ตอนที่ 350. ความเย้ายวนแห่งอำนาจ

 โจโฉกำลังจัดเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง แต่ในระหว่างนั้นตังเจี๋ยวขุนนางเก่าแต่ครั้งพระเจ้าฮั่นเต้และมีตำแหน่งเป็นถึงราชเลขาธิการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสนอให้โจโฉขอเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นวุยก๋ง อันประกอบด้วยเครื่องยศถึงเก้าประการ

            จึงทำให้แรงปรารถนาในจิตใจของโจโฉเกิดหวั่นไหวกระเพื่อมอย่างรุนแรง ประดุจดังท้องทะเลยามต้องด้วยพายุกล้า

            การทั้งนี้สืบเนื่องมาแต่พระมหากรุณาธิคุณในพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่โปรดเกล้าพระราชทานสิทธิพิเศษบำเหน็จความชอบของโจโฉในการปราบศึกภาคพายัพได้สำเร็จ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาล ไม่ต้องเข้าเฝ้าตามกำหนด แม้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็ไม่ต้องถวายบังคม และให้มีสิทธิพกพาอาวุธเข้าไปในที่เฝ้าได้ด้วย

            ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติของโจโฉจึงผิดแผกแตกต่างจากขุนนางข้าราชการทั้งปวง ด้านหนึ่งทำให้เกิดข่าวเล่าลือว่าโจโฉยิ่งกำเริบในอำนาจ ไม่ยำเกรงพระมหากษัตริย์ จึงเป็นที่จับตามองของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเล่าน้ำใจโจโฉก็เหลิงระเริงเคลิ้มไปในพระมหากรุณาธิคุณนั้น นานวันเข้าก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีฐานะไม่ต่างอันใดกับพระเจ้าเหี้ยนเต้

            ซึ่งหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช อ้างว่าโจโฉไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูงนั้นหากจะถูกต้องก็มีความถูกต้องเฉพาะตอนต้นในขณะที่ได้รับพระราชทานสิทธิ เพราะเป็นการพระราชทานด้วยน้ำพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้เองโดยที่โจโฉไม่ได้กราบบังคมทูลร้องขอ แต่ครั้นได้สิทธิอำนาจนั้นแล้วน้ำใจโจโฉก็หวั่นไหวกำเริบไปตามวิสัยปุถุชน แต่ทว่าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงถึงแม้บางส่วนจะมีน้ำใจฝักใฝ่ด้วยโจโฉ แต่ก็ยังคงยำเกรงพระราชอำนาจ มีก็แต่ตังเจี๋ยวซึ่งเป็นขุนนางเฒ่ามากด้วยอาวุโส รับราชการใกล้ชิดพระมหากษัตริย์มาถึงสามรัชกาล รู้ตื้นลึกหนาบางในราชสำนักเป็นอย่างดี แต่มีใจฝักใฝ่ด้วยโจโฉ ทำตัวเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย จึงเสนอให้โจโฉขอเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นที่วุยก๋งหรือเท่ากับตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยา

            ตังเจี๋ยวผู้นี้รู้จักและสวามิภักดิ์กับโจโฉตั้งแต่เมื่อครั้งที่โจโฉได้เข้ามาถวายอารักขาแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อสู้กับลิฉุยกุยกีในตอนต้นรัชกาล ในครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังประทับอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ตังเจี๋ยวได้เสนอให้โจโฉเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองฮูโต๋ โดยอ้างว่าเป็นปูมเมืองอันเป็นมงคลที่โจโฉจะตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน และการที่โจโฉเป็นผู้ก่อตั้งเมืองหลวงใหม่จะทำให้โจโฉเป็นผู้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเมืองหลวง ดังนั้นตังเจี๋ยวจึงนับเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่รู้ใจโจโฉกระจ่างแจ้ง มาครั้งนี้เห็นว่าโจโฉกำเริบในอำนาจ และบรรดาขุนนางทั้งปวงอยู่ในโอวาท สมควรแก่เวลาแล้วจึงเสนอให้โจโฉขอเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นชั้นวุยก๋ง

            อันตำแหน่งวุยก๋งนี้ถือเป็นตำแหน่งนับเนื่องด้วยพระราชวงศ์ มีเครื่องยศประจำตำแหน่งถึงเก้าประการ ดังที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาโดยสังเขปพอให้เห็นเป็นแนวทางตามคติของฝ่ายไทย

