ตอนที่ 346. อุบาย "รำกระบี่"
เล่าปี่เดินทัพเข้าแดนเมืองเสฉวนแล้วดำเนินอุบายทางการเมืองครองน้ำใจประชาชนตลอดเส้นทางเดินทัพจนถึงด่านโปยสิก๋วนก็ใช้อุบาย “ใช้ซื่อข่มระแวง” ให้ทหารตั้งค่ายไว้นอกด่าน แล้วเข้าไปหาเล่าเจี้ยงด้วยตัวเปล่า และสนทนาปราศรัยด้วยท่าทีอันสนิทสนม จึงทำให้เล่าเจี้ยงวางใจไม่ฟังคำที่ปรึกษาและขุนนางที่ท้วงติง
บังทองเร่งให้เล่าปี่คิดกำจัดเล่าเจี้ยง ครั้นเห็นเล่าปี่ฟังคำแล้วมิได้กล่าวโต้ตอบประการใดจึงกล่าวสืบไปว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าขอให้ท่านหาเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะ ณ ค่ายเรา เราจะให้ทหารจับตัวฆ่าเสีย แล้วจึงยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนเห็นจะได้โดยง่าย มิพักถอดกระบี่ออกจากฝัก มิพักขึ้นเกาทัณฑ์ให้เสียสายจะมิดีหรือ”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้าแล้วว่าข้าพเจ้าพบหน้าเล่าเจี้ยงวันนี้แล้วเห็นเล่าเจี้ยงมีน้ำใจสัตย์ซื่อ หวังพึ่งพาข้าพเจ้าโดยสุจริต จึงไม่อาจหักใจคิดร้ายต่อเล่าเจี้ยงได้ มีแต่จะตั้งใจทำนุบำรุงเล่าเจี้ยงให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง
แล้วเล่าปี่จึงกล่าวสืบต่อไปว่ากองทัพเราพึ่งยกเข้าแดนเมืองเสฉวน ยังมิได้สร้างความชอบให้เป็นที่ศรัทธาแก่ปวงชน หากแม้นคิดร้ายต่อเล่าเจี้ยงแล้ว ราษฎรทั้งปวงก็จะติเตียนว่าเราทรยศต่อญาติร่วมแซ่แล้วพากันประณามคัดค้าน เบื้องบนก็จะถูกสวรรค์ประณาม เบื้องต่ำก็จะถูกนรกลงทัณฑ์ ไหนเลยจะทำการใหญ่สืบไปได้
บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็เห็นว่าเล่าปี่มิได้ปฏิเสธเด็ดขาดทีเดียว จึงว่าซึ่งข้าพเจ้าได้บอกความคิดอ่านแก่ท่านทั้งนี้หาใช่ความเห็นของข้าพเจ้าแต่ประการใดไม่ หากเป็นความเห็นของเตียวสงมีหนังสือมาแจ้งแก่หวดเจ้งให้รีบทำการ ข้าพเจ้าจึงนำความมากล่าวกับท่าน
บังทองกล่าวยังไม่ทันขาดคำหวดเจ้งก็เข้ามาหาเล่าปี่ที่ในค่าย ได้ยินเสียงเล่าปี่และบังทองสนทนากันดั้งนั้นหวดเจ้งจึงว่าซึ่งข้าพเจ้าเสนอให้ท่านทำการทั้งนี้มิใช่เห็นแก่อาณาประโยชน์ของข้าพเจ้าแม้แต่น้อย มีแต่จะเห็นเป็นประโยชน์ของท่านสถานเดียว ท่านจงคล้อยตามลิขิตสวรรค์นั้นเถิด
เล่าปี่ยังคงส่ายหน้าแล้วว่าเล่าเจี้ยงกับเรานั้นเป็นพี่น้องร่วมแซ่ จะบุ่มบ่ามชิงเอาเมืองท่านนั้นไม่ชอบ เราตัดใจทำไม่ลงเลย
หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า หากแม้นท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้า เตียวล่อยกมายึดเอาเมืองเสฉวนได้แล้วท่านก็จะเสียการไป ท่านจะรุกไปข้างหน้าก็มิได้ จะถอยกลับข้างหลังเล่าก็ขัดสน อันกองทัพเมืองเกงจิ๋วเดินทางล่วงแดนเมืองเสฉวนถลำลึกมาแล้ว แม้นคิดจะถอยก็ไร้ประโยชน์เหมือนเดินทางไปไม่ถึงที่เสียการเปล่า มีแต่จะตัดสินใจรุกไปข้างหน้าจึงจะได้การ
หวดเจ้งเห็นเล่าปี่นั่งนิ่งอึ้งอยู่จึงสำทับต่อไปว่า หากเวลาเนิ่นช้าไปความลับรั่วไหลแพร่งพราย แทนที่ท่านจะเป็นฝ่ายกำจัดเล่าเจี้ยง กลับจะถูกเล่าเจี้ยงกำจัดเป็นมั่นคง “จงเร่งคิดอ่านทำการกำจัดเล่าเจี้ยงเสียอย่าให้รู้ตัว เอาเมืองเสฉวนเป็นที่ตั้งให้จงได้ก่อน ซึ่งจะคิดทำการใหญ่หลวงไปเบื้องหน้านั้นก็จะสะดวก”
บังทองและหวดเจ้งได้ผลัดช่วยกันว่ากล่าวกับเล่าปี่เร่งรัดให้เล่าปี่กำจัดเล่าเจี้ยงเป็นหลายครั้งแต่เล่าปี่ก็ยังไม่ตัดสินใจ อ้างว่าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องแซ่เดียวกัน จะเป็นที่นินทาติเตียนแก่คนทั้งปวง จนบังทองและหวดเจ้งเห็นว่าถึงจะคะยั้นคะยออีกสักเท่าใด เล่าปี่ก็คงจะยืนกรานไม่ยอมทำตามอยู่นั่นเอง จึงพากันคำนับลาเล่าปี่กลับออกไป
ครั้นวันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพาที่ปรึกษาและนายทหารซึ่งสนิทเข้าไปสนทนากับเล่าเจี้ยงที่ในด่านอีกครั้งหนึ่ง เล่าเจี้ยงเห็นเล่าปี่มาก็มีความยินดี ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงสุราเล่าปี่ตามธรรมเนียม
ทั้งเล่าเจี้ยงและเล่าปี่ได้สนทนาพาทีกันด้วยความสนิทสนม จนมีทีท่าว่าจะเมามายทั้งสองฝ่าย
บังทองเห็นดังนั้นจึงกระซิบปรึกษากับหวดเจ้งว่า หากแม้นปล่อยให้การเป็นไปตามแต่ใจของนายเรา การซึ่งเตียวสงแนะนำมาก็จะเนิ่นช้าไป หากความลับแพร่งพรายอันตรายก็จะบังเกิดเป็นมั่นคง กระนั้นเลยเราสองคนจงคิดอ่านทำการตามความเห็นของเตียวสงโดยมิให้เล่าปี่รู้ความ ก็จะสำเร็จโดยง่าย หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
บังทองจึงเรียกอุยเอี๋ยนมากระซิบสั่งว่าบัดนี้เล่าเจี้ยงและเล่าปี่นายเรากำลังเสพสุราเพลิดเพลินอยู่ไม่ทันระวังตัว ท่านจงแสร้งทำกลรำกระบี่แล้วสังหารเล่าเจี้ยงเสียเถิด
อุยเอี๋ยนรับคำสั่งบังทองแล้วทำทีกลับไปนั่งที่เดิม ครู่หนึ่งก็ถอดกระบี่ลุกออกไปที่หน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยงแล้วว่า เวลาวันนี้ทุกคนต่างมีความสุข ดังนั้นข้าพเจ้าจะรำกระบี่ให้ดูเล่นเป็นขวัญตา เพิ่มรสชาติบรรยากาศแก่การเลี้ยงโต๊ะในครั้งนี้
บังทองเห็นดังนั้นก็ปรบมือแล้วว่า ดีแล้วพวกเราจะได้ชมให้เป็นที่เพลิดเพลิน อุยเอี๋ยนจึงรำกระบี่วนเวียนอยู่ข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง
ฝ่ายเตียวหยิมนายทหารเอกของเล่าเจี้ยงเห็นอุยเอี๋ยนร่ายรำกระบี่อยู่ที่หน้าโต๊ะของเล่าเจี้ยง แต่สายตานั้นชำเลืองมองเล่าเจี้ยงอยู่เป็นระยะ ๆ ก็พรั่นใจ ครั้นเหลียวมองโดยรอบก็เห็นทหารฝ่ายเล่าปี่ล้วนถือศาสตราวุธประหนึ่งว่าคุมเชิงคอยทีอยู่ ก็กริ่งใจว่าอุยเอี๋ยนรำกระบี่เป็นกลอุบายแล้วลอบทำร้ายเล่าเจี้ยง
เตียวหยิมคำนึงดังนั้นจึงชักกระบี่ออกจากฝักบ้าง แล้วออกไปข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง ปากก็กล่าวว่าอันประเพณีการรำกระบี่นั้นหากไร้คู่ก็ดูไม่งามตา ข้าพเจ้าขออาสารำกระบี่เป็นคู่ให้ท่านดูเล่น
เตียวหยิมว่าแล้วก็ร่ายรำกระบี่เข้าไปเคียงคู่อยู่กับอุยเอี๋ยนเป็นทีคุมเชิงอุยเอี๋ยนมิให้ทำอันตรายแก่เล่าเจี้ยง
อุยเอี๋ยนรำกระบี่อยู่ที่ข้างหน้าโต๊ะ แต่ครั้นเตียวหยิมออกมารำกระบี่เป็นทีคุมเชิงก็เห็นว่าจะทำการไม่ถนัดจึงลอบชายตาให้แก่เล่าฮอง
เล่าฮองสบตาอุยเอี๋ยนก็รู้ทีจึงชักกระบี่เข้าร่วมวงด้วย ในขณะนั้นเตียวหยิมก็ลอบชายตาให้กับเล่ากุ๋ย เหลงเปา และเตงเหียนสามนายทหารรองของเล่าเจี้ยง เป็นทีให้ลุกออกมาช่วย สามนายทหารของเล่าเจี้ยงรู้ทีของเตียวหยิมก็ถอดกระบี่ออกจากฝัก แล้วว่าเมื่อบรรดาทหารร่ายรำกระบี่กันเป็นที่สนุกสนาน ข้าพเจ้าก็ขอร่วมสนุกให้เป็นที่สำราญแก่ท่านทั้งปวงด้วยเถิด
สองนายทหารของเล่าปี่และสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงต่างร่ายรำกระบี่เป็นที่ชุลมุนอยู่ที่ข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง แม้จะเป็นเพลงกระบี่ที่ร่ายรำไปตามเสียงดนตรีแต่ก็เป็นทีคุมเชิงกันและกันอยู่ในที
เล่าปี่เห็นเหตุการณ์ชุลมุนดังนั้นก็รู้ความนัยจึงถอดกระบี่ออกจากฝัก ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ตัวเราพี่น้องมาพบกันมีความยินดี เสพสุราเลี้ยงดูกันให้สบายตามประเพณี ควรหรือท่านทั้งปวงมีความกินแหนงสนเท่ห์ฉะนี้มิชอบ ใช่จะเหมือนครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ และพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเสพสุราด้วยกัน ณ ด่านงักกุนก๋วนนั้นหามิได้ จงทิ้งกระบี่เสียให้สิ้นทุกคน ถ้าผู้ใดมิวางกระบี่ลงก็จะตัดศีรษะเสีย”
พร้อม ๆ กันนั้นเล่าเจี้ยงก็ลุกขึ้นยืนแล้วตวาดใส่สี่นายทหารของเมืองเสฉวนว่า เราพี่น้องดื่มสุรากันโดยสุจริต ไฉนพวกท่านจึงมาทำวุ่นวายให้เกิดความกินแหนงแคลงใจกันเล่า จงเร่งเก็บกระบี่แล้วถอยออกไปให้พ้น หาไม่แล้วเราจะประหารชีวิต มิให้ละอายแก่เล่าปี่พี่เรา
สองนายทหารของเล่าปี่และสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงได้ยินคำตัวนายตวาดด้วยความไม่พอใจจึงต่างพากันคำนับเล่าปี่และเล่าเจี้ยง แล้วถอยกลับออกไปนั่งในที่เดิม
เล่าปี่จึงชวนเล่าเจี้ยงนั่งลงดื่มสุราต่อไป แล้วยกจอกสุราเชิญสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงมาชนจอกกันที่โต๊ะ สี่นายทหารของเล่าเจี้ยงเห็นเล่าปี่ไม่ถือโทษก็ค่อยอุ่นใจ พากันเข้ามาคำนับเล่าปี่แล้วดื่มสุราคารวะ
เล่าปี่รินสุราเติมให้กับนายทหารทั้งสี่คน ชวนชนจอกสุราว่าที่อุยเอี๋ยนและเล่าฮองออกไปรำกระบี่ครั้งนี้เพียงหวังให้บังเกิดความเจริญตาแก่สองเราพี่น้อง ท่านอย่าได้ติดใจระแวงสงสัยเลย หากพลาดพลั้งประการใดเราขออภัยด้วยเถิด
ว่าแล้วเล่าปี่ก็เชิญสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงดื่มสุรา นายทหารของเล่าเจี้ยงดื่มสุราแล้วคำนับเล่าปี่กลับไปนั่งในที่เดิม
เล่าปี่กวาดสายตาไปทั่วแล้วหันมากล่าวกับเล่าเจี้ยงหวังให้ได้ยินทั่วกันว่า ข้าพเจ้ายกกองทัพมาเมืองเสฉวนเพื่อป้องกันรักษาเมืองแลราษฎรมิให้ถูกข้าศึกย่ำยีบีทาตามความปรารถนาของท่านโดยสุจริต ซึ่งจะคิดไม่ซื่อตรงนั้นหามิได้ ขออย่าได้หวาดระแวงแคลงใจกันสืบไปเลย
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เอามือทั้งสองกุมมือเล่าปี่ไว้ แล้วว่าอันน้ำใจเล่าปี่พี่ท่านประจักษ์แล้วแก่ใจข้าพเจ้าว่ามีความสุจริตเอ็นดูข้าพเจ้า แล้วเล่าเจี้ยงจึงมองไปที่บรรดานายทหารเมืองเสฉวนแล้วว่าเราพี่น้องวางใจสุจริตต่อกัน ท่านทั้งปวงอย่าได้กินแหนงแคลงใจสืบไปอีกเลย
ว่าแล้วเล่าเจี้ยงจึงเอาจอกสุรามาดื่มคำนับเล่าปี่ เล่าปี่รับคำนับแล้วเชิญให้เล่าเจี้ยงนั่งลงที่โต๊ะ จนถึงเวลาพลบค่ำเล่าปี่จึงลาเล่าเจี้ยง ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงพาที่ปรึกษาและนายทหารกลับไปที่ค่าย
ครั้นไปถึงค่ายเล่าปี่จึงต่อว่าบังทองว่า “ท่านนี้หาความพินิจไม่ ทำทั้งนี้จะให้คนติเตียนเราได้ แต่วันนี้สืบไปวันหน้าจงอย่าได้ทำฉะนี้เลย”
บังทองไม่ตอบคำเล่าปี่ ได้แต่ทอดถอนใจแล้วคำนับลาเล่าปี่กลับไปที่ค่ายพัก
ทางฝ่ายเล่าเจี้ยงเมื่อเล่าปี่พาที่ปรึกษาและนายทหารกลับออกไปแล้ว เล่ากุ๋ย เหลงเปา และเตงเหียน จึงเข้าไปกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่าวันนี้ท่านเลี้ยงโต๊ะเสพสุรากับเล่าปี่ ได้แลเห็นกะเท่ห์แล้วมิใช่หรือว่าเล่าปี่คิดร้ายให้อุยเอี๋ยนรำกระบี่แล้วจะทำอันตรายท่าน อันเล่าปี่นี้ไว้วางใจมิได้ ท่านจงรีบยกทหารกลับไปเมืองเสฉวนแต่เพลานี้ หากช้าอยู่เห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังสามนายทหารก็แย้งว่า ก็งานเลี้ยงโต๊ะเสพสุราวันนี้ท่านก็แลเห็นแล้วมิใช่หรือว่าเล่าปี่พี่เรามีน้ำใจรักเมตตาเราโดยสุจริต ที่จะคิดอ่านทำร้ายเราเหมือนคำท่านนั้นเราไม่เห็นสม ท่านอย่าได้สงสัยสืบไปเลย
สามนายทหารฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วก็ท้วงติงต่อไปว่า ท่านแลเห็นแต่น้ำใจของเล่าปี่แต่มิได้เห็นน้ำใจที่ปรึกษาและทหารของเล่าปี่ที่คิดร้ายต่อท่านแล้วคิดชิงเอาเมืองเสฉวนให้แก่เล่าปี่ ท่านจงไตร่ตรองให้จงหนัก
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำสามนายทหารดังนั้นก็ส่ายศีรษะ โบกมือเป็นทีห้ามปราม แล้วว่าพวกท่านเป็นคนนอก ไหนเลยจะล่วงรู้น้ำใจเราพี่น้อง แต่นี้ไปอย่าได้กล่าวความดังนี้อีกเลย ว่าแล้วเล่าเจี้ยงจึงโบกมือเป็นทีให้สามนายทหารกลับออกไป
สามนายทหารเมืองเสฉวนได้ยินคำนายยืนยันขันแข็งดังนั้นก็มิรู้ที่จะว่าประการใด ต่างคนต่างทอดถอนใจใหญ่ แล้วคำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไป
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำสามนายทหาร ยังคงเชิญเล่าปี่มากินโต๊ะเสพสุราต่อไปอีก วันหนึ่งทหารลาดตระเวนได้นำความมารายงานว่าบัดนี้เตียวล่อได้ยกกองทัพเมืองฮันต๋งตั้งประชิดด่านแฮบังก๋วนแล้ว คงจะบุกเข้าโจมตีในเร็ววันนี้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง และให้เชิญเล่าปี่เข้ามาร่วมปรึกษาด้วย
เล่าเจี้ยงปรารภความที่เตียวล่อยกกองทัพมาตีด่านแฮบังก๋วน แล้วขอให้เล่าปี่ยกกองทัพไปป้องกันเตียวล่อ
เล่าปี่รับคำเล่าเจี้ยงแต่โดยดีแล้วว่า ข้าศึกยกมาประชิดเมืองดังนี้จะเนิ่นช้าอยู่นั้นมิได้ ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปแต่ในวันนี้ เล่าเจี้ยงได้ฟังคำเล่าปี่ก็ขอบคุณเล่าปี่ แล้วว่าความอันตรายหรือปลอดภัยของเมืองเสฉวนฝากไว้กับท่านพี่ด้วยเถิด
เล่าปี่ลาเล่าเจี้ยงแล้วกลับออกไปที่ค่าย สั่งทหารทั้งปวงให้เคลื่อนทัพไปที่ด่านแฮบังก๋วนแต่ในวันนั้น.
บังทองเร่งให้เล่าปี่คิดกำจัดเล่าเจี้ยง ครั้นเห็นเล่าปี่ฟังคำแล้วมิได้กล่าวโต้ตอบประการใดจึงกล่าวสืบไปว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าขอให้ท่านหาเล่าเจี้ยงมากินโต๊ะ ณ ค่ายเรา เราจะให้ทหารจับตัวฆ่าเสีย แล้วจึงยกเข้าไปเอาเมืองเสฉวนเห็นจะได้โดยง่าย มิพักถอดกระบี่ออกจากฝัก มิพักขึ้นเกาทัณฑ์ให้เสียสายจะมิดีหรือ”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้าแล้วว่าข้าพเจ้าพบหน้าเล่าเจี้ยงวันนี้แล้วเห็นเล่าเจี้ยงมีน้ำใจสัตย์ซื่อ หวังพึ่งพาข้าพเจ้าโดยสุจริต จึงไม่อาจหักใจคิดร้ายต่อเล่าเจี้ยงได้ มีแต่จะตั้งใจทำนุบำรุงเล่าเจี้ยงให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง
แล้วเล่าปี่จึงกล่าวสืบต่อไปว่ากองทัพเราพึ่งยกเข้าแดนเมืองเสฉวน ยังมิได้สร้างความชอบให้เป็นที่ศรัทธาแก่ปวงชน หากแม้นคิดร้ายต่อเล่าเจี้ยงแล้ว ราษฎรทั้งปวงก็จะติเตียนว่าเราทรยศต่อญาติร่วมแซ่แล้วพากันประณามคัดค้าน เบื้องบนก็จะถูกสวรรค์ประณาม เบื้องต่ำก็จะถูกนรกลงทัณฑ์ ไหนเลยจะทำการใหญ่สืบไปได้
บังทองได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็เห็นว่าเล่าปี่มิได้ปฏิเสธเด็ดขาดทีเดียว จึงว่าซึ่งข้าพเจ้าได้บอกความคิดอ่านแก่ท่านทั้งนี้หาใช่ความเห็นของข้าพเจ้าแต่ประการใดไม่ หากเป็นความเห็นของเตียวสงมีหนังสือมาแจ้งแก่หวดเจ้งให้รีบทำการ ข้าพเจ้าจึงนำความมากล่าวกับท่าน
บังทองกล่าวยังไม่ทันขาดคำหวดเจ้งก็เข้ามาหาเล่าปี่ที่ในค่าย ได้ยินเสียงเล่าปี่และบังทองสนทนากันดั้งนั้นหวดเจ้งจึงว่าซึ่งข้าพเจ้าเสนอให้ท่านทำการทั้งนี้มิใช่เห็นแก่อาณาประโยชน์ของข้าพเจ้าแม้แต่น้อย มีแต่จะเห็นเป็นประโยชน์ของท่านสถานเดียว ท่านจงคล้อยตามลิขิตสวรรค์นั้นเถิด
เล่าปี่ยังคงส่ายหน้าแล้วว่าเล่าเจี้ยงกับเรานั้นเป็นพี่น้องร่วมแซ่ จะบุ่มบ่ามชิงเอาเมืองท่านนั้นไม่ชอบ เราตัดใจทำไม่ลงเลย
หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นจึงว่า หากแม้นท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้า เตียวล่อยกมายึดเอาเมืองเสฉวนได้แล้วท่านก็จะเสียการไป ท่านจะรุกไปข้างหน้าก็มิได้ จะถอยกลับข้างหลังเล่าก็ขัดสน อันกองทัพเมืองเกงจิ๋วเดินทางล่วงแดนเมืองเสฉวนถลำลึกมาแล้ว แม้นคิดจะถอยก็ไร้ประโยชน์เหมือนเดินทางไปไม่ถึงที่เสียการเปล่า มีแต่จะตัดสินใจรุกไปข้างหน้าจึงจะได้การ
หวดเจ้งเห็นเล่าปี่นั่งนิ่งอึ้งอยู่จึงสำทับต่อไปว่า หากเวลาเนิ่นช้าไปความลับรั่วไหลแพร่งพราย แทนที่ท่านจะเป็นฝ่ายกำจัดเล่าเจี้ยง กลับจะถูกเล่าเจี้ยงกำจัดเป็นมั่นคง “จงเร่งคิดอ่านทำการกำจัดเล่าเจี้ยงเสียอย่าให้รู้ตัว เอาเมืองเสฉวนเป็นที่ตั้งให้จงได้ก่อน ซึ่งจะคิดทำการใหญ่หลวงไปเบื้องหน้านั้นก็จะสะดวก”
บังทองและหวดเจ้งได้ผลัดช่วยกันว่ากล่าวกับเล่าปี่เร่งรัดให้เล่าปี่กำจัดเล่าเจี้ยงเป็นหลายครั้งแต่เล่าปี่ก็ยังไม่ตัดสินใจ อ้างว่าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องแซ่เดียวกัน จะเป็นที่นินทาติเตียนแก่คนทั้งปวง จนบังทองและหวดเจ้งเห็นว่าถึงจะคะยั้นคะยออีกสักเท่าใด เล่าปี่ก็คงจะยืนกรานไม่ยอมทำตามอยู่นั่นเอง จึงพากันคำนับลาเล่าปี่กลับออกไป
ครั้นวันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพาที่ปรึกษาและนายทหารซึ่งสนิทเข้าไปสนทนากับเล่าเจี้ยงที่ในด่านอีกครั้งหนึ่ง เล่าเจี้ยงเห็นเล่าปี่มาก็มีความยินดี ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงสุราเล่าปี่ตามธรรมเนียม
ทั้งเล่าเจี้ยงและเล่าปี่ได้สนทนาพาทีกันด้วยความสนิทสนม จนมีทีท่าว่าจะเมามายทั้งสองฝ่าย
บังทองเห็นดังนั้นจึงกระซิบปรึกษากับหวดเจ้งว่า หากแม้นปล่อยให้การเป็นไปตามแต่ใจของนายเรา การซึ่งเตียวสงแนะนำมาก็จะเนิ่นช้าไป หากความลับแพร่งพรายอันตรายก็จะบังเกิดเป็นมั่นคง กระนั้นเลยเราสองคนจงคิดอ่านทำการตามความเห็นของเตียวสงโดยมิให้เล่าปี่รู้ความ ก็จะสำเร็จโดยง่าย หวดเจ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
บังทองจึงเรียกอุยเอี๋ยนมากระซิบสั่งว่าบัดนี้เล่าเจี้ยงและเล่าปี่นายเรากำลังเสพสุราเพลิดเพลินอยู่ไม่ทันระวังตัว ท่านจงแสร้งทำกลรำกระบี่แล้วสังหารเล่าเจี้ยงเสียเถิด
อุยเอี๋ยนรับคำสั่งบังทองแล้วทำทีกลับไปนั่งที่เดิม ครู่หนึ่งก็ถอดกระบี่ลุกออกไปที่หน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยงแล้วว่า เวลาวันนี้ทุกคนต่างมีความสุข ดังนั้นข้าพเจ้าจะรำกระบี่ให้ดูเล่นเป็นขวัญตา เพิ่มรสชาติบรรยากาศแก่การเลี้ยงโต๊ะในครั้งนี้
บังทองเห็นดังนั้นก็ปรบมือแล้วว่า ดีแล้วพวกเราจะได้ชมให้เป็นที่เพลิดเพลิน อุยเอี๋ยนจึงรำกระบี่วนเวียนอยู่ข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง
ฝ่ายเตียวหยิมนายทหารเอกของเล่าเจี้ยงเห็นอุยเอี๋ยนร่ายรำกระบี่อยู่ที่หน้าโต๊ะของเล่าเจี้ยง แต่สายตานั้นชำเลืองมองเล่าเจี้ยงอยู่เป็นระยะ ๆ ก็พรั่นใจ ครั้นเหลียวมองโดยรอบก็เห็นทหารฝ่ายเล่าปี่ล้วนถือศาสตราวุธประหนึ่งว่าคุมเชิงคอยทีอยู่ ก็กริ่งใจว่าอุยเอี๋ยนรำกระบี่เป็นกลอุบายแล้วลอบทำร้ายเล่าเจี้ยง
เตียวหยิมคำนึงดังนั้นจึงชักกระบี่ออกจากฝักบ้าง แล้วออกไปข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง ปากก็กล่าวว่าอันประเพณีการรำกระบี่นั้นหากไร้คู่ก็ดูไม่งามตา ข้าพเจ้าขออาสารำกระบี่เป็นคู่ให้ท่านดูเล่น
เตียวหยิมว่าแล้วก็ร่ายรำกระบี่เข้าไปเคียงคู่อยู่กับอุยเอี๋ยนเป็นทีคุมเชิงอุยเอี๋ยนมิให้ทำอันตรายแก่เล่าเจี้ยง
อุยเอี๋ยนรำกระบี่อยู่ที่ข้างหน้าโต๊ะ แต่ครั้นเตียวหยิมออกมารำกระบี่เป็นทีคุมเชิงก็เห็นว่าจะทำการไม่ถนัดจึงลอบชายตาให้แก่เล่าฮอง
เล่าฮองสบตาอุยเอี๋ยนก็รู้ทีจึงชักกระบี่เข้าร่วมวงด้วย ในขณะนั้นเตียวหยิมก็ลอบชายตาให้กับเล่ากุ๋ย เหลงเปา และเตงเหียนสามนายทหารรองของเล่าเจี้ยง เป็นทีให้ลุกออกมาช่วย สามนายทหารของเล่าเจี้ยงรู้ทีของเตียวหยิมก็ถอดกระบี่ออกจากฝัก แล้วว่าเมื่อบรรดาทหารร่ายรำกระบี่กันเป็นที่สนุกสนาน ข้าพเจ้าก็ขอร่วมสนุกให้เป็นที่สำราญแก่ท่านทั้งปวงด้วยเถิด
สองนายทหารของเล่าปี่และสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงต่างร่ายรำกระบี่เป็นที่ชุลมุนอยู่ที่ข้างหน้าโต๊ะของเล่าปี่และเล่าเจี้ยง แม้จะเป็นเพลงกระบี่ที่ร่ายรำไปตามเสียงดนตรีแต่ก็เป็นทีคุมเชิงกันและกันอยู่ในที
เล่าปี่เห็นเหตุการณ์ชุลมุนดังนั้นก็รู้ความนัยจึงถอดกระบี่ออกจากฝัก ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ตัวเราพี่น้องมาพบกันมีความยินดี เสพสุราเลี้ยงดูกันให้สบายตามประเพณี ควรหรือท่านทั้งปวงมีความกินแหนงสนเท่ห์ฉะนี้มิชอบ ใช่จะเหมือนครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจ และพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเสพสุราด้วยกัน ณ ด่านงักกุนก๋วนนั้นหามิได้ จงทิ้งกระบี่เสียให้สิ้นทุกคน ถ้าผู้ใดมิวางกระบี่ลงก็จะตัดศีรษะเสีย”
พร้อม ๆ กันนั้นเล่าเจี้ยงก็ลุกขึ้นยืนแล้วตวาดใส่สี่นายทหารของเมืองเสฉวนว่า เราพี่น้องดื่มสุรากันโดยสุจริต ไฉนพวกท่านจึงมาทำวุ่นวายให้เกิดความกินแหนงแคลงใจกันเล่า จงเร่งเก็บกระบี่แล้วถอยออกไปให้พ้น หาไม่แล้วเราจะประหารชีวิต มิให้ละอายแก่เล่าปี่พี่เรา
สองนายทหารของเล่าปี่และสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงได้ยินคำตัวนายตวาดด้วยความไม่พอใจจึงต่างพากันคำนับเล่าปี่และเล่าเจี้ยง แล้วถอยกลับออกไปนั่งในที่เดิม
เล่าปี่จึงชวนเล่าเจี้ยงนั่งลงดื่มสุราต่อไป แล้วยกจอกสุราเชิญสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงมาชนจอกกันที่โต๊ะ สี่นายทหารของเล่าเจี้ยงเห็นเล่าปี่ไม่ถือโทษก็ค่อยอุ่นใจ พากันเข้ามาคำนับเล่าปี่แล้วดื่มสุราคารวะ
เล่าปี่รินสุราเติมให้กับนายทหารทั้งสี่คน ชวนชนจอกสุราว่าที่อุยเอี๋ยนและเล่าฮองออกไปรำกระบี่ครั้งนี้เพียงหวังให้บังเกิดความเจริญตาแก่สองเราพี่น้อง ท่านอย่าได้ติดใจระแวงสงสัยเลย หากพลาดพลั้งประการใดเราขออภัยด้วยเถิด
ว่าแล้วเล่าปี่ก็เชิญสี่นายทหารของเล่าเจี้ยงดื่มสุรา นายทหารของเล่าเจี้ยงดื่มสุราแล้วคำนับเล่าปี่กลับไปนั่งในที่เดิม
เล่าปี่กวาดสายตาไปทั่วแล้วหันมากล่าวกับเล่าเจี้ยงหวังให้ได้ยินทั่วกันว่า ข้าพเจ้ายกกองทัพมาเมืองเสฉวนเพื่อป้องกันรักษาเมืองแลราษฎรมิให้ถูกข้าศึกย่ำยีบีทาตามความปรารถนาของท่านโดยสุจริต ซึ่งจะคิดไม่ซื่อตรงนั้นหามิได้ ขออย่าได้หวาดระแวงแคลงใจกันสืบไปเลย
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เอามือทั้งสองกุมมือเล่าปี่ไว้ แล้วว่าอันน้ำใจเล่าปี่พี่ท่านประจักษ์แล้วแก่ใจข้าพเจ้าว่ามีความสุจริตเอ็นดูข้าพเจ้า แล้วเล่าเจี้ยงจึงมองไปที่บรรดานายทหารเมืองเสฉวนแล้วว่าเราพี่น้องวางใจสุจริตต่อกัน ท่านทั้งปวงอย่าได้กินแหนงแคลงใจสืบไปอีกเลย
ว่าแล้วเล่าเจี้ยงจึงเอาจอกสุรามาดื่มคำนับเล่าปี่ เล่าปี่รับคำนับแล้วเชิญให้เล่าเจี้ยงนั่งลงที่โต๊ะ จนถึงเวลาพลบค่ำเล่าปี่จึงลาเล่าเจี้ยง ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงพาที่ปรึกษาและนายทหารกลับไปที่ค่าย
ครั้นไปถึงค่ายเล่าปี่จึงต่อว่าบังทองว่า “ท่านนี้หาความพินิจไม่ ทำทั้งนี้จะให้คนติเตียนเราได้ แต่วันนี้สืบไปวันหน้าจงอย่าได้ทำฉะนี้เลย”
บังทองไม่ตอบคำเล่าปี่ ได้แต่ทอดถอนใจแล้วคำนับลาเล่าปี่กลับไปที่ค่ายพัก
ทางฝ่ายเล่าเจี้ยงเมื่อเล่าปี่พาที่ปรึกษาและนายทหารกลับออกไปแล้ว เล่ากุ๋ย เหลงเปา และเตงเหียน จึงเข้าไปกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่าวันนี้ท่านเลี้ยงโต๊ะเสพสุรากับเล่าปี่ ได้แลเห็นกะเท่ห์แล้วมิใช่หรือว่าเล่าปี่คิดร้ายให้อุยเอี๋ยนรำกระบี่แล้วจะทำอันตรายท่าน อันเล่าปี่นี้ไว้วางใจมิได้ ท่านจงรีบยกทหารกลับไปเมืองเสฉวนแต่เพลานี้ หากช้าอยู่เห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังสามนายทหารก็แย้งว่า ก็งานเลี้ยงโต๊ะเสพสุราวันนี้ท่านก็แลเห็นแล้วมิใช่หรือว่าเล่าปี่พี่เรามีน้ำใจรักเมตตาเราโดยสุจริต ที่จะคิดอ่านทำร้ายเราเหมือนคำท่านนั้นเราไม่เห็นสม ท่านอย่าได้สงสัยสืบไปเลย
สามนายทหารฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วก็ท้วงติงต่อไปว่า ท่านแลเห็นแต่น้ำใจของเล่าปี่แต่มิได้เห็นน้ำใจที่ปรึกษาและทหารของเล่าปี่ที่คิดร้ายต่อท่านแล้วคิดชิงเอาเมืองเสฉวนให้แก่เล่าปี่ ท่านจงไตร่ตรองให้จงหนัก
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำสามนายทหารดังนั้นก็ส่ายศีรษะ โบกมือเป็นทีห้ามปราม แล้วว่าพวกท่านเป็นคนนอก ไหนเลยจะล่วงรู้น้ำใจเราพี่น้อง แต่นี้ไปอย่าได้กล่าวความดังนี้อีกเลย ว่าแล้วเล่าเจี้ยงจึงโบกมือเป็นทีให้สามนายทหารกลับออกไป
สามนายทหารเมืองเสฉวนได้ยินคำนายยืนยันขันแข็งดังนั้นก็มิรู้ที่จะว่าประการใด ต่างคนต่างทอดถอนใจใหญ่ แล้วคำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไป
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำสามนายทหาร ยังคงเชิญเล่าปี่มากินโต๊ะเสพสุราต่อไปอีก วันหนึ่งทหารลาดตระเวนได้นำความมารายงานว่าบัดนี้เตียวล่อได้ยกกองทัพเมืองฮันต๋งตั้งประชิดด่านแฮบังก๋วนแล้ว คงจะบุกเข้าโจมตีในเร็ววันนี้
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง และให้เชิญเล่าปี่เข้ามาร่วมปรึกษาด้วย
เล่าเจี้ยงปรารภความที่เตียวล่อยกกองทัพมาตีด่านแฮบังก๋วน แล้วขอให้เล่าปี่ยกกองทัพไปป้องกันเตียวล่อ
เล่าปี่รับคำเล่าเจี้ยงแต่โดยดีแล้วว่า ข้าศึกยกมาประชิดเมืองดังนี้จะเนิ่นช้าอยู่นั้นมิได้ ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปแต่ในวันนี้ เล่าเจี้ยงได้ฟังคำเล่าปี่ก็ขอบคุณเล่าปี่ แล้วว่าความอันตรายหรือปลอดภัยของเมืองเสฉวนฝากไว้กับท่านพี่ด้วยเถิด
เล่าปี่ลาเล่าเจี้ยงแล้วกลับออกไปที่ค่าย สั่งทหารทั้งปวงให้เคลื่อนทัพไปที่ด่านแฮบังก๋วนแต่ในวันนั้น.