ตอนที่ 349. กล "เสือกินงูและหมูป่า"

 เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด เดือนสามข้างแรม นางซุนฮูหยินถูกซุนกวนลวงว่านางงอก๊กไถ้ผู้เป็นมารดาป่วยหนัก ให้พาอาเต๊าบุตรโทนของเล่าปี่กลับไปเมืองกังตั๋งให้มารดาเห็นหน้าก่อนตาย นางซุนฮูหยินไม่ทราบกลก็ทำตามหนังสือของซุนกวน แต่เตียวหุยและจูล่งชิงเอาอาเต๊ากลับไปได้

            ครั้นนางซุนฮูหยินได้แจ้งความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบแล้วจึงถามซุนกวนว่า มารดาเราป่วยไข้ประการใด จงรีบไปเยี่ยมมารดาพร้อมกันเถิด

            ซุนกวนจึงจำเป็นต้องบอกแก่นางซุนฮูหยินตามความจริงว่าการครั้งนี้เป็นแต่อุบาย เพราะนางงอก๊กไถ้ยังคงสุขสบายดี แต่ที่ให้จิวเสี้ยนไปแจ้งความก็หวังตามนางซุนฮูหยินกลับมาเมืองกังตั๋งเพื่อป้องกันมิให้นางเป็นอันตรายจากการทำร้ายของเล่าปี่ถ้าหากว่ามีศึกเกิดขึ้นระหว่างเมืองกังตั๋งกับเมืองเกงจิ๋ว

            นางซุนฮูหยินทราบความจริงว่าถูกซุนกวนหลอกลวงดังนั้นก็โกรธ ร้องไห้ตัดพ้อต่อว่าซุนกวนว่ารักเมืองเกงจิ๋วยิ่งกว่ารักน้อง ว่าแล้วนางซุนฮูหยินก็วิ่งออกจากจวนของซุนกวนไปที่จวนของพระแม่เมืองกังตั๋ง

            ซุนกวนเกรงว่านางซุนฮูหยินจะหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วจึงแต่งทหารรักษาการณ์ป้องกันระมัดระวังภายนอกจวนไว้อย่างกวดขัน มิให้นางซุนฮูหยินออกไปนอกบริเวณได้โดยเด็ดขาด

            นางซุนฮูหยินต้องกลซุนกวนจากเล่าปี่มาครั้งนี้แล้วก็ได้แต่โศกเศร้าเสียใจอาลัยรักเล่าปี่ และไม่ได้พบหน้าเล่าปี่อีกเลยจนตลอดชีวิต

            ทางด้านซุนกวนเมื่อเห็นว่าขวากหนามอันเป็นอุปสรรคที่จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเป็นอันถอดถอนเสร็จแล้ว จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว บรรดาขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบพร้อมกัน

            ดังนั้นซุนกวนจึงสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองทั้งปวงเพื่อเตรียมจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว

            ในระหว่างที่ซุนกวนกำลังระดมผู้คนเตรียมกองทัพอยู่นั้น ก็ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้โจโฉกำลังเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อทดแทนทหารที่สูญเสียจากสงครามภาคพายัพ แล้วเตรียมจะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง

            ซุนกวนทราบรายงานแล้วจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนาง ปรารภความว่า เรากำลังจัดแจงแต่งกองทัพจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว แต่บัดนี้มีรายงานแจ้งว่าโจโฉก็กำลังเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด

            โลซกจึงว่าโจโฉได้แต่งกองทัพหน้ายกมาบรรจบทัพกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าอยู่ก่อนแล้ว มีกำลังพลถึงสิบหมื่น ซึ่งโจโฉจะยกกองทัพลงใต้ในครั้งนี้ก็หมายแก้ความอัปยศแต่ครั้งสงครามเซ็กเพ็ก และมีข่าวเล่าลือว่ากำลังทหารที่โจโฉเตรียมการจะยกมาแต่เมืองหลวงนั้นมีกำลังถึงสี่สิบหมื่น เมื่อรวมกับกองทัพเมืองหับป๋าก็จะมีกำลังพลกว่าห้าสิบหมื่น ในครั้งนี้แม้ว่าเล่าปี่จะยกไปเมืองเสฉวนแต่เมืองเกงจิ๋วก็ใช่ว่าจะว่างเปล่า เพราะได้มอบให้ขงเบ้งเป็นผู้รักษาเมือง

