ตอนที่ 342. เสี้ยนในเส้นทาง
เตียวสงตั้งใจเดิมจะยกเมืองเสฉวนให้แก่โจโฉ แต่ครั้นผิดหวังก็คิดเลียบเคียงความคิดเห็นของเล่าปี่ หากเห็นว่าดีก็จะยกเมืองเสฉวนให้ กว่าสามวันที่เล่าปี่ต้อนรับขับสู้เตียวสงอย่างสมเกียรติกลับไม่เอ่ยคำถึงเรื่องเมืองเสฉวน จนเตียวสงต้องเปิดความในใจแล้วออกปากยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่
การกระทำของเตียวสงนั้นได้ออกตัวมาแต่ต้นว่าที่คิดอ่านยกเมืองเสฉวนให้แก่ผู้อื่นมิใช่เพราะประพฤติตนเป็นข้าขายเจ้าบ่าวขายนาย แต่เป็นเพราะเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญา เห็นจะรักษาเมืองไว้ไม่ได้ หากเมืองเสฉวนตกเป็นของเตียวล่อก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ราษฎรจึงต้องคิดอ่านหานายใหม่ ความอันเล่าเจี้ยงเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญานั้นหาใช่มีแต่เตียวสงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นเช่นนี้ เพราะเป็นความอันรู้ทั่วกันทั้งแผ่นดิน ใครใดที่เอ่ยคำพาดพิงถึงเล่าเจี้ยงก็จะกล่าวตรงกันว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญาทั้งสิ้น
ถ้าเช่นนั้นด้วยวิสัยที่ปรึกษาไฉนเล่าเตียวสงจึงไม่คิดอ่านแก้ไขจุดอ่อนของเล่าเจี้ยงให้สมกับหน้าที่ ในประการนี้น่าที่เตียวสงและบรรดาขุนนางอื่น ๆ จะได้ทำการช่วยเหลือแก้ไขจุดอ่อนให้กับเจ้านายมาแล้วเป็นอันมากแต่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้านายบางประเภทนั้นถึงจะมีที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาสักปานไหนก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อน คงตั้งหน้ากินแต่บุญเก่าจนต้องย่อยยับอับจน บรรดาผู้มีอำนาจและนักการเมืองในยุคหลังที่เป็นคนดังเล่าเจี้ยงนี้ก็มีให้เห็นอยู่หลากหลาย และด้วยเหตุนี้ก็น่าเห็นใจเตียวสงที่ต้องอ้างเอาวิสัยชาย หากปรารถนาเป็นใหญ่เห็นได้ทีแล้วก็ต้องทำการ อันเป็นนัยเดียวกับที่มีพรรณนาไว้ในธรรมาธรรมะสงครามว่า
“ยามใดมีโอกาส ผู้ฉลาดพยายาม
ส่อเสียดและใส่ความ เพื่อประโยชน์ ณ ตนถึง”
ครั้นเตียวสงกล่าวคำอำลาเล่าปี่แล้วก็เคลื่อนขบวนจะเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน เล่าปี่และขงเบ้งได้คุมขบวนกองเกียรติยศตามไปส่งเตียวสงอีกระยะหนึ่งจึงคำนับลาเตียวสง แล้วสั่งให้กวนอูคุมทหารห้าร้อยตามไปอารักขาเตียวสงจนกระทั่งพ้นแดนเมืองเกงจิ๋ว
ความรู้สึกในใจของเตียวสงตั้งแต่ครั้งออกจากเมืองฮูโต๋มาถึงแดนเมืองเกงจิ๋วกับความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นนับตั้งแต่ถึงแดนเมืองเกงจิ๋วจนกระทั่งเดินทางกลับเมืองเสฉวนเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงแรกเตียวสงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สลดหดหู่ อัปยศอดสูใจและวิตกกังวลด้วยภาระซึ่งรับมาแต่เล่าเจี้ยงนั้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่ช่วงหลังเตียวสงกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ชื่นบานและอิ่มเอิบใจที่เห็นอนาคตเบื้องหน้ารุ่งโรจน์แจ่มใส ในขณะที่ภารกิจก็เสร็จสิ้นด้วยดี
ดังนั้นเตียวสงจึงเดินทางกลับเมืองเสฉวนด้วยความสบายใจ ครั้นถึงเมืองเสฉวนแล้วก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เตียวสงจึงตรงไปเยือนหวดเจ้งสหายสนิท เมื่อคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วหวดเจ้งจึงชวนเตียวสงเข้าไปสนทนากันในเรือน
