทัพมาจับเอาตัวท่าน

           ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ท่านอย่าเพ่ออ้างว่าเป็นรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาข่มเหงเรา เราเป็นข้าแผ่นดินในพระเจ้าเหี้ยนเต้มาถึงสามชั่วอายุคน มีความภักดีต่อเจ้าไม่เคยคลอนแคลน ทั่วทั้งแผ่นดินไม่เคยมีผู้ใดตราหน้าว่าเราเป็นกบฏ หรือเป็นศัตรูราชสมบัติ คำคนทั้งปวงได้ยินแต่ว่าตัวท่านต่างหากมีอำนาจเป็นใหญ่แล้วข่มเหงไม่ยำเกรงพระมหากษัตริย์ บังคับกดขี่ขุนนางแลราษฎรทั้งปวง ตัวเรามีความเจ็บร้อนด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงคิดจะกำจัดท่านเสีย

           โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลืมคิดไปว่าทหารซึ่งยกตามมานั้นมีแต่น้อยตัว จึงร้องประกาศว่าให้ช่วยกันจับตัวซุนกวนให้จงได้

           โจโฉสั่งทหารไม่ทันขาดคำเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น เห็นทางด้านซ้ายมีจิวท่าย ฮันต๋ง คุมทหารยกออกมาจากข้างทาง ทางด้านขวาเห็นตันบูและพัวเจี้ยงคุมทหารยกออกมาจากข้างทางเช่นเดียวกัน ทหารทั้งสองกองระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่โจโฉราวห่าฝน

           โจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชักม้าพาทหารหนีกลับไปทางค่าย ทหารเมืองกังตั๋งเห็นได้ทีก็พากันไล่ตามตี พอดีเคาทูคุมทหารยกตามโจโฉมาสบเหตุเข้า จึงร้องบอกให้โจโฉรีบกลับไปที่ค่าย ตัวเคาทูและทหารได้เข้ารบสกัดป้องกันทหารเมืองกังตั๋งไว้เป็นสามารถ

           เคาทูนำทหารสู้รบกับทหารเมืองกังตั๋งตั้งแต่บ่ายจนถึงเวลาพลบ ทหารทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่แพ้ชนะกัน ครั้นเห็นเวลาเลยพลบแล้วต่างฝ่ายจึงต่างให้สัญญาณถอยทัพกลับไปที่ตั้ง

           โจโฉเมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วจึงปรารภกับบรรดาทหารทั้งปวงเกี่ยวกับความฝันที่เห็นพระอาทิตย์สามดวงว่า พระอาทิตย์ดวงซึ่งเพิ่งขึ้นจากพระมหาสมุทรแล้วไปตกลงที่เนินเขานั้น ตัวเรามีความสงสัยขี่ม้าพาทหารไปดูก็เห็นเป็นซุนกวน เห็นว่าซุนกวนนี้มีบุญวาสนานัก นานไปน่าจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินคนหนึ่ง

           ในขณะที่ปากปรารภสิ้นคำลงนั้น ในใจโจโฉก็คิดว่าพระอาทิตย์อีกสองดวงซึ่งจรัสอยู่บนนภากาศนั้นเห็นจะได้แก่ตัวเราและเล่าปี่ เมื่อเป็นดังนี้แผ่นดินน่าจะแบ่งเป็นสามก๊ก คือตัวเราก๊กหนึ่ง เล่าปี่ก๊กหนึ่ง และซุนกวนอีกก๊กหนึ่ง

           โจโฉคำนึงดังนั้นแล้วก็ตระหนักว่าที่ได้ตั้งความปรารถนจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเห็นจะไม่สอดคล้องกับลิขิตแห่งสวรรค์ เพราะความอันปรากฏในฝันนั้นคล้ายประหนึ่งกับเทพยดามาบอกสังหรณ์ให้ทราบว่าแผ่นดินในภายหน้าจะแบ่งเป็นสามก๊ก คือโจโฉก๊กหนึ่ง เล่าปี่ก๊กหนึ่ง และซุนกวนอีกก๊กหนึ่ง โจโฉตระหนักดังนั้นแล้วใบหน้าก็หม่นหมองลง

           หลังจากวันนั้นแล้วโจโฉก็มีความคิดท้อถอย ตระหนักว่าเห็นจะปราบปรามเมือง  กังตั๋งให้สงบราบคาบไม่ได้ดังปรารถนาจึงได้แต่ตั้งมั่นอยู่ในค่าย วันใดที่ทหารเมืองกังตั๋งมาท้ารบก็ยกทหารออกไปรบตามประเพณีการสงคราม ครั้นว่างเว้นทหารเมืองกังตั๋งไม่ยกมาท้ารบ โจโฉก็ให้ทหารเอกยกไปท้ารบทหารเมืองกังตั๋งเสียทีหนึ่ง กลายเป็นการสงครามที่รบแบบซังกะตายเป็นครั้งแรกในสามก๊ก ด้วยเป็นผลมาแต่ความคิดซึ่งท้อถอยต่อลิขิตแห่งสวรรค์นั่นเอง

           กองทัพเมืองหลวงและกองทัพเมืองกังตั๋งตั้งยันรบกันแบบซังกะตายอยู่เดือนเศษ พ้นวันตรุษแล้วอากาศหนาวก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเย็นสบาย ฝนนอกฤดูกลับตกติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทหารทั้งสองฝ่ายได้รับความยากลำบากเป็นอันมาก จะออกรบกันก็กระทำไม่ได้เพราะแรงด้วยฝน ทหารทั้งสองฝ่ายจึงได้แต่นั่งนอนคอยฝนสร่างอยู่ในค่าย

           บรรดาที่ปรึกษาของซุนกวนเห็นกองทัพทั้งสองฝ่ายตั้งยันอยู่ดังนี้เป็นเวลาเดือนเศษก็คิดเห็นว่ากองทัพโจโฉมีลักษณะไม่อยากสู้รบ ในขณะที่กองทัพเมืองกังตั๋งยกมาก็เพียงป้องกันระวังเมืองเท่านั้น ดังนั้นจึงเสนอต่อซุนกวนให้มีหนังสือไปถึงโจโฉขอหย่าศึก ให้ต่างคนต่างเลิกทัพกลับ

           ซุนกวนฟังความคิดของบรรดาที่ปรึกษาแล้วเห็นชอบ จึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้แก่โจโฉมีความว่า “ตัวเรากับมหาอุปราชก็เป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้า  เหี้ยนเต้ตั้งให้ท่านเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ควรที่ท่านจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แลกลับยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เรา ให้อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้งนี้ก็ผิดด้วยประเพณีเสนาบดีผู้ใหญ่ ประการหนึ่งก็เป็นฤดูฝน ทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก ขอท่านได้ยกกองทัพกลับไปเถิด แม้จะขืนอยู่ทำการสืบไปก็จะมีภัยถึงตัวท่าน”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