            แล้วโลซกจึงกล่าวสืบไปว่า อันสติปัญญาของขงเบ้งนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ว่าลึกซึ้งกว้างขวางดังพระมหาสมุทร เห็นจะป้องกันรักษาเมืองเกงจิ๋วเอาไว้ได้ อนึ่งเล่าแม้ท่านยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว สงครามเกิดขึ้นแล้วทหารก็จะเสียหายทั้งสองฝ่าย หากโจโฉยกกองทัพมาเห็นจะรับมือได้ขัดสน ท่านจงยับยั้งชั่งใจดูก่อนเถิด

            เตียวเจียวที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาหวาดเกรงกองทัพโจโฉเป็นอันมาก ครั้นได้ฟังคำโลซกดังนั้นจึงกล่าวสนับสนุนว่าการป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้ปลอดภัยมีความสำคัญสูงสุด ถึงแม้จะไม่ได้เมืองเกงจิ๋วแต่หากรักษาเมืองกังตั๋งเอาไว้ได้ท่านก็จะไม่อับอายขายหน้าต่อบรรพบุรุษ แต่ถ้าหากได้เมืองเกงจิ๋วแล้วแต่กลับต้องเสียเมืองกังตั๋งไปก็เท่ากับปราชัยอยู่นั่นเอง ขอท่านได้ทำตามความเห็นของโลซกเมืองกังตั๋งก็จะไม่มีอันตราย

            บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นโลซกและเตียวเจียวมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งความเห็นนั้นก็เปี่ยมด้วยเหตุและผล จึงสนับสนุนให้ซุนกวนงดกองทัพเอาไว้ก่อนแล้วคิดอ่านวางแผนเพื่อป้องกันรับมือกับโจโฉต่อไป

            ในขณะที่ปรึกษากันอยู่นั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานแก่ซุนกวนว่า เตียวเหียนขุนนางตำแหน่งเลขาธิการซึ่งขอลาป่วยกลับไปรักษาตัวอยู่ที่ภูมิลำเนาเดิมนั้นบัดนี้ถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนตายเตียวเหียนได้ทำหนังสือฉบับหนึ่ง กำชับบุตรหลานให้นำมามอบแก่ท่าน แลบุตรของเตียวเหียนได้ส่งหนังสือของเตียวเหียนพร้อมกับการแจ้งข่าวตายมาด้วยแล้ว

            ซุนกวนรับหนังสือของเตียวเหียนมาเปิดผนึกอ่านเป็นใจความว่า “ท่านจะอยู่ในเมืองกังตั๋งนั้นมิได้ ขอให้ยกไปตั้งอยู่ในเมืองเบาะเหลงเห็นภูมิฐานนั้นกว้างขวาง จะเป็นที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้”

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่าเตียวเหียนผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสถาปัตย์และฮวงจุ้ย ได้ทำหนังสือสำคัญไว้ก่อนตายเพื่อมอบแก่ซุนกวนเป็นเนื้อความว่า เมืองเบาะเหลงนี้มีภูมิต้องด้วยศีรษะมังกร เป็นทำเลที่เหมาะแก่การตั้งเมืองหลวงสำหรับพระมหากษัตริย์และมีลักษณะธาตุเป็นคุณแก่ซุนกวน หากตั้งเมืองหลวงที่เมืองเบาะเหลงแล้วซุนกวนก็จะได้เป็นพระมหากษัตริย์สืบทอดสมบัติพัสถานของตระกูล “ซุน” ได้ยั่งยืนนับหมื่นปี

            ซุนกวนทราบข่าวตายของเตียวเหียนและทราบความตามหนังสือของเตียวเหียนแล้วก็รำลึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมแต่หนหลังก็ร้องไห้ และกล่าวแก่บรรดาขุนนางทั้งปวงว่าเลขาธิการเตียวเหียนผู้นี้มีความซื่อสัตย์ภักดีต่อตระกูล “ซุน” และตัวเราโดยสุจริต ทำราชการด้วยความทุ่มเทมิเห็นแก่ความเหนื่อยยาก ถึงจะตายก็ยังสู้อุตส่าห์ทำหนังสือเสนอความเห็นอันเป็นประโยชน์ไปในภายหน้า

            ว่าแล้วซุนกวนจึงสั่งการให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองเบาะเหลง เกณฑ์ทหารและราษฎรจำนวนมากไปก่อสร้างเมืองใหม่ ให้เร่งรีบทำทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะศาลาว่าราชการและจวนที่พัก ตลอดจนตึกที่รับรองแขกเมือง และอาคารอดิเรกต่าง ๆ ให้สร้างตามแบบอย่างการสร้างพระราชวังทุกประการ

            เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด เดือนหก การก่อสร้างจวนใหม่แล้วเสร็จ ซุนกวนจึงย้ายเมืองหลวงของเมืองกังตั๋งไปอยู่ที่เมืองเบาะเหลง และเร่งการก่อสร้างเมืองหลวงของแคว้นกังตั๋งส่วนที่เหลือจนแล้วเสร็จ