            แต่ในสามก๊กฉบับภาษาจีนได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนตามแบบอย่างธรรมเนียมจีนในขณะนั้นว่า เครื่องยศเก้าประการได้แก่

            ประการแรก ให้มีขบวนรถม้าหนึ่งขบวน ประกอบด้วยรถม้าคันใหญ่ประดับทองคำหนึ่งคัน เทียมด้วยม้าวิเศษพันธุ์ดีสีเหลืองแปดตัวและรถรบอีกหนึ่งคัน เทียมด้วยม้าเพศผู้พันธุ์วิเศษสี่ตัว

            ประการที่สอง ให้มีเสื้อหมวกลายมังกร รองเท้าสีแดง ซึ่งเป็นอาภรณ์สำหรับขุนนางที่เป็นเชื้อพระวงศ์

            ประการที่สาม ให้มีเครื่องดนตรีวงใหญ่สำหรับประโคมในจวน ในการพิธี และในการแห่แหน

            ประการที่สี่ ประตูจวนทาสีแดงชาดตามแบบอย่างของพระราชวังและพระตำหนักของฮ่องเต้ ซึ่งห้ามมิให้ราษฎรทั่วไปใช้สีดังกล่าว

            ประการที่ห้า ให้มีท้องพระโรงสำหรับว่าราชการอย่างพระมหากษัตริย์ และให้มีขั้นบันไดจากพื้นชั้นล่างขึ้นสู่ท้องพระโรงเหมือนพระตำหนักที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการในพระบรมมหาราชวัง

            ประการที่หก ให้มีทหารองครักษ์ทำนองเดียวกับทหารรักษาพระองค์จำนวนสามร้อยนาย

            ประการที่เจ็ด ให้มีขวานอาญาสิทธิ์สำหรับใช้บังคับบัญชาทหารและหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ 

            ประการที่แปด ให้มีเกาทัณฑ์หนึ่งชุดใหญ่ประกอบด้วยเกาทัณฑ์คันสีแดงพร้อมด้วยลูกเกาทัณฑ์หนึ่งร้อยดอก เกาทัณฑ์สีดำหนึ่งร้อยคัน ลูกเกาทัณฑ์สีดำพันดอก ประดับด้วยลวดลายมังกร

            ประการที่เก้า ให้มีเครื่องอุปราชูปโภคเสมอด้วยมกุฏราชกุมารห้าอย่างสำหรับสักการะเซ่นไหว้ศาลาบรรพชน ประกอบด้วยข้าวเกาเหลียงสีดำ สุราหอม ป้านใส่สุรา จอกสุรา และภาชนะสำหรับรองจอกสุรา

            โจโฉได้ฟังข้อเสนอของตังเจี๋ยวก็มีท่าทียินดีแต่มิกล่าวคำประการใด ได้แต่ทอดตามองบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการทั้งปวง

            ซุนฮกซึ่งเป็นที่ปรึกษาเก่าแก่ของโจโฉและเข้ารับราชการกับโจโฉตั้งแต่เริ่มตั้งตัวเห็นดังนั้นจึงทักท้วงว่า “ซึ่งติ๋วเจี๋ยวว่าทั้งนี้ข้าพเจ้ามิเห็นชอบ อันมหาอุปราชจะทำตามนั้นมิได้ ด้วยแต่แรกมหาอุปราชซ่องสุมผู้คนแลทหารทั้งปวง ตั้งใจจะสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้แผ่นดินเป็นสุขโดยสุจริต เพราะว่าเป็นข้าแผ่นดินของท่าน ถึงมาตรว่ามีความชอบสักเท่าใดก็ดี ก็ควรจะเจียมตัวเคารพตามประเพณีข้ากับเจ้า”

            ซุนฮกได้เข้ารับราชการกับโจโฉ โดยได้ตกลงหลักการแต่ต้นว่าโจโฉจะก่อตั้งกองทัพธรรมเพื่อกำจัดขุนศึกทั้งปวงซึ่งกำเริบเสิบสาน ท้าทายต่ออำนาจราชสำนัก โดยเฉพาะในยุคนั้นคือตั๋งโต๊ะซึ่งประพฤติตนเป็นทรราช ข่มเหงรังแกพระเจ้าเหี้ยนเต้ และได้เสนอให้โจโฉชูธงธรรมเข้าครองอำนาจในเมืองหลวงแต่บริหารราชการแผ่นดินในพระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ เพราะเข้าใจตรงกันดังนี้ซุนฮกจึงถือธงการเมืองดังกล่าวเป็นธงธรรม ชี้นำการทั้งปวง ทั้งการเมือง การทหาร และการบริหารราชการแผ่นดินของโจโฉตลอดมา

