ตอนที่ 341. ทางสู่บัลลังก์มังกร
เตียวสงที่ปรึกษาเมืองเสฉวนได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจมาจากเมืองหลวง แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติและอบอุ่นจากเล่าปี่ ก็ค่อยมีความสุขชื่นบานขึ้นเป็นอันมาก ถึงกระนั้นยังคงมีความหวาดระแวงว่าการต้อนรับของเล่าปี่เป็นการเอาอกเอาใจเพื่อแสวงหาประโยชน์ ดังนั้นเตียวสงจึงเก็บงำความไม่เอ่ยปากถึงเรื่องเมืองเสฉวนแม้แต่สักคำเดียว
เตียวสงได้รับการต้อนรับตั้งแต่แนวชายแดนมาจนถึงในเมืองเกงจิ๋วและมีการเลี้ยงโต๊ะหลายครั้งหลายหน แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากเรื่องความเมืองเสฉวนก็แปลกประหลาดใจ ในที่สุดก็เก็บงำความคิดต่อไปไม่ได้ ต้องแย้มพรายเลียบเคียงถามเล่าปี่เกี่ยวกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ขงเบ้งไม่รอให้เล่าปี่ตอบ กลับตอบเสียเองว่า “เมืองเกงจิ๋วนี้นายของเราขอยืมซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งอยู่ดอก มิได้เป็นสิทธิของตัว ด้วยนายเราเป็นน้องเขยซุนกวน เขาเสียมิได้ก็จำใจให้อยู่ ทุกวันนี้เขาก็เวียนมาทวงจะเอาคืน รำคาญใจมิรู้ที่จะผ่อนผันเลย”
ขงเบ้งเกรงว่าเล่าปี่จะตอบความแล้วพาดพิงไปถึงเมืองเสฉวน จะก่อให้เกิดความหวาดระแวงแก่เตียวสง ดังนั้นในการชิงตอบของขงเบ้งจึงจำกัดขอบเขตของคำตอบอยู่กับเมืองเกงจิ๋ว ทั้งยังออดอ้อนเป็นเชิงว่าลำบากยากเข็ญนักเพราะไม่ใช่เมืองของเล่าปี่แต่อาศัยเขาอยู่ ซึ่งเจ้าของก็พร่ำเวียนทวงคืนเป็นที่รำคาญใจไม่รู้ที่จะทำประการใด
เตียวสงได้ฟังดังนั้นก็ยังคงเก็บงำเรื่องเมืองเสฉวนไว้ แล้วเลียบเคียงต่อไปว่าซุนกวนนี้ช่างใจจืดใจดำ เป็นเจ้าเมืองกังตั๋งกว้างใหญ่ไพศาล มีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง เมืองตรีก็มีถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ผู้คนข้าวปลาอาหารก็พร้อมบริบูรณ์สิยังไม่อิ่มใจ อันเมืองเกงจิ๋วเพียงเท่านี้ยังมีน้ำใจโลภทวงคืนอีกเล่า
บังทองได้ฟังคำเตียวสงก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วยแล้วทำหน้าสลดลงเป็นนัยว่าสงสารเล่าปี่ และกล่าวว่าเล่าปี่นายเรานี้เป็นถึงที่พระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้แต่วาสนาน้อยนัก แผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มีที่จะอาศัย ต้องจำยอมทนให้คนข่มเหงอยู่ดังนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำโต้ตอบดังนั้นจึงว่า ท่านทั้งสองอย่าตัดพ้อต่อว่าผู้อื่นให้เป็นที่ขุ่นเคืองเลย “วาสนาข้าพเจ้าน้อยตามแต่บุญเถิด แต่เพียงนี้ก็เป็นสุขอยู่แล้ว ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะเป็นใหญ่ให้เกินวาสนาดอก”
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ที่กล่าวคำถ่อมตนและแสดงออกซึ่งความสมถะมิได้มีน้ำใจมักใหญ่ใฝ่สูงก็มีน้ำใจสงสาร ปลอบใจบำรุงเล่าปี่ว่า “ตัวท่านก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ผู้คนทั้งปวงก็สรรเสริญมีความรักใคร่มาก อย่าว่าแต่จะชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้เลย อันวาสนาท่านถึงตั้งตัวเป็นเจ้าแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็คงจะหามีใครนินทาไม่”
เล่าปี่ถ่อมตนต้อยต่ำเพียงดินแต่เตียวสงกลับบ่งชี้ว่าวาสนาของเล่าปี่นี้หามีแค่เท่านี้ไม่ หากสูงเยี่ยมเทียมฟ้า แต่พอเล่าปี่ได้ฟังคำเตียวสงก็ยกมือขึ้นคำนับเตียวสงแล้วว่า ความอันท่านเจรจามาทั้งนี้ใหญ่หลวงเกินวาสนาตัวข้าพเจ้านัก แม้นเอ็นดูข้าพเจ้าแล้วอย่าได้กล่าวความเช่นนี้ต่อไปเลย