            อยู่มาวันหนึ่งซุนกวนออกว่าราชการ ลิบองได้เข้ามาเสนอความเห็นว่าบัดนี้กองทัพของโจโฉได้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพออกจากเมืองหลวงแล้ว การซึ่งจะรับมือกับกองทัพโจโฉในครั้งนี้ขอให้สร้างป้อมค่ายไว้ที่ปากน้ำเมืองยี่สู ทำเป็นป้อมสูงใหญ่แข็งแรงเสมอด้วยกำแพงป้อมของเมืองหลวงเพื่อซุ่มทหารจำนวนมากไว้ภายในป้อม จะได้ยกตีกระหนาบพร้อมกับกองทัพซึ่งแต่งตั้งค่ายรายเรียงไว้รับมือกับข้าศึก

            บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังคำลิบองดังนั้นก็ทักท้วงว่า เมื่อกองทัพโจโฉยกมาชอบที่ท่านจะยกกองทัพเรือไปต่อตีด้วยกองทัพโจโฉ หรือถ้าแม้นให้โจโฉยกล้ำเข้ามาในแดนเราแล้วค่อยเข้าโจมตีก็เพียงแต่ตั้งค่ายไว้หน้าเมืองจึงจะชอบด้วยพิชัยสงคราม ไฉนจะต้องไปสร้างป้อมปราการอยู่ที่ปากแม่น้ำยี่สูเล่า

            ลิบองได้ฟังก็แก้ว่าประเพณีแต่ก่อนมามีแต่รบทางบกและทางทะเล ยังไม่เคยปรากฏการรบริมชายฝั่ง อันการสงครามทั้งปวงนั้นย่อมพัฒนาไป เมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กโจโฉใช้กองทัพเรือเป็นหลักในการยุทธ์ ใช้กองทัพบกเป็นการยุทธ์รอง มาครั้งนี้ที่ไหนเลยโจโฉจะไม่สรุปบทเรียนแล้วยอมพลาดพลั้งเสียทีแบบเดียวกับสงครามเซ็กเพ็ก ฉะนั้นการซึ่งจะอาศัยแต่กองทัพเรือสู้รบด้วยโจโฉจึงยากที่จะได้ชัยชนะ แม้หากจะต่อกรด้วยการรบทางบกก็เท่ากับเอาจุดอ่อนของเมืองเราเข้าต่อสู้กับจุดแข็งของข้าศึก ดังนี้จึงชอบที่จะกำหนดการยุทธ์ครั้งนี้เป็นการยุทธ์ชายทะเล

            ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่าความคิดของลิบองลึกซึ้งแหลมคมและเหมาะสมที่จะใช้ในการรับมือกับกองทัพโจโฉในครั้งนี้

            ว่าแล้วซุนกวนจึงสั่งให้ก่อสร้างป้อมปราการตามข้อเสนอของลิบองที่ปากน้ำเมืองยี่สู ให้เร่งมือก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อให้แล้วเสร็จภายในสองเดือน

            ฝ่ายโจโฉอยู่ที่เมืองฮูโต๋ ครั้นเสร็จศึกภาคพายัพกองทัพก็อ่อนล้าลง จึงให้ปรับปรุงบำรุงกองทัพครั้งใหญ่ ให้เกณฑ์ชายฉกรรจ์จากบรรดาหัวเมืองทั้งปวงแล้วฝึกปรือทหารเตรียมการที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง

            ครั้นโจโฉได้ทราบว่าเตียวล่อจัดแจงกองทัพจะยกไปตีเมืองเสฉวน เล่าเจี้ยงได้เชิญให้เล่าปี่ยกกองทัพไปช่วย เล่าปี่รับคำเชิญเล่าเจี้ยงแล้วยกกองทัพไปตั้งรับกองทัพของเตียวล่ออยู่ที่ด่านแฮบังก๋วน โจโฉจึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด

            เทียหยกจึงเสนอว่าเมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กได้สร้างความเคียดแค้นไว้กับกองทัพเมืองหลวงเป็นอันมาก ทหารเมืองหลวงทุกคนล้วนพยาบาทคิดจะยกไปแก้แค้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ขัดสนด้วยเล่าปี่และซุนกวนยังมีไมตรีสนิทต่อกันจึงทำการไม่ถนัด บัดนี้เล่าปี่ยกกองทัพไปที่ด่านแฮบังก๋วนเป็นหนทางไกล จึงสิ้นที่กังวลว่าเล่าปี่จะยกกองทัพไปช่วยซุนกวน ท่านจึงทำการด้านเมืองกังตั๋งได้โดยสะดวก

