ตอนที่ 345. อุบาย "ใช้ซื่อข่มระแวง"
เล่าปี่ยกกองทัพเข้าแดนเมืองเสฉวนและได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเบ้งตัดและหัวเมืองรายทาง แต่ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังจัดแจงกองทหารเพื่อจะออกไปต้อนรับเล่าปี่นั้น กลับถูกที่ปรึกษาหลายคนท้วงติงว่าการเชิญเล่าปี่เข้ามาเมืองเสฉวนครั้งนี้เล่าเจี้ยงจะได้รับอันตรายเหมือนกับการรับเสือเอามาไว้ในบ้าน
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำทัดทานของลิอิ๋นผู้เป็นขุนนาง แต่ลิอิ๋นยังคงเซ้าซี้ทัดทานต่อไปเพื่อไม่ให้เล่าเจี้ยงยกทหารออกไปต้อนรับเล่าปี่ เล่าเจี้ยงจึงโกรธลิอิ๋นและสั่งทหารให้ลากตัวลิอิ๋นออกไปเสียให้พ้นทาง แล้วเล่าเจี้ยงจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนรถตรงไปที่กองทหารซึ่งตั้งขบวนคอยท่าอยู่แล้ว
เตียวสงซึ่งตามไปส่งเล่าเจี้ยงเกรงว่าเล่าเจี้ยงจะโลเลเปลี่ยนใจจึงกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า อันขุนนางที่ทัดทานความคิดของท่านล้วนเป็นพวกอิจฉาริษยา เห็นแก่ความสุขส่วนตัว เกรงว่าเล่าปี่เข้ามาช่วยราชการแล้วจะสิ้นค่าไร้ความหมาย มิได้คำนึงว่าถ้าเสียเมืองเสฉวนแก่เตียวล่อหรือโจโฉแล้วท่านจะเป็นประการใด คนจำพวกนี้ไม่มีความกตัญญูต่อท่าน หรือดีร้ายอาจคิดอ่านเอาใจออกหากจากท่านแล้วสมคบกับเตียวล่อหรือโจโฉสักอย่างหนึ่ง
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำเตียวสงก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ครั้นไปถึงกองทหารเล่าเจี้ยงได้ตรวจพลตามธรรมเนียมแล้วกลับมาขึ้นรถม้า สั่งให้เคลื่อนกองทัพไปทางประตูเมืองเพื่อจะออกไปต้อนรับเล่าปี่
พอขบวนของเล่าเจี้ยงยกเข้าไปใกล้ประตูเมืองเสฉวน ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งมารายงานว่าขณะนี้อองลุยประท้วงท่านอยู่ที่หน้าประตูเมือง โดยเอาเชือกผูกตัวห้อยไว้กับเสมากำแพงเมือง มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งถือหนังสือขู่ว่าถ้าหากท่านไม่ฟังคำทัดทานก็จะฆ่าตัวตายเสียที่หน้าประตูเมืองนั้น
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนไปที่ประตูเมือง พอพ้นประตูก็สั่งให้ขบวนหยุด หันกลับมาดูที่ประตูเมืองเห็นอองลุยห้อยตัวอยู่ที่กำแพงเมือง ปากก็ร้องว่านายท่านอย่าได้หลงเชื่อเล่าปี่ ๆๆ
เล่าเจี้ยงจึงสั่งให้ทหารไปรับหนังสือจากอองลุยมาอ่านดูปรากฏความว่า “ข้าพเจ้า อองลุยคำนับไว้ถึงท่านให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้าได้ยินโบราณเล่าสืบกันมาว่า ยาดีขมปากแต่เป็นประโยชน์แก่คนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่เพราะหู แต่เป็นประโยชน์แก่การภายหน้า ซึ่งท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจะออกไปรับเล่าปี่ ณ เมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อไปจะมีทางไปสะดวก แต่เมื่อจะกลับมาเห็นจะขัดสนไม่มีทางมา ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงดีก่อน แม้ท่านฟังข้าพเจ้า จงจับตัวเตียวสงตัดศีรษะเสีย แล้วสกัดเล่าปี่อย่าให้เข้ามาเมืองเสฉวนได้ ตัวท่านก็จะได้ครองสมบัติสืบไป ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีความเดือดร้อน”
เล่าเจี้ยงอ่านหนังสือจบความก็โกรธอองลุยเป็นอันมาก เพราะได้บอกการตัดสินใจแก่อองลุยและขุนนางอย่างชัดเจนแล้ว ยังคงแข็งขืนทัดทานไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งเห็นว่าการกระทำของอองลุยครั้งนี้เป็นการประชดประชันให้เสื่อมเสียเกียรติยศ
เล่าเจี้ยงคิดดังนั้นแล้วจึงตวาดใส่อองลุยว่า การเมืองเสฉวนนี้สิทธิขาดอยู่แก่เราผู้เดียว ภัยมาถึงเมืองเสฉวนแล้วเราจึงเรียกให้เล่าปี่ซึ่งเป็นแซ่เดียวกันมาช่วยเหลือตามประสาพี่น้อง แลเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่ไหนเล่าปี่จะคิดร้ายต่อเราได้ ท่านไม่ฟังคำเรากลับดึงดันยุแยกให้พี่น้องต้องแตกกันดังนี้ จะให้เรากับเล่าปี่เป็นศัตรูกันหรือ
เล่าเจี้ยงกล่าวแล้วก็สั่งให้เคลื่อนขบวน อองลุยได้ฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วก็ยิ่งน้อยใจ ร้องไล่หลังเล่าเจี้ยงว่าท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้า วันหนึ่งแม้รู้สึกตัวก็จะสายเกินไป แม้นึกเสียใจในภายหลังก็ไม่ทันการ ว่าแล้วอองลุยจึงเอากระบี่ตัดเชือกซึ่งผูกตัวอยู่นั้น
พอเชือกขาดอองลุยก็ตกลงมาศีรษะกระแทกกับพื้นคอหักถึงแก่ความตาย
เล่าเจี้ยงคุมทหารสามหมื่นพร้อมด้วยแพรพรรณอย่างดีบรรทุกเกวียนถึงสามเล่มกับสิ่งของเงินทองแลเสบียงอาหารเป็นอันมาก ประดับธงทิวปลิวไสวจนยกไปถึงด่านโปยสิก๋วนแล้วให้หยุดกองทหารรอคอยท่าเล่าปี่อยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนนั้น
ฝ่ายเล่าปี่นับแต่ยกกองทัพเข้าถึงแดนเมืองเสฉวนก็ได้ออกคำสั่งสนามให้บรรดาทหารทั้งนายและพลเข้มงวดกวดขันในระเบียบวินัย ห้ามมิให้เบียดเบียนแย่งชิงสิ่งของจากราษฎร หากทำข้าวของราษฎรเสียหายให้ชดใช้ราคาด้วยความเป็นธรรม เห็นการของราษฎรหนักเบาที่พอช่วยเหลือได้ก็ให้เข้าช่วยเหลือ
การออกคำสั่งสนามของเล่าปี่ดังกล่าวคือการดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อประชาชนเพื่อต้องการครองน้ำใจประชาชนว่า กองทัพของเล่าปี่นั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีรักราษฎร เพราะเหตุที่เล่าปี่ดำเนินนโยบายทางการเมืองนำการทหารดังนี้ กองทัพเล่าปี่ไปถึงไหนชาวเมืองเสฉวนก็มีความยินดีถึงนั่น
กิตติศัพท์ความโอบอ้อมอารีของเล่าปี่และความมีระเบียบวินัยของกองทัพเมืองเกงจิ๋วแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเล่าปี่เดินทัพลึกเข้าไปในแดนเมืองเสฉวน ชาวเมืองซึ่งได้กิตติศัพท์จึงใคร่ได้เห็นตัวเล่าปี่ พากันออกมาต้อนรับคำนับและมอบของกำนัลแลเสบียงตลอดเส้นทาง
เล่าปี่ได้โอภาปราศรัยทักทายราษฎรอย่างเป็นกันเอง ด้วยบุคลิกภาพที่อ่อนน้อมถ่อมตนและอ่อนโยน กอปรกับมีวาจาที่อ่อนหวาน เสียงร่ำลือเล่าขานในทางนิยมต่อตัวเล่าปี่จึงยิ่งขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว
วันหนึ่งหวดเจ้งได้รับหนังสือลับจากเตียวสง ซึ่งให้ม้าเร็วถือมาแต่เมืองเสฉวน ครั้นเปิดหนังสือออกอ่านแล้วจึงยื่นหนังสือนั้นให้แก่บังทอง แล้วว่าเตียวสงมีหนังสือส่งข่าวมาว่าบัดนี้เล่าเจี้ยงได้จัดแจงทหารยกออกจากเมืองเสฉวน จะมาคอยท่าต้อนรับเล่าปี่ที่ด่านโปยสิก๋วน ให้คิดอ่านกำจัดเล่าเจี้ยงเสียอย่าให้ทันตั้งตัว ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด
บังทองรับหนังสือของเตียวสงมาอ่านต้องกับคำของหวดเจ้งแล้วจึงว่า ขณะนี้เล่าปี่และเล่าเจี้ยงยังมิได้พบหน้ากัน การจะด่วนตัดสินใจคิดอ่านประการใดย่อมไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และความลับอาจแพร่งพรายไปก็อาจจะเสียการไปได้ รอเวลาให้เล่าปี่พบกับเล่าเจี้ยงก่อน ดูทีท่าเห็นสมคะเนแล้วจึงค่อยคิดทำการเถิด
หวดเจ้งได้ฟังคำบังทองก็พยักหน้ารับคำ
ครั้นเล่าปี่ยกกองทัพมาถึงหน้าด่านโปยสิก๋วน เล่าเจี้ยงจึงสั่งทหารให้ออกไปต้อนรับเล่าปี่ที่นอกประตูด่าน และเชิญเล่าปี่ให้เข้าไปในด่าน
เล่าปี่ทราบว่าเล่าเจี้ยงยกทหารมาต้อนรับถึงด่านโปยสิก๋วนก็มีความยินดี แต่ครั้นเห็นเล่าเจี้ยงมิได้ออกมาด้วยพร้อมกับทหาร เล่าปี่ก็คิดว่าชะรอยเล่าเจี้ยงยังคงกริ่งเกรงระวังตัว ดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพตั้งค่ายไว้ที่นอกด่าน แล้วเล่าปี่พร้อมด้วยทหารติดตามเพียงสองสามคนจึงตามทหารของเล่าเจี้ยงเข้าไปในด่าน
ฝ่ายเล่าเจี้ยงคอยท่าเล่าปี่อยู่ข้างในด่านเพราะต้องการดูทีท่าของเล่าปี่ว่าจะสุจริตหรือไม่ เล่าเจี้ยงสำคัญว่าหากเล่าปี่คิดไม่ซื่อตรงก็คงจะยกทหารล่วงเข้ามาในด่าน แต่ถ้าหากเล่าปี่มีใจสุจริตก็จะต้องพักทหารไว้นอกด่านแล้วเข้ามาแต่ตัว ครั้นเห็นเล่าปี่ตามทหารที่ให้ออกไปเชิญและมากับทหารติดตามเพียงสองสามคนก็วางใจ มั่นใจว่าเล่าปี่ยกมาครั้งนี้ด้วยใจสุจริต จึงลุกขึ้นไปต้อนรับเล่าปี่
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่คำนับกันตามประเพณีแล้วเล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่นั่งสนทนากันในห้องรับรองของด่านโปยสิก๋วน ต่างฝ่ายต่างไต่ถามสารทุกข์สุขดิบราวกับว่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรแล้วพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลาช้านาน แล้วต่างคนก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่ยิ่งสนทนากันก็ยิ่งออกรสชาติ การเจรจาว่ากล่าวทุกราวเรื่องล้วนถูกอกต้องใจไปสิ้น จนถึงเวลาเย็นเล่าเจี้ยงจึงให้แต่งโต๊ะและเลี้ยงสุราเล่าปี่ ทางด้านเล่าเจี้ยงได้เล่าสภาพการณ์และเรื่องราวทางเมืองเสฉวนให้เล่าปี่ฟังทุกประการ ฝ่ายเล่าปี่ก็เล่าความเป็นมาตั้งแต่ครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลืองจนกระทั่งได้ขออาศัยซุนกวนอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วให้เล่าเจี้ยงฟังทุกประการเช่นเดียวกัน
เล่าเจี้ยงได้ฟังเรื่องราวของเล่าปี่ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเล่าปี่ นึกเลื่อมใสศรัทธาเล่าปี่ว่าเป็นวีรชน ทำความชอบแก่แผ่นดินเป็นอันมากถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีเมืองที่อยู่ของตนเอง
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุราสนทนากันจนเวลาค่ำลง เล่าเจี้ยงจึงว่าท่านเดินทางมาเป็นระยะทางไกล จงพักผ่อนอยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนสักสองสามวันแล้วค่อยยกเข้าไปในเมืองเสฉวน เล่าปี่เห็นเป็นเวลาสมควรจึงคำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไปที่ค่าย
ครั้นเล่าปี่กลับออกไปแล้วเล่าเจี้ยงจึงปรารภกับบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงว่า “อองลุยกับอุยก๋วนสองคนนี้หาปัญญามิได้ ข้าพเจ้าคิดมาก็น่าหัวเราะ ควรหรือมาสงสัยเล่าปี่ว่าจะไม่สัตย์ซื่อต่อพี่น้องนั้นไม่ควร เราเห็นเล่าปี่พี่เราวันนี้ พิเคราะห์ดูกิริยาอาการเห็นเป็นคนซื่อตรงต่อพี่น้องจริง ถ้าเราได้เล่าปี่พี่เรามาไว้ช่วยทำนุบำรุงเป็นที่ป้องอันตรายอยู่รอบนอกแล้วก็จะกลัวอะไรแก่โจโฉแลเตียวล่อ ตัวข้าพเจ้านี้ก็ผิดหนักหนาที่มิได้รำลึกถึงพี่น้องของตัวเลย ต่อเตียวสงมาบอกจึงคิดได้ ความชอบของเตียวสงมีเป็นอันมาก”
จากการที่เล่าปี่ตั้งค่ายพักทหารไว้นอกด่านแล้วเข้ามาหาเล่าเจี้ยงแต่ตัว และสนทนาโอภาปราศรัย เล่าความแต่หนหลังทั้งสิ้นแก่เล่าเจี้ยง ทำให้เล่าเจี้ยงยิ่งมั่นใจว่าการซึ่งคิดขอให้เล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยป้องกันรักษาเมืองเสฉวนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งเชื่อมั่นว่าหากมีเล่าปี่มาช่วยป้องกันรักษาอยู่ทางแดนนอกเมืองเสฉวนแล้ว โจโฉและเตียวล่อก็ไม่อาจยกมาทำอันตรายได้ นี่หรือมิใช่ความสำเร็จของอุบายที่เรียกว่า “ใช้ซื่อข่มระแวง”
เล่าเจี้ยงคำนึงดังนี้ก็เห็นความดีความชอบของเตียวสง จึงถอดเสื้อคลุมสำหรับตัวและให้เบิกทองคำอีกห้าร้อยตำลึงมอบแก่ทหาร สั่งให้นำไปกำนัลเป็นรางวัลแก่เตียวสงที่เมืองเสฉวน
ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังปลาบปลื้มด้วยใจนิยมเล่าปี่นั้น พลันเห็นบรรดาขุนนางที่ปรึกษาคนสำคัญคือเล่ากุ๋ย เหลงเปา เตียวหยิม เตงเหียน และที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนอีกหลายคนได้ลุกออกมาคุกเข่าคำนับพร้อมกัน แล้วว่า “ท่านอย่ายินดีเข้าใกล้เล่าปี่ก่อน อันเล่าปี่นี้ทำกิริยาแช่มช้อย พูดจาไพเราะอ่อนโยนก็จริง แต่ว่าเป็นคนเจ้ามารยา น้ำใจนั้นกระด้างดังเหล็กเพชรหาเหมือนกับวาจาไม่ ขอท่านอย่าประมาท เร่งระมัดระวังตัวให้จงดี”
เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม หัวเราะแล้วว่าท่านทั้งปวงคิดระแวงเล่าปี่พี่เรามากเกินไป ตัวเรากับเล่าปี่นี้แซ่เดียวกันเหมือนหนึ่งพี่น้อง วันนี้ เล่าปี่เข้ามาแต่ตัวคนเดียว เราได้สนทนาปรึกษากันอย่างใกล้ชิดก็ยิ่งเห็นว่าเล่าปี่พี่เรามีน้ำใจสุจริต หาได้คิดเป็นสองใจดังที่พวกท่านสงสัยไม่ อย่าได้ระแวงแล้วทำให้เรากับเล่าปี่กินแหนงแคลงใจกันสืบไปเลย
เล่าเจี้ยงกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นทำทีจะกลับเข้าไปพักผ่อน บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ คำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไป
ทางฝ่ายเล่าปี่เมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วเห็นบังทองนั่งคอยอยู่ที่ค่ายหลวงก็มีความยินดี บังทองได้เอ่ยขึ้นก่อนว่าเวลาวันนี้ท่านเข้าไปในด่านพบกับเล่าเจี้ยงแล้ว ได้สนทนาว่ากล่าวฟังแยบคายได้ประการใดบ้าง
เล่าปี่จึงว่าไม่เห็นมีสิ่งใดเป็นที่แยบคาย เห็นแต่ท่าทีที่สัตย์ซื่อมั่นคงประการเดียวเท่านั้น ท่านอย่าได้คลางแคลงใจเลย
บังทองจึงท้วงว่าเล่าเจี้ยงนี้เป็นคนโลเล มิได้หนักแน่นมั่นคงเหมือนกับขุนเขา แม้ว่าเล่าเจี้ยงจะมีน้ำใจสุจริตต่อท่าน แต่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองซึ่งไม่ต้องใจด้วยการยกทัพมาของท่าน จะยุยงว่ากล่าวชักใบให้เรือเสียไป หากท่านไม่คิดอ่านให้เป็นที่เด็ดขาด นานไปก็จะเสียการที่คิดไว้.
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำทัดทานของลิอิ๋นผู้เป็นขุนนาง แต่ลิอิ๋นยังคงเซ้าซี้ทัดทานต่อไปเพื่อไม่ให้เล่าเจี้ยงยกทหารออกไปต้อนรับเล่าปี่ เล่าเจี้ยงจึงโกรธลิอิ๋นและสั่งทหารให้ลากตัวลิอิ๋นออกไปเสียให้พ้นทาง แล้วเล่าเจี้ยงจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนรถตรงไปที่กองทหารซึ่งตั้งขบวนคอยท่าอยู่แล้ว
เตียวสงซึ่งตามไปส่งเล่าเจี้ยงเกรงว่าเล่าเจี้ยงจะโลเลเปลี่ยนใจจึงกล่าวกับเล่าเจี้ยงว่า อันขุนนางที่ทัดทานความคิดของท่านล้วนเป็นพวกอิจฉาริษยา เห็นแก่ความสุขส่วนตัว เกรงว่าเล่าปี่เข้ามาช่วยราชการแล้วจะสิ้นค่าไร้ความหมาย มิได้คำนึงว่าถ้าเสียเมืองเสฉวนแก่เตียวล่อหรือโจโฉแล้วท่านจะเป็นประการใด คนจำพวกนี้ไม่มีความกตัญญูต่อท่าน หรือดีร้ายอาจคิดอ่านเอาใจออกหากจากท่านแล้วสมคบกับเตียวล่อหรือโจโฉสักอย่างหนึ่ง
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำเตียวสงก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย ครั้นไปถึงกองทหารเล่าเจี้ยงได้ตรวจพลตามธรรมเนียมแล้วกลับมาขึ้นรถม้า สั่งให้เคลื่อนกองทัพไปทางประตูเมืองเพื่อจะออกไปต้อนรับเล่าปี่
พอขบวนของเล่าเจี้ยงยกเข้าไปใกล้ประตูเมืองเสฉวน ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งมารายงานว่าขณะนี้อองลุยประท้วงท่านอยู่ที่หน้าประตูเมือง โดยเอาเชือกผูกตัวห้อยไว้กับเสมากำแพงเมือง มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งถือหนังสือขู่ว่าถ้าหากท่านไม่ฟังคำทัดทานก็จะฆ่าตัวตายเสียที่หน้าประตูเมืองนั้น
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนไปที่ประตูเมือง พอพ้นประตูก็สั่งให้ขบวนหยุด หันกลับมาดูที่ประตูเมืองเห็นอองลุยห้อยตัวอยู่ที่กำแพงเมือง ปากก็ร้องว่านายท่านอย่าได้หลงเชื่อเล่าปี่ ๆๆ
เล่าเจี้ยงจึงสั่งให้ทหารไปรับหนังสือจากอองลุยมาอ่านดูปรากฏความว่า “ข้าพเจ้า อองลุยคำนับไว้ถึงท่านให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้าได้ยินโบราณเล่าสืบกันมาว่า ยาดีขมปากแต่เป็นประโยชน์แก่คนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่เพราะหู แต่เป็นประโยชน์แก่การภายหน้า ซึ่งท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจะออกไปรับเล่าปี่ ณ เมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อไปจะมีทางไปสะดวก แต่เมื่อจะกลับมาเห็นจะขัดสนไม่มีทางมา ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงดีก่อน แม้ท่านฟังข้าพเจ้า จงจับตัวเตียวสงตัดศีรษะเสีย แล้วสกัดเล่าปี่อย่าให้เข้ามาเมืองเสฉวนได้ ตัวท่านก็จะได้ครองสมบัติสืบไป ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีความเดือดร้อน”
เล่าเจี้ยงอ่านหนังสือจบความก็โกรธอองลุยเป็นอันมาก เพราะได้บอกการตัดสินใจแก่อองลุยและขุนนางอย่างชัดเจนแล้ว ยังคงแข็งขืนทัดทานไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งเห็นว่าการกระทำของอองลุยครั้งนี้เป็นการประชดประชันให้เสื่อมเสียเกียรติยศ
เล่าเจี้ยงคิดดังนั้นแล้วจึงตวาดใส่อองลุยว่า การเมืองเสฉวนนี้สิทธิขาดอยู่แก่เราผู้เดียว ภัยมาถึงเมืองเสฉวนแล้วเราจึงเรียกให้เล่าปี่ซึ่งเป็นแซ่เดียวกันมาช่วยเหลือตามประสาพี่น้อง แลเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่ไหนเล่าปี่จะคิดร้ายต่อเราได้ ท่านไม่ฟังคำเรากลับดึงดันยุแยกให้พี่น้องต้องแตกกันดังนี้ จะให้เรากับเล่าปี่เป็นศัตรูกันหรือ
เล่าเจี้ยงกล่าวแล้วก็สั่งให้เคลื่อนขบวน อองลุยได้ฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วก็ยิ่งน้อยใจ ร้องไล่หลังเล่าเจี้ยงว่าท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้า วันหนึ่งแม้รู้สึกตัวก็จะสายเกินไป แม้นึกเสียใจในภายหลังก็ไม่ทันการ ว่าแล้วอองลุยจึงเอากระบี่ตัดเชือกซึ่งผูกตัวอยู่นั้น
พอเชือกขาดอองลุยก็ตกลงมาศีรษะกระแทกกับพื้นคอหักถึงแก่ความตาย
เล่าเจี้ยงคุมทหารสามหมื่นพร้อมด้วยแพรพรรณอย่างดีบรรทุกเกวียนถึงสามเล่มกับสิ่งของเงินทองแลเสบียงอาหารเป็นอันมาก ประดับธงทิวปลิวไสวจนยกไปถึงด่านโปยสิก๋วนแล้วให้หยุดกองทหารรอคอยท่าเล่าปี่อยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนนั้น
ฝ่ายเล่าปี่นับแต่ยกกองทัพเข้าถึงแดนเมืองเสฉวนก็ได้ออกคำสั่งสนามให้บรรดาทหารทั้งนายและพลเข้มงวดกวดขันในระเบียบวินัย ห้ามมิให้เบียดเบียนแย่งชิงสิ่งของจากราษฎร หากทำข้าวของราษฎรเสียหายให้ชดใช้ราคาด้วยความเป็นธรรม เห็นการของราษฎรหนักเบาที่พอช่วยเหลือได้ก็ให้เข้าช่วยเหลือ
การออกคำสั่งสนามของเล่าปี่ดังกล่าวคือการดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อประชาชนเพื่อต้องการครองน้ำใจประชาชนว่า กองทัพของเล่าปี่นั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีรักราษฎร เพราะเหตุที่เล่าปี่ดำเนินนโยบายทางการเมืองนำการทหารดังนี้ กองทัพเล่าปี่ไปถึงไหนชาวเมืองเสฉวนก็มีความยินดีถึงนั่น
กิตติศัพท์ความโอบอ้อมอารีของเล่าปี่และความมีระเบียบวินัยของกองทัพเมืองเกงจิ๋วแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเล่าปี่เดินทัพลึกเข้าไปในแดนเมืองเสฉวน ชาวเมืองซึ่งได้กิตติศัพท์จึงใคร่ได้เห็นตัวเล่าปี่ พากันออกมาต้อนรับคำนับและมอบของกำนัลแลเสบียงตลอดเส้นทาง
เล่าปี่ได้โอภาปราศรัยทักทายราษฎรอย่างเป็นกันเอง ด้วยบุคลิกภาพที่อ่อนน้อมถ่อมตนและอ่อนโยน กอปรกับมีวาจาที่อ่อนหวาน เสียงร่ำลือเล่าขานในทางนิยมต่อตัวเล่าปี่จึงยิ่งขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว
วันหนึ่งหวดเจ้งได้รับหนังสือลับจากเตียวสง ซึ่งให้ม้าเร็วถือมาแต่เมืองเสฉวน ครั้นเปิดหนังสือออกอ่านแล้วจึงยื่นหนังสือนั้นให้แก่บังทอง แล้วว่าเตียวสงมีหนังสือส่งข่าวมาว่าบัดนี้เล่าเจี้ยงได้จัดแจงทหารยกออกจากเมืองเสฉวน จะมาคอยท่าต้อนรับเล่าปี่ที่ด่านโปยสิก๋วน ให้คิดอ่านกำจัดเล่าเจี้ยงเสียอย่าให้ทันตั้งตัว ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด
บังทองรับหนังสือของเตียวสงมาอ่านต้องกับคำของหวดเจ้งแล้วจึงว่า ขณะนี้เล่าปี่และเล่าเจี้ยงยังมิได้พบหน้ากัน การจะด่วนตัดสินใจคิดอ่านประการใดย่อมไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และความลับอาจแพร่งพรายไปก็อาจจะเสียการไปได้ รอเวลาให้เล่าปี่พบกับเล่าเจี้ยงก่อน ดูทีท่าเห็นสมคะเนแล้วจึงค่อยคิดทำการเถิด
หวดเจ้งได้ฟังคำบังทองก็พยักหน้ารับคำ
ครั้นเล่าปี่ยกกองทัพมาถึงหน้าด่านโปยสิก๋วน เล่าเจี้ยงจึงสั่งทหารให้ออกไปต้อนรับเล่าปี่ที่นอกประตูด่าน และเชิญเล่าปี่ให้เข้าไปในด่าน
เล่าปี่ทราบว่าเล่าเจี้ยงยกทหารมาต้อนรับถึงด่านโปยสิก๋วนก็มีความยินดี แต่ครั้นเห็นเล่าเจี้ยงมิได้ออกมาด้วยพร้อมกับทหาร เล่าปี่ก็คิดว่าชะรอยเล่าเจี้ยงยังคงกริ่งเกรงระวังตัว ดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพตั้งค่ายไว้ที่นอกด่าน แล้วเล่าปี่พร้อมด้วยทหารติดตามเพียงสองสามคนจึงตามทหารของเล่าเจี้ยงเข้าไปในด่าน
ฝ่ายเล่าเจี้ยงคอยท่าเล่าปี่อยู่ข้างในด่านเพราะต้องการดูทีท่าของเล่าปี่ว่าจะสุจริตหรือไม่ เล่าเจี้ยงสำคัญว่าหากเล่าปี่คิดไม่ซื่อตรงก็คงจะยกทหารล่วงเข้ามาในด่าน แต่ถ้าหากเล่าปี่มีใจสุจริตก็จะต้องพักทหารไว้นอกด่านแล้วเข้ามาแต่ตัว ครั้นเห็นเล่าปี่ตามทหารที่ให้ออกไปเชิญและมากับทหารติดตามเพียงสองสามคนก็วางใจ มั่นใจว่าเล่าปี่ยกมาครั้งนี้ด้วยใจสุจริต จึงลุกขึ้นไปต้อนรับเล่าปี่
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่คำนับกันตามประเพณีแล้วเล่าเจี้ยงจึงเชิญเล่าปี่นั่งสนทนากันในห้องรับรองของด่านโปยสิก๋วน ต่างฝ่ายต่างไต่ถามสารทุกข์สุขดิบราวกับว่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรแล้วพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลาช้านาน แล้วต่างคนก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่ยิ่งสนทนากันก็ยิ่งออกรสชาติ การเจรจาว่ากล่าวทุกราวเรื่องล้วนถูกอกต้องใจไปสิ้น จนถึงเวลาเย็นเล่าเจี้ยงจึงให้แต่งโต๊ะและเลี้ยงสุราเล่าปี่ ทางด้านเล่าเจี้ยงได้เล่าสภาพการณ์และเรื่องราวทางเมืองเสฉวนให้เล่าปี่ฟังทุกประการ ฝ่ายเล่าปี่ก็เล่าความเป็นมาตั้งแต่ครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลืองจนกระทั่งได้ขออาศัยซุนกวนอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วให้เล่าเจี้ยงฟังทุกประการเช่นเดียวกัน
เล่าเจี้ยงได้ฟังเรื่องราวของเล่าปี่ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเล่าปี่ นึกเลื่อมใสศรัทธาเล่าปี่ว่าเป็นวีรชน ทำความชอบแก่แผ่นดินเป็นอันมากถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีเมืองที่อยู่ของตนเอง
เล่าเจี้ยงและเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุราสนทนากันจนเวลาค่ำลง เล่าเจี้ยงจึงว่าท่านเดินทางมาเป็นระยะทางไกล จงพักผ่อนอยู่ที่ด่านโปยสิก๋วนสักสองสามวันแล้วค่อยยกเข้าไปในเมืองเสฉวน เล่าปี่เห็นเป็นเวลาสมควรจึงคำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไปที่ค่าย
ครั้นเล่าปี่กลับออกไปแล้วเล่าเจี้ยงจึงปรารภกับบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงว่า “อองลุยกับอุยก๋วนสองคนนี้หาปัญญามิได้ ข้าพเจ้าคิดมาก็น่าหัวเราะ ควรหรือมาสงสัยเล่าปี่ว่าจะไม่สัตย์ซื่อต่อพี่น้องนั้นไม่ควร เราเห็นเล่าปี่พี่เราวันนี้ พิเคราะห์ดูกิริยาอาการเห็นเป็นคนซื่อตรงต่อพี่น้องจริง ถ้าเราได้เล่าปี่พี่เรามาไว้ช่วยทำนุบำรุงเป็นที่ป้องอันตรายอยู่รอบนอกแล้วก็จะกลัวอะไรแก่โจโฉแลเตียวล่อ ตัวข้าพเจ้านี้ก็ผิดหนักหนาที่มิได้รำลึกถึงพี่น้องของตัวเลย ต่อเตียวสงมาบอกจึงคิดได้ ความชอบของเตียวสงมีเป็นอันมาก”
จากการที่เล่าปี่ตั้งค่ายพักทหารไว้นอกด่านแล้วเข้ามาหาเล่าเจี้ยงแต่ตัว และสนทนาโอภาปราศรัย เล่าความแต่หนหลังทั้งสิ้นแก่เล่าเจี้ยง ทำให้เล่าเจี้ยงยิ่งมั่นใจว่าการซึ่งคิดขอให้เล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยป้องกันรักษาเมืองเสฉวนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งเชื่อมั่นว่าหากมีเล่าปี่มาช่วยป้องกันรักษาอยู่ทางแดนนอกเมืองเสฉวนแล้ว โจโฉและเตียวล่อก็ไม่อาจยกมาทำอันตรายได้ นี่หรือมิใช่ความสำเร็จของอุบายที่เรียกว่า “ใช้ซื่อข่มระแวง”
เล่าเจี้ยงคำนึงดังนี้ก็เห็นความดีความชอบของเตียวสง จึงถอดเสื้อคลุมสำหรับตัวและให้เบิกทองคำอีกห้าร้อยตำลึงมอบแก่ทหาร สั่งให้นำไปกำนัลเป็นรางวัลแก่เตียวสงที่เมืองเสฉวน
ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังปลาบปลื้มด้วยใจนิยมเล่าปี่นั้น พลันเห็นบรรดาขุนนางที่ปรึกษาคนสำคัญคือเล่ากุ๋ย เหลงเปา เตียวหยิม เตงเหียน และที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนอีกหลายคนได้ลุกออกมาคุกเข่าคำนับพร้อมกัน แล้วว่า “ท่านอย่ายินดีเข้าใกล้เล่าปี่ก่อน อันเล่าปี่นี้ทำกิริยาแช่มช้อย พูดจาไพเราะอ่อนโยนก็จริง แต่ว่าเป็นคนเจ้ามารยา น้ำใจนั้นกระด้างดังเหล็กเพชรหาเหมือนกับวาจาไม่ ขอท่านอย่าประมาท เร่งระมัดระวังตัวให้จงดี”
เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม หัวเราะแล้วว่าท่านทั้งปวงคิดระแวงเล่าปี่พี่เรามากเกินไป ตัวเรากับเล่าปี่นี้แซ่เดียวกันเหมือนหนึ่งพี่น้อง วันนี้ เล่าปี่เข้ามาแต่ตัวคนเดียว เราได้สนทนาปรึกษากันอย่างใกล้ชิดก็ยิ่งเห็นว่าเล่าปี่พี่เรามีน้ำใจสุจริต หาได้คิดเป็นสองใจดังที่พวกท่านสงสัยไม่ อย่าได้ระแวงแล้วทำให้เรากับเล่าปี่กินแหนงแคลงใจกันสืบไปเลย
เล่าเจี้ยงกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นทำทีจะกลับเข้าไปพักผ่อน บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ คำนับลาเล่าเจี้ยงกลับออกไป
ทางฝ่ายเล่าปี่เมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วเห็นบังทองนั่งคอยอยู่ที่ค่ายหลวงก็มีความยินดี บังทองได้เอ่ยขึ้นก่อนว่าเวลาวันนี้ท่านเข้าไปในด่านพบกับเล่าเจี้ยงแล้ว ได้สนทนาว่ากล่าวฟังแยบคายได้ประการใดบ้าง
เล่าปี่จึงว่าไม่เห็นมีสิ่งใดเป็นที่แยบคาย เห็นแต่ท่าทีที่สัตย์ซื่อมั่นคงประการเดียวเท่านั้น ท่านอย่าได้คลางแคลงใจเลย
บังทองจึงท้วงว่าเล่าเจี้ยงนี้เป็นคนโลเล มิได้หนักแน่นมั่นคงเหมือนกับขุนเขา แม้ว่าเล่าเจี้ยงจะมีน้ำใจสุจริตต่อท่าน แต่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองซึ่งไม่ต้องใจด้วยการยกทัพมาของท่าน จะยุยงว่ากล่าวชักใบให้เรือเสียไป หากท่านไม่คิดอ่านให้เป็นที่เด็ดขาด นานไปก็จะเสียการที่คิดไว้.