ว่าแล้วเล่าปี่จึงเชิญเตียวสง ขงเบ้ง และบังทอง ดื่มสุรา ต่างคนต่างเชิญดื่มสุรากันด้วยอัธยาศัยไมตรีจนงานเลี้ยงวันนั้นต้องเลิกราลง
เล่าปี่สนทนาด้วยเตียวสงและแต่งโต๊ะเลี้ยงเตียวสงถึงสามวันโดยมิได้ปริปากถามถึงเมืองเสฉวนแม้แต่สักคำเดียว เตียวสงเองก็ไม่ยอมเอ่ยปากถึงเรื่องเมืองเสฉวนเพราะยังคงเก็บความหวาดระแวงว่าการต้อนรับขับสู้ของเล่าปี่อาจเป็นไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้นต่างฝ่ายจึงต่างไม่พูดถึงเรื่องเมืองเสฉวน
ครั้นไม่พูดถึงเรื่องเมืองเสฉวนนานวันเข้าเตียวสงเองกลับแน่นขึ้นในอก แต่ก็สู้ข่มใจไม่ยอมพูดจาเรื่องนี้จนกระทั่งถ้วนสามวันแล้วเตียวสงจึงคำนับลาเล่าปี่เพื่อจะกลับคืนเมืองเสฉวน เล่าปี่จะรั้งรอประการใดเตียวสงก็อ้างว่าได้รับไมตรีของเล่าปี่มากนักหนาแล้ว ธุระสิ่งใดก็ไม่มีจึงจำใจลากลับไปเมืองเสฉวนก่อน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงนำขบวนกองเกียรติยศตามไปส่งเตียวสงถึงนอกประตูเมืองเกงจิ๋ว ครั้นถึงประตูเมืองก็ให้หยุดขบวนแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงส่งเตียวสงเป็นครั้งสุดท้าย
ในระหว่างกินโต๊ะเล่าปี่ได้กล่าวกับเตียวสงว่า สามวันที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าได้มีวาสนาสนทนาด้วยท่าน ทำให้ความคิดแลสติปัญญากว้างขวางขึ้นเป็นอันมาก แต่ยังไม่สมกับที่นับถือศรัทธาเลย ท่านก็จะจากไกลไปแล้ว ท่านจากไปคราวนี้แล้วอีกเมื่อไรหนอข้าพเจ้าถึงจะได้มีโอกาสพบหน้าคารวะท่านอีก กล่าวแล้วเล่าปี่ก็ทำทีเป็นร้องไห้
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่และประจักษ์ถึงไมตรีที่เล่าปี่มีต่อตัวก็สำคัญว่าเล่าปี่นับถือโดยสุจริตก็สงสาร ครั้นเห็นน้ำตาของเล่าปี่ความระแวดระวังที่หลงเหลืออยู่ก็มอดมลายไปสิ้น มีแต่ความเอ็นดูสงสารเล่าปี่ไหลหลั่งเข้ามาแทน
เตียวสงมีน้ำใจเมตตาและสงสารเล่าปี่ที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่ต้องอาศัยแผ่นดินของผู้อื่น ทั้งการที่อาสาเล่าเจี้ยงมานั้นก็ถึงวาระสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำการให้สำเร็จ ดังนั้นเมื่อความหวาดระแวงสิ้นลงเตียวสงจึงเปิดอกกล่าวกับเล่าปี่ว่า “ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็คิดว่าจะใคร่มาอยู่ด้วยท่านให้ใช้สอย แต่ว่ายังมิได้ท่วงทีชอบกลเลย อนึ่งท่านจะตั้งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ก็เห็นว่าจะไม่เป็นที่มั่นได้ ด้วยฝ่ายตะวันออกนั้นซุนกวนก็เป็นศัตรู ข้างทิศเหนือเล่าโจโฉก็จะมาย่ำยี ที่ไหนจะมีความสุข เหมือนท่านอยู่ในกลางใจไฟ”
เล่าปี่ลงทุนลงแรงต้อนรับขับสู้เตียวสงถึงสามวันสามคืนก็ได้รับชัยชนะเหนือจิตใจของเตียวสงอย่างเด็ดขาด เพราะความอันเตียวสงได้กล่าวบัดนี้คือการยอมมอบกายใจสวามิภักดิ์ด้วยเล่าปี่อย่างสิ้นเชิง แม้กระนั้นก็ยังไว้ท่าเพียงแต่ชี้ว่าเล่าปี่จะตั้งตัวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วนี้เห็นจะไม่ได้
เล่าปี่ได้ฟังเตียวสงดังนั้นจึงกล่าวว่าข้าพเจ้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าเมืองเกงจิ๋วนี้มีศัตรูอยู่รอบด้าน จะนอนก็หลับตาไม่สนิทเลย แต่จะทำกระไรได้เพราะไม่เห็นข้างไหนจะไปอาศัยได้
เตียวสงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านอย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นกำลังใจด้วยยังมีเมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ แต่ครั้งพระเจ้าเล่าปังก็ตั้งตัวได้ที่เมืองเสฉวนแห่งนี้ เมืองเสฉวนมีชัยภูมิกว้างขวางมั่นคง ผู้คนก็พรั่งพร้อม เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายล้วนประจักษ์ในอัธยาศัยน้ำใจโอบอ้อมอารีจึงมีความเลื่อมใสนับถือท่านเป็นอันมาก หากแม้นท่านปรารถนาจะได้เมืองเสฉวนก็จะได้ดุจดังใจ ไม่ต้องยากลำบากแก่ทหารทั้งปวงเลย แลเมื่อท่านได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้เหมือนกับพระเจ้าเล่าปัง
พลานุภาพแห่งความเมตตาที่ครองใจเตียวสงกดดันให้เตียวสงต้องเปิดเผยความในใจออกไปเองทั้งที่ได้อดกลั้นข่มใจไม่ว่ากล่าวถึงสามวัน ชี้หนทางสว่างแก่เล่าปี่ให้ได้ครองเมืองเสฉวน
แต่ครั้นเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ก้มหน้าทำเศร้าโศก แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าจะไปยึดเอาเมืองเสฉวนนั้นไม่ชอบ ด้วยเล่าเจี้ยงก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ปกครองบ้านเมืองมีความสุขมาแต่ก่อน แม้นคิดอ่านแย่งชิงเอาเมืองเขาก็จะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ที่ยึดมั่นอยู่ในขนบธรรมเนียมและศีลธรรมก็ยิ่งมีความรู้สึกเลื่อมใส จึงคะยั้นคะยอต่อไปว่า “ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ ข้าพเจ้าก็มิใช่เป็นคนขายเจ้า แต่ว่าได้มาพบท่านแล้วก็มีความเอ็นดู จึงบอกตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ให้แจ้ง ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเป็นเชื้อวงศ์ก็จริง แต่เป็นคนโลเลหาสติปัญญาไม่ แล้วก็ไม่รู้จักเลี้ยงคนดี อนึ่งเตียวล่ออยู่ฝ่ายเหนือนั้นก็จะมาทำอันตราย ผู้คนทั้งปวงก็เรรวนแต่จะเอาใจออกหาก ถ้าเหมือนท่านฉะนี้ยกไปก็เห็นคนทั้งปวงก็มีความยินดี จะเข้าหาท่านเป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ปรารถนาจะเอาเมืองเสฉวนไปให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉอ้ายศัตรูแผ่นดินนั้นโอหังถือว่าตัวดี ลบหลู่ผู้มีสติปัญญาเสีย ข้าพเจ้าจะยกเมืองเสฉวนให้ก็หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าจึงแวะมาหาท่านหวังจะบอกเนื้อความทั้งนี้ ขอให้ท่านคิดผ่อนผันดูเถิด ถ้าได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะได้คิดอ่านทำการเอาบ้านเมืองทั้งปวง เห็นจะได้เป็นใหญ่เหมือนความปรารถนา แม้ท่านเต็มใจจะเอาเมืองเสฉวนมั่นคงจริง ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระทำการข้างในมิให้ขัดสน แต่บัดนี้ยังมิได้แจ้งว่าท่านจะคิดทำการประการใด”
เตียวสงได้เปิดเผยความนัยของการเดินทางไปเมืองหลวงและแวะผ่านเมืองเกงจิ๋วอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งได้ชี้ให้เห็นอย่างเดียวกับยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งว่าเมื่อใดที่เล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวนแล้วก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จดังปรารถนา มิหนำซ้ำยังอาสารับเป็นธุระในการทำให้เล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวนอีกด้วย นี่คือชัยชนะที่หมดจดงดงามของเล่าปี่ ขงเบ้ง และบังทอง ที่มีความเหนือกว่าโจโฉมากมายนัก