            ซุนฮิวจึงว่าการข้างเมืองกังตั๋งนั้นก็เป็นดังความเห็นของเทียหยก แต่บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนและกองทัพเมืองฮันต๋งกำลังจะเปิดศึกสงครามต่อกันย่อมเป็นศึกติดพัน หากเรายกกองทัพไปซ้ำเติมเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย อุปมาดังงูใหญ่รัดติดพันอยู่กับหมูป่าแล้วตั้งหน้าต่อสู้กัดรัดพันกัน ตัวท่านเหมือนดังพญาพยัคฆ์ชอบจะจับทั้งงูใหญ่และหมูป่าเป็นอาหาร ดังนั้นจึงควรที่ท่านจะยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวน

            โจโฉได้ฟังที่ปรึกษาออกความเห็นดังนั้นจึงว่า ซึ่งจะยกไปตีเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนนั้นไม่ควร เพราะทั้งเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนต่างเป็นหัวเมืองใหญ่ ที่ตั้งหน้าทำสงครามต่อกันก็เพราะเห็นว่าเราไม่เคยคิดที่จะยกกองทัพไปภาคตะวันตก แต่ถ้าหากทราบว่าเราจะยกกองทัพไปตีเอาเมือง ดีร้ายทั้งเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนก็จะหันกลับมาร่วมมือกันต่อสู้กับกองทัพเมืองหลวง เราก็จะเปลืองแรงเปล่า สู้ปล่อยให้เมืองเสฉวนและเมืองฮันต๋งล้างผลาญกันให้วายวอดเสียก่อนแล้วค่อยยกไปซ้ำเติมในภายหลังก็จะได้โดยง่าย แลบัดนี้เล่าปี่ยกไปที่ด่านแฮบังก๋วนเป็นทางไกลและทุรกันดาร ไม่อาจยกกลับไปช่วยเหลือซุนกวนได้ โอกาสงามดังนี้จึงสมควรที่เราจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งล้างแค้นซุนกวนก่อน

            บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย โจโฉจึงเร่งให้เตรียมกองทัพและเสบียงอาหารรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง

            ในขณะที่โจโฉกำลังเตรียมกองทัพอยู่นั้น ตังเจี๋ยวซึ่งเป็นขุนนางเก่าแต่ครั้งพระเจ้าฮั่นเต้ มีตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการและเป็นที่ปรึกษาโจโฉอีกตำแหน่งหนึ่ง ได้เข้าไปเสนอความเห็นแก่โจโฉว่าซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้โปรดเกล้าพระราชทานความชอบในการปราบศึกภาคพายัพได้สำเร็จนั้น ยังหาสมกับความชอบของท่านไม่

            ตังเจี๋ยวได้อ้างเหตุผลว่า “ครั้งนี้ท่านประกอบด้วยอุตส่าห์ตากฝนทนแดด ยกทหารไปเที่ยวปราบปรามขอบขัณฑสีมาให้ราบคาบ ทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่เย็นเป็นสุข อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีนักหนา แลแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็คืนบริบูรณ์เป็นปกติ ความชอบของท่านครั้งนี้ก็ยิ่งกว่าความชอบของลิบองซึ่งเป็นอุปราชของพระเจ้าจิวบุนอ๋องอีก ซึ่งท่านจะตั้งอยู่ในที่มหาอุปราชนี้หาควรไม่ ขอให้เลื่อนที่ขึ้นเป็นวุยก๋ง แลประกอบด้วยยศอีกเก้าประการ จึงจะสมด้วยความชอบของท่าน”

            “แลยศเก้าประการนั้น ประการหนึ่งให้ขี่รถเข้าเฝ้าเทียมม้าแปดม้า ประการหนึ่งแต่งตัวอย่างลูกหลวงเอก ประการหนึ่งให้มีดนตรีแตรสังข์ประโคมเช้าค่ำ ประการหนึ่งที่อยู่ให้ทาชาดอย่างเรือนหลวง ประการหนึ่งให้มีท้องพระโรงเป็นที่ออกว่าราชการแก่ขุนนางทั้งปวง ประการหนึ่งให้มีหมู่ทหารสามร้อยรักษาองค์ ประการหนึ่งให้แห่แหนโดยขบวนอย่างเสด็จมีที่ประพาส ประการหนึ่งให้มีทหารถือเกาทัณฑ์แซงนอกในซ้ายขวาโดยขนาด ประการหนึ่งจะไปแห่งใดให้มีเจ้าพนักงานชูกระถางธูปแห่ไปข้างหน้าอย่างแห่เสด็จ”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