ตอนที่ 343. ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง

  เตียวสง หวดเจ้ง และเบ้งตัด สามสหายสนิทซึ่งเป็นขุนนางแห่งเมืองเสฉวนร่วมคิดอ่านยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่ จนเล่าเจี้ยงเชื่อแผนการที่ร่วมคิดกันนั้นแล้วให้หวดเจ้งเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่มาแต่เมืองเกงจิ๋ว และให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพันไปคอยต้อนรับ แต่แผนการดังกล่าวกลับเกิดเสี้ยนตำใจเล่าเจี้ยงโดยอุยก๋วนและอองลุย สองขุนนางที่ปรึกษาคัดค้าน แล้วยุยงเล่าเจี้ยงให้ระแวงเล่าปี่

            เล่าเจี้ยงโลเลตามคำค้านแต่ยังเกรงเตียวล่อและโจโฉ จึงคาดว่าถ้าเตียวล่อและโจโฉยกกองทัพมาจะว่าประการใด

            ครั้นอุยก๋วนเห็นเล่าเจี้ยงมีท่าทีลังเลสมความคิดจึงปลอบใจว่า เมืองเสฉวนนี้มีซอกเขาและเส้นทางเดินทุรกันดารยากที่กองทัพใดจะเข้าตี ถึงแม้โจโฉและเตียวล่อยกมาก็เพียงแต่รักษาด่านทุกด่านไว้ให้มั่นคงก็ไม่อาจยกล่วงเข้าถึงเมืองเสฉวนได้

            เล่าเจี้ยงได้ฟังแผนการรับมือกับโจโฉและเตียวล่อเพียงแค่การตั้งรับดังนั้นก็ลังเลในความเห็นของอุยก๋วน จึงกล่าวว่า “อันธรรมดาศึกมาติดเมืองจวนจะได้แล้ว จะถอยเสียนั้นหามีอย่างไม่ เหมือนเพลิงลามไหม้ติดขนคิ้ว ร้อนจักษุอยู่แล้วจะมิดับเสีย แลจะนิ่งอยู่ให้เพลิงดับเองนั้นได้หรือ ถ้อยคำอันนี้เรามิเอาเป็นครู ท่านออกไปเสียเถิด”

            ว่าแล้วเล่าเจี้ยงก็ขับอุยก๋วนให้กลับออกไป อองลุยจึงทักท้วงว่าท่านอย่าเพิ่งวู่วามก่อน เพราะการเชื่อฟังเตียวสงมีแต่จะหาภัยมาใส่ตัว อันตรายจะเกิดแก่ท่านเป็นมั่นคง

            เล่าเจี้ยงจึงว่าซึ่งเราเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยนั้นเมืองเสฉวนก็จะปลอดภัยจากข้าศึก ไฉนท่านจึงว่าเป็นการหาภัยมาใส่ตัวเล่า

            อองลุยจึงอธิบายว่า “เตียวล่อนี้ถึงจะเป็นศัตรูท่านก็เหมือนหูดสิวอันเป็นที่กายภายนอก แต่จะเอาเล็บสะกิดเสียก็จะหายไป อันเล่าปี่จะเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองนั้นเหมือนวัณโรคอันเป็นยอดขึ้นในอก ยากที่จะรักษาได้ ด้วยเล่าปี่นั้นเป็นคนอกตัญญู มิได้รู้จักคุณคน โจโฉเอาไปเลี้ยงไว้ยังกลับคิดร้ายแก่ผู้มีคุณ แล้วไปอาศัยซุนกวนเล่าก็ชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว มิได้ซื่อตรงต่อผู้ใด ซึ่งท่านจะไว้ใจเล่าปี่แล้วรับเข้ามาในเมืองนี้น่าจะเกิดอันตรายเป็นมั่นคง”

            น้ำใจเล่าเจี้ยงเกรงกลัวเตียวล่อซึ่งพยาบาทด้วยเหตุเล่าเจี้ยงสังหารมารดาเตียวล่อ หากพลาดพลั้งเสียทีแล้ว ไม่เพียงแต่จะเสียเมืองถึงตัวก็จะต้องตายตาม ยิ่งกว่านั้นยังมีกองทัพของโจโฉประดุจดั่งเสือใหญ่คอยจ้องขย้ำซ้ำอีก เล่าเจี้ยงเกรงภัยทั้งสองนี้ยิ่งกว่าที่จะเห็นว่าเล่าปี่ซึ่งเป็นคนแซ่เดียวกันว่าเป็นภัยแก่ตัว ทั้งเห็นว่าสองขุนนางได้แต่ออกความเห็นคัดค้านเล่าปี่ แต่ไม่มีความเห็นที่จะรับมือกับกองทัพเมืองฮันต๋งและเมืองฮูโต๋ น้ำใจเล่าเจี้ยงซึ่งเริ่มโลเลมาข้างอุยก๋วนก็พลิกกลับไปเห็นด้วยกับแผนการของเตียวสง

            ครั้นคิดดังนั้นแล้วเล่าเจี้ยงจึงรู้สึกไม่พอใจอุยก๋วนและอองลุย ตวาดใส่อองลุยว่าตัวเรากับเล่าปี่แซ่เดียวกันเหมือนดังหนึ่งพี่น้อง ที่ไหนจะคิดร้ายต่อกัน พวกท่านคิดแต่จะให้พี่น้องแตกแยกกันมิควรเลย ว่าแล้วก็สั่งทหารให้จับตัวอองลุยและอุยก๋วนลากออกไปข้างนอก

            ฝ่ายหวดเจ้งครั้นเดินทางถึงเมืองเกงจิ๋วก็แจ้งแก่ทหารรักษาการณ์ว่าเป็นทูตถือหนังสือมาแต่เมืองเสฉวนจะขอพบเล่าปี่ ครั้นเล่าปี่ได้ทราบรายงานก็มีความยินดี เชิญหวดเจ้งมาพบที่ศาลาว่าราชการเมืองเกงจิ๋ว

            หวดเจ้งคำนับเล่าปี่ตามธรรมเนียมแล้วจึงมอบของกำนัลและหนังสือของเล่าเจี้ยง เล่าปี่รับหนังสือมาอ่านดูเป็นเนื้อความว่าข้าพเจ้าเล่าเจี้ยงผู้น้องขอคำนับอวยพรมาถึงเล่าปี่ผู้พี่ ด้วยข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านตั้งแต่ครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลืองให้มีน้ำใจรักใคร่นับถือใคร่จะสนทนาด้วย แต่ติดขัดด้วยหนทางทุรกันดารและไกลกันนัก ยากที่จะไปมาหาสู่ จะจัดแจงสิ่งของมากำนัลแทนตัว บ้านเมืองก็ไม่สงบ โจรผู้ร้ายชุกชุม จึงมิได้มาคำนับตามประเพณีให้สมกับความเป็นพี่น้อง จงอดโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด แลบัดนี้เตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งมีน้ำใจกำเริบ ไม่เห็นแก่ความสงบสุขของอาณาประชาราษฎร คิดจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวนทำร้ายข้าพเจ้า ครั้นทอดตาก็ไม่เห็นผู้ใดเป็นที่พึ่ง เห็นอยู่ก็แต่ท่านที่จะช่วยป้องกันรักษาเมืองเสฉวน คุ้มครองราษฎรให้ปลอดภัยได้ “โดยโบราณว่าไว้ว่าสิบผู้อื่นมิเท่าแซ่เดียวกัน” ขอจงเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ช่วยป้องกันเมืองและราษฎร อย่าให้เสียทีแก่เตียวล่อนั้นเลย

            เล่าปี่อ่านความตามหนังสือของเล่าเจี้ยงจบแล้วก็มีน้ำใจยินดี ส่งหนังสือนั้นให้แก่ ขงเบ้งรับไปอ่าน แล้วกล่าวกับหวดเจ้งว่าท่านมาแต่ทางไกล วันนี้จงพักผ่อนให้เป็นที่สบายใจ อันการซึ่งเล่าเจี้ยงน้องเราปรารภมาดังนี้อย่าได้วิตกเลย ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงหวดเจ้งตามประเพณี

            ในระหว่างที่กินโต๊ะอยู่นั้นเล่าปี่ได้กล่าวกับหวดเจ้งว่าเมื่อครั้งที่เตียวสงเดินทางผ่านแดนเกงจิ๋วก็ได้เอ่ยนามของท่านว่ามีสติปัญญาหลักแหลม วางใจได้สนิท ข้าพเจ้าก็มีความคิดอยากพบหน้าท่านอยู่ วันนี้ได้รู้จักกับท่านนับว่าเป็นวาสนาที่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน

            หวดเจ้งจึงว่าท่านยกย่องดังนี้ขอบคุณนัก ข้าพเจ้าเป็นแต่ขุนนางผู้น้อยด้อยปัญญา หามีผู้ใดนับถือลือเลื่องไม่ ซึ่งเตียวสงได้ยกย่องฝากฝังไว้กับท่านนั้นเป็นแต่เตียวสงแลข้าพเจ้านับถือเป็นสหายอันสนิทจึงคิดยกย่องให้เกินตัว เตียวสงกลับไปเมืองเสฉวนแล้วได้เล่าความทั้งปวงให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าก็มีน้ำใจยินดีเพราะตั้งความปรารถนามาแต่ก่อนว่าโอกาสมีเมื่อใดก็จะได้มาทำราชการอยู่กับท่าน

            แล้วหวดเจ้งจึงว่าการซึ่งเตียวสงได้ว่ากล่าวกับท่านนั้นบัดนี้สมคะเนแล้ว ท่านยังมีความวิตกประการใดอีกหรือ

            เล่าปี่ทำหน้าเศร้าสร้อยแล้วว่า “ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็อาภัพ แผ่นดินทั้งแผ่นดินแต่หาที่จะอาศัยก็ไม่มีต้องยืมเมืองเขาอยู่ คิดมาก็น่าเวทนา แต่นกยังมีกิ่งไม้จับ เกิดมาเป็นคนไม่มีที่อยู่ก็น่าสมเพช”

            แล้วเล่าปี่จึงกล่าวสืบไปว่าอันความปรารถนาดีของเตียวสงนั้นเป็นที่ซาบซึ้งแก่ใจข้าพเจ้า แต่วิตกว่าตัวข้าพเจ้ากับเล่าเจี้ยงเป็นแซ่เดียวกัน ซึ่งจะคิดชิงเอาเมืองของเล่าเจี้ยงนี้แล้วคือข้อวิตกมิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด

            หวดเจ้งได้ฟังคำเล่าปี่ก็สำคัญว่าเล่าปี่ยังติดขัดด้วยประเพณีพี่น้องแซ่เดียวกันจึงยังไม่อาจตัดใจยกไปเมืองเสฉวน จึงประโลมใจเล่าปี่ว่า “อันเมืองเสฉวนนี้ภูมิฐานมั่นคงบริบูรณ์ทุกสิ่ง เป็นที่อุดมกว่าทุกเมือง ถ้าผู้ใดหาสติปัญญามิได้ ถึงจะตั้งตัวเป็นใหญ่ก็คงจะเป็นของผู้อื่น บัดนี้เล่าเจี้ยงให้มีหนังสือมาถึงท่านก็เหมือนเอาเมืองมายกให้ เป็นวาสนาของท่านแล้ว ขออย่าได้ทิ้งเมืองเสฉวนเสียเลย ซึ่งท่านจะคิดทำการไปเบื้องหน้านั้นข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงให้สำเร็จ ถึงจะตายก็ไม่เสียดายแก่ชีวิตเลย”

            หวดเจ้งทนทานต่อพลังอานุภาพของความอ่อนน้อมของเล่าปี่มิได้จึงจำต้องปาวารนาตัวรับภาระคิดอ่านทำการให้เมืองเสฉวนตกได้แก่เล่าปี่ ทั้งได้อรรถาธิบายชี้แจงถึงเหตุและผลปลอบประโลมใจเล่าปี่มิให้ติดขัดในหัวใจที่จะยกไปยึดเอาเมืองเสฉวน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็คำนับหวดเจ้ง แล้วว่าอันน้ำใจไมตรีของท่านครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน ว่าแล้วเล่าปี่จึงยกสุราขึ้นดื่มคำนับหวดเจ้ง หวดเจ้งก็ดื่มสุรารับคำนับตอบ

            ครั้นงานเลี้ยงเลิกราหวดเจ้งกลับไปที่พักแขกเมืองแล้ว เล่าปี่ยังคงนั่งดื่มสุราอยู่ที่ศาลาว่าราชการเมืองเกงจิ๋ว มีลักษณะครุ่นคิดกังวล บังทองเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่ยังขุ่นข้องในจิตใจเกี่ยวด้วยการยกไปยึดเมืองเสฉวนว่าติดขัดด้วยประเพณีพี่น้องที่เป็นแซ่เดียวกับเล่าเจี้ยง

            บังทองจึงเข้าไปกล่าวกับเล่าปี่ว่า “อันธรรมดาผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดอ่านทำการสิ่งใด ถึงจะเต็มใจก็ดี มิเต็มใจก็ดี ก็ย่อมว่ากล่าวให้แตกฉานปรากฏออก แลจะนิ่งรำพึงรวนเรอยู่ก็เหมือนคนหาปัญญามิได้ ตัวท่านก็ประกอบด้วยสติปัญญา จะมานั่งวิตกถอยหน้าถอยหลังอยู่ฉะนี้หาควรไม่”

            เล่าปี่ได้ฟังคำบังทองต้องด้วยความวิตกซึ่งกรุ่นอยู่ในใจ จึงเงยหน้ามองบังทองแล้วว่าซึ่งท่านกล่าวทั้งนี้ต้องด้วยที่ร้อนอยู่ในหัวใจ เพราะประเพณีพี่น้องนั่นแล้วข้าพเจ้าจึงไม่รู้ที่จะตัดสินใจประการใด จำต้องขออาศัยปัญญาท่านช่วยคิดอ่านตัดสินให้ข้าพเจ้าเถิด

            เล่าปี่โยนเผือกร้อนในการฝ่าประเพณีพี่น้องให้เป็นภาระหน้าที่ของบังทอง บังทองได้ฟังดังนั้นจึงปลอบใจต่อไปว่า “อันเมืองเกงจิ๋วนี้ ข้างตะวันออกนั้นซุนกวนเป็นอริอยู่ ฝ่ายทิศเหนือนั้นโจโฉก็เป็นศัตรู ทุกวันนี้เหมือนอยู่กลางไฟ ด้วยศัตรูนั้นอยู่รอบตัว อันเมืองเสฉวนนั้นผู้คนก็มากพรักพร้อม ทรัพย์สมบัติทั้งปวงก็บริบูรณ์ เห็นจะเป็นที่ตั้งตัวให้เป็นสุขได้ บัดนี้เตียวสง หวดเจ้งทั้งสองก็มีใจภักดีต่อท่านจะช่วยทำนุบำรุงเหมือนเทพยดามาชี้ขุมทองให้ เหตุไฉนท่านจึงยังมีความวิตกนั่งนิ่งอยู่ฉะนี้เล่า”

            เล่าปี่จึงว่าอันโจโฉกับข้าพเจ้านั้นฟ้าให้เกิดมาเป็นศัตรูกัน โจโฉทำการสิ่งไรล้วนใช้อำนาจเด็ดขาดรุนแรง ไม่คำนึงถึงประเพณีแลธรรมทั้งปวง ส่วนตัวข้าพเจ้าทำการสิ่งไรล้วนใช้ความเมตตาปราณีเป็นที่ตั้ง มั่นอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณี จึงประหนึ่งไฟกับน้ำ โจโฉครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีอำนาจทางการทหารเกริกฟ้า ตัวข้าพเจ้าวาสนาอาภัพ แต่รอดตัวมาได้ถึงวันนี้ก็เพราะบุญที่มีใจเมตตาและถือธรรมเนียมประเพณีได้คุ้มไว้ บัดนี้ท่านจะให้ข้าพเจ้าละมโนธรรมประจำใจเพียงเพื่อหวังเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นนั้นไม่ต้องอัธยาศัย ตัดสินใจทำไม่ลงเลย

            บังทองจึงว่า “อันซึ่งท่านตั้งอยู่ในความสัตย์นี้ก็เป็นที่เทพยดามนุษย์สรรเสริญควรอยู่แล้ว แต่แผ่นดินทุกวันนี้มิได้เป็นปรกติ เกิดจลาจลต่าง ๆ คนกุมอาวุธรักษาตัวมิวางมือซึ่งท่านจะถือความสัตย์ให้มั่นคงอยู่นั้นก็มิได้ ธรรมดาภัยมาถึงตัวแล้วก็ย่อมจะรักษาตัวก่อน อันเมืองเสฉวนนั้นควรจะยืมเอาเป็นที่อาศัย แต่พอสงบอันตราย ถ้าแผ่นดินราบคาบเป็นปรกติมีความสุขแล้วจึงค่อยสนองคุณท่านเมื่อภายหลังโดย     สมควรให้สิ้นความครหานินทามิดีหรือ ถ้าท่านมิคิดเอาเมืองเสฉวนบัดนี้ นานไปเบื้องหน้าก็จะเป็นของผู้อื่น จะกลับคิดทำการเมื่อภายหลังเห็นจะไม่สำเร็จ จะป่วยการสติปัญญาของผู้ช่วยอุปถัมภ์เสียเปล่า”

            บังทองยกเหตุผลแสดงประการใดเล่าปี่ก็ยังไม่ตัดสินใจ ดังนั้นบังทองจึงหาทางออกว่าการยึดเอาเมืองเสฉวนนั้นเป็นแต่เพียงการยืมเมืองไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันตัว เมื่อใดที่รวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งแล้วค่อยคืนเมืองเสฉวนแก่เล่าเจี้ยง หรือตอบแทนบุญคุณด้วยประการอื่นให้เหมาะสมก็จะพ้นคำคนนินทา และต้องรีบตัดสินใจในเรื่องนี้ หากนานเนิ่นช้าไปเมืองเสฉวนตกเป็นของคนอื่นแล้วก็ยากที่จะยึดได้ ผู้คนทั้งปวงที่สนับสนุนอุปถัมภ์เล่าปี่ก็จะสิ้นกำลังใจ

            เล่าปี่ได้ฟังเหตุผลและหนทางออกจากบังทองแล้วก็เห็นว่าเป็นเหตุผลที่พอจะเอ่ยอ้างให้พ้นคำคนนินทาได้ จึงว่าอันคำสั่งสอนของท่านนี้บริบูรณ์ด้วยเหตุแลผล จะข้ามพ้นซึ่งคำนินทานั้นได้ “ควรจะจารึกไว้ในแผ่นทองสอนใจไปเช้าค่ำ”

            เมื่อตัดสินใจดังนั้นเล่าปี่จึงให้หาขงเบ้งเข้ามาปรึกษา แล้วปรารภว่าได้ตัดสินใจที่จะยกกองทัพไปยึดเอาเมืองเสฉวน แต่เป็นการยืมเมืองเสฉวนไว้ชั่วคราว เมื่อตั้งตัวได้แล้วก็จะคืนเมืองเสฉวนแก่เล่าเจี้ยง ทั้งจะปูนบำเหน็จความชอบมิให้เป็นที่ครหานินทาแก่คนทั้งปวง

            เมื่อปรารภความทางการเมืองแล้ว เล่าปี่จึงปรึกษาเกี่ยวด้วยราชการข้างทหารกับ ขงเบ้งว่าการซึ่งจะยกไปเมืองเสฉวนนั้นใหญ่หลวงนัก ท่านจะคิดอ่านประการใด

            ขงเบ้งจึงว่าการซึ่งจะยกไปเมืองเสฉวนจำต้องใช้เวลา เสบียงอาหาร และต้องอาศัยฐานบำรุงที่มั่นคงแข็งแรง บัดนี้เมืองเกงจิ๋วก็ยังอยู่หน้าศึก จะทิ้งเมืองเกงจิ๋วเสียนั้นไม่สมควร จะต้องรักษาเมืองเกงจิ๋วไว้ให้มั่นคงเพื่อเป็นฐานบำรุงเสบียงอาหารและผู้คน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้า บังทอง อุยเอี๋ยน ฮองตง จะคุมทหารยกไปเมืองเสฉวน ส่วนตัวท่าน กวนอู เตียวหุย และจูล่ง จงป้องกันรักษาเมืองเกงจิ๋วไว้ให้ปลอดภัย

            ขงเบ้งและบังทองได้ฟังคำเล่าปี่ก็พยักหน้ารับคำ

            วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงกำหนดการยกไปเมืองเสฉวน ให้ฮองตงเป็นกองทัพหน้า เล่าปี่และบังทองเป็นกองทัพหลวง  อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหลังและคุมเสบียงอาหาร ให้จัดทหารห้าหมื่นเตรียมพร้อมไว้รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปเมืองเสฉวน

            การตัดสินใจครั้งนี้ของเล่าปี่นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะนั่นคือการเริ่มดำเนินการตามยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง หลังจากยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่หนึ่งได้บรรลุผลโดยการยึดเมืองเกงจิ๋วและหัวเมืองที่ขึ้นต่อไว้ในอำนาจได้สำเร็จแล้ว.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