เตียวสงได้เล่าความที่เดินทางไปเมืองหลวงแล้วผิดหวังจนกระทั่งได้พบปะสนทนากับเล่าปี่ และว่า “อันโจโฉนั้นที่เราทั้งปวงจะไปอยู่ด้วยประสงค์จะเอาความสุข เห็นจะได้แต่ความทุกข์อีก ซึ่งจะเอาเมืองเสฉวนไปให้ก็หาความต้องการไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ายกให้เล่าปี่เสียแล้ว จึงกลับมาปรึกษาท่านจะเห็นประการใด”
หวดเจ้งคบหากับเตียวสงมาช้านาน ความรู้สึกนึกคิดจึงสอดคล้องต้องกันเป็นทางเดียว ดังนั้นแม้การที่เตียวสงตัดสินใจยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่จะมิได้ปรึกษาหารือกันมาแต่ก่อน แต่พอหวดเจ้งได้ฟังก็มีความยินดี และเปิดเผยความในใจออกมาว่าอันตัวข้าพเจ้านี้ก็ตั้งใจว่าจะไปทำราชการด้วยเล่าปี่ เพราะเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนไม่เอาถ่าน บัดนี้เมื่อท่านสมัครใจจะไปอยู่ด้วยเล่าปี่แล้วยกเมืองเสฉวนให้อีกเล่าก็เหมือนดังน้ำใจของข้าพเจ้า เราจะได้ทำการด้วยกัน
หวดเจ้งกล่าวพอสิ้นคำก็มีเสียงคนเดินเข้าประตูมา และกล่าวคำขึ้นว่าท่านทั้งสองกำลังคิดอ่านจะยกเมืองเสฉวนให้แก่ผู้ใดหรือ
เตียวสงและหวดเจ้งได้ยินเสียงคุ้นหู หันไปมองที่ต้นเสียเห็นเป็นเบ้งตัดสหายสนิทอีกคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาก็มีความยินดี จึงกล่าวพร้อมกันว่าเราสองคนสนทนากันด้วยเรื่องเมืองเสฉวนนั้นจริงแล้ว และคิดว่าจะไปปรึกษาด้วยท่าน แต่โชคดีที่ท่านมาจึงไม่ต้องเสียเวลาไปหาท่านอีก
หวดเจ้งกล่าวต่อไปว่าตัวท่านก็มีสติปัญญา ทั้งคบหากับพวกเรามาช้านาน จงลองทายน้ำใจเราว่าซึ่งคิดจะยกเมืองเสฉวนให้ผู้อื่นนั้น สมควรจะยกให้แก่ผู้ใด
เบ้งตัดจึงว่าทั่วทั้งแผ่นดินเวลานี้เห็นมีแต่โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน และเตียวล่อเท่านั้นที่มีกำลังกล้าแข็งอยู่ แต่โจโฉนั้นเป็นศัตรูราชสมบัติ ซุนกวนเล่าก็อยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซี ไม่มีความคิดที่จะขยายอำนาจมาทางภาคตะวันตก ส่วนเตียวล่อก็เป็นแต่ผีบุญ ทั้งสามคนนี้ล้วนพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ทอดตาทั้งแผ่นดินแล้วจึงเห็นมีแต่เล่าปี่ผู้เดียว พวกท่านทั้งสองคนจะเห็นเป็นประการใด
เตียวสงและหวดเจ้งได้ฟังคำเบ้งตัดดังนั้นก็ไม่ตอบ คงหันหน้ามาสบตากันแล้วหัวเราะ เบ้งตัดเห็นท่าทีของสองสหายก็รู้ว่าความเห็นของตนถูกต้องกับความคิดของสหายทั้งสองคนก็มีความยินดี จึงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
สามสหายมีความคิดเห็นพ้องต้องกันแล้ว เตียวสงจึงว่าเมื่อพวกเรามีความเห็นพ้องต้องกันดังนี้จังหวะก้าวต่อไปก็คือการเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาช่วยเมืองเสฉวนรบกับเตียวล่อ ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปว่ากล่าวกับเล่าเจี้ยง และเสนอให้เล่าเจี้ยงแต่งท่านทั้งสองเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่
หวดเจ้งและเบ้งตัดฟังความคิดของเตียวสงแล้วก็เห็นชอบ ครั้นได้เวลาก็คำนับลาแยกย้ายกันกลับไปที่อยู่
วันรุ่งขึ้นเตียวสงจึงเข้าไปในจวนของเล่าเจี้ยง พอเล่าเจี้ยงเห็นเตียวสงมาพบก็มีความยินดี รีบถามว่าซึ่งท่านเดินทางไปเมืองหลวงขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยนั้นได้ผลประการใด