เล่าปี่ฟังคำเตียวสงไปใจก็นึกสรรเสริญความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก ทั้งมีความมั่นใจในยุทธศาสตร์สามก๊กว่าจะสามารถบรรลุผลเป็นแน่แท้ แต่เล่าปี่ก็ยังคงเป็นเล่าปี่ที่ทำการใดก็ต้องให้มีภาพพจน์ที่สดใสงดงาม ครั้นได้ฟังความถึงเพียงนี้แล้วก็ยังแสร้งกล่าวถ่อมตัวต่อไปว่า “ท่านว่าทั้งนี้ก็ขอบใจหนักหนา แต่ว่าเราจนใจด้วยเล่าเจี้ยงนี้ก็เป็นแซ่เดียวกัน ถ้าเรายกไปทำร้าย คนทั้งปวงจะมิชวนกันติฉินนินทาหรือ”
เตียวสงได้ฟังก็แก้ข้อกังวลของเล่าปี่ว่า “อันธรรมดาเกิดมาเป็นชาย เมื่อปรารถนาจะเป็นใหญ่ แม้ได้ทีที่ไหนก็จะทำการที่นั้น อันจะคิดรั้งรออยู่กลัวแต่ความนินทาฉะนี้ นานไปเมื่อหน้าเป็นของผู้อื่นแล้วจะคิดอ่านทำการต่อภายหลังก็จะมิได้รับความเดือดร้อนเสียใจอยู่หรือ”
เหตุผลของเตียวสงก็คือเหตุผลอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ขงเบ้งเจรจาว่ากล่าวให้เล่าปี่เข้ายึดเอาเมืองเกงจิ๋ว แต่ครั้งนั้นเล่าปี่ไม่ฟังคำยอมรับชะตากรรมทั้งปวง โดยจะไม่ล่วงเข้ายึดเมืองเกงจิ๋วเป็นอันขาด และผลจากการไม่ฟังคำขงเบ้งเป็นครั้งแรกก็ทำให้เล่าปี่ต้องสูญเสียเมียรัก เสียอาณาประชาราษฎรและเดือดร้อนจนแทบเลือดตากระเด็น
บทเรียนดังกล่าวคงสอนใจเล่าปี่ ประกอบทั้งเล่าเจี้ยงกับเล่าปี่นั้นก็ไม่เคยรู้จักพบปะหน้าค่าตากันมาก่อน ดังนั้นเมื่อเล่าปี่ได้ฟังเหตุผลของเตียวสงแนะนำจึงจำนนต่อถ้อยคำและยอมรับความคิด แต่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการยกไปเมืองเสฉวน จึงถามเตียวสงว่าพระคุณท่านเมตตาสั่งสอนครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน แต่วิตกด้วยเมืองเสฉวนนั้นเป็นทางไกลแลกันดาร ประกอบด้วยซอกเขา ห้วยธารละหานเป็นอันมาก การเดินทัพขัดสนนัก ทำไฉนจะยกไปเมืองเสฉวนได้
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเอาแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งตั้งใจเขียนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนออกมาส่งให้แก่เล่าปี่ แล้วว่าข้อซึ่งท่านวิตกนั้นอย่ากังวลสืบไปเลย ข้าพเจ้าได้จัดทำแผนที่เมืองเสฉวนอย่างละเอียด บอกเส้นทางเดินทัพทั้งปวงและจุดแหล่งพักพิงเสบียงอาหาร ตลอดจนห้วยหนองซอกเขาก็ระบุไว้แจ้งสิ้น ท่านจะเดินทัพเข้าเมืองเสฉวนตามแผนที่นี้ได้โดยสะดวก
เล่าปี่รับแผนที่เมืองเสฉวนมาดูด้วยความยินดี ปากก็กล่าวขอบคุณเตียวสงเป็นอันมาก
เตียวสงเห็นเล่าปี่กำลังมีความยินดีก็กล่าวสืบไปว่า ตัวข้าพเจ้านี้มีเพื่อนรักวางใจอยู่ในเมืองเสฉวนสองคน คนหนึ่งชื่อหวดเจ้ง คนหนึ่งชื่อเบ้งตัด มีสติปัญญาและไว้วางใจได้เสมือนตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ากลับไปถึงเมืองเสฉวนแล้วจะได้เจรจาว่ากล่าวให้เพื่อนทั้งสองคนนี้เข้าร่วมทำการด้วยท่าน เห็นจะตกลงปลงใจ ดังนั้นถ้าวันใดหวดเจ้งหรือเบ้งตัดมาหาท่าน ก็จงต้อนรับและปรึกษาหารือ อย่าได้ระแวงสงสัยแต่ประการใดเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำเตียวสงก็ลุกขึ้นคำนับขอบคุณ แล้วว่าความตื้นลึกหนาบางข้างเมืองเสฉวนอันท่านได้บอกกล่าวครั้งนี้มีคุณูปการแก่ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง เป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้านัก ถ้าแม้นวันใดข้าพเจ้าทำการได้สำเร็จดังปรารถนาก็จะเลี้ยงดูทำนุบำรุงท่านให้ถึงขนาดควรแก่ความชอบตอบสนองพระคุณท่าน
เตียวสงได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงว่า “ตัวข้าพเจ้านี้มีความปรารถนาจะหามูลนายที่ดี มีน้ำใจอารีรอบคอบก็ได้เหมือนใจ ถึงมาตรว่ารู้สิ่งใดเป็นการลับก็มิควรที่จะอำไว้ จำจะบอกออกให้สิ้น ที่จะตั้งใจให้ท่านทดแทนคุณนั้นหามิได้”.
เตียวสงได้รับการต้อนรับตั้งแต่แนวชายแดนมาจนถึงในเมืองเกงจิ๋วและมีการเลี้ยงโต๊ะหลายครั้งหลายหน แต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากเรื่องความเมืองเสฉวนก็แปลกประหลาดใจ ในที่สุดก็เก็บงำความคิดต่อไปไม่ได้ ต้องแย้มพรายเลียบเคียงถามเล่าปี่เกี่ยวกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ขงเบ้งไม่รอให้เล่าปี่ตอบ กลับตอบเสียเองว่า “เมืองเกงจิ๋วนี้นายของเราขอยืมซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋งอยู่ดอก มิได้เป็นสิทธิของตัว ด้วยนายเราเป็นน้องเขยซุนกวน เขาเสียมิได้ก็จำใจให้อยู่ ทุกวันนี้เขาก็เวียนมาทวงจะเอาคืน รำคาญใจมิรู้ที่จะผ่อนผันเลย”
ขงเบ้งเกรงว่าเล่าปี่จะตอบความแล้วพาดพิงไปถึงเมืองเสฉวน จะก่อให้เกิดความหวาดระแวงแก่เตียวสง ดังนั้นในการชิงตอบของขงเบ้งจึงจำกัดขอบเขตของคำตอบอยู่กับเมืองเกงจิ๋ว ทั้งยังออดอ้อนเป็นเชิงว่าลำบากยากเข็ญนักเพราะไม่ใช่เมืองของเล่าปี่แต่อาศัยเขาอยู่ ซึ่งเจ้าของก็พร่ำเวียนทวงคืนเป็นที่รำคาญใจไม่รู้ที่จะทำประการใด
เตียวสงได้ฟังดังนั้นก็ยังคงเก็บงำเรื่องเมืองเสฉวนไว้ แล้วเลียบเคียงต่อไปว่าซุนกวนนี้ช่างใจจืดใจดำ เป็นเจ้าเมืองกังตั๋งกว้างใหญ่ไพศาล มีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง เมืองตรีก็มีถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ผู้คนข้าวปลาอาหารก็พร้อมบริบูรณ์สิยังไม่อิ่มใจ อันเมืองเกงจิ๋วเพียงเท่านี้ยังมีน้ำใจโลภทวงคืนอีกเล่า
บังทองได้ฟังคำเตียวสงก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วยแล้วทำหน้าสลดลงเป็นนัยว่าสงสารเล่าปี่ และกล่าวว่าเล่าปี่นายเรานี้เป็นถึงที่พระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้แต่วาสนาน้อยนัก แผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มีที่จะอาศัย ต้องจำยอมทนให้คนข่มเหงอยู่ดังนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำโต้ตอบดังนั้นจึงว่า ท่านทั้งสองอย่าตัดพ้อต่อว่าผู้อื่นให้เป็นที่ขุ่นเคืองเลย “วาสนาข้าพเจ้าน้อยตามแต่บุญเถิด แต่เพียงนี้ก็เป็นสุขอยู่แล้ว ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะเป็นใหญ่ให้เกินวาสนาดอก”
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ที่กล่าวคำถ่อมตนและแสดงออกซึ่งความสมถะมิได้มีน้ำใจมักใหญ่ใฝ่สูงก็มีน้ำใจสงสาร ปลอบใจบำรุงเล่าปี่ว่า “ตัวท่านก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ผู้คนทั้งปวงก็สรรเสริญมีความรักใคร่มาก อย่าว่าแต่จะชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้เลย อันวาสนาท่านถึงตั้งตัวเป็นเจ้าแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็คงจะหามีใครนินทาไม่”
เล่าปี่ถ่อมตนต้อยต่ำเพียงดินแต่เตียวสงกลับบ่งชี้ว่าวาสนาของเล่าปี่นี้หามีแค่เท่านี้ไม่ หากสูงเยี่ยมเทียมฟ้า แต่พอเล่าปี่ได้ฟังคำเตียวสงก็ยกมือขึ้นคำนับเตียวสงแล้วว่า ความอันท่านเจรจามาทั้งนี้ใหญ่หลวงเกินวาสนาตัวข้าพเจ้านัก แม้นเอ็นดูข้าพเจ้าแล้วอย่าได้กล่าวความเช่นนี้ต่อไปเลย
ว่าแล้วเล่าปี่จึงเชิญเตียวสง ขงเบ้ง และบังทอง ดื่มสุรา ต่างคนต่างเชิญดื่มสุรากันด้วยอัธยาศัยไมตรีจนงานเลี้ยงวันนั้นต้องเลิกราลง
เล่าปี่สนทนาด้วยเตียวสงและแต่งโต๊ะเลี้ยงเตียวสงถึงสามวันโดยมิได้ปริปากถามถึงเมืองเสฉวนแม้แต่สักคำเดียว เตียวสงเองก็ไม่ยอมเอ่ยปากถึงเรื่องเมืองเสฉวนเพราะยังคงเก็บความหวาดระแวงว่าการต้อนรับขับสู้ของเล่าปี่อาจเป็นไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้นต่างฝ่ายจึงต่างไม่พูดถึงเรื่องเมืองเสฉวน
ครั้นไม่พูดถึงเรื่องเมืองเสฉวนนานวันเข้าเตียวสงเองกลับแน่นขึ้นในอก แต่ก็สู้ข่มใจไม่ยอมพูดจาเรื่องนี้จนกระทั่งถ้วนสามวันแล้วเตียวสงจึงคำนับลาเล่าปี่เพื่อจะกลับคืนเมืองเสฉวน เล่าปี่จะรั้งรอประการใดเตียวสงก็อ้างว่าได้รับไมตรีของเล่าปี่มากนักหนาแล้ว ธุระสิ่งใดก็ไม่มีจึงจำใจลากลับไปเมืองเสฉวนก่อน
วันรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงนำขบวนกองเกียรติยศตามไปส่งเตียวสงถึงนอกประตูเมืองเกงจิ๋ว ครั้นถึงประตูเมืองก็ให้หยุดขบวนแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงส่งเตียวสงเป็นครั้งสุดท้าย
ในระหว่างกินโต๊ะเล่าปี่ได้กล่าวกับเตียวสงว่า สามวันที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าได้มีวาสนาสนทนาด้วยท่าน ทำให้ความคิดแลสติปัญญากว้างขวางขึ้นเป็นอันมาก แต่ยังไม่สมกับที่นับถือศรัทธาเลย ท่านก็จะจากไกลไปแล้ว ท่านจากไปคราวนี้แล้วอีกเมื่อไรหนอข้าพเจ้าถึงจะได้มีโอกาสพบหน้าคารวะท่านอีก กล่าวแล้วเล่าปี่ก็ทำทีเป็นร้องไห้
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่และประจักษ์ถึงไมตรีที่เล่าปี่มีต่อตัวก็สำคัญว่าเล่าปี่นับถือโดยสุจริตก็สงสาร ครั้นเห็นน้ำตาของเล่าปี่ความระแวดระวังที่หลงเหลืออยู่ก็มอดมลายไปสิ้น มีแต่ความเอ็นดูสงสารเล่าปี่ไหลหลั่งเข้ามาแทน
เตียวสงมีน้ำใจเมตตาและสงสารเล่าปี่ที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่ต้องอาศัยแผ่นดินของผู้อื่น ทั้งการที่อาสาเล่าเจี้ยงมานั้นก็ถึงวาระสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำการให้สำเร็จ ดังนั้นเมื่อความหวาดระแวงสิ้นลงเตียวสงจึงเปิดอกกล่าวกับเล่าปี่ว่า “ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็คิดว่าจะใคร่มาอยู่ด้วยท่านให้ใช้สอย แต่ว่ายังมิได้ท่วงทีชอบกลเลย อนึ่งท่านจะตั้งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ก็เห็นว่าจะไม่เป็นที่มั่นได้ ด้วยฝ่ายตะวันออกนั้นซุนกวนก็เป็นศัตรู ข้างทิศเหนือเล่าโจโฉก็จะมาย่ำยี ที่ไหนจะมีความสุข เหมือนท่านอยู่ในกลางใจไฟ”
เล่าปี่ลงทุนลงแรงต้อนรับขับสู้เตียวสงถึงสามวันสามคืนก็ได้รับชัยชนะเหนือจิตใจของเตียวสงอย่างเด็ดขาด เพราะความอันเตียวสงได้กล่าวบัดนี้คือการยอมมอบกายใจสวามิภักดิ์ด้วยเล่าปี่อย่างสิ้นเชิง แม้กระนั้นก็ยังไว้ท่าเพียงแต่ชี้ว่าเล่าปี่จะตั้งตัวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วนี้เห็นจะไม่ได้
เล่าปี่ได้ฟังเตียวสงดังนั้นจึงกล่าวว่าข้าพเจ้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าเมืองเกงจิ๋วนี้มีศัตรูอยู่รอบด้าน จะนอนก็หลับตาไม่สนิทเลย แต่จะทำกระไรได้เพราะไม่เห็นข้างไหนจะไปอาศัยได้
เตียวสงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านอย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นกำลังใจด้วยยังมีเมืองเสฉวนเป็นหัวเมืองใหญ่ แต่ครั้งพระเจ้าเล่าปังก็ตั้งตัวได้ที่เมืองเสฉวนแห่งนี้ เมืองเสฉวนมีชัยภูมิกว้างขวางมั่นคง ผู้คนก็พรั่งพร้อม เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายล้วนประจักษ์ในอัธยาศัยน้ำใจโอบอ้อมอารีจึงมีความเลื่อมใสนับถือท่านเป็นอันมาก หากแม้นท่านปรารถนาจะได้เมืองเสฉวนก็จะได้ดุจดังใจ ไม่ต้องยากลำบากแก่ทหารทั้งปวงเลย แลเมื่อท่านได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้เหมือนกับพระเจ้าเล่าปัง
พลานุภาพแห่งความเมตตาที่ครองใจเตียวสงกดดันให้เตียวสงต้องเปิดเผยความในใจออกไปเองทั้งที่ได้อดกลั้นข่มใจไม่ว่ากล่าวถึงสามวัน ชี้หนทางสว่างแก่เล่าปี่ให้ได้ครองเมืองเสฉวน
แต่ครั้นเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ก้มหน้าทำเศร้าโศก แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าจะไปยึดเอาเมืองเสฉวนนั้นไม่ชอบ ด้วยเล่าเจี้ยงก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ปกครองบ้านเมืองมีความสุขมาแต่ก่อน แม้นคิดอ่านแย่งชิงเอาเมืองเขาก็จะเป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ที่ยึดมั่นอยู่ในขนบธรรมเนียมและศีลธรรมก็ยิ่งมีความรู้สึกเลื่อมใส จึงคะยั้นคะยอต่อไปว่า “ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ ข้าพเจ้าก็มิใช่เป็นคนขายเจ้า แต่ว่าได้มาพบท่านแล้วก็มีความเอ็นดู จึงบอกตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ให้แจ้ง ด้วยเล่าเจี้ยงนั้นเป็นเชื้อวงศ์ก็จริง แต่เป็นคนโลเลหาสติปัญญาไม่ แล้วก็ไม่รู้จักเลี้ยงคนดี อนึ่งเตียวล่ออยู่ฝ่ายเหนือนั้นก็จะมาทำอันตราย ผู้คนทั้งปวงก็เรรวนแต่จะเอาใจออกหาก ถ้าเหมือนท่านฉะนี้ยกไปก็เห็นคนทั้งปวงก็มีความยินดี จะเข้าหาท่านเป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ปรารถนาจะเอาเมืองเสฉวนไปให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉอ้ายศัตรูแผ่นดินนั้นโอหังถือว่าตัวดี ลบหลู่ผู้มีสติปัญญาเสีย ข้าพเจ้าจะยกเมืองเสฉวนให้ก็หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าจึงแวะมาหาท่านหวังจะบอกเนื้อความทั้งนี้ ขอให้ท่านคิดผ่อนผันดูเถิด ถ้าได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะได้คิดอ่านทำการเอาบ้านเมืองทั้งปวง เห็นจะได้เป็นใหญ่เหมือนความปรารถนา แม้ท่านเต็มใจจะเอาเมืองเสฉวนมั่นคงจริง ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระทำการข้างในมิให้ขัดสน แต่บัดนี้ยังมิได้แจ้งว่าท่านจะคิดทำการประการใด”
เตียวสงได้เปิดเผยความนัยของการเดินทางไปเมืองหลวงและแวะผ่านเมืองเกงจิ๋วอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งได้ชี้ให้เห็นอย่างเดียวกับยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งว่าเมื่อใดที่เล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวนแล้วก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จดังปรารถนา มิหนำซ้ำยังอาสารับเป็นธุระในการทำให้เล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวนอีกด้วย นี่คือชัยชนะที่หมดจดงดงามของเล่าปี่ ขงเบ้ง และบังทอง ที่มีความเหนือกว่าโจโฉมากมายนัก
เล่าปี่ฟังคำเตียวสงไปใจก็นึกสรรเสริญความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก ทั้งมีความมั่นใจในยุทธศาสตร์สามก๊กว่าจะสามารถบรรลุผลเป็นแน่แท้ แต่เล่าปี่ก็ยังคงเป็นเล่าปี่ที่ทำการใดก็ต้องให้มีภาพพจน์ที่สดใสงดงาม ครั้นได้ฟังความถึงเพียงนี้แล้วก็ยังแสร้งกล่าวถ่อมตัวต่อไปว่า “ท่านว่าทั้งนี้ก็ขอบใจหนักหนา แต่ว่าเราจนใจด้วยเล่าเจี้ยงนี้ก็เป็นแซ่เดียวกัน ถ้าเรายกไปทำร้าย คนทั้งปวงจะมิชวนกันติฉินนินทาหรือ”
เตียวสงได้ฟังก็แก้ข้อกังวลของเล่าปี่ว่า “อันธรรมดาเกิดมาเป็นชาย เมื่อปรารถนาจะเป็นใหญ่ แม้ได้ทีที่ไหนก็จะทำการที่นั้น อันจะคิดรั้งรออยู่กลัวแต่ความนินทาฉะนี้ นานไปเมื่อหน้าเป็นของผู้อื่นแล้วจะคิดอ่านทำการต่อภายหลังก็จะมิได้รับความเดือดร้อนเสียใจอยู่หรือ”
เหตุผลของเตียวสงก็คือเหตุผลอย่างเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ขงเบ้งเจรจาว่ากล่าวให้เล่าปี่เข้ายึดเอาเมืองเกงจิ๋ว แต่ครั้งนั้นเล่าปี่ไม่ฟังคำยอมรับชะตากรรมทั้งปวง โดยจะไม่ล่วงเข้ายึดเมืองเกงจิ๋วเป็นอันขาด และผลจากการไม่ฟังคำขงเบ้งเป็นครั้งแรกก็ทำให้เล่าปี่ต้องสูญเสียเมียรัก เสียอาณาประชาราษฎรและเดือดร้อนจนแทบเลือดตากระเด็น
บทเรียนดังกล่าวคงสอนใจเล่าปี่ ประกอบทั้งเล่าเจี้ยงกับเล่าปี่นั้นก็ไม่เคยรู้จักพบปะหน้าค่าตากันมาก่อน ดังนั้นเมื่อเล่าปี่ได้ฟังเหตุผลของเตียวสงแนะนำจึงจำนนต่อถ้อยคำและยอมรับความคิด แต่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการยกไปเมืองเสฉวน จึงถามเตียวสงว่าพระคุณท่านเมตตาสั่งสอนครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน แต่วิตกด้วยเมืองเสฉวนนั้นเป็นทางไกลแลกันดาร ประกอบด้วยซอกเขา ห้วยธารละหานเป็นอันมาก การเดินทัพขัดสนนัก ทำไฉนจะยกไปเมืองเสฉวนได้
เตียวสงได้ฟังคำเล่าปี่ก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเอาแผนที่เมืองเสฉวนซึ่งตั้งใจเขียนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนออกมาส่งให้แก่เล่าปี่ แล้วว่าข้อซึ่งท่านวิตกนั้นอย่ากังวลสืบไปเลย ข้าพเจ้าได้จัดทำแผนที่เมืองเสฉวนอย่างละเอียด บอกเส้นทางเดินทัพทั้งปวงและจุดแหล่งพักพิงเสบียงอาหาร ตลอดจนห้วยหนองซอกเขาก็ระบุไว้แจ้งสิ้น ท่านจะเดินทัพเข้าเมืองเสฉวนตามแผนที่นี้ได้โดยสะดวก
เล่าปี่รับแผนที่เมืองเสฉวนมาดูด้วยความยินดี ปากก็กล่าวขอบคุณเตียวสงเป็นอันมาก
เตียวสงเห็นเล่าปี่กำลังมีความยินดีก็กล่าวสืบไปว่า ตัวข้าพเจ้านี้มีเพื่อนรักวางใจอยู่ในเมืองเสฉวนสองคน คนหนึ่งชื่อหวดเจ้ง คนหนึ่งชื่อเบ้งตัด มีสติปัญญาและไว้วางใจได้เสมือนตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ากลับไปถึงเมืองเสฉวนแล้วจะได้เจรจาว่ากล่าวให้เพื่อนทั้งสองคนนี้เข้าร่วมทำการด้วยท่าน เห็นจะตกลงปลงใจ ดังนั้นถ้าวันใดหวดเจ้งหรือเบ้งตัดมาหาท่าน ก็จงต้อนรับและปรึกษาหารือ อย่าได้ระแวงสงสัยแต่ประการใดเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำเตียวสงก็ลุกขึ้นคำนับขอบคุณ แล้วว่าความตื้นลึกหนาบางข้างเมืองเสฉวนอันท่านได้บอกกล่าวครั้งนี้มีคุณูปการแก่ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง เป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้านัก ถ้าแม้นวันใดข้าพเจ้าทำการได้สำเร็จดังปรารถนาก็จะเลี้ยงดูทำนุบำรุงท่านให้ถึงขนาดควรแก่ความชอบตอบสนองพระคุณท่าน
เตียวสงได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงว่า “ตัวข้าพเจ้านี้มีความปรารถนาจะหามูลนายที่ดี มีน้ำใจอารีรอบคอบก็ได้เหมือนใจ ถึงมาตