ตอนที่ 344. ชะตาฟ้า
เล่าปี่ติดขัดในหัวใจว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนแซ่เดียวกันจึงไม่อาจตัดใจยกไปเมืองเสฉวนได้ แต่ครั้นบังทองได้หาทางออกว่าเป็นเพียงการยืมเมืองเสฉวนไว้ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยและอาศัยตั้งตัวก็เห็นทางออก จึงจัดแจงแต่งกองทัพเตรียมจะยกไปเมืองเสฉวน
ในระหว่างที่เล่าปี่กำลังจัดกองทัพอยู่นั้น เลียวฮัวซึ่งเป็นหัวหน้าโจร มีสำนักอยู่ที่เขตป่าเขาหน้าด่านเมืองฮูโต๋ ได้กลับตัวกลับใจเลิกประพฤติตนเป็นโจร จึงคุมสมัครพรรคพวกมาขอสวามิภักดิ์ด้วยเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงรับเลียวฮัวและพวกไว้เป็นทหารในกองทัพ
เมื่อกำหนดแผนการจัดกำลังที่จะยกไปเมืองเสฉวนแล้ว เล่าปี่จึงตั้งให้ขงเบ้งเป็นผู้รักษาเมืองเกงจิ๋ว ให้กวนอูเป็นผู้รักษาเมืองซงหยง ให้จูล่งเป็นผู้รักษาเมืองกำเหลง ให้เตียวหุยเป็นกองลาดตระเวนคอยช่วยเหลือรักษาความปลอดภัยแก่บรรดาหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว ส่วนเลียวฮัวและคณะโจรซึ่งเข้าสวามิภักดิ์นั้นให้ขึ้นสังกัดกับกวนอูแล้วให้ยกไปอยู่เมืองซงหยง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด เดือนสาม หลังฉลองวันตรุษแล้วเป็นวันฤกษ์ดี เล่าปี่จึงให้กรีฑาทัพออกจากเมืองเกงจิ๋ว ตั้งการพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดาที่หน้าเมือง ขอสวัสดิมงคลแล้วให้ลั่นม้าล่อฆ้องกลองเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพ ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ได้ออกมาส่งที่หน้าประตูเมืองและคำนับอวยพรให้เล่าปี่มีชัยชนะในการสงคราม พอได้เวลาฤกษ์ฮองตงก็คุมกองทัพหน้าเคลื่อนออกจากที่ตั้ง เล่าปี่ บังทอง อำลาขงเบ้ง และบรรดาทหารเอกที่อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วจึงเคลื่อนกองทัพหลวงออกจากที่ตั้ง ตามด้วยกองทัพหลังของอุยเอี๋ยนเคลื่อนตามไป
ขงเบ้งยืนส่งกองทัพของเล่าปี่จนกองทัพหลังเคลื่อนออกจากที่ตั้งแล้วขงเบ้งจึงกลับเข้าไปในเมือง
เล่าปี่นำกองทัพเมืองเกงจิ๋วยกไปเมืองเสฉวนครั้งนี้นับเป็นการเริ่มจังหวะก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง แต่การดังกล่าวนั้นเป็นการใหญ่เล่าปี่ไม่อาจทิ้งเมืองเกงจิ๋วได้เพราะตั้งอยู่ในระหว่างความขัดแย้ง โดยทางด้านเหนือมีกองทัพโจโฉ ทางด้านใต้มีกองทัพของซุนกวนซึ่งอุปมาดังนั่งอยู่ในกองไฟ หากเสียเมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นอุปสรรคต่อการยึดเอาเมืองเสฉวนเพราะขาดฐานสนับสนุนทั้งกำลังและเสบียงอาหาร จึงเป็นเหตุให้เล่าปี่ต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเล่าปี่นำกองทัพไปด้วยตนเอง โดยมีบังทองเป็นกุนซือ มีฮองตงเป็นกองทัพหน้า อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหลัง ส่วนที่สองนั้นให้ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง รักษาเมืองเกงจิ๋ว โดยกวนอูไปรักษาเมืองซงหยง จูล่งไปรักษาเมืองกำเหลง ส่วน เตียวหุยเป็นหน่วยลาดตระเวน
การจัดกำลังดังนี้พอจะแลเห็นได้ว่าเมืองเกงจิ๋วจะปลอดภัยจากการรุกคุกคามทั้งเหนือใต้ เพราะด้วยสติปัญญาของขงเบ้งที่วางยุทธศาสตร์เป็นพันธมิตรกับซุนกวนรับมือกับโจโฉนั้นย่อมป้องกันไม่ให้เมืองกังตั๋งยกมารุกราน ในขณะเดียวกันโจโฉก็ขยาดไม่กล้ายกมาทำร้ายด้วยกองทัพเมืองกังตั๋งยังเป็นพันธมิตรกับเมืองเกงจิ๋ว จึงทำให้กองทัพของเล่าปี่กรีฑาสู่ดินแดนเสฉวนได้โดยปลอดโปร่งโล่งใจ
อาจตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดเล่าปี่จึงไม่ให้ขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพไปเสฉวน เพราะถ้าหากขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพไปเองเหตุการณ์ก็อาจเปลี่ยนแปลงหรือไม่เหมือนกับที่บังทองเป็นกุนซือนำทัพ
ด้วยประการแรกนั้นขงเบ้งเป็นผู้กุมราชการงานลับและหน่วยสอดแนมทั้งปวง เป็นผู้เจนจบในแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งเตียวสงได้ให้ไว้ และด้วยความสันทัดในการสงครามอันประจำอยู่ในตัวขงเบ้งจะถือเอาข้อมูลข่าวสารและภูมิประเทศที่ละเอียดถี่ถ้วนเป็นหลักในการบัญชาการศึก ซึ่งในข้อนี้ไม่มีอยู่ในคุณสมบัติของบังทอง หากอุปมาขงเบ้งและบังทองเป็นระบบคอมพิวเตอร์ ขงเบ้งก็เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีทั้งระบบปฏิบัติการและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อมสรรพ ในขณะที่บังทองนั้นแม้จะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีศักยะของระบบปฏิบัติการใกล้เคียงกับขงเบ้ง แต่ระบบข้อมูลกลับอ่อนด้อยกว่ามากมายนัก
ประการที่สอง การรักษาเมืองเกงจิ๋วแม้เหมือนนั่งอยู่ในกองเพลิงแต่เป็นการง่ายกว่าการลุยเพลิงกองใหญ่เข้าไปในเมืองเสฉวน แม้ขงเบ้งและบังทองต่างไม่เคยย่างเหยียบเข้าสู่แดนเมืองเสฉวนเหมือนกันแต่ขงเบ้งก็ย่อมมีภาษีมากกว่า หากสับเปลี่ยนให้บังทองอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วก็ยังคงสามารถดำเนินยุทธศาสตร์ เหนือรบ โจโฉ ใต้เป็นพันธมิตรซุนกวนได้อย่างมั่นคง ถึงจะมีศึกเหนือเสือใต้ขึ้นมา ด้วยสติปัญญาของบังทองและกำลังฝีมือทหารเอกของกวนอู เตียวหุย และจูล่ง ก็คงจะป้องกันรักษาเมืองเกงจิ๋วไว้ไม่ให้เป็นอันตรายได้
ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้จึงน่าที่เล่าปี่จะจัดแจงให้บังทองอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วให้ขงเบ้งเป็นกุนซือร่วมนำทัพไปเมืองเสฉวน
ถ้าเช่นนั้นเหตุไฉนขงเบ้งจึงไม่ทัดทาน ในประการนี้การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการตัดสินใจบัญชาการของเล่าปี่ที่ให้มีการแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนและกำหนดตัวบุคคลในแต่ละส่วนด้วยตนเอง ขงเบ้งแม้เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์สามก๊กมาแต่ต้น และรู้ดีว่าจังหวะก้าวนี้เป็นจังหวะก้าวครั้งสำคัญที่จะก้าวสู่ยุทธศาสตร์ขั้นที่สอง ชอบที่ขงเบ้งจะต้องไปทำการด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นการตัดสินใจของเล่าปี่ขงเบ้งก็ไม่อาจที่จะเอ่ยคำเพื่อหวังความชอบจากการนี้ได้ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับบังทองนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมสำนัก หากทัดทานขัดขวางก็อาจเกิดการเข้าใจผิดว่าขงเบ้งริษยาไม่ให้เพื่อนได้สร้างความชอบ เหตุนี้ขงเบ้งจึงจำต้องรับเอาคำของเล่าปี่และมิได้ทัดทาน
สามก๊กฉบับของบริวิทเทเลอร์วิจารณ์ว่า การที่ขงเบ้งไม่ทัดทานความเห็นของเล่าปี่ในครั้งนี้เป็นเพราะน้ำใจของขงเบ้งเห็นแก่มิตรภาพที่มีกับบังทอง ต้องการให้ บังทองเพื่อนร่วมสำนักได้มีโอกาสสร้างผลงานครั้งใหญ่ในการนำกำลังเข้ายึดเมือง เสฉวน ในขณะที่สามก๊กฉบับอื่นไม่ได้ตั้งข้อวิจารณ์ในเรื่องนี้
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าการตัดสินใจให้บังทองเป็นกุนซือนำทัพไปเมืองเสฉวนแทนที่จะให้ขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพของเล่าปี่ในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด โดยที่ขงเบ้งก็ไม่อาจทัดทานได้และทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นผลร้ายต่อกองทัพของเล่าปี่ในวันหน้ามากมาย หรือนี่คือชะตาที่ฟ้ากำหนด!
กองทัพเมืองเกงจิ๋วเคลื่อนทัพไปได้สองพันเส้นก็เข้าเขตแดนเมืองเสฉวน เล่าปี่เห็นกองทัพเมืองเสฉวนมาตั้งสกัดอยู่ข้างหน้าก็แปลกใจว่าไฉนจึงมีกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้ แต่พอเห็นกองทหารนั้นมีธงประจำตัวนายทัพว่าเบ้งตัด ก็นึกถึงคำของเตียวสงที่ว่าเบ้งตัดนี้เป็นสหายอันสนิทให้เล่าปี่ไว้วางใจก็ค่อยคลายใจ จึงเคลื่อนกองทัพตรงไปที่กองทหารของเบ้งตัด
ฝ่ายเบ้งตัดคุมกองทหารห้าพันมาคอยท่ากองทัพเล่าปี่ ครั้นเห็นกองทัพเมืองเกงจิ๋วยกมาก็มีความยินดีจึงขี่ม้าออกมายืนอยู่หน้าทหาร ครั้นเห็นเล่าปี่ขี่ม้านำหน้าทหารตรงมาจึงตรงเข้าไปหาเล่าปี่ คำนับแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเบ้งตัดเป็นที่ปรึกษาเมืองเสฉวน ได้รับคำสั่งจากเล่าเจี้ยงให้นำกองทหารมาคอยต้อนรับท่านเพื่อนำทางและอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปเมืองเสฉวน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวขอบคุณเล่าเจี้ยงที่มีน้ำใจไมตรีและกล่าวสืบไปว่า ข้าพเจ้าได้กิตติศัพท์ของท่านจากเตียวสงแล้ว มาพบหน้าวันนี้เป็นวาสนาจะได้ร่วมทำงานกันสืบไป
เบ้งตัดได้ฟังคำเล่าปี่สอดคล้องกับคำของเตียวสงก็ยกมือคำนับเป็นทีรับคำ แต่ไม่ได้กล่าวถ้อยคำประการใดเพราะเห็นว่ามีทหารเป็นจำนวนมากแวดล้อมอยู่รอบด้าน
เบ้งตัดได้สั่งม้าเร็วให้เดินทางล่วงหน้าเข้าไปรายงานความแก่เล่าเจี้ยงว่าบัดนี้กองทัพเล่าปี่ได้ยกล่วงถึงแดนเมืองเสฉวนแล้ว ครั้นสั่งการเสร็จแล้วเบ้งตัดจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนนำหน้ากองทัพเล่าปี่ไปทางเมืองเสฉวน
ฝ่ายเล่าเจี้ยงตั้งตาคอยกองทัพของเล่าปี่ที่จะยกมาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน ครั้นได้ทราบรายงานจากม้าเร็วว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาแล้วก็มีความยินดี จึงสั่งให้หัวเมืองตามรายทางให้เตรียมการต้อนรับขับสู้เล่าปี่อย่าให้ได้ยาก จนกว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วจะเดินทัพถึงเมืองเสฉวน
เล่าเจี้ยงนั้นมีน้ำใจยินดีที่เล่าปี่คนแซ่เดียวกันจะยกกองทัพมาช่วยป้องกันรักษาเมืองเสฉวน ทั้งมีใจเลื่อมใสศรัทธาในกิตติศัพท์ของเล่าปี่ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน จึงมีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบกับเล่าปี่ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงสั่งให้จัดขบวนกองเกียรติยศเป็นกำลังถึงสามหมื่นคนพร้อมรถม้าและสัปทนสำหรับแห่แหนตามเกียรติยศของเชื้อพระวงศ์ชั้นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ พร้อมด้วยข้าวของกำนัลเป็นจำนวนมากเพื่อจะออกไปต้อนรับเล่าปี่ที่ด่านตำบลโปยเสีย
ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังจัดแจงแต่งการซึ่งจะออกไปต้อนรับเล่าปี่อยู่นั้น กิตติศัพท์เลื่องลืออึกทึกทั่วทั้งเมืองเสฉวน อุยก๋วนขุนนางฝ่ายค้านของเตียวสงได้ทราบความจึงเข้ามาหาเล่าเจี้ยง แล้วทักท้วงว่าตัวข้าพเจ้านี้แม้รับราชการอยู่ด้วยท่านช้านาน มิได้ทำความชอบสิ่งใดก็จริงอยู่ แต่ใช่ว่าน้ำใจจงรักภักดีจะไม่มีตามไปด้วยก็หาไม่ ซึ่งท่านเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาเมืองเสฉวนครั้งนี้เล่าปี่จะทำอันตรายแก่ท่านเป็นมั่นคง ท่านจะเสียทั้งเมือง สมบัติพัสถาน และจะเสียทั้งตัว จงดำริตริตรองให้ถ่องแท้อีกสักครั้งหนึ่งเถิด
ในขณะนั้นเตียวสงช่วยจัดแจงเตรียมการอยู่กับเล่าเจี้ยงได้ยินคำอุยก๋วนทักท้วงดังนั้นจึงกล่าวกับเล่าเจี้ยงแย้งคำของอุยก๋วนว่า ซึ่งอุยก๋วนคัดค้านทานความคิดท่านในครั้งนี้มิได้เห็นแก่ราชการของท่านแลเมืองเสฉวน เอาแต่น้ำจิตริษยาต่อเล่าปี่ แล้วยุแยกให้พี่น้องต้องแตกกัน หาชอบด้วยธรรมเนียมไม่ ขอท่านอย่าได้ฟังคำย่ำเหยียบให้เสี้ยนหนามตำเท้าเลย
คำอันเตียวสงกล่าวนี้แหลมคมต้องด้วยใจของเล่าเจี้ยง ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงตวาดใส่ อุยก๋วนว่าตัวเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย มิได้มีสติปัญญาแลความคิดที่จะป้องกันรักษาเมืองเสฉวน ตั้งตาคอยแต่ทัดทานราวกับว่าต้องการให้โจโฉและเตียวล่อเข้าครองเมืองเสฉวนกระนั้น อันการทั้งนี้เราได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว อย่าได้เซ้าซี้ทักท้วงอีกเลย
อุยก๋วนได้ฟังคำเล่าเจี้ยงดังนั้นก็น้อยใจ เห็นว่าเล่าเจี้ยงหลงกลเล่าปี่ไม่ฟังคำทัดทานของขุนนางผู้ภักดี ถึงจะมีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นอุยก๋วนจึงเอาศีรษะโขกกับพื้นอ้อนวอนมิให้เล่าเจี้ยงออกไปต้อนรับเล่าปี่
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำทัดทานและไม่ใส่ใจอุยก๋วน กลับเดินจะไปขึ้นรถม้าเพื่อเคลื่อนขบวนออกไปรับเล่าปี่
อุยก๋วนเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปยุดมือเล่าเจี้ยง และกัดชายเสื้อของเล่าเจี้ยงไว้ไม่ให้ไปขึ้นรถม้า เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นก็โกรธ ปัดมืออุยก๋วนแล้วกระชากชายเสื้ออย่างรุนแรง ฟันของอุยก๋วนซึ่งกัดชายเสื้อเล่าเจี้ยงอยู่นั้นก็หลุดร่วงออกจากปากถึงสองซี่ แล้วเล่าเจี้ยงได้สั่งทหารให้จับตัวอุยก๋วนไว้ แล้วเดินไปขึ้นรถ
ทหารควบคุมตัวอุยก๋วนไว้จนขบวนของเล่าเจี้ยงเคลื่อนออกจากจวนไปแล้วจึงปล่อยตัวอุยก๋วนให้กลับไปบ้าน
ฝ่ายลิอิ๋นขุนนางที่ปรึกษาอีกผู้หนึ่ง ครั้นได้ทราบว่าเล่าเจี้ยงจะยกขบวนออกไปต้อนรับเล่าปี่ก็ลุกลี้ลุกลนวิ่งมาที่จวนของเล่าเจี้ยง เห็นขบวนรถม้าของเล่าเจี้ยงกำลังเคลื่อนออกจากจวนก็ไปยุดรถของเล่าเจี้ยงไว้ เล่าเจี้ยงเห็นขุนนางมายุดรถก็สั่งให้หยุดขบวนรถ แล้วหันมาถามลิอิ๋นว่าท่านมีเรื่องราวสิ่งใดหรือ
ลิอิ๋นจึงว่าท่านจะไปรับเล่าปี่เข้ามาในเมืองเสฉวนบัดนี้เหมือนหนึ่งรับเสือเข้ามาไว้ในบ้าน ท่านจะกลายเป็นอาหารของเสือเป็นมั่นคง จงยับยั้งตั้งสติแล้วไตร่ตรองเรื่องนี้ให้จงดี
เล่าเจี้ยงจึงว่าอันเล่าปี่กับเรานั้นเป็นแซ่เดียวกัน ไหนเลยจะคิดร้ายต่อเรา การทั้งนี้เราได้ตัดสินใจแล้ว ท่านอย่ากล่าวคำทัดทานอีกเลย เราไม่ขอได้ยิน.
ในระหว่างที่เล่าปี่กำลังจัดกองทัพอยู่นั้น เลียวฮัวซึ่งเป็นหัวหน้าโจร มีสำนักอยู่ที่เขตป่าเขาหน้าด่านเมืองฮูโต๋ ได้กลับตัวกลับใจเลิกประพฤติตนเป็นโจร จึงคุมสมัครพรรคพวกมาขอสวามิภักดิ์ด้วยเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงรับเลียวฮัวและพวกไว้เป็นทหารในกองทัพ
เมื่อกำหนดแผนการจัดกำลังที่จะยกไปเมืองเสฉวนแล้ว เล่าปี่จึงตั้งให้ขงเบ้งเป็นผู้รักษาเมืองเกงจิ๋ว ให้กวนอูเป็นผู้รักษาเมืองซงหยง ให้จูล่งเป็นผู้รักษาเมืองกำเหลง ให้เตียวหุยเป็นกองลาดตระเวนคอยช่วยเหลือรักษาความปลอดภัยแก่บรรดาหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว ส่วนเลียวฮัวและคณะโจรซึ่งเข้าสวามิภักดิ์นั้นให้ขึ้นสังกัดกับกวนอูแล้วให้ยกไปอยู่เมืองซงหยง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเจ็ด เดือนสาม หลังฉลองวันตรุษแล้วเป็นวันฤกษ์ดี เล่าปี่จึงให้กรีฑาทัพออกจากเมืองเกงจิ๋ว ตั้งการพิธีบวงสรวงบูชาเทพยดาที่หน้าเมือง ขอสวัสดิมงคลแล้วให้ลั่นม้าล่อฆ้องกลองเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพ ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ได้ออกมาส่งที่หน้าประตูเมืองและคำนับอวยพรให้เล่าปี่มีชัยชนะในการสงคราม พอได้เวลาฤกษ์ฮองตงก็คุมกองทัพหน้าเคลื่อนออกจากที่ตั้ง เล่าปี่ บังทอง อำลาขงเบ้ง และบรรดาทหารเอกที่อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วจึงเคลื่อนกองทัพหลวงออกจากที่ตั้ง ตามด้วยกองทัพหลังของอุยเอี๋ยนเคลื่อนตามไป
ขงเบ้งยืนส่งกองทัพของเล่าปี่จนกองทัพหลังเคลื่อนออกจากที่ตั้งแล้วขงเบ้งจึงกลับเข้าไปในเมือง
เล่าปี่นำกองทัพเมืองเกงจิ๋วยกไปเมืองเสฉวนครั้งนี้นับเป็นการเริ่มจังหวะก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง แต่การดังกล่าวนั้นเป็นการใหญ่เล่าปี่ไม่อาจทิ้งเมืองเกงจิ๋วได้เพราะตั้งอยู่ในระหว่างความขัดแย้ง โดยทางด้านเหนือมีกองทัพโจโฉ ทางด้านใต้มีกองทัพของซุนกวนซึ่งอุปมาดังนั่งอยู่ในกองไฟ หากเสียเมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นอุปสรรคต่อการยึดเอาเมืองเสฉวนเพราะขาดฐานสนับสนุนทั้งกำลังและเสบียงอาหาร จึงเป็นเหตุให้เล่าปี่ต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเล่าปี่นำกองทัพไปด้วยตนเอง โดยมีบังทองเป็นกุนซือ มีฮองตงเป็นกองทัพหน้า อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหลัง ส่วนที่สองนั้นให้ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง รักษาเมืองเกงจิ๋ว โดยกวนอูไปรักษาเมืองซงหยง จูล่งไปรักษาเมืองกำเหลง ส่วน เตียวหุยเป็นหน่วยลาดตระเวน
การจัดกำลังดังนี้พอจะแลเห็นได้ว่าเมืองเกงจิ๋วจะปลอดภัยจากการรุกคุกคามทั้งเหนือใต้ เพราะด้วยสติปัญญาของขงเบ้งที่วางยุทธศาสตร์เป็นพันธมิตรกับซุนกวนรับมือกับโจโฉนั้นย่อมป้องกันไม่ให้เมืองกังตั๋งยกมารุกราน ในขณะเดียวกันโจโฉก็ขยาดไม่กล้ายกมาทำร้ายด้วยกองทัพเมืองกังตั๋งยังเป็นพันธมิตรกับเมืองเกงจิ๋ว จึงทำให้กองทัพของเล่าปี่กรีฑาสู่ดินแดนเสฉวนได้โดยปลอดโปร่งโล่งใจ
อาจตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดเล่าปี่จึงไม่ให้ขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพไปเสฉวน เพราะถ้าหากขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพไปเองเหตุการณ์ก็อาจเปลี่ยนแปลงหรือไม่เหมือนกับที่บังทองเป็นกุนซือนำทัพ
ด้วยประการแรกนั้นขงเบ้งเป็นผู้กุมราชการงานลับและหน่วยสอดแนมทั้งปวง เป็นผู้เจนจบในแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งเตียวสงได้ให้ไว้ และด้วยความสันทัดในการสงครามอันประจำอยู่ในตัวขงเบ้งจะถือเอาข้อมูลข่าวสารและภูมิประเทศที่ละเอียดถี่ถ้วนเป็นหลักในการบัญชาการศึก ซึ่งในข้อนี้ไม่มีอยู่ในคุณสมบัติของบังทอง หากอุปมาขงเบ้งและบังทองเป็นระบบคอมพิวเตอร์ ขงเบ้งก็เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีทั้งระบบปฏิบัติการและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อมสรรพ ในขณะที่บังทองนั้นแม้จะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีศักยะของระบบปฏิบัติการใกล้เคียงกับขงเบ้ง แต่ระบบข้อมูลกลับอ่อนด้อยกว่ามากมายนัก
ประการที่สอง การรักษาเมืองเกงจิ๋วแม้เหมือนนั่งอยู่ในกองเพลิงแต่เป็นการง่ายกว่าการลุยเพลิงกองใหญ่เข้าไปในเมืองเสฉวน แม้ขงเบ้งและบังทองต่างไม่เคยย่างเหยียบเข้าสู่แดนเมืองเสฉวนเหมือนกันแต่ขงเบ้งก็ย่อมมีภาษีมากกว่า หากสับเปลี่ยนให้บังทองอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วก็ยังคงสามารถดำเนินยุทธศาสตร์ เหนือรบ โจโฉ ใต้เป็นพันธมิตรซุนกวนได้อย่างมั่นคง ถึงจะมีศึกเหนือเสือใต้ขึ้นมา ด้วยสติปัญญาของบังทองและกำลังฝีมือทหารเอกของกวนอู เตียวหุย และจูล่ง ก็คงจะป้องกันรักษาเมืองเกงจิ๋วไว้ไม่ให้เป็นอันตรายได้
ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้จึงน่าที่เล่าปี่จะจัดแจงให้บังทองอยู่รักษาเมืองเกงจิ๋วแล้วให้ขงเบ้งเป็นกุนซือร่วมนำทัพไปเมืองเสฉวน
ถ้าเช่นนั้นเหตุไฉนขงเบ้งจึงไม่ทัดทาน ในประการนี้การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการตัดสินใจบัญชาการของเล่าปี่ที่ให้มีการแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนและกำหนดตัวบุคคลในแต่ละส่วนด้วยตนเอง ขงเบ้งแม้เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์สามก๊กมาแต่ต้น และรู้ดีว่าจังหวะก้าวนี้เป็นจังหวะก้าวครั้งสำคัญที่จะก้าวสู่ยุทธศาสตร์ขั้นที่สอง ชอบที่ขงเบ้งจะต้องไปทำการด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นการตัดสินใจของเล่าปี่ขงเบ้งก็ไม่อาจที่จะเอ่ยคำเพื่อหวังความชอบจากการนี้ได้ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับบังทองนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมสำนัก หากทัดทานขัดขวางก็อาจเกิดการเข้าใจผิดว่าขงเบ้งริษยาไม่ให้เพื่อนได้สร้างความชอบ เหตุนี้ขงเบ้งจึงจำต้องรับเอาคำของเล่าปี่และมิได้ทัดทาน
สามก๊กฉบับของบริวิทเทเลอร์วิจารณ์ว่า การที่ขงเบ้งไม่ทัดทานความเห็นของเล่าปี่ในครั้งนี้เป็นเพราะน้ำใจของขงเบ้งเห็นแก่มิตรภาพที่มีกับบังทอง ต้องการให้ บังทองเพื่อนร่วมสำนักได้มีโอกาสสร้างผลงานครั้งใหญ่ในการนำกำลังเข้ายึดเมือง เสฉวน ในขณะที่สามก๊กฉบับอื่นไม่ได้ตั้งข้อวิจารณ์ในเรื่องนี้
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าการตัดสินใจให้บังทองเป็นกุนซือนำทัพไปเมืองเสฉวนแทนที่จะให้ขงเบ้งเป็นกุนซือนำทัพของเล่าปี่ในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด โดยที่ขงเบ้งก็ไม่อาจทัดทานได้และทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นผลร้ายต่อกองทัพของเล่าปี่ในวันหน้ามากมาย หรือนี่คือชะตาที่ฟ้ากำหนด!
กองทัพเมืองเกงจิ๋วเคลื่อนทัพไปได้สองพันเส้นก็เข้าเขตแดนเมืองเสฉวน เล่าปี่เห็นกองทัพเมืองเสฉวนมาตั้งสกัดอยู่ข้างหน้าก็แปลกใจว่าไฉนจึงมีกองทัพมาตั้งอยู่ดังนี้ แต่พอเห็นกองทหารนั้นมีธงประจำตัวนายทัพว่าเบ้งตัด ก็นึกถึงคำของเตียวสงที่ว่าเบ้งตัดนี้เป็นสหายอันสนิทให้เล่าปี่ไว้วางใจก็ค่อยคลายใจ จึงเคลื่อนกองทัพตรงไปที่กองทหารของเบ้งตัด
ฝ่ายเบ้งตัดคุมกองทหารห้าพันมาคอยท่ากองทัพเล่าปี่ ครั้นเห็นกองทัพเมืองเกงจิ๋วยกมาก็มีความยินดีจึงขี่ม้าออกมายืนอยู่หน้าทหาร ครั้นเห็นเล่าปี่ขี่ม้านำหน้าทหารตรงมาจึงตรงเข้าไปหาเล่าปี่ คำนับแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเบ้งตัดเป็นที่ปรึกษาเมืองเสฉวน ได้รับคำสั่งจากเล่าเจี้ยงให้นำกองทหารมาคอยต้อนรับท่านเพื่อนำทางและอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปเมืองเสฉวน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวขอบคุณเล่าเจี้ยงที่มีน้ำใจไมตรีและกล่าวสืบไปว่า ข้าพเจ้าได้กิตติศัพท์ของท่านจากเตียวสงแล้ว มาพบหน้าวันนี้เป็นวาสนาจะได้ร่วมทำงานกันสืบไป
เบ้งตัดได้ฟังคำเล่าปี่สอดคล้องกับคำของเตียวสงก็ยกมือคำนับเป็นทีรับคำ แต่ไม่ได้กล่าวถ้อยคำประการใดเพราะเห็นว่ามีทหารเป็นจำนวนมากแวดล้อมอยู่รอบด้าน
เบ้งตัดได้สั่งม้าเร็วให้เดินทางล่วงหน้าเข้าไปรายงานความแก่เล่าเจี้ยงว่าบัดนี้กองทัพเล่าปี่ได้ยกล่วงถึงแดนเมืองเสฉวนแล้ว ครั้นสั่งการเสร็จแล้วเบ้งตัดจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนนำหน้ากองทัพเล่าปี่ไปทางเมืองเสฉวน
ฝ่ายเล่าเจี้ยงตั้งตาคอยกองทัพของเล่าปี่ที่จะยกมาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน ครั้นได้ทราบรายงานจากม้าเร็วว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาแล้วก็มีความยินดี จึงสั่งให้หัวเมืองตามรายทางให้เตรียมการต้อนรับขับสู้เล่าปี่อย่าให้ได้ยาก จนกว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วจะเดินทัพถึงเมืองเสฉวน
เล่าเจี้ยงนั้นมีน้ำใจยินดีที่เล่าปี่คนแซ่เดียวกันจะยกกองทัพมาช่วยป้องกันรักษาเมืองเสฉวน ทั้งมีใจเลื่อมใสศรัทธาในกิตติศัพท์ของเล่าปี่ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน จึงมีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบกับเล่าปี่ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงสั่งให้จัดขบวนกองเกียรติยศเป็นกำลังถึงสามหมื่นคนพร้อมรถม้าและสัปทนสำหรับแห่แหนตามเกียรติยศของเชื้อพระวงศ์ชั้นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ พร้อมด้วยข้าวของกำนัลเป็นจำนวนมากเพื่อจะออกไปต้อนรับเล่าปี่ที่ด่านตำบลโปยเสีย
ในขณะที่เล่าเจี้ยงกำลังจัดแจงแต่งการซึ่งจะออกไปต้อนรับเล่าปี่อยู่นั้น กิตติศัพท์เลื่องลืออึกทึกทั่วทั้งเมืองเสฉวน อุยก๋วนขุนนางฝ่ายค้านของเตียวสงได้ทราบความจึงเข้ามาหาเล่าเจี้ยง แล้วทักท้วงว่าตัวข้าพเจ้านี้แม้รับราชการอยู่ด้วยท่านช้านาน มิได้ทำความชอบสิ่งใดก็จริงอยู่ แต่ใช่ว่าน้ำใจจงรักภักดีจะไม่มีตามไปด้วยก็หาไม่ ซึ่งท่านเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาเมืองเสฉวนครั้งนี้เล่าปี่จะทำอันตรายแก่ท่านเป็นมั่นคง ท่านจะเสียทั้งเมือง สมบัติพัสถาน และจะเสียทั้งตัว จงดำริตริตรองให้ถ่องแท้อีกสักครั้งหนึ่งเถิด
ในขณะนั้นเตียวสงช่วยจัดแจงเตรียมการอยู่กับเล่าเจี้ยงได้ยินคำอุยก๋วนทักท้วงดังนั้นจึงกล่าวกับเล่าเจี้ยงแย้งคำของอุยก๋วนว่า ซึ่งอุยก๋วนคัดค้านทานความคิดท่านในครั้งนี้มิได้เห็นแก่ราชการของท่านแลเมืองเสฉวน เอาแต่น้ำจิตริษยาต่อเล่าปี่ แล้วยุแยกให้พี่น้องต้องแตกกัน หาชอบด้วยธรรมเนียมไม่ ขอท่านอย่าได้ฟังคำย่ำเหยียบให้เสี้ยนหนามตำเท้าเลย
คำอันเตียวสงกล่าวนี้แหลมคมต้องด้วยใจของเล่าเจี้ยง ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงตวาดใส่ อุยก๋วนว่าตัวเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย มิได้มีสติปัญญาแลความคิดที่จะป้องกันรักษาเมืองเสฉวน ตั้งตาคอยแต่ทัดทานราวกับว่าต้องการให้โจโฉและเตียวล่อเข้าครองเมืองเสฉวนกระนั้น อันการทั้งนี้เราได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว อย่าได้เซ้าซี้ทักท้วงอีกเลย
อุยก๋วนได้ฟังคำเล่าเจี้ยงดังนั้นก็น้อยใจ เห็นว่าเล่าเจี้ยงหลงกลเล่าปี่ไม่ฟังคำทัดทานของขุนนางผู้ภักดี ถึงจะมีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นอุยก๋วนจึงเอาศีรษะโขกกับพื้นอ้อนวอนมิให้เล่าเจี้ยงออกไปต้อนรับเล่าปี่
เล่าเจี้ยงไม่ฟังคำทัดทานและไม่ใส่ใจอุยก๋วน กลับเดินจะไปขึ้นรถม้าเพื่อเคลื่อนขบวนออกไปรับเล่าปี่
อุยก๋วนเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปยุดมือเล่าเจี้ยง และกัดชายเสื้อของเล่าเจี้ยงไว้ไม่ให้ไปขึ้นรถม้า เล่าเจี้ยงเห็นดังนั้นก็โกรธ ปัดมืออุยก๋วนแล้วกระชากชายเสื้ออย่างรุนแรง ฟันของอุยก๋วนซึ่งกัดชายเสื้อเล่าเจี้ยงอยู่นั้นก็หลุดร่วงออกจากปากถึงสองซี่ แล้วเล่าเจี้ยงได้สั่งทหารให้จับตัวอุยก๋วนไว้ แล้วเดินไปขึ้นรถ
ทหารควบคุมตัวอุยก๋วนไว้จนขบวนของเล่าเจี้ยงเคลื่อนออกจากจวนไปแล้วจึงปล่อยตัวอุยก๋วนให้กลับไปบ้าน
ฝ่ายลิอิ๋นขุนนางที่ปรึกษาอีกผู้หนึ่ง ครั้นได้ทราบว่าเล่าเจี้ยงจะยกขบวนออกไปต้อนรับเล่าปี่ก็ลุกลี้ลุกลนวิ่งมาที่จวนของเล่าเจี้ยง เห็นขบวนรถม้าของเล่าเจี้ยงกำลังเคลื่อนออกจากจวนก็ไปยุดรถของเล่าเจี้ยงไว้ เล่าเจี้ยงเห็นขุนนางมายุดรถก็สั่งให้หยุดขบวนรถ แล้วหันมาถามลิอิ๋นว่าท่านมีเรื่องราวสิ่งใดหรือ
ลิอิ๋นจึงว่าท่านจะไปรับเล่าปี่เข้ามาในเมืองเสฉวนบัดนี้เหมือนหนึ่งรับเสือเข้ามาไว้ในบ้าน ท่านจะกลายเป็นอาหารของเสือเป็นมั่นคง จงยับยั้งตั้งสติแล้วไตร่ตรองเรื่องนี้ให้จงดี
เล่าเจี้ยงจึงว่าอันเล่าปี่กับเรานั้นเป็นแซ่เดียวกัน ไหนเลยจะคิดร้ายต่อเรา การทั้งนี้เราได้ตัดสินใจแล้ว ท่านอย่ากล่าวคำทัดทานอีกเลย เราไม่ขอได้ยิน.