            ครั้นซุนฮกได้ฟังคำยุยงของตังเจี๋ยว และเห็นโจโฉมีท่าทีว่าจะคล้อยตาม ก็เห็นว่าเป็นการขัดต่อวิถีทางธรรมของธงการเมืองดังกล่าว จึงทัดทานอย่างตรงไปตรงมา แต่โจโฉวันนี้ผิดไปจากวันก่อนซึ่งเคยเชื่อฟังและเคารพความคิดเห็นของซุนฮก พอได้ฟังคำทัดทาน ของซุนฮกดังนั้นโจโฉก็โกรธ สีหน้าที่แช้มชื่นเบิกบานกลับกลายเป็นบึ้งตึงในทันที

            แต่ใจหนึ่งโจโฉก็ยังคงเกรงใจซุนฮกซึ่งไว้วางใจให้รักษาบ้านเมืองทุกครั้งที่โจโฉยกกองทัพออกจากเมืองหลวง ทั้งเกรงใจต่อสติปัญญาและความคิดอ่านของซุนฮก ดังนั้นแม้จะโกรธและไม่พอใจโจโฉก็สู้ข่มใจไม่พูดจาประการใด

            ตังเจี๋ยวอ่านน้ำใจโจโฉได้กระจ่างว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะขอเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นวุยก๋ง จึงกล่าวสำทับต่อไปว่าการครั้งนี้เป็นความปรารถนาของปวงชน ไหนเลยจะฟังคำทัดทานของคนแต่คนเดียวได้

            โจโฉเห็นดังนั้นก็รู้ทีรู้ใจตังเจี๋ยวจึงสั่งให้เลิกประชุม พอขุนนางข้าราชการทั้งปวงคำนับลาโจโฉกลับออกไปแล้ว ตังเจี๋ยวจึงแต่งฎีกาอ้างอิงเอาความปรารถนาของปวงชน ตลอดจนขุนนางข้าราชการทั้งปวงว่า อัครมหาเสนาบดีโจโฉมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก บัดนี้มาอาวุโสล่วงวันเวลามีวัยอันสมควร บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงจึงพร้อมเพรียงกันทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาฐานันดรศักดิ์ของโจโฉเป็นที่วุยก๋ง มีเครื่องอุปราชูปโภคเก้าประการตามอย่างธรรมเนียม

            ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นฎีกาของตังเจี๋ยวก็ไม่ทรงตรัสประการใด แต่ลงพระปรมาภิไธยและตราพระราชลัญจกรในประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาโจโฉขึ้นเป็นที่วุยก๋ง

            เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด กลางเดือนสิบสอง ข้าหลวงในพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าสถาปนาตั้งให้โจโฉเป็นวุยก๋ง โจโฉจึงเป็นสมเด็จเจ้าพระยานับแต่บัดนั้นมา

            ซุนฮกได้ทราบข่าวก็รู้ว่าโจโฉบัดนี้มีน้ำใจกำเริบ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอันมากก็เศร้าโศกเสียใจที่มองคนผิด ได้คิดอ่านสนับสนุนจนโจโฉมีอำนาจบาทใหญ่ในเมืองหลวงถึงเพียงนี้ และตีตนขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ มีหรือจะยั้งหยุดอยู่เพียงเท่านี้ คงจะกำเริบคิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติเป็นมั่นคง

            ซุนฮกมิรู้ที่จะทำประการใดจึงได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ แล้วปรารภความในใจให้ผู้คนใกล้ชิดได้ทราบความทุกข์ของตัว แต่ธรรมดาหน้าต่างย่อมมีหู ประตูย่อมมีตา ความทุกข์ร้อนของซุนฮกดังกล่าวจึงล่วงรู้ไปถึงหูของโจโฉ

            แต่แทนที่โจโฉจะสำนึกตัวคิดถึงความหลังครั้งเริ่มตั้งตัวกลับน้อยใจซุนฮก ปรารภกับขุนนางข้าราชการที่ใกล้ชิดว่าบัดนี้ซุนฮกได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่คิดที่จะทำนุบำรุงตัวเราเหมือนดังแต่ก่อน

            เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด ปลายเดือนสิบสอง ถึงวันฤกษ์ดีโจโฉจึงกำหนดการเคลื่อนทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบความจึงมีพระราชกระแสให้โจโฉพาซุนฮกไปราชการสงครามด้วย โจโฉทราบรับสั่งแล้วจึงให้ทหารไปแจ้งความให้ซุนฮกทราบ

            ซุนฮกไม่ทราบว่าเป็นรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ สำคัญว่าโจโฉไม่พอใจและคิดอุบายพาไปในกองทัพแล้วจะหาโอกาสฆ่าเสียจึงบ่ายเบี่ยงอ้างว่าป่วย ไม่ยอมไปราชการทัพและเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างตำบล

            โจโฉทราบความดังนั้นก็สำคัญว่าซุนฮกนอกใจ จึงสั่งทหารให้เอากะบะเปล่าสำหรับใส่ของกินแล้วปิดผนึกประทับตราครั่ง ทำทีเสมือนหนึ่งว่าโจโฉส่งของกินไปมอบให้แก่ซุนฮกที่บ้านพัก และยังมีหนังสือปิดผนึกกำกับกะบะเปล่านั้นด้วยว่าเป็นความลับเฉพาะถึงซุนฮก

            ครั้นซุนฮกได้รับกระบะก็เปิดออกดู เห็นเป็นกระบะเปล่าก็สำคัญว่าโจโฉมีคำสั่งลับให้ฆ่าตัวตาย เหมือนกับการที่ฮ่องเต้พระราชทานสุราพิษให้แก่นักโทษชั้นเชื้อพระวงศ์ ซุนฮกก็โศกเศร้าเสียใจเป็นอันมากจึงกินยาพิษถึงแก่ความตายในขณะที่มีอายุได้เพียงห้าสิบปี

            ซุนหุนผู้บุตรซุนฮกมิรู้ความตื้นลึกหนาบาง ครั้นเห็นบิดาถึงแก่กรรมก็นำความไปแจ้งแก่โจโฉตามประเพณี โจโฉทราบว่าซุนฮกถึงแก่ความตายก็ได้คิด คำนึงถึงความชอบของซุนฮกแต่หนหลัง และสำนึกว่าที่กระทำกับซุนฮกนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปจึงเศร้าโศกเสียใจ แล้วสั่งให้แต่งการศพของซุนฮกอย่างสมเกียรติตามประเพณี และให้เงินทองแก่ซุนหุนเพื่อตอบแทนคุณซุนฮกเป็นอันมาก

            ครั้นถึงเวลาฤกษ์ดีโจโฉก็สั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองหลวงยกไปตีเมืองกังตั๋ง และให้เดินทัพตรงไปทางเมืองยี่สู ครั้นถึงแดนเมืองยี่สูจึงให้ตั้งค่ายมั่นแล้วสั่งให้โจหองคุมทหารสามหมื่นยกไปเป็นกองหน้าดูลาดเลาการข้างเมืองกังตั๋งว่าได้จัดเตรียมรับมือกับการสงครามประการใด

            ทางฝ่ายซุนกวนครั้นได้ทราบข่าวศึกว่าโจโฉยกกองทัพออกจากเมืองหลวงจะมาตีเมืองกังตั๋ง จึงจัดแจงกองทัพยกไปตั้งอยู่ที่ปากน้ำเมืองยี่สู กำหนดแผนยุทธการตามแผนการยุทธ์ของลิบอง ที่ให้สร้างป้อมปราการไว้ที่ปากน้ำเมืองยี่สูนั้นทุกประการ

            ซุนกวนจัดแจงแต่งกองทัพและจัดวางกำลังตามแผนการยุทธ์ปากน้ำเมืองยี่สูเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้ทหารทั้งปวงเตรียมพร้อมคอยท่าเตรียมรับมือกับกองทัพของโจโฉ

            โจหองยกทหารเป็นกองหน้าออกมาดูลาดเลาลาดตระเวนทั่วแนวเขตปากน้ำเมืองยี่สูแล้วไม่พบเห็นการเคลื่อนไหวทางการทหารแต่ประการใด มีแต่ธงทิวปักเป็นริ้วลายตลอดทั่วทั้งชายทะเลก็สงสัย จึงยกกลับไปหาโจโฉ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