ตอนที่ 348. ศึกชิงกล่องดวงใจ
ซุนกวนคิดฉวยโอกาสที่เล่าปี่ยกกองทัพไปเมืองเสฉวนและโจโฉต้องพักรบปรับปรุงกองทัพเนื่องแต่กรำศึกภาคพายัพจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว แต่ติดขัดด้วยนางซุนฮูหยินน้องสาวซึ่งเป็นภรรยาของเล่าปี่ เกรงว่าหากเกิดศึกสงครามแล้วเล่าปี่ก็จะฆ่านางซุนฮูหยินเสีย จึงทำกลอุบายให้จิวเสี้ยนเดินทางไปลวงนางซุนฮูหยินที่เมืองเกงจิ๋ว
ครั้นนางซุนฮูหยินตั้งสติกับข่าวมารดาป่วยหนักได้แล้ว จึงถามจิวเสี้ยนว่าซึ่งมารดาเราป่วยทั้งนี้มีเหตุแต่โรคภัยประการใด
จิวเสี้ยนจึงว่าพระแม่เมืองกังตั๋งจะเป็นโรคใดนั้นไม่แจ้ง แต่อาการหนักหนาสาหัส เห็นจะไม่รอดชีวิต จึงใคร่ได้เห็นหน้าท่านและอาเต๊าผู้หลานสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงรีบมาเพื่อจะรับท่านกลับไปดูใจมารดา
นางซุนฮูหยินจึงว่าเวลานี้เล่าปี่ไม่อยู่เมืองเกงจิ๋ว อยู่แต่ขงเบ้งเป็นผู้รักษาเมือง เราจะเข้าไปบอกกล่าวขงเบ้งให้ทราบความก่อนแล้วจะตามท่านไป
จิวเสี้ยนจึงว่าเรื่องนี้เป็นการในครอบครัวของท่าน ถ้าหากท่านบอกกล่าวให้ขงเบ้งรู้ขงเบ้งก็จะต้องบอกแก่เล่าปี่และรอฟังความเห็นของเล่าปี่ก่อน กว่าหนังสือจะไปถึงและกลับมาท่านจะทันไปดูใจมารดาหรือ
นางซุนฮูหยินฟังคำจิวเสี้ยนก็เห็นว่าหากบอกลาขงเบ้งก่อนก็อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้นางกลับไปทันดูใจมารดา “นางซุนฮูหยินมีความรักมารดาเป็นกำลัง ดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในหัวใจ จะใคร่ไปเห็นมารดาโดยด่วน”
นางซุนฮูหยินคำนึงดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจไปกับจิวเสี้ยน แล้วสั่งให้สาวใช้สามสิบคนแต่งตัวในชุดออกรบพร้อมศาสตราวุธครบมือ จัดข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแล้วอุ้มอาเต๊าออกมาขึ้นรถม้าที่หน้าจวน ทหารรักษาการณ์ประจำจวนของเล่าปี่เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็สอบถามว่าฮูหยินจะรีบร้อนไปหนไหน นางซุนฮูหยินไม่ตอบคำ รีบขึ้นรถม้าแล้วพาขบวนตรงไปที่ท่าเรือ
พอไปถึงท่าเรือจิวเสี้ยนก็เร่งให้นางซุนฮูหยินและสาวใช้ที่ติดตามรีบลงเรือ แล้วถอนสมอเรือล่องกลับไปตามแม่น้ำเพื่อจะออกปากอ่าวกลับไปเมืองกังตั๋ง
ในขณะนั้นจูล่งคุมทหารออกลาดตระเวนตามปกติ มาถึงท่าเรือเห็นเรือนางซุนฮู หยินออกจากท่าก็ถามทหารรักษาการณ์ที่ท่าเรือเมืองเกงจิ๋ว จึงทราบความว่านางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าลงเรือไปกับชาวเมืองกังตั๋งก็ตกใจ
จูล่งจึงขี่ม้าพาทหารสี่คนไปตามชายตลิ่ง แล้วร้องเรียกนางซุนฮูหยินว่าอย่าเพิ่งไป ในขณะนั้นนางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าเข้าไปนั่งอยู่ในประทุนเรือ แต่จิวเสี้ยนถือทวนยืนอยู่หน้าประทุน ร้องตอบกลับมาว่าตัวท่านเป็นใครจึงบังอาจมาขัดขวางนายหญิงของเรา
ว่าแล้วจิวเสี้ยนก็เร่งทหารให้แจวเรือแล่นไปตามลำน้ำ และสั่งให้ทหารประจำเรือพร้อมอาวุธเข้าประจำการอยู่บนกราบเรือ
จูล่งยังคงขี่ม้าลัดเลาะตามริมฝั่งน้ำ แล้วร้องเรียกนางซุนฮูหยินว่าท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็ตามทีเถิด แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้พบหน้าสนทนาด้วยสักคำหนึ่ง
ไม่มีเสียงขานตอบจากคนบนเรือ คงมีแต่เสียงของจิวเสี้ยนเร่งพลแจวให้รีบแจวเรือโดยเต็มกำลัง หวังออกปากอ่าวให้เร็วที่สุด
จูล่งขี่ม้าเลียบตามตลิ่งริมแม่น้ำไล่ตามกองเรือของจิวเสี้ยนเป็นระยะทางถึงร้อยเส้นก็เห็นเรือหาปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง จูล่งจึงกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งไปลงเรือหาปลา ในมือถือทวน และให้ทหารสองคนรีบแจวเรือตรงไปที่เรือใหญ่ซึ่งนางซุนฮูหยินอยู่บนเรือนั้น
จิวเสี้ยนเห็นเรือของจูล่งเข้ามาใกล้ จึงสั่งให้ทหารบนเรือระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่จูล่ง จูล่งก็ใช้ทวนกวัดแกว่งปัดลูกเกาทัณฑ์จนกระเด็นตกน้ำสิ้น พอเรือหาปลาของจูล่งใกล้จะเทียบเรือของนางซุนฮูหยิน ทหารเมืองกังตั๋งบนเรือก็ใช้ทวนยาวรุมแทงมาที่จูล่ง
จูล่งวางทวนยาวไว้ในเรือแล้วชักกระบี่แชฮ้งเกี้ยมฟาดฟันไปที่ทวนของทหารเมืองกังตั๋งจนขาดร่วงลงน้ำ แล้วกระโดดขึ้นไปบนเรือใหญ่ ทหารเมืองกังตั๋งพากันกรูเข้ามาใช้ทวนแทง จูล่งก็ใช้กระบี่แชฮ้งเกี้ยมกรีดกรายฟาดฟันจนทหารเมืองกังตั๋งต้องถอยร่นไปที่กราบเรืออีกด้านหนึ่ง ไม่กล้าเข้ามาใกล้
จูล่งตรงเข้าไปที่ประทุนเรือ เห็นนางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าอยู่ก็คำนับ แต่นางซุนฮูหยินตวาดกลับมาว่าจูล่งท่านไฉนไร้มารยาทบุกรุกเข้ามาถึงตัวเราดังนี้
จูล่งสอดกระบี่แชฮ้งเกี้ยมกลับเข้าฝักดังเดิม คำนับนางซุนฮูหยินแล้วถามว่าฮูหยินจะเดินทางไปแห่งหนตำบลใด แล้วไฉนจึงไม่แจ้งให้ขงเบ้งทราบก่อน
นางซุนฮูหยินจึงว่ามารดาของเราป่วยหนักจำต้องรีบไป จึงไม่อาจแจ้งให้ขงเบ้งทราบได้ทัน
จูล่งจึงว่าฮูหยินจะไปก็ตามแต่ใจเถิด แต่เหตุไฉนจึงจะเอาอาเต๊าไปด้วยเล่า
นางซุนฮูหยินจึงว่า อาเต๊านี้เป็นบุตรเล่าปี่ก็เหมือนหนึ่งเป็นบุตรของเรา เล่าปี่ไปศึกทางไกลจะให้เราทิ้งบุตรไว้แต่ผู้เดียวกระนั้นหรือ ความรู้ถึงเล่าปี่ก็จะตำหนิติเตียนว่าเราไม่รักบุตร และการซึ่งเราจะกลับไปเยี่ยมมารดานั้นมิรู้เป็นตายร้ายดีประการใด อาจเป็นวันหนึ่งหรือหลายวันจึงจะกลับมาเมืองเกงจิ๋ว ไม่มีผู้ใดจะดูแลรักษาอาเต๊า เราจึงจำเป็นต้องเอาอาเต๊าไปด้วย
จูล่งจึงแย้งว่าเล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรคืออาเต๊าผู้เดียวนี้เป็นสายโลหิต หวังจะได้สืบตระกูลตามประเพณี เล่าปี่จึงรักดังดวงใจ เพราะประจักษ์ในความรักของเล่าปี่ผู้เป็นนายดังนี้เมื่อครั้งศึกทุ่งเตียงปัน ทหารโจโฉถึงร้อยหมื่นกลุ้มรุมล้อมอยู่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นแก่ชีวิต สู้ตีฝ่าเข้าไปชิงเอาอาเต๊าแก้วตาดวงใจของเล่าปี่กลับมา ในครานั้นตัวข้าพเจ้าก็หวิดจะตายท่ามกลางคมหอกดาบของทหารโจโฉ เหตุนี้แม้ข้าพเจ้าจะต้องตายถึงพันครั้งก็ไม่อาจยินยอมให้ฮูหยินนำอาเต๊าไปเมืองกังตั๋งได้
นางซุนฮูหยินได้ฟังจูล่งดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่จูล่งว่า “มึงเป็นแต่นายทหาร ควรหรือมาล่วงบังคับการในเรือนเจ้าฉะนี้ โอหังหนักหนา ไสคอออกไปเสียให้พ้น” ว่าแล้วนางซุนฮูหยินจึงให้สาวใช้เข้าคุมตัวจูล่งจะฉุดออกไปนอกประทุนเรือ
จูล่งเห็นการณ์คับขันเกรงว่าจะเสียอาเต๊าจึงสะบัดแขนที่ถูกสาวใช้ของนางซุนฮูหยินเข้าคุมอยู่นั้น จนบรรดาสาวใช้ล้มกระเด็นลงกับพื้นเรือ แล้วว่า “แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้ามิให้เอาไป”
กล่าวสิ้นคำจูล่งก็ปราดเข้าถึงตัวนางซุนฮูหยิน ชิงเอาอาเต๊ามาอุ้มไว้กับอก แล้วออกไปยืนหน้าประทุนเรือ แลเห็นเรือแล่นอยู่กลางลำแม่น้ำ มิรู้ที่จะขึ้นบกได้ประการใด ครั้นจ้องมองหาเรือน้อยที่ผูกติดอยู่กับเรือใหญ่ ทหารจิวเสี้ยนก็ฟันเชือกซึ่งผูกเรือน้อยนั้นปล่อยให้ลอยตามแม่น้ำไปหมดสิ้น ครั้นจะคิดฆ่าฟันทหารบนเรือเสียให้สิ้นแล้วบังคับเรือเข้าฝั่งก็จนใจด้วยเกรงจะล่วงเกินนางผู้เป็นภรรยาของเล่าปี่ ไม่อาจตัดใจกระทำได้
บรรดาสาวใช้และทหารเมืองกังตั๋งที่อยู่บนเรือจะบุกเข้าชิงเอาอาเต๊าจากอกจูล่งก็มิกล้า เพราะแม้มือหนึ่งจูล่งจะอุ้มอาเต๊าแนบไว้กับอก แต่อีกมือหนึ่งก็ชักกระบี่แชฮ้งเกี้ยมออกมากวัดแกว่งป้องกันตัวอยู่ คนทั้งนั้นจึงได้แต่ล้อมจูล่งไว้ห่าง ๆ
ในขณะนั้นจิวเสี้ยนก็เร่งพลแจวให้รีบแจวเรือเพื่อจะออกปากอ่าวให้เร็วที่สุด จะได้ยกเข้าแดนเมืองกังตั๋ง
ในขณะที่จูล่งอุ้มอาเต๊าเป็นกังวลอยู่บนเรือ พลันเห็นเรือรบกองหนึ่งสิบกว่าลำแล่นสวนมาทางปากน้ำลั่นกลองศึกมาแต่ไกล ๆ จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจสำคัญว่าเป็นกองเรือเมืองกังตั๋งยกมา แต่พอกองเรือนั้นเข้ามาใกล้เห็นธงบนเรือระบุชื่อตัวนายว่าเตียวหุยก็ค่อยคลายใจ
ความจริงในขณะนั้นเตียวหุยคุมกองเรือออกลาดตระเวนตามน่านน้ำเมืองเกงจิ๋ว หลังจากลาดตระเวนตามชายทะเลแล้วจะล่องเรือเข้ามาตามลำแม่น้ำเพื่อจะไปขึ้นท่าหน้าเมืองเกงจิ๋ว พอกองเรือของเตียวหุยมาถึงปากน้ำก็ได้รับแจ้งจากทหารรักษาการณ์ว่าขงเบ้งมีคำสั่งให้สกัดเรือของเมืองกังตั๋ง แล้วนำอาเต๊ากลับคืนให้จงได้
เตียวหุยทราบความก็ตกใจรีบพากองเรือยกมาจึงสวนกับขบวนเรือของจิวเสี้ยน พอกองเรือเตียวหุยเข้ามาใกล้ก็เห็นจูล่งอุ้มอาเต๊าถือกระบี่กวัดแกว่งอยู่บนเรือ เตียวหุยจึงสั่งให้เทียบเรือเข้ากับเรือที่จูล่งยืนอยู่นั้น ปากก็ร้องตะโกนว่าพี่สะใภ้ท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็ไปแต่ตัวเถิด จะเอาอาเต๊าไปนั้นมิได้
จูล่งเห็นเหตุการณ์ผันแปรดังนั้นก็ดีใจ พอดีเรือเตียวหุยเทียบเข้ามาใกล้กับเรือของจูล่ง เตียวหุยได้กระโดดขึ้นมาบนเรือใกล้กับที่จิวเสี้ยนยืนถือทวนบัญชาการอยู่นั้น
จิวเสี้ยนเห็นเตียวหุยกระโดดขึ้นมาบนเรือยังไม่ทันตั้งตัวก็ใช้ทวนแทงเตียวหุย เตียวหุยชักกระบี่ออกมาปัดทวนของจิวเสี้ยนกระเด็นออกไปแล้วฟันจิวเสี้ยนคอขาดกระเด็นตกลงบนพื้นเรือ หัวของจิวเสี้ยนกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้านางซุนฮูหยิน
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ แต่โกรธเตียวหุยเป็นอันมาก ตวาดใส่เตียวหุยว่าเหตุไฉนจึงไร้มารยาทต่อเราถึงปานนี้
เตียวหุยไม่แก้ตัวแต่ตอบย้อนคำว่า พี่สะใภ้ท่านจะกลับไปเมืองกังตั๋งแต่ไม่บอกกล่าวให้เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าทราบ แม้ขงเบ้งอยู่รักษาเมืองพี่สะใภ้ท่านก็ปิดงำไม่บอกกล่าวทำราวกับเป็นการหนี นี่สิจึงเป็นการไร้มารยาท
เตียวหุยแม้เป็นคนใจร้อนแต่ถ้อยร้อยวาจาก็ตรงไปตรงมา นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเตียวหุยก็ไม่อาจตำหนิต่อไปได้ กลับต้องกล่าวแก้ตัวว่าซึ่งเราจะไปเมืองกังตั๋งครั้งนี้เพราะมารดาของเราป่วยหนักเกรงว่าจะไม่ทันดูใจ จึงไม่อาจรอพี่ท่านกลับมาได้ ดังนี้จะว่าเราเสียมารยาทก็ตามใจ แต่ถ้าหากแม้นมิให้เรากลับไปเมืองกังตั๋ง เราก็จักกระโดดน้ำตายไม่ให้เจ้าข่มเหงน้ำใจได้อีกต่อไป
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เดินเข้ามาปรึกษากับจูล่งว่าจะทำประการใด จูล่งจึงว่าซึ่งฮูหยินจะเดินทางกลับไปเยี่ยมารดาซึ่งป่วยหนักก็ชอบด้วยประเพณี แลบัดนี้ อาเต๊าก็อยู่ในอกข้าพเจ้าแล้ว พวกเราสมควรกลับเข้าไปหากุนซือก่อน ส่วนการที่ฮูหยินจะกลับไปเยือนมารดานั้นก็เหมือนการของเล่าปี่นายเรา จะขัดขวางไว้ไม่สมควร
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงคำนับนางซุนฮูหยินแล้วว่า “อันเล่าปี่พี่เราก็เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านได้มาอยู่กับพี่เรา พี่เราก็กรุณาเอ็นดู มิได้สู้ความอายนัก ถึงมาตรว่าตัวท่านจะไปก็จงคิดถึงความอาลัยแต่หนหลัง ซึ่งได้เป็นภรรยาสามีกันตามประเพณีโลกทั้งปวง แล้วเร่งกลับมา”
ว่าแล้วเตียวหุยและจูล่งซึ่งอุ้มอาเต๊าอยู่ในอกก็กระโดดข้ามมาที่เรือของเตียวหุย ปล่อยให้ขบวนเรือของนางซุนฮูหยินแล่นออกไปทางปากอ่าวกลับไปเมืองกังตั๋ง
ในวันเวลาที่นางซุนฮูหยินออกไปจากจวนของเล่าปี่จะกลับไปเมืองกังตั๋งนั้น ขงเบ้ง ออกไปสั่งราชการที่ศาลาว่าราชการเมืองเกงจิ๋ว ในขณะที่ปรึกษาราชการกับขุนนางทั้งปวงนั้นทหารรักษาการณ์ประจำจวนของเล่าปี่ได้วิ่งเข้ามารายงานว่าบัดนี้นางซุนฮูหยินพาอาเต๊าไปกับชาวเมืองกังตั๋ง
ขงเบ้งฟังรายงานก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารรักษาการณ์ไปดักแจ้งความแก่เตียวหุยซึ่งลาดตระเวนอยู่ตามชายทะเลและจะกลับเข้ามาในแม่น้ำให้สกัดเรือเมืองกังตั๋งชิงเอาอาเต๊ากลับมาให้จงได้
สั่งการเสร็จแล้วขงเบ้งรีบไปยังฐานทัพเรือเมืองเกงจิ๋ว คุมทหารลงเรือรีบยกไล่ตามขบวนเรือของจิวเสี้ยนไปตามลำแม่น้ำจึงสวนกับขบวนเรือของเตียวหุยและจูล่ง ขงเบ้งจึงสั่งให้เทียบเรือเข้าไปที่เรือของเตียวหุย เห็นจูล่งและเตียวหุยอยู่บนเรือก็มีความยินดี รีบถามจูล่งว่าอาเต๊าปลอดภัยดีหรือ
จูล่งอุ้มอาเต๊าหันมาทางขงเบ้ง แล้วว่าอาเต๊าปลอดภัยและสบายดี ขงเบ้งก็มีความยินดี จากนั้นขงเบ้งจึงสั่งให้ขบวนเรือทั้งปวงยกไปที่ท่าเรือเมืองเกงจิ๋ว แล้วทำรายงานแจ้งความซึ่งนางซุนฮูหยินกลับเมืองกังตั๋งให้ทหารถือไปให้เล่าปี่ที่ด่านแฮบังก๋วน
ฝ่ายนางซุนฮูหยินครั้นกลับไปถึงเมืองกังตั๋งก็เข้าไปหาซุนกวน เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบ ครั้นซุนกวนทราบว่าเตียวหุยและจูล่งชิงเอาอาเต๊ากลับไปได้และสังหาร จิวเสี้ยนเสียอีกก็โกรธเล่าปี่เป็นอันมาก
ซุนกวนจึงกล่าวกับนางซุนฮูหยินว่า “บัดนี้น้องเรากลับมาได้แล้ว อันเล่าปี่กับเราก็ขาดจากประเพณีที่จะผูกพันกันสืบไป เราจะยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้”.
ครั้นนางซุนฮูหยินตั้งสติกับข่าวมารดาป่วยหนักได้แล้ว จึงถามจิวเสี้ยนว่าซึ่งมารดาเราป่วยทั้งนี้มีเหตุแต่โรคภัยประการใด
จิวเสี้ยนจึงว่าพระแม่เมืองกังตั๋งจะเป็นโรคใดนั้นไม่แจ้ง แต่อาการหนักหนาสาหัส เห็นจะไม่รอดชีวิต จึงใคร่ได้เห็นหน้าท่านและอาเต๊าผู้หลานสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงรีบมาเพื่อจะรับท่านกลับไปดูใจมารดา
นางซุนฮูหยินจึงว่าเวลานี้เล่าปี่ไม่อยู่เมืองเกงจิ๋ว อยู่แต่ขงเบ้งเป็นผู้รักษาเมือง เราจะเข้าไปบอกกล่าวขงเบ้งให้ทราบความก่อนแล้วจะตามท่านไป
จิวเสี้ยนจึงว่าเรื่องนี้เป็นการในครอบครัวของท่าน ถ้าหากท่านบอกกล่าวให้ขงเบ้งรู้ขงเบ้งก็จะต้องบอกแก่เล่าปี่และรอฟังความเห็นของเล่าปี่ก่อน กว่าหนังสือจะไปถึงและกลับมาท่านจะทันไปดูใจมารดาหรือ
นางซุนฮูหยินฟังคำจิวเสี้ยนก็เห็นว่าหากบอกลาขงเบ้งก่อนก็อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้นางกลับไปทันดูใจมารดา “นางซุนฮูหยินมีความรักมารดาเป็นกำลัง ดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในหัวใจ จะใคร่ไปเห็นมารดาโดยด่วน”
นางซุนฮูหยินคำนึงดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจไปกับจิวเสี้ยน แล้วสั่งให้สาวใช้สามสิบคนแต่งตัวในชุดออกรบพร้อมศาสตราวุธครบมือ จัดข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแล้วอุ้มอาเต๊าออกมาขึ้นรถม้าที่หน้าจวน ทหารรักษาการณ์ประจำจวนของเล่าปี่เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็สอบถามว่าฮูหยินจะรีบร้อนไปหนไหน นางซุนฮูหยินไม่ตอบคำ รีบขึ้นรถม้าแล้วพาขบวนตรงไปที่ท่าเรือ
พอไปถึงท่าเรือจิวเสี้ยนก็เร่งให้นางซุนฮูหยินและสาวใช้ที่ติดตามรีบลงเรือ แล้วถอนสมอเรือล่องกลับไปตามแม่น้ำเพื่อจะออกปากอ่าวกลับไปเมืองกังตั๋ง
ในขณะนั้นจูล่งคุมทหารออกลาดตระเวนตามปกติ มาถึงท่าเรือเห็นเรือนางซุนฮู หยินออกจากท่าก็ถามทหารรักษาการณ์ที่ท่าเรือเมืองเกงจิ๋ว จึงทราบความว่านางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าลงเรือไปกับชาวเมืองกังตั๋งก็ตกใจ
จูล่งจึงขี่ม้าพาทหารสี่คนไปตามชายตลิ่ง แล้วร้องเรียกนางซุนฮูหยินว่าอย่าเพิ่งไป ในขณะนั้นนางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าเข้าไปนั่งอยู่ในประทุนเรือ แต่จิวเสี้ยนถือทวนยืนอยู่หน้าประทุน ร้องตอบกลับมาว่าตัวท่านเป็นใครจึงบังอาจมาขัดขวางนายหญิงของเรา
ว่าแล้วจิวเสี้ยนก็เร่งทหารให้แจวเรือแล่นไปตามลำน้ำ และสั่งให้ทหารประจำเรือพร้อมอาวุธเข้าประจำการอยู่บนกราบเรือ
จูล่งยังคงขี่ม้าลัดเลาะตามริมฝั่งน้ำ แล้วร้องเรียกนางซุนฮูหยินว่าท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็ตามทีเถิด แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้พบหน้าสนทนาด้วยสักคำหนึ่ง
ไม่มีเสียงขานตอบจากคนบนเรือ คงมีแต่เสียงของจิวเสี้ยนเร่งพลแจวให้รีบแจวเรือโดยเต็มกำลัง หวังออกปากอ่าวให้เร็วที่สุด
จูล่งขี่ม้าเลียบตามตลิ่งริมแม่น้ำไล่ตามกองเรือของจิวเสี้ยนเป็นระยะทางถึงร้อยเส้นก็เห็นเรือหาปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง จูล่งจึงกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งไปลงเรือหาปลา ในมือถือทวน และให้ทหารสองคนรีบแจวเรือตรงไปที่เรือใหญ่ซึ่งนางซุนฮูหยินอยู่บนเรือนั้น
จิวเสี้ยนเห็นเรือของจูล่งเข้ามาใกล้ จึงสั่งให้ทหารบนเรือระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่จูล่ง จูล่งก็ใช้ทวนกวัดแกว่งปัดลูกเกาทัณฑ์จนกระเด็นตกน้ำสิ้น พอเรือหาปลาของจูล่งใกล้จะเทียบเรือของนางซุนฮูหยิน ทหารเมืองกังตั๋งบนเรือก็ใช้ทวนยาวรุมแทงมาที่จูล่ง
จูล่งวางทวนยาวไว้ในเรือแล้วชักกระบี่แชฮ้งเกี้ยมฟาดฟันไปที่ทวนของทหารเมืองกังตั๋งจนขาดร่วงลงน้ำ แล้วกระโดดขึ้นไปบนเรือใหญ่ ทหารเมืองกังตั๋งพากันกรูเข้ามาใช้ทวนแทง จูล่งก็ใช้กระบี่แชฮ้งเกี้ยมกรีดกรายฟาดฟันจนทหารเมืองกังตั๋งต้องถอยร่นไปที่กราบเรืออีกด้านหนึ่ง ไม่กล้าเข้ามาใกล้
จูล่งตรงเข้าไปที่ประทุนเรือ เห็นนางซุนฮูหยินอุ้มอาเต๊าอยู่ก็คำนับ แต่นางซุนฮูหยินตวาดกลับมาว่าจูล่งท่านไฉนไร้มารยาทบุกรุกเข้ามาถึงตัวเราดังนี้
จูล่งสอดกระบี่แชฮ้งเกี้ยมกลับเข้าฝักดังเดิม คำนับนางซุนฮูหยินแล้วถามว่าฮูหยินจะเดินทางไปแห่งหนตำบลใด แล้วไฉนจึงไม่แจ้งให้ขงเบ้งทราบก่อน
นางซุนฮูหยินจึงว่ามารดาของเราป่วยหนักจำต้องรีบไป จึงไม่อาจแจ้งให้ขงเบ้งทราบได้ทัน
จูล่งจึงว่าฮูหยินจะไปก็ตามแต่ใจเถิด แต่เหตุไฉนจึงจะเอาอาเต๊าไปด้วยเล่า
นางซุนฮูหยินจึงว่า อาเต๊านี้เป็นบุตรเล่าปี่ก็เหมือนหนึ่งเป็นบุตรของเรา เล่าปี่ไปศึกทางไกลจะให้เราทิ้งบุตรไว้แต่ผู้เดียวกระนั้นหรือ ความรู้ถึงเล่าปี่ก็จะตำหนิติเตียนว่าเราไม่รักบุตร และการซึ่งเราจะกลับไปเยี่ยมมารดานั้นมิรู้เป็นตายร้ายดีประการใด อาจเป็นวันหนึ่งหรือหลายวันจึงจะกลับมาเมืองเกงจิ๋ว ไม่มีผู้ใดจะดูแลรักษาอาเต๊า เราจึงจำเป็นต้องเอาอาเต๊าไปด้วย
จูล่งจึงแย้งว่าเล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรคืออาเต๊าผู้เดียวนี้เป็นสายโลหิต หวังจะได้สืบตระกูลตามประเพณี เล่าปี่จึงรักดังดวงใจ เพราะประจักษ์ในความรักของเล่าปี่ผู้เป็นนายดังนี้เมื่อครั้งศึกทุ่งเตียงปัน ทหารโจโฉถึงร้อยหมื่นกลุ้มรุมล้อมอยู่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นแก่ชีวิต สู้ตีฝ่าเข้าไปชิงเอาอาเต๊าแก้วตาดวงใจของเล่าปี่กลับมา ในครานั้นตัวข้าพเจ้าก็หวิดจะตายท่ามกลางคมหอกดาบของทหารโจโฉ เหตุนี้แม้ข้าพเจ้าจะต้องตายถึงพันครั้งก็ไม่อาจยินยอมให้ฮูหยินนำอาเต๊าไปเมืองกังตั๋งได้
นางซุนฮูหยินได้ฟังจูล่งดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่จูล่งว่า “มึงเป็นแต่นายทหาร ควรหรือมาล่วงบังคับการในเรือนเจ้าฉะนี้ โอหังหนักหนา ไสคอออกไปเสียให้พ้น” ว่าแล้วนางซุนฮูหยินจึงให้สาวใช้เข้าคุมตัวจูล่งจะฉุดออกไปนอกประทุนเรือ
จูล่งเห็นการณ์คับขันเกรงว่าจะเสียอาเต๊าจึงสะบัดแขนที่ถูกสาวใช้ของนางซุนฮูหยินเข้าคุมอยู่นั้น จนบรรดาสาวใช้ล้มกระเด็นลงกับพื้นเรือ แล้วว่า “แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้ามิให้เอาไป”
กล่าวสิ้นคำจูล่งก็ปราดเข้าถึงตัวนางซุนฮูหยิน ชิงเอาอาเต๊ามาอุ้มไว้กับอก แล้วออกไปยืนหน้าประทุนเรือ แลเห็นเรือแล่นอยู่กลางลำแม่น้ำ มิรู้ที่จะขึ้นบกได้ประการใด ครั้นจ้องมองหาเรือน้อยที่ผูกติดอยู่กับเรือใหญ่ ทหารจิวเสี้ยนก็ฟันเชือกซึ่งผูกเรือน้อยนั้นปล่อยให้ลอยตามแม่น้ำไปหมดสิ้น ครั้นจะคิดฆ่าฟันทหารบนเรือเสียให้สิ้นแล้วบังคับเรือเข้าฝั่งก็จนใจด้วยเกรงจะล่วงเกินนางผู้เป็นภรรยาของเล่าปี่ ไม่อาจตัดใจกระทำได้
บรรดาสาวใช้และทหารเมืองกังตั๋งที่อยู่บนเรือจะบุกเข้าชิงเอาอาเต๊าจากอกจูล่งก็มิกล้า เพราะแม้มือหนึ่งจูล่งจะอุ้มอาเต๊าแนบไว้กับอก แต่อีกมือหนึ่งก็ชักกระบี่แชฮ้งเกี้ยมออกมากวัดแกว่งป้องกันตัวอยู่ คนทั้งนั้นจึงได้แต่ล้อมจูล่งไว้ห่าง ๆ
ในขณะนั้นจิวเสี้ยนก็เร่งพลแจวให้รีบแจวเรือเพื่อจะออกปากอ่าวให้เร็วที่สุด จะได้ยกเข้าแดนเมืองกังตั๋ง
ในขณะที่จูล่งอุ้มอาเต๊าเป็นกังวลอยู่บนเรือ พลันเห็นเรือรบกองหนึ่งสิบกว่าลำแล่นสวนมาทางปากน้ำลั่นกลองศึกมาแต่ไกล ๆ จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจสำคัญว่าเป็นกองเรือเมืองกังตั๋งยกมา แต่พอกองเรือนั้นเข้ามาใกล้เห็นธงบนเรือระบุชื่อตัวนายว่าเตียวหุยก็ค่อยคลายใจ
ความจริงในขณะนั้นเตียวหุยคุมกองเรือออกลาดตระเวนตามน่านน้ำเมืองเกงจิ๋ว หลังจากลาดตระเวนตามชายทะเลแล้วจะล่องเรือเข้ามาตามลำแม่น้ำเพื่อจะไปขึ้นท่าหน้าเมืองเกงจิ๋ว พอกองเรือของเตียวหุยมาถึงปากน้ำก็ได้รับแจ้งจากทหารรักษาการณ์ว่าขงเบ้งมีคำสั่งให้สกัดเรือของเมืองกังตั๋ง แล้วนำอาเต๊ากลับคืนให้จงได้
เตียวหุยทราบความก็ตกใจรีบพากองเรือยกมาจึงสวนกับขบวนเรือของจิวเสี้ยน พอกองเรือเตียวหุยเข้ามาใกล้ก็เห็นจูล่งอุ้มอาเต๊าถือกระบี่กวัดแกว่งอยู่บนเรือ เตียวหุยจึงสั่งให้เทียบเรือเข้ากับเรือที่จูล่งยืนอยู่นั้น ปากก็ร้องตะโกนว่าพี่สะใภ้ท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็ไปแต่ตัวเถิด จะเอาอาเต๊าไปนั้นมิได้
จูล่งเห็นเหตุการณ์ผันแปรดังนั้นก็ดีใจ พอดีเรือเตียวหุยเทียบเข้ามาใกล้กับเรือของจูล่ง เตียวหุยได้กระโดดขึ้นมาบนเรือใกล้กับที่จิวเสี้ยนยืนถือทวนบัญชาการอยู่นั้น
จิวเสี้ยนเห็นเตียวหุยกระโดดขึ้นมาบนเรือยังไม่ทันตั้งตัวก็ใช้ทวนแทงเตียวหุย เตียวหุยชักกระบี่ออกมาปัดทวนของจิวเสี้ยนกระเด็นออกไปแล้วฟันจิวเสี้ยนคอขาดกระเด็นตกลงบนพื้นเรือ หัวของจิวเสี้ยนกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้านางซุนฮูหยิน
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ แต่โกรธเตียวหุยเป็นอันมาก ตวาดใส่เตียวหุยว่าเหตุไฉนจึงไร้มารยาทต่อเราถึงปานนี้
เตียวหุยไม่แก้ตัวแต่ตอบย้อนคำว่า พี่สะใภ้ท่านจะกลับไปเมืองกังตั๋งแต่ไม่บอกกล่าวให้เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าทราบ แม้ขงเบ้งอยู่รักษาเมืองพี่สะใภ้ท่านก็ปิดงำไม่บอกกล่าวทำราวกับเป็นการหนี นี่สิจึงเป็นการไร้มารยาท
เตียวหุยแม้เป็นคนใจร้อนแต่ถ้อยร้อยวาจาก็ตรงไปตรงมา นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเตียวหุยก็ไม่อาจตำหนิต่อไปได้ กลับต้องกล่าวแก้ตัวว่าซึ่งเราจะไปเมืองกังตั๋งครั้งนี้เพราะมารดาของเราป่วยหนักเกรงว่าจะไม่ทันดูใจ จึงไม่อาจรอพี่ท่านกลับมาได้ ดังนี้จะว่าเราเสียมารยาทก็ตามใจ แต่ถ้าหากแม้นมิให้เรากลับไปเมืองกังตั๋ง เราก็จักกระโดดน้ำตายไม่ให้เจ้าข่มเหงน้ำใจได้อีกต่อไป
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เดินเข้ามาปรึกษากับจูล่งว่าจะทำประการใด จูล่งจึงว่าซึ่งฮูหยินจะเดินทางกลับไปเยี่ยมารดาซึ่งป่วยหนักก็ชอบด้วยประเพณี แลบัดนี้ อาเต๊าก็อยู่ในอกข้าพเจ้าแล้ว พวกเราสมควรกลับเข้าไปหากุนซือก่อน ส่วนการที่ฮูหยินจะกลับไปเยือนมารดานั้นก็เหมือนการของเล่าปี่นายเรา จะขัดขวางไว้ไม่สมควร
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงคำนับนางซุนฮูหยินแล้วว่า “อันเล่าปี่พี่เราก็เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านได้มาอยู่กับพี่เรา พี่เราก็กรุณาเอ็นดู มิได้สู้ความอายนัก ถึงมาตรว่าตัวท่านจะไปก็จงคิดถึงความอาลัยแต่หนหลัง ซึ่งได้เป็นภรรยาสามีกันตามประเพณีโลกทั้งปวง แล้วเร่งกลับมา”
ว่าแล้วเตียวหุยและจูล่งซึ่งอุ้มอาเต๊าอยู่ในอกก็กระโดดข้ามมาที่เรือของเตียวหุย ปล่อยให้ขบวนเรือของนางซุนฮูหยินแล่นออกไปทางปากอ่าวกลับไปเมืองกังตั๋ง
ในวันเวลาที่นางซุนฮูหยินออกไปจากจวนของเล่าปี่จะกลับไปเมืองกังตั๋งนั้น ขงเบ้ง ออกไปสั่งราชการที่ศาลาว่าราชการเมืองเกงจิ๋ว ในขณะที่ปรึกษาราชการกับขุนนางทั้งปวงนั้นทหารรักษาการณ์ประจำจวนของเล่าปี่ได้วิ่งเข้ามารายงานว่าบัดนี้นางซุนฮูหยินพาอาเต๊าไปกับชาวเมืองกังตั๋ง
ขงเบ้งฟังรายงานก็ตกใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารรักษาการณ์ไปดักแจ้งความแก่เตียวหุยซึ่งลาดตระเวนอยู่ตามชายทะเลและจะกลับเข้ามาในแม่น้ำให้สกัดเรือเมืองกังตั๋งชิงเอาอาเต๊ากลับมาให้จงได้
สั่งการเสร็จแล้วขงเบ้งรีบไปยังฐานทัพเรือเมืองเกงจิ๋ว คุมทหารลงเรือรีบยกไล่ตามขบวนเรือของจิวเสี้ยนไปตามลำแม่น้ำจึงสวนกับขบวนเรือของเตียวหุยและจูล่ง ขงเบ้งจึงสั่งให้เทียบเรือเข้าไปที่เรือของเตียวหุย เห็นจูล่งและเตียวหุยอยู่บนเรือก็มีความยินดี รีบถามจูล่งว่าอาเต๊าปลอดภัยดีหรือ
จูล่งอุ้มอาเต๊าหันมาทางขงเบ้ง แล้วว่าอาเต๊าปลอดภัยและสบายดี ขงเบ้งก็มีความยินดี จากนั้นขงเบ้งจึงสั่งให้ขบวนเรือทั้งปวงยกไปที่ท่าเรือเมืองเกงจิ๋ว แล้วทำรายงานแจ้งความซึ่งนางซุนฮูหยินกลับเมืองกังตั๋งให้ทหารถือไปให้เล่าปี่ที่ด่านแฮบังก๋วน
ฝ่ายนางซุนฮูหยินครั้นกลับไปถึงเมืองกังตั๋งก็เข้าไปหาซุนกวน เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบ ครั้นซุนกวนทราบว่าเตียวหุยและจูล่งชิงเอาอาเต๊ากลับไปได้และสังหาร จิวเสี้ยนเสียอีกก็โกรธเล่าปี่เป็นอันมาก
ซุนกวนจึงกล่าวกับนางซุนฮูหยินว่า “บัดนี้น้องเรากลับมาได้แล้ว อันเล่าปี่กับเราก็ขาดจากประเพณีที่จะผูกพันกันสืบไป เราจะยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้”.