ตอนที่ 347. วิสัยน้ำใจคนย่อมหวั่นไหว
ในระหว่างที่เล่าเจี้ยงออกมาต้อนรับเล่าปี่ที่ด่านโปยสิก๋วนนั้น แม้ว่าน้ำใจเดิมจะเชื่อมั่นว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยเหลือโดยสุจริต ถึงขนาดที่ขุนนางผู้ใดทัดทานเล่าเจี้ยงก็ไม่ฟังคำ แต่ครั้นเกิดเหตุการณ์รำกระบี่ชุลมุนขึ้นแล้วน้ำใจเล่าเจี้ยงก็เริ่มหวั่นไหว
ครั้นเล่าปี่ยกกองทัพออกจากด่านโปยสิก๋วนไปป้องกันเตียวล่อที่ด่านแฮบังก๋วนแล้ว บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าเจี้ยงจึงพร้อมกันเข้าไปหา แล้วว่าแม้ท่านจะวางใจเล่าปี่ด้วยฐานที่เป็นแซ่เดียวกันแต่ก็หาควรตั้งอยู่ในความประมาทไม่ ก็แลประวัติศาสตร์นั้นมีมาเป็นตัวอย่างมากมายว่าถึงพี่น้องท้องเดียวกันก็ยังฆ่าฟันกันอย่างไม่ปรานี เพราะหวังที่จะได้ครองซึ่งอำนาจ
และว่าถึงเล่าปี่จะมีน้ำใจสุจริต แต่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพของเล่าปี่ก็ใช่ว่าจะมีน้ำใจเป็นอย่างเดียวกับเล่าปี่ เหตุการณ์รำกระบี่วันนี้ก็ได้เห็นประจักษ์แล้ว ทั้งบัดนี้เล่าปี่ก็ยกกองทัพไปด่านแฮบังก๋วนแล้ว หากท่านรั้งรออยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนนี้ เกลือก เล่าปี่ไม่ซื่อตรงยกกองทัพหวนกลับมา หรือยกล่วงไปตีเมืองเสฉวนราชการของท่านก็จะเสียไป จึงขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปเมืองเสฉวนแล้วให้ป้องกันรักษาด่านทั้งปวงมิให้ เล่าปี่ยกมาทำอันตรายได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำทักท้วงของบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองน้ำใจก็รวนเร ทั้งตรองดูแล้วก็เห็นว่าการยกกองทัพกลับไปป้องกันเมืองเสฉวนก็ควรอยู่ เพราะการที่เล่าปี่ยกไปด่านแฮบังก๋วนนั้นไม่รู้เวลานานช้าเท่าใดจึงจะเสร็จศึก
เล่าเจี้ยงคิดดังนั้นจึงสั่งให้เอียวหวยและโกภายยกทหารออกไปรักษาด่านโปยสิก๋วนซึ่งเป็นด่านหน้าที่จะยกไปยังเมืองเสฉวน ตัวเล่าเจี้ยงก็ยกทหารกลับไปเมืองเสฉวนแต่วันนั้น
ฝ่ายเล่าปี่หลังจากเกิดเหตุการณ์รำกระบี่แล้วให้มีความรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าเล่าเจี้ยงจะระแวงระวัง แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้วก็จำต้องให้ผ่านเลยไป เล่าปี่เดินทัพรอนแรมท่ามกลางความกังวลในหัวอกจนกระทั่งลุถึงด่านแฮบังก๋วน ก็ดำเนินนโยบายทางการเมืองกับมวลชนสืบไป
เล่าปี่ได้กำชับให้บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงปฏิบัติตามวินัยกองทัพโดยเคร่งครัด ห้ามมิให้ข่มเหงรังแกราษฎร ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลราษฎรในการป้องกันเหตุจากโจรผู้ร้าย และการงานสิ่งใดพอช่วยเหลือราษฎรได้ก็ให้เอาใจใส่ทำนุบำรุง ด้วยหวังว่ากิตติศัพท์ความมีระเบียบวินัยและน้ำใจที่โอบอ้อมอารีจะเลื่องลือไป ราษฎรทั้งปวงเห็นอัธยาศัยน้ำใจของทหารเล่าปี่ก็มีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวขานร่ำลือขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายเมืองกังตั๋งหลังจากซุนกวนได้ทราบจากทูตที่แต่งไปหาเล่าปี่ว่ารับเป็นธุระจะป้องกันต่อสู้กับโจโฉ มิให้ชาวกังตั๋งต้องเดือดร้อนก็มีความยินดี แต่ก็ได้สั่งกองทัพทั้งปวงให้เตรียมพร้อมเผื่อว่ากองทัพโจโฉจะยกมาทำอันตราย