เตียวสงจึงว่าโจโฉเป็นศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าปรามาสท่าน หาว่าบิดพลิ้วไม่ส่งเครื่องบรรณาการ พอเกิดสงครามก็แต่งของบรรณาการไปเป็นสินบน ซึ่งไม่คุ้มกับการที่โจโฉจะยกกองทัพมาช่วยเมืองเสฉวน ทั้งได้ดูหมิ่นท่านขับไล่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทูตโดยไม่เคารพประเพณี เห็นทีโจโฉคิดอ่านจะซ้ำเติมเอาเมืองเราเป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงกล่าวว่าความสงครามข้างเมืองฮันต๋งก็กรุ่นอยู่นี่ โจโฉจะยกมาซ้ำเติมอีกเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
เตียวสงจึงว่าทอดตาทั่วทั้งแผ่นดินบัดนี้มีผู้ซึ่งท่านจะพึ่งพาได้ก็เห็นแต่เล่าปี่ผู้เดียวเท่านั้น เล่าปี่ก็เป็นแซ่เดียวกับท่าน เมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กเล่าปี่ก็ได้ช่วยเหลือซุนกวนคิดอ่านแผนการผลาญกองทัพโจโฉเสียถึงแปดสิบสามหมื่น กิตติศัพท์เล่าลือไปทั้งแผ่นดิน โจโฉเองก็มีความยำเกรงเล่าปี่เป็นอันมาก หากแม้นเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยท่านเห็นว่าโจโฉจะไม่กล้ามารุกราน สำมะหาอะไรกับเตียวล่อจะไม่เกรงกลัวแก่เล่าปี่ ดังนั้นถ้าเชิญเล่าปี่มาช่วยการสงครามได้สำเร็จก็จะสำเร็จประโยชน์ทั้งความศึกข้างโจโฉและเตียวล่อพร้อมกันทั้งสองด้าน ฉะนี้จึงขอให้ท่านคิดอ่านเป็นไมตรีเชิญเล่าปี่มาป้องกันเมืองเสฉวนเถิด
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี และว่าตัวเรานี้ได้ยินกิตติศัพท์เล่าปี่มาก็ช้านาน คิดเลื่อมใสใคร่รู้จักคบหา แต่หนทางนั้นกันดารจึงไม่ได้ไปพบปะสนทนาทั้งที่เป็นแซ่เดียวกัน ความคิดท่านครั้งนี้ต้องด้วยความเห็นของเรา แต่วิตกว่าจะหาผู้ใดเป็นทูตไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่
เตียวสงจึงว่าการซึ่งจะเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาแต่เมืองเกงจิ๋วเพื่อสู้รบปรบมือกับโจโฉและเตียวล่อนั้นเป็นการใหญ่ จำต้องมีผู้วางใจและชำนาญการทูตจึงจะทำการได้สำเร็จ ข้าพเจ้าพิเคราะห์แล้วเห็นแต่หวดเจ้งและเบ้งตัดสองคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ วางใจได้ว่าจะทำการให้สำเร็จดังปรารถนา
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้เชิญหวดเจ้งและเบ้งตัดเข้ามาพบ แล้วว่าการสงครามข้างเมืองฮันต๋งนั้นเป็นอันตรายต่อเมืองเสฉวน มิหนำกองทัพของโจโฉก็คิดอ่านจะซ้ำเติมเอาอีกเล่า เราจึงปรารภที่จะเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน การนี้เป็นการใหญ่หลวงนัก เห็นแต่หวดเจ้งท่านที่พอวางใจให้ได้ราชการในครั้งนี้ จึงให้ท่านเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาป้องกันรักษาเมืองเราให้สำเร็จจงได้
หวดเจ้งคำนับรับคำสั่งเล่าเจี้ยง แล้วว่าท่านจงวางใจข้าพเจ้าจะทำการให้สำเร็จดังประสงค์
เล่าเจี้ยงได้ฟังก็มีความยินดีจึงแต่งหนังสือถึงเล่าปี่ แล้วสั่งให้จัดของขวัญกำนัลเป็นอันมากให้หวดเจ้งนำไปมอบแก่เล่าปี่ และให้ให้รีบออกเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วโดยเร็ว
หวดเจ้งรับหนังสือและของขวัญกำนัลแล้วคำนับลาเล่าเจี้ยงออกไปจัดแจงแต่งขบวนออกเดินทางไปเมืองเกงจิ๋ว
ครั้นหวดเจ้งกลับออกไปแล้ว เล่าเจี้ยงจึงสั่งให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพันยกไปคอยต้อนรับเล่าปี่ที่ใกล้ชายแดนเมืองเสฉวน ถ้าหากเล่าปี่ยกกองทัพมาแล้วก็ให้รีบเชิญ เล่าปี่มาที่เมืองเสฉวนโดยเร็ว
ในขณะที่เบ้งตัดกำลังจัดแจงทหารเพื่อจะยกออกไปต้อนรับเล่าปี่นั้น อุยก๋วนและ อองลุยขุนนางที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงได้ยินกิตติศัพท์จึงไต่ถามความจากบรรดาทหารก็ทราบความว่าเล่าเจี้ยงแต่งให้หวดเจ้งเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมารักษาเมืองเสฉวนก็ตกใจ รีบชวนกันเข้าไปหาเล่าเจี้ยงแต่ในเพลานั้น
สองขุนนางคำนับเล่าเจี้ยงตามธรรมเนียมแล้ว อุยก๋วนซึ่งมีพื้นเพเดิมเป็นชาวเมืองเสหลงจึงกล่าวขึ้นก่อนว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านแต่งให้หวดเจ้งเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมารักษาเมืองเสฉวนนั้น ความจริงเป็นประการใด
เล่าเจี้ยงจึงเล่าความซึ่งได้ปรึกษาหารือกับเตียวสง หวดเจ้ง และเบ้งตัดให้สองขุนนางฟังทุกประการ
อุยก๋วนฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วจึงทักท้วงว่า “เหตุใดท่านมาเชื่อถือถ้อยคำเตียวสงนี้ จะเอาเมืองเสฉวนทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองไปให้แก่ผู้อื่นเสียเล่า”
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำท้วงก็ตกตะลึงและด้วยวิสัยที่เป็นคนโลเลก็เกิดความรู้สึกลังเลใจ แต่กระนั้นก็ยังคงกล่าวตอบอุยก๋วนว่า ท่านว่ากล่าวดังนี้ท่านไม่ทราบหรือว่าเล่าปี่กับเรานั้นใช่ว่าจะเป็นคนอื่นไกล หากเป็นคนแซ่เดียวกันและเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วยกัน เราจึงให้ไปเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาป้องกันเมืองเสฉวน ไฉนท่านจึงว่ากล่าวฉะนี้เล่า
อุยก๋วนจึงว่าเล่าปี่กับท่านเป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีแซ่เดียวกันก็จริงอยู่ แต่เล่าปี่นั้น “เป็นคนเจ้าปัญญา ความคิดแยบคายนั้นมาก เหมือนหนึ่งเสือเฒ่าจำศีล แสร้งทำน้ำใจอารีรอบคอบให้คนนับถือลือชาปรากฏ เห็นแต่ภายนอกมิรู้ก็ว่าดี อันน้ำใจเล่าปี่นั้นคด ประการหนึ่งเล่าปี่ก็มีขงเบ้งแลบังทองเป็นที่ปรึกษา กวนอู เตียวหุย จูล่ง อุยเอี๋ยน ฮองตง เป็นทหารเอก มีฝีมือเข้มแข็งนัก อันท่านจะให้ไปรับเล่าปี่มาไว้ที่เมืองเสฉวนนี้ที่ไหนเล่าปี่จะยอมเป็นผู้น้อย จะเอาราชสีห์มาไว้ในกรงจะได้หรือ อนึ่งเมืองเสฉวนจะมีเจ้าเมืองเป็นสองนั้นก็เหมือนช้างน้ำมันอยู่โรงเดียวกันเห็นจะอยู่มิได้”
อุยก๋วนเห็นเล่าเจี้ยงฟังเหตุผลแล้วนั่งนิ่งอยู่ จึงกล่าวสืบไปว่าการทั้งนี้น่าจะเกิดแต่ครั้งเตียวสงเดินทางไปเมืองหลวงขากลับได้แวะไปหาเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วคิดอ่านวางแผนมาหลอกลวงท่านให้เชิญเล่าปี่มาช่วยรักษาเมืองเสฉวน ได้ทีแล้วก็จะยึดเอาเมืองเสฉวนเสีย ฉะนั้นชอบที่ท่านจะประหารเตียวสงเสียก่อน
อุยก๋วนสังเกตเห็นเล่าเจี้ยงมีท่าทีโลเลจึงสำทับต่อไปว่า เมืองเสฉวนนี้ภูมิประเทศเป็นป่าเขาและเส้นทางทุรกันดารนัก แม้นใครไหนกล้าบังอาจยกมา เราก็สามารถคิดอ่านป้องกันเมืองเสฉวนเอาไว้ได้ ท่านอย่าได้วิตกเลย
เสี้ยนเส้นทางสู่บัลลังก์มังกรของเล่าปี่ แม้วันนี้ยังไม่ตำเท้าเล่าปี่ แต่ก็ได้ตำเข้าที่ใจของเล่าเจี้ยง จนเกิดความรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นในใจ.
การกระทำของเตียวสงนั้นได้ออกตัวมาแต่ต้นว่าที่คิดอ่านยกเมืองเสฉวนให้แก่ผู้อื่นมิใช่เพราะประพฤติตนเป็นข้าขายเจ้าบ่าวขายนาย แต่เป็นเพราะเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญา เห็นจะรักษาเมืองไว้ไม่ได้ หากเมืองเสฉวนตกเป็นของเตียวล่อก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ราษฎรจึงต้องคิดอ่านหานายใหม่ ความอันเล่าเจี้ยงเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญานั้นหาใช่มีแต่เตียวสงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นเช่นนี้ เพราะเป็นความอันรู้ทั่วกันทั้งแผ่นดิน ใครใดที่เอ่ยคำพาดพิงถึงเล่าเจี้ยงก็จะกล่าวตรงกันว่าเล่าเจี้ยงเป็นคนโลภโลเลไร้สติปัญญาทั้งสิ้น
ถ้าเช่นนั้นด้วยวิสัยที่ปรึกษาไฉนเล่าเตียวสงจึงไม่คิดอ่านแก้ไขจุดอ่อนของเล่าเจี้ยงให้สมกับหน้าที่ ในประการนี้น่าที่เตียวสงและบรรดาขุนนางอื่น ๆ จะได้ทำการช่วยเหลือแก้ไขจุดอ่อนให้กับเจ้านายมาแล้วเป็นอันมากแต่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้านายบางประเภทนั้นถึงจะมีที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาสักปานไหนก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อน คงตั้งหน้ากินแต่บุญเก่าจนต้องย่อยยับอับจน บรรดาผู้มีอำนาจและนักการเมืองในยุคหลังที่เป็นคนดังเล่าเจี้ยงนี้ก็มีให้เห็นอยู่หลากหลาย และด้วยเหตุนี้ก็น่าเห็นใจเตียวสงที่ต้องอ้างเอาวิสัยชาย หากปรารถนาเป็นใหญ่เห็นได้ทีแล้วก็ต้องทำการ อันเป็นนัยเดียวกับที่มีพรรณนาไว้ในธรรมาธรรมะสงครามว่า
“ยามใดมีโอกาส ผู้ฉลาดพยายาม
ส่อเสียดและใส่ความ เพื่อประโยชน์ ณ ตนถึง”
ครั้นเตียวสงกล่าวคำอำลาเล่าปี่แล้วก็เคลื่อนขบวนจะเดินทางกลับไปเมืองเสฉวน เล่าปี่และขงเบ้งได้คุมขบวนกองเกียรติยศตามไปส่งเตียวสงอีกระยะหนึ่งจึงคำนับลาเตียวสง แล้วสั่งให้กวนอูคุมทหารห้าร้อยตามไปอารักขาเตียวสงจนกระทั่งพ้นแดนเมืองเกงจิ๋ว
ความรู้สึกในใจของเตียวสงตั้งแต่ครั้งออกจากเมืองฮูโต๋มาถึงแดนเมืองเกงจิ๋วกับความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นนับตั้งแต่ถึงแดนเมืองเกงจิ๋วจนกระทั่งเดินทางกลับเมืองเสฉวนเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงแรกเตียวสงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สลดหดหู่ อัปยศอดสูใจและวิตกกังวลด้วยภาระซึ่งรับมาแต่เล่าเจี้ยงนั้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่ช่วงหลังเตียวสงกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ชื่นบานและอิ่มเอิบใจที่เห็นอนาคตเบื้องหน้ารุ่งโรจน์แจ่มใส ในขณะที่ภารกิจก็เสร็จสิ้นด้วยดี
ดังนั้นเตียวสงจึงเดินทางกลับเมืองเสฉวนด้วยความสบายใจ ครั้นถึงเมืองเสฉวนแล้วก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เตียวสงจึงตรงไปเยือนหวดเจ้งสหายสนิท เมื่อคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วหวดเจ้งจึงชวนเตียวสงเข้าไปสนทนากันในเรือน
เตียวสงได้เล่าความที่เดินทางไปเมืองหลวงแล้วผิดหวังจนกระทั่งได้พบปะสนทนากับเล่าปี่ และว่า “อันโจโฉนั้นที่เราทั้งปวงจะไปอยู่ด้วยประสงค์จะเอาความสุข เห็นจะได้แต่ความทุกข์อีก ซึ่งจะเอาเมืองเสฉวนไปให้ก็หาความต้องการไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ายกให้เล่าปี่เสียแล้ว จึงกลับมาปรึกษาท่านจะเห็นประการใด”
หวดเจ้งคบหากับเตียวสงมาช้านาน ความรู้สึกนึกคิดจึงสอดคล้องต้องกันเป็นทางเดียว ดังนั้นแม้การที่เตียวสงตัดสินใจยกเมืองเสฉวนแก่เล่าปี่จะมิได้ปรึกษาหารือกันมาแต่ก่อน แต่พอหวดเจ้งได้ฟังก็มีความยินดี และเปิดเผยความในใจออกมาว่าอันตัวข้าพเจ้านี้ก็ตั้งใจว่าจะไปทำราชการด้วยเล่าปี่ เพราะเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนไม่เอาถ่าน บัดนี้เมื่อท่านสมัครใจจะไปอยู่ด้วยเล่าปี่แล้วยกเมืองเสฉวนให้อีกเล่าก็เหมือนดังน้ำใจของข้าพเจ้า เราจะได้ทำการด้วยกัน
หวดเจ้งกล่าวพอสิ้นคำก็มีเสียงคนเดินเข้าประตูมา และกล่าวคำขึ้นว่าท่านทั้งสองกำลังคิดอ่านจะยกเมืองเสฉวนให้แก่ผู้ใดหรือ
เตียวสงและหวดเจ้งได้ยินเสียงคุ้นหู หันไปมองที่ต้นเสียเห็นเป็นเบ้งตัดสหายสนิทอีกคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาก็มีความยินดี จึงกล่าวพร้อมกันว่าเราสองคนสนทนากันด้วยเรื่องเมืองเสฉวนนั้นจริงแล้ว และคิดว่าจะไปปรึกษาด้วยท่าน แต่โชคดีที่ท่านมาจึงไม่ต้องเสียเวลาไปหาท่านอีก
หวดเจ้งกล่าวต่อไปว่าตัวท่านก็มีสติปัญญา ทั้งคบหากับพวกเรามาช้านาน จงลองทายน้ำใจเราว่าซึ่งคิดจะยกเมืองเสฉวนให้ผู้อื่นนั้น สมควรจะยกให้แก่ผู้ใด
เบ้งตัดจึงว่าทั่วทั้งแผ่นดินเวลานี้เห็นมีแต่โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน และเตียวล่อเท่านั้นที่มีกำลังกล้าแข็งอยู่ แต่โจโฉนั้นเป็นศัตรูราชสมบัติ ซุนกวนเล่าก็อยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซี ไม่มีความคิดที่จะขยายอำนาจมาทางภาคตะวันตก ส่วนเตียวล่อก็เป็นแต่ผีบุญ ทั้งสามคนนี้ล้วนพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ทอดตาทั้งแผ่นดินแล้วจึงเห็นมีแต่เล่าปี่ผู้เดียว พวกท่านทั้งสองคนจะเห็นเป็นประการใด
เตียวสงและหวดเจ้งได้ฟังคำเบ้งตัดดังนั้นก็ไม่ตอบ คงหันหน้ามาสบตากันแล้วหัวเราะ เบ้งตัดเห็นท่าทีของสองสหายก็รู้ว่าความเห็นของตนถูกต้องกับความคิดของสหายทั้งสองคนก็มีความยินดี จึงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
สามสหายมีความคิดเห็นพ้องต้องกันแล้ว เตียวสงจึงว่าเมื่อพวกเรามีความเห็นพ้องต้องกันดังนี้จังหวะก้าวต่อไปก็คือการเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาช่วยเมืองเสฉวนรบกับเตียวล่อ ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปว่ากล่าวกับเล่าเจี้ยง และเสนอให้เล่าเจี้ยงแต่งท่านทั้งสองเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่
หวดเจ้งและเบ้งตัดฟังความคิดของเตียวสงแล้วก็เห็นชอบ ครั้นได้เวลาก็คำนับลาแยกย้ายกันกลับไปที่อยู่
วันรุ่งขึ้นเตียวสงจึงเข้าไปในจวนของเล่าเจี้ยง พอเล่าเจี้ยงเห็นเตียวสงมาพบก็มีความยินดี รีบถามว่าซึ่งท่านเดินทางไปเมืองหลวงขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยนั้นได้ผลประการใด
เตียวสงจึงว่าโจโฉเป็นศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าปรามาสท่าน หาว่าบิดพลิ้วไม่ส่งเครื่องบรรณาการ พอเกิดสงครามก็แต่งของบรรณาการไปเป็นสินบน ซึ่งไม่คุ้มกับการที่โจโฉจะยกกองทัพมาช่วยเมืองเสฉวน ทั้งได้ดูหมิ่นท่านขับไล่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทูตโดยไม่เคารพประเพณี เห็นทีโจโฉคิดอ่านจะซ้ำเติมเอาเมืองเราเป็นมั่นคง
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงกล่าวว่าความสงครามข้างเมืองฮันต๋งก็กรุ่นอยู่นี่ โจโฉจะยกมาซ้ำเติมอีกเล่า ท่านจะคิดอ่านประการใด
เตียวสงจึงว่าทอดตาทั่วทั้งแผ่นดินบัดนี้มีผู้ซึ่งท่านจะพึ่งพาได้ก็เห็นแต่เล่าปี่ผู้เดียวเท่านั้น เล่าปี่ก็เป็นแซ่เดียวกับท่าน เมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กเล่าปี่ก็ได้ช่วยเหลือซุนกวนคิดอ่านแผนการผลาญกองทัพโจโฉเสียถึงแปดสิบสามหมื่น กิตติศัพท์เล่าลือไปทั้งแผ่นดิน โจโฉเองก็มีความยำเกรงเล่าปี่เป็นอันมาก หากแม้นเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วยท่านเห็นว่าโจโฉจะไม่กล้ามารุกราน สำมะหาอะไรกับเตียวล่อจะไม่เกรงกลัวแก่เล่าปี่ ดังนั้นถ้าเชิญเล่าปี่มาช่วยการสงครามได้สำเร็จก็จะสำเร็จประโยชน์ทั้งความศึกข้างโจโฉและเตียวล่อพร้อมกันทั้งสองด้าน ฉะนี้จึงขอให้ท่านคิดอ่านเป็นไมตรีเชิญเล่าปี่มาป้องกันเมืองเสฉวนเถิด
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี และว่าตัวเรานี้ได้ยินกิตติศัพท์เล่าปี่มาก็ช้านาน คิดเลื่อมใสใคร่รู้จักคบหา แต่หนทางนั้นกันดารจึงไม่ได้ไปพบปะสนทนาทั้งที่เป็นแซ่เดียวกัน ความคิดท่านครั้งนี้ต้องด้วยความเห็นของเรา แต่วิตกว่าจะหาผู้ใดเป็นทูตไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่
เตียวสงจึงว่าการซึ่งจะเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาแต่เมืองเกงจิ๋วเพื่อสู้รบปรบมือกับโจโฉและเตียวล่อนั้นเป็นการใหญ่ จำต้องมีผู้วางใจและชำนาญการทูตจึงจะทำการได้สำเร็จ ข้าพเจ้าพิเคราะห์แล้วเห็นแต่หวดเจ้งและเบ้งตัดสองคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ วางใจได้ว่าจะทำการให้สำเร็จดังปรารถนา
เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้เชิญหวดเจ้งและเบ้งตัดเข้ามาพบ แล้วว่าการสงครามข้างเมืองฮันต๋งนั้นเป็นอันตรายต่อเมืองเสฉวน มิหนำกองทัพของโจโฉก็คิดอ่านจะซ้ำเติมเอาอีกเล่า เราจึงปรารภที่จะเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน การนี้เป็นการใหญ่หลวงนัก เห็นแต่หวดเจ้งท่านที่พอวางใจให้ได้ราชการในครั้งนี้ จึงให้ท่านเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาป้องกันรักษาเมืองเราให้สำเร็จจงได้
หวดเจ้งคำนับรับคำสั่งเล่าเจี้ยง แล้วว่าท่านจงวางใจข้าพเจ้าจะทำการให้สำเร็จดังประสงค์
เล่าเจี้ยงได้ฟังก็มีความยินดีจึงแต่งหนังสือถึงเล่าปี่ แล้วสั่งให้จัดของขวัญกำนัลเป็นอันมากให้หวดเจ้งนำไปมอบแก่เล่าปี่ และให้ให้รีบออกเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วโดยเร็ว
หวดเจ้งรับหนังสือและของขวัญกำนัลแล้วคำนับลาเล่าเจี้ยงออกไปจัดแจงแต่งขบวนออกเดินทางไปเมืองเกงจิ๋ว
ครั้นหวดเจ้งกลับออกไปแล้ว เล่าเจี้ยงจึงสั่งให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพันยกไปคอยต้อนรับเล่าปี่ที่ใกล้ชายแดนเมืองเสฉวน ถ้าหากเล่าปี่ยกกองทัพมาแล้วก็ให้รีบเชิญ เล่าปี่มาที่เมืองเสฉวนโดยเร็ว
ในขณะที่เบ้งตัดกำลังจัดแจงทหารเพื่อจะยกออกไปต้อนรับเล่าปี่นั้น อุยก๋วนและ อองลุยขุนนางที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงได้ยินกิตติศัพท์จึงไต่ถามความจากบรรดาทหารก็ทราบความว่าเล่าเจี้ยงแต่งให้หวดเจ้งเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมารักษาเมืองเสฉวนก็ตกใจ รีบชวนกันเข้าไปหาเล่าเจี้ยงแต่ในเพลานั้น
สองขุนนางคำนับเล่าเจี้ยงตามธรรมเนียมแล้ว อุยก๋วนซึ่งมีพื้นเพเดิมเป็นชาวเมืองเสหลงจึงกล่าวขึ้นก่อนว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านแต่งให้หวดเจ้งเป็นทูตไปเชิญเล่าปี่ให้ยกกองทัพมารักษาเมืองเสฉวนนั้น ความจริงเป็นประการใด
เล่าเจี้ยงจึงเล่าความซึ่งได้ปรึกษาหารือกับเตียวสง หวดเจ้ง และเบ้งตัดให้สองขุนนางฟังทุกประการ
อุยก๋วนฟังคำเล่าเจี้ยงแล้วจึงทักท้วงว่า “เหตุใดท่านมาเชื่อถือถ้อยคำเตียวสงนี้ จะเอาเมืองเสฉวนทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองไปให้แก่ผู้อื่นเสียเล่า”
เล่าเจี้ยงได้ฟังคำท้วงก็ตกตะลึงและด้วยวิสัยที่เป็นคนโลเลก็เกิดความรู้สึกลังเลใจ แต่กระนั้นก็ยังคงกล่าวตอบอุยก๋วนว่า ท่านว่ากล่าวดังนี้ท่านไม่ทราบหรือว่าเล่าปี่กับเรานั้นใช่ว่าจะเป็นคนอื่นไกล หากเป็นคนแซ่เดียวกันและเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วยกัน เราจึงให้ไปเชิญเล่าปี่ยกกองทัพมาป้องกันเมืองเสฉวน ไฉนท่านจึงว่ากล่าวฉะนี้เล่า
อุยก๋วนจึงว่าเล่าปี่กับท่านเป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีแซ่เดียวกันก็จริงอยู่ แต่เล่าปี่นั้น “เป็นคนเจ้าปัญญา ความคิดแยบคายนั้นมาก เหมือนหนึ่งเสือเฒ่าจำศีล แสร้งทำน้ำใจอารีรอบคอบให้คนนับถือลือชาปรากฏ เห็นแต่ภายนอกมิรู้ก็ว่าดี อันน้ำใจเล่าปี่นั้นคด ประการหนึ่งเล่าปี่ก็มีขงเบ้งแลบังทองเป็นที่ปรึกษา กวนอู เตียวหุย จูล่ง อุยเอี๋ยน ฮองตง เป็นทหารเอก มีฝีมือเข้มแข็งนัก อันท่านจะให้ไปรับเล่าปี่มาไว้ที่เมืองเสฉวนนี้ที่ไหนเล่าปี่จะยอมเป็นผู้น้อย จะเอาราชสีห์มาไว้ในกรงจะได้หรือ อนึ่งเมืองเสฉวนจะมีเจ้าเมืองเป็นสองนั้นก็เหมือนช้างน้ำมันอยู่โรงเดียวกันเห็นจะอยู่มิได้”
อุยก๋วนเห็นเล่าเจี้ยงฟังเหตุผลแล้วนั่งนิ่งอยู่ จึงกล่าวสืบไปว่าการทั้งนี้น่าจะเกิดแต่ครั้งเตียวสงเดินทางไปเมืองหลวงขากลับได้แวะไปหาเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วคิดอ่านวางแผนมาหลอกลวงท่านให้เชิญเล่าปี่มาช่วยรักษาเมืองเสฉวน ได้ทีแล้วก็จะยึดเอาเมืองเสฉวนเสีย ฉะนั้นชอบที่ท่านจะประหารเตียวสงเสียก่อน
อุยก๋วนสังเกตเห็นเล่าเจี้ยงมีท่าทีโลเลจึงสำทับต่อไปว่า เมืองเสฉวนนี้ภูมิประเทศเป็นป่าเขาและเส้นทางทุรกันดารนัก แม้นใครไหนกล้าบังอาจยกมา เราก็สามารถคิดอ่านป้องกันเมืองเสฉวนเอาไว้ได้ ท่านอย่าได้วิตกเลย
เสี้ยนเส้นทางสู่บัลลังก์มังกรของเล่าปี่ แม้วันนี้ยังไม่ตำเท้าเล่าปี่ แต่ก็ได้ตำเข้าที่ใจของเล่าเจี้ยง จนเกิดความรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นในใจ.