ครั้นนานวันเข้าก็ไม่เห็นกองทัพจากเมืองหลวงยกล่วงมาแดนใต้ ทั้งกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าก็ยังคงสงบเงียบไม่มีวี่แววว่าจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็ประหลาดใจ
ต่อมาซุนกวนได้รับทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้กองทัพเมืองหลวงได้ยกขึ้นไปทำศึกกับกองทัพเมืองเสเหลียง จึงหาโลซกมาปรึกษาว่าจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
โลซกจึงว่าการทั้งนี้น่าจะเกิดแต่ความคิดของขงเบ้งวางอุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” ยุให้ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งยกมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงจำต้องเบนกองทัพซึ่งเตรียมจะยกมาตีเมืองกังตั๋งขึ้นไปภาคพายัพ เพื่อป้องกันกองทัพเมืองเสเหลียงมิให้ยกล่วงล้ำสู่ภาคกลางได้
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็นึกเลื่อมใสสติปัญญาขงเบ้งเป็นอันมาก แต่ความปรารถนาใคร่ได้เมืองเกงจิ๋วก็แรงกล้าอยู่ในหัวใจ จึงปรึกษากับโลซกต่อไปว่าเมื่อโจโฉกรีฑาทัพขึ้นภาคพายัพแล้ว เมืองเราก็สิ้นที่กังวลกองทัพโจโฉ ควรที่จะถือโอกาสนี้ยกทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย
โลซกจึงท้วงว่าความศึกภาคพายัพยังไม่ประจักษ์กระจ่างแจ้งว่าจะนานช้าประการใด หากท่านด่วนยกไปตีเมืองเกงจิ๋วแล้วโจโฉเสร็จศึกภาคพายัพโดยเร็วก็จะยกกองทัพย้อนลงใต้ อนึ่งเล่ากองทัพส่วนหน้าของโจโฉก็ยกมาบรรจบทัพกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าคอยท่าคอยทีอยู่แล้ว หากท่านยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเตียวเลี้ยวก็จะถือโอกาสยกมาตีเมืองกังตั๋ง กองทัพของเราก็จะขัดสน พะวงทั้งหน้าทั้งหลังเห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่เล่าปี่ ท่านจงไตร่ตรองใคร่ครวญให้จงดี
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย
ต่อมาในปลายฤดูหนาวซุนกวนได้ทราบข่าวว่าม้าเฉียวเสียทีแก่โจโฉ แต่กระนั้นกองทัพของเมืองหลวงก็บอบช้ำจากการศึก เพราะตรากตรำอยู่ด้วยการสงครามภาคพายัพนานนับปี ทั้งทราบข่าวว่าบัดนี้เล่าปี่ได้ยกกองทัพไปเมืองเสฉวน ความคิดที่จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ซุนกวนคิดดังนั้นแล้วจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงที่ในจวน ปรารภความที่เล่าปี่ยกกองทัพไปเมืองเสฉวน เป็นโอกาสอันดีที่จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
โกะหยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้ฟังปรารภของซุนกวนแล้วจึงว่าเล่าปี่ยกไปเมืองเสฉวนครั้งนี้เป็นทางไกลแลทุรกันดาร เหตุการณ์เป็นทีที่ท่านจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านแต่งทหารสักกองหนึ่งยกไปตั้งสกัดกองทัพเล่าปี่ที่ปลายแดนเมืองเสฉวน ป้องกันไม่ให้เล่าปี่ยกย้อนกลับมาช่วยเมืองเกงจิ๋ว แล้วระดมพลทั้งปวงของเมืองกังตั๋งยกไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย
ซุนกวนได้ฟังคำโกะหยงต้องด้วยความคิดตัวก็มีความยินดี จึงว่าถ้าเช่นนั้นก็ชอบที่จะคิดอ่านวางแผนจัดแจงแต่งกองทัพตามข้อเสนอของท่าน
ซุนกวนกล่าวพอสิ้นคำลงพลันได้ยินเสียงสตรีสูงอายุดังมาแต่ข้างหลังฉากว่าผู้ใดเป็นต้นคิดแผนการชั่ว คิดจะให้เล่าปี่สังหารลูกสาวเราหรือ ชอบที่จะต้องตัดศีรษะมันผู้นั้นเสีย
สิ้นเสียงก็เห็นนางงอก๊กไถ้เดินออกมาที่ซุนกวนนั่งว่าราชการ ซุนกวนและบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงเห็นนางงอก๊กไถ้เดินออกมาด้วยท่าทางโกรธเป็นอันมากก็ตกใจพากันก้มหน้านิ่ง เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าพระแม่เมืองกังตั๋งผู้นี้เป็นที่เคารพยำเกรงของซุนกวนยิ่งกว่าผู้ใด หากแม้นนางตัดสินสั่งการประการใดแล้วก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางไว้ได้ โกะหยงนั้นก้มหน้าตัวสั่น เกรงว่าจะถูกนางงอก๊กไถ้สั่งประหารชีวิต
นางงอก๊กไถ้เห็นคนทั้งปวงก้มหน้านิ่งก็ยิ่งโกรธ จึงกล่าวกับซุนกวนว่า “น้องสาวเจ้าผู้เดียวเราสู้อุ้มท้องรักษามา ถนอมดังหนึ่งดวงชีวิต บัดนี้ก็ได้ยกให้เป็นภรรยาเล่าปี่แล้ว แลเจ้าจะมาเชื่อถือถ้อยคำคนทั้งปวงยุยงฉะนี้จะฆ่าน้องสาวหรือ ตัวเจ้าได้สมบัติของพี่เป็นใหญ่อยู่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ด ยังไม่อิ่มใจหรือจึงจะไปเอาเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นสมบัติของผู้อื่นเล่า”
ซุนกวนกำลังตระหนกตกใจ ครั้นได้ฟังเสียงมารดาก็ได้สติ จึงลุกขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงคำนับนางงอก๊กไถ้แล้วว่า ข้าพเจ้าคิดอ่านทั้งนี้มีความผิดเป็นอันมาก ขอมารดาจงอดโทษให้สักครั้งหนึ่ง ว่าแล้วซุนกวนก็โบกมือขับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้ออกไปจากจวน
บรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางเห็นดังนั้นก็รู้ว่าโทษแต่พระแม่เมืองกังตั๋งจะไม่มาถึงตัวก็พากันลุกลี้ลุกลน ลุกขึ้นคำนับพระแม่เมืองกังตั๋งและซุนกวน แล้วรีบกลับออกไปในทันที
นางงอก๊กไถ้กำลังโกรธแต่ครั้นได้ฟังคำซุนกวนเป็นนัยว่าสำนึกผิด โทสะก็คลายลง แต่ยังคงขุ่นมัวอยู่ในใจ จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าไปที่ข้างใน
เหลือซุนกวนอยู่ในจวนแต่ผู้เดียว ใจหนึ่งก็เกรงกลัวมารดา แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าบัดนี้โอกาสเป็นทีแล้วหากยกไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะได้เมืองเกงจิ๋วแต่โดยง่าย ถ้าหากปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านเลยไปก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อใดโอกาสจะอำนวยเหมือนครั้งนี้ ซุนกวนคิดไปคิดมาหาข้อยุติอันใดมิได้จึงเดินออกไปที่ชานชาลาด้านข้างของจวน ครุ่นคิดว่าจะทำประการใดจึงจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วได้
ซุนกวนเดินครุ่นคิดวนไปเวียนมาอยู่ที่ชานชาลาข้างจวนจนรู้สึกเมื่อยล้าจึงเดินไปนั่งใต้ร่มไม้ ครู่หนึ่งเห็นเตียวเจียวเดินเข้ามาหาก็มีความยินดี
ไม่ทันที่ซุนกวนจะเอ่ยคำเตียวเจียวก็ตรงเข้ามาคำนับแล้วถามว่า ท่าทางของท่านวันนี้เหมือนคนมีทุกข์อยู่ในใจ ท่านกังวลด้วยสิ่งอันใดหรือ
ซุนกวนจึงว่าความทุกข์ในใจเรามีอยู่ก็แต่เรื่องเมืองเกงจิ๋วเรื่องเดียวเท่านั้น เสียดายว่าหากไม่ยกไปทำการในครั้งนี้ก็ไม่รู้ที่เมื่อใดโอกาสจะเปิดให้เหมือนครั้งนี้อีก ครั้นจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วก็ติดขัดด้วยน้องสาวเราจะเป็นอันตรายเหมือนดังคำมารดา เราครุ่นคิดดังนี้มิตกจึงเป็นทุกข์อยู่
เตียวเจียวจึงว่าทุกข์ท่านเพียงเท่านี้จะปรารมภ์ไปไย เพียงแต่ท่านให้คนถือหนังสือลับไปถึงนางซุนฮูหยินที่เมืองเกงจิ๋วลวงว่านางงอก๊กไถ้ป่วยหนัก ใคร่จะดูใจให้จงได้ เห็นทีนางซุนฮูหยินทราบข่าวแล้วก็จะต้องรีบมาเมืองกังตั๋งทั้งกลางวันแลกลางคืน และให้กำชับไปด้วยว่าให้นางซุนฮูหยินนำอาเต๊าผู้บุตรเล่าปี่มาให้เห็นหน้าสักครั้งหนึ่ง เล่าปี่มีบุตรโทนคืออาเต๊าผู้เดียวนี้ เมื่อตกอยู่ในน้ำมือท่านเล่าปี่ก็ต้องคิดอ่านเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลกเอาอาเต๊ากลับคืนไป แลถ้าหากเล่าปี่จะตัดใจรักเมืองยิ่งกว่าบุตรท่านจึงค่อยยกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว ดังนี้เห็นจะแก้ไขทุกข์ร้อนของท่านได้
ซุนกวนได้ฟังความคิดของเตียวเจียวดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญว่าเป็นความคิดที่หลักแหลม เห็นจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ความยินดีของซุนกวนครั้งนี้เป็นความยินดีที่เกิดจากการมองข้ามสติปัญญาและความคิดอ่านของคนผู้หนึ่งไป ราวกับว่าไม่เคยรู้จักหรือประสบพบเห็นสติปัญญามาแต่ก่อน นั่นคือการมองข้ามจูกัดเหลียง-ขงเบ้งซึ่งรักษาเมืองเกงจิ๋วอยู่ ว่าแม้ในครั้งที่จิวยี่ยังมีชีวิตและกองทัพพร้อมรบเข้มแข็งเกรียงไกรก็ยังไม่ครณาต่อความคิดของขงเบ้ง บัดนี้จิวยี่หาชีวิตไม่แล้วเหลือแต่เตียวเจียวและโลซก ไหนเลยจะทานสติปัญญาของขงเบ้งได้
ซุนกวนเห็นชอบกับความคิดของเตียวเจียวแล้วจึงปรึกษาต่อไปว่าท่านจะคิดอ่านแผนการประการใดจึงจะส่งหนังสือให้ถึงมือนางซุนฮูหยิน แล้วรับน้องสาวเราและอาเต๊าจากเมืองเกงจิ๋วสู่เมืองกังตั๋งได้โดยปลอดภัย
เตียวเจียวจึงกล่าวต่อไปว่า การครั้งนี้เห็นแต่จิวเสี้ยนซึ่งเป็นขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่ในจวนของท่าน มีความคุ้นเคยรู้จักกับนางซุนฮูหยินเป็นอย่างดี จะไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ขอให้ท่านจัดทหารห้าร้อยลงเรือปลอมเป็นพ่อค้าล่องข้ามอ่าวเข้าแม่น้ำไปถึงหน้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วรับเอานางซุนฮูหยินและอาเต๊ามาเมืองกังตั๋งเห็นจะสำเร็จดังประสงค์
ซุนกวนได้ฟังก็เห็นชอบจึงแต่งหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งตามแผนการของเตียวเจียว แล้วให้หาจิวเสี้ยนเข้ามาสั่งการให้จัดแจงทหารห้าร้อยลงเรือปลอมเป็นพ่อค้ายกไปเมืองเกงจิ๋ว และให้ปกปิดเป็นความลับมิให้ความล่วงรู้ไปถึงหูของนางงอก๊กไถ้เป็นอันขาด
จิวเสี้ยนรับหนังสือและคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหารลงเรือล่องข้ามอ่าวและยกเข้าลำน้ำที่ตรงไปหน้าเมืองเกงจิ๋ว ถึงท่าหน้าเมืองก็ให้ทอดสมอคอยท่าทำทีเป็นพ่อค้ามาค้าขายตามปกติ
ครั้นวันรุ่งขึ้นจิวเสี้ยนได้ลอบเข้าไปในตัวเมืองเกงจิ๋วตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ สืบเสาะหาที่พักของนางซุนฮูหยินแล้วลอบเข้าไปขอพบ
นางซุนฮูหยินทราบว่าจิวเสี้ยนมาขอพบก็หลากใจว่าน่าจะมีเรื่องราวใดขึ้นในเมืองกังตั๋ง จึงให้หาจิวเสี้ยนเข้ามาสนทนาที่ในจวนของเล่าปี่
จิวเสี้ยนคำนับนางซุนฮูหยินแล้วมอบหนังสือของซุนกวน นางซุนฮูหยินรับหนังสือนั้นมาอ่านดู พอรู้ความก็สำคัญว่าเป็นความจริงจึงร้องไห้ตกใจเป็นอันมาก.
ครั้นเล่าปี่ยกกองทัพออกจากด่านโปยสิก๋วนไปป้องกันเตียวล่อที่ด่านแฮบังก๋วนแล้ว บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าเจี้ยงจึงพร้อมกันเข้าไปหา แล้วว่าแม้ท่านจะวางใจเล่าปี่ด้วยฐานที่เป็นแซ่เดียวกันแต่ก็หาควรตั้งอยู่ในความประมาทไม่ ก็แลประวัติศาสตร์นั้นมีมาเป็นตัวอย่างมากมายว่าถึงพี่น้องท้องเดียวกันก็ยังฆ่าฟันกันอย่างไม่ปรานี เพราะหวังที่จะได้ครองซึ่งอำนาจ
และว่าถึงเล่าปี่จะมีน้ำใจสุจริต แต่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพของเล่าปี่ก็ใช่ว่าจะมีน้ำใจเป็นอย่างเดียวกับเล่าปี่ เหตุการณ์รำกระบี่วันนี้ก็ได้เห็นประจักษ์แล้ว ทั้งบัดนี้เล่าปี่ก็ยกกองทัพไปด่านแฮบังก๋วนแล้ว หากท่านรั้งรออยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนนี้ เกลือก เล่าปี่ไม่ซื่อตรงยกกองทัพหวนกลับมา หรือยกล่วงไปตีเมืองเสฉวนราชการของท่านก็จะเสียไป จึงขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปเมืองเสฉวนแล้วให้ป้องกันรักษาด่านทั้งปวงมิให้ เล่าปี่ยกมาทำอันตรายได้
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำทักท้วงของบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองน้ำใจก็รวนเร ทั้งตรองดูแล้วก็เห็นว่าการยกกองทัพกลับไปป้องกันเมืองเสฉวนก็ควรอยู่ เพราะการที่เล่าปี่ยกไปด่านแฮบังก๋วนนั้นไม่รู้เวลานานช้าเท่าใดจึงจะเสร็จศึก
เล่าเจี้ยงคิดดังนั้นจึงสั่งให้เอียวหวยและโกภายยกทหารออกไปรักษาด่านโปยสิก๋วนซึ่งเป็นด่านหน้าที่จะยกไปยังเมืองเสฉวน ตัวเล่าเจี้ยงก็ยกทหารกลับไปเมืองเสฉวนแต่วันนั้น
ฝ่ายเล่าปี่หลังจากเกิดเหตุการณ์รำกระบี่แล้วให้มีความรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าเล่าเจี้ยงจะระแวงระวัง แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้วก็จำต้องให้ผ่านเลยไป เล่าปี่เดินทัพรอนแรมท่ามกลางความกังวลในหัวอกจนกระทั่งลุถึงด่านแฮบังก๋วน ก็ดำเนินนโยบายทางการเมืองกับมวลชนสืบไป
เล่าปี่ได้กำชับให้บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงปฏิบัติตามวินัยกองทัพโดยเคร่งครัด ห้ามมิให้ข่มเหงรังแกราษฎร ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลราษฎรในการป้องกันเหตุจากโจรผู้ร้าย และการงานสิ่งใดพอช่วยเหลือราษฎรได้ก็ให้เอาใจใส่ทำนุบำรุง ด้วยหวังว่ากิตติศัพท์ความมีระเบียบวินัยและน้ำใจที่โอบอ้อมอารีจะเลื่องลือไป ราษฎรทั้งปวงเห็นอัธยาศัยน้ำใจของทหารเล่าปี่ก็มีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวขานร่ำลือขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายเมืองกังตั๋งหลังจากซุนกวนได้ทราบจากทูตที่แต่งไปหาเล่าปี่ว่ารับเป็นธุระจะป้องกันต่อสู้กับโจโฉ มิให้ชาวกังตั๋งต้องเดือดร้อนก็มีความยินดี แต่ก็ได้สั่งกองทัพทั้งปวงให้เตรียมพร้อมเผื่อว่ากองทัพโจโฉจะยกมาทำอันตราย
ครั้นนานวันเข้าก็ไม่เห็นกองทัพจากเมืองหลวงยกล่วงมาแดนใต้ ทั้งกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าก็ยังคงสงบเงียบไม่มีวี่แววว่าจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็ประหลาดใจ
ต่อมาซุนกวนได้รับทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้กองทัพเมืองหลวงได้ยกขึ้นไปทำศึกกับกองทัพเมืองเสเหลียง จึงหาโลซกมาปรึกษาว่าจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
โลซกจึงว่าการทั้งนี้น่าจะเกิดแต่ความคิดของขงเบ้งวางอุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” ยุให้ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งยกมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงจำต้องเบนกองทัพซึ่งเตรียมจะยกมาตีเมืองกังตั๋งขึ้นไปภาคพายัพ เพื่อป้องกันกองทัพเมืองเสเหลียงมิให้ยกล่วงล้ำสู่ภาคกลางได้
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็นึกเลื่อมใสสติปัญญาขงเบ้งเป็นอันมาก แต่ความปรารถนาใคร่ได้เมืองเกงจิ๋วก็แรงกล้าอยู่ในหัวใจ จึงปรึกษากับโลซกต่อไปว่าเมื่อโจโฉกรีฑาทัพขึ้นภาคพายัพแล้ว เมืองเราก็สิ้นที่กังวลกองทัพโจโฉ ควรที่จะถือโอกาสนี้ยกทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย
โลซกจึงท้วงว่าความศึกภาคพายัพยังไม่ประจักษ์กระจ่างแจ้งว่าจะนานช้าประการใด หากท่านด่วนยกไปตีเมืองเกงจิ๋วแล้วโจโฉเสร็จศึกภาคพายัพโดยเร็วก็จะยกกองทัพย้อนลงใต้ อนึ่งเล่ากองทัพส่วนหน้าของโจโฉก็ยกมาบรรจบทัพกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าคอยท่าคอยทีอยู่แล้ว หากท่านยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเตียวเลี้ยวก็จะถือโอกาสยกมาตีเมืองกังตั๋ง กองทัพของเราก็จะขัดสน พะวงทั้งหน้าทั้งหลังเห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่เล่าปี่ ท่านจงไตร่ตรองใคร่ครวญให้จงดี
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย
ต่อมาในปลายฤดูหนาวซุนกวนได้ทราบข่าวว่าม้าเฉียวเสียทีแก่โจโฉ แต่กระนั้นกองทัพของเมืองหลวงก็บอบช้ำจากการศึก เพราะตรากตรำอยู่ด้วยการสงครามภาคพายัพนานนับปี ทั้งทราบข่าวว่าบัดนี้เล่าปี่ได้ยกกองทัพไปเมืองเสฉวน ความคิดที่จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋วจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ซุนกวนคิดดังนั้นแล้วจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงที่ในจวน ปรารภความที่เล่าปี่ยกกองทัพไปเมืองเสฉวน เป็นโอกาสอันดีที่จะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
โกะหยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้ฟังปรารภของซุนกวนแล้วจึงว่าเล่าปี่ยกไปเมืองเสฉวนครั้งนี้เป็นทางไกลแลทุรกันดาร เหตุการณ์เป็นทีที่ท่านจะยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านแต่งทหารสักกองหนึ่งยกไปตั้งสกัดกองทัพเล่าปี่ที่ปลายแดนเมืองเสฉวน ป้องกันไม่ให้เล่าปี่ยกย้อนกลับมาช่วยเมืองเกงจิ๋ว แล้วระดมพลทั้งปวงของเมืองกังตั๋งยกไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะได้โดยง่าย
ซุนกวนได้ฟังคำโกะหยงต้องด้วยความคิดตัวก็มีความยินดี จึงว่าถ้าเช่นนั้นก็ชอบที่จะคิดอ่านวางแผนจัดแจงแต่งกองทัพตามข้อเสนอของท่าน
ซุนกวนกล่าวพอสิ้นคำลงพลันได้ยินเสียงสตรีสูงอายุดังมาแต่ข้างหลังฉากว่าผู้ใดเป็นต้นคิดแผนการชั่ว คิดจะให้เล่าปี่สังหารลูกสาวเราหรือ ชอบที่จะต้องตัดศีรษะมันผู้นั้นเสีย
สิ้นเสียงก็เห็นนางงอก๊กไถ้เดินออกมาที่ซุนกวนนั่งว่าราชการ ซุนกวนและบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงเห็นนางงอก๊กไถ้เดินออกมาด้วยท่าทางโกรธเป็นอันมากก็ตกใจพากันก้มหน้านิ่ง เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าพระแม่เมืองกังตั๋งผู้นี้เป็นที่เคารพยำเกรงของซุนกวนยิ่งกว่าผู้ใด หากแม้นนางตัดสินสั่งการประการใดแล้วก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางไว้ได้ โกะหยงนั้นก้มหน้าตัวสั่น เกรงว่าจะถูกนางงอก๊กไถ้สั่งประหารชีวิต
นางงอก๊กไถ้เห็นคนทั้งปวงก้มหน้านิ่งก็ยิ่งโกรธ จึงกล่าวกับซุนกวนว่า “น้องสาวเจ้าผู้เดียวเราสู้อุ้มท้องรักษามา ถนอมดังหนึ่งดวงชีวิต บัดนี้ก็ได้ยกให้เป็นภรรยาเล่าปี่แล้ว แลเจ้าจะมาเชื่อถือถ้อยคำคนทั้งปวงยุยงฉะนี้จะฆ่าน้องสาวหรือ ตัวเจ้าได้สมบัติของพี่เป็นใหญ่อยู่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ด ยังไม่อิ่มใจหรือจึงจะไปเอาเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นสมบัติของผู้อื่นเล่า”
ซุนกวนกำลังตระหนกตกใจ ครั้นได้ฟังเสียงมารดาก็ได้สติ จึงลุกขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงคำนับนางงอก๊กไถ้แล้วว่า ข้าพเจ้าคิดอ่านทั้งนี้มีความผิดเป็นอันมาก ขอมารดาจงอดโทษให้สักครั้งหนึ่ง ว่าแล้วซุนกวนก็โบกมือขับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้ออกไปจากจวน
บรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองและขุนนางเห็นดังนั้นก็รู้ว่าโทษแต่พระแม่เมืองกังตั๋งจะไม่มาถึงตัวก็พากันลุกลี้ลุกลน ลุกขึ้นคำนับพระแม่เมืองกังตั๋งและซุนกวน แล้วรีบกลับออกไปในทันที
นางงอก๊กไถ้กำลังโกรธแต่ครั้นได้ฟังคำซุนกวนเป็นนัยว่าสำนึกผิด โทสะก็คลายลง แต่ยังคงขุ่นมัวอยู่ในใจ จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าไปที่ข้างใน
เหลือซุนกวนอยู่ในจวนแต่ผู้เดียว ใจหนึ่งก็เกรงกลัวมารดา แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าบัดนี้โอกาสเป็นทีแล้วหากยกไปตีเมืองเกงจิ๋วก็จะได้เมืองเกงจิ๋วแต่โดยง่าย ถ้าหากปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านเลยไปก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อใดโอกาสจะอำนวยเหมือนครั้งนี้ ซุนกวนคิดไปคิดมาหาข้อยุติอันใดมิได้จึงเดินออกไปที่ชานชาลาด้านข้างของจวน ครุ่นคิดว่าจะทำประการใดจึงจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วได้
ซุนกวนเดินครุ่นคิดวนไปเวียนมาอยู่ที่ชานชาลาข้างจวนจนรู้สึกเมื่อยล้าจึงเดินไปนั่งใต้ร่มไม้ ครู่หนึ่งเห็นเตียวเจียวเดินเข้ามาหาก็มีความยินดี
ไม่ทันที่ซุนกวนจะเอ่ยคำเตียวเจียวก็ตรงเข้ามาคำนับแล้วถามว่า ท่าทางของท่านวันนี้เหมือนคนมีทุกข์อยู่ในใจ ท่านกังวลด้วยสิ่งอันใดหรือ
ซุนกวนจึงว่าความทุกข์ในใจเรามีอยู่ก็แต่เรื่องเมืองเกงจิ๋วเรื่องเดียวเท่านั้น เสียดายว่าหากไม่ยกไปทำการในครั้งนี้ก็ไม่รู้ที่เมื่อใดโอกาสจะเปิดให้เหมือนครั้งนี้อีก ครั้นจะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วก็ติดขัดด้วยน้องสาวเราจะเป็นอันตรายเหมือนดังคำมารดา เราครุ่นคิดดังนี้มิตกจึงเป็นทุกข์อยู่
เตียวเจียวจึงว่าทุกข์ท่านเพียงเท่านี้จะปรารมภ์ไปไย เพียงแต่ท่านให้คนถือหนังสือลับไปถึงนางซุนฮูหยินที่เมืองเกงจิ๋วลวงว่านางงอก๊กไถ้ป่วยหนัก ใคร่จะดูใจให้จงได้ เห็นทีนางซุนฮูหยินทราบข่าวแล้วก็จะต้องรีบมาเมืองกังตั๋งทั้งกลางวันแลกลางคืน และให้กำชับไปด้วยว่าให้นางซุนฮูหยินนำอาเต๊าผู้บุตรเล่าปี่มาให้เห็นหน้าสักครั้งหนึ่ง เล่าปี่มีบุตรโทนคืออาเต๊าผู้เดียวนี้ เมื่อตกอยู่ในน้ำมือท่านเล่าปี่ก็ต้องคิดอ่านเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลกเอาอาเต๊ากลับคืนไป แลถ้าหากเล่าปี่จะตัดใจรักเมืองยิ่งกว่าบุตรท่านจึงค่อยยกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว ดังนี้เห็นจะแก้ไขทุกข์ร้อนของท่านได้
ซุนกวนได้ฟังความคิดของเตียวเจียวดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญว่าเป็นความคิดที่หลักแหลม เห็นจะได้เมืองเกงจิ๋วโดยง่าย ความยินดีของซุนกวนครั้งนี้เป็นความยินดีที่เกิดจากการมองข้ามสติปัญญาและความคิดอ่านของคนผู้หนึ่งไป ราวกับว่าไม่เคยรู้จักหรือประสบพบเห็นสติปัญญามาแต่ก่อน นั่นคือการมองข้ามจูกัดเหลียง-ขงเบ้งซึ่งรักษาเมืองเกงจิ๋วอยู่ ว่าแม้ในครั้งที่จิวยี่ยังมีชีวิตและกองทัพพร้อมรบเข้มแข็งเกรียงไกรก็ยังไม่ครณาต่อความคิดของขงเบ้ง บัดนี้จิวยี่หาชีวิตไม่แล้วเหลือแต่เตียวเจียวและโลซก ไหนเลยจะทานสติปัญญาของขงเบ้งได้
ซุนกวนเห็นชอบกับความคิดของเตียวเจียวแล้วจึงปรึกษาต่อไปว่าท่านจะคิดอ่านแผนการประการใดจึงจะส่งหนังสือให้ถึงมือนางซุนฮูหยิน แล้วรับน้องสาวเราและอาเต๊าจากเมืองเกงจิ๋วสู่เมืองกังตั๋งได้โดยปลอดภัย
เตียวเจียวจึงกล่าวต่อไปว่า การครั้งนี้เห็นแต่จิวเสี้ยนซึ่งเป็นขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่ในจวนของท่าน มีความคุ้นเคยรู้จักกับนางซุนฮูหยินเป็นอย่างดี จะไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ขอให้ท่านจัดทหารห้าร้อยลงเรือปลอมเป็นพ่อค้าล่องข้ามอ่าวเข้าแม่น้ำไปถึงหน้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วรับเอานางซุนฮูหยินและอาเต๊ามาเมืองกังตั๋งเห็นจะสำเร็จดังประสงค์
ซุนกวนได้ฟังก็เห็นชอบจึงแต่งหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งตามแผนการของเตียวเจียว แล้วให้หาจิวเสี้ยนเข้ามาสั่งการให้จัดแจงทหารห้าร้อยลงเรือปลอมเป็นพ่อค้ายกไปเมืองเกงจิ๋ว และให้ปกปิดเป็นความลับมิให้ความล่วงรู้ไปถึงหูของนางงอก๊กไถ้เป็นอันขาด
จิวเสี้ยนรับหนังสือและคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหารลงเรือล่องข้ามอ่าวและยกเข้าลำน้ำที่ตรงไปหน้าเมืองเกงจิ๋ว ถึงท่าหน้าเมืองก็ให้ทอดสมอคอยท่าทำทีเป็นพ่อค้ามาค้าขายตามปกติ
ครั้นวันรุ่งขึ้นจิวเสี้ยนได้ลอบเข้าไปในตัวเมืองเกงจิ๋วตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ สืบเสาะหาที่พักของนางซุนฮูหยินแล้วลอบเข้าไปขอพบ
นางซุนฮูหยินทราบว่าจิวเสี้ยนมาขอพบก็หลากใจว่าน่าจะมีเรื่องราวใดขึ้นในเมืองกังตั๋ง จึงให้หาจิวเสี้ยนเข้ามาสนทนาที่ในจวนของเล่าปี่
จิวเสี้ยนคำนับนางซุนฮูหยินแล้วมอบหนังสือของซุนกวน นางซุนฮูหยินรับหนังสือนั้นมาอ่านดู พอรู้ความก็สำคัญว่าเป็นความจริงจึงร้องไห้ตกใจเป็นอันมาก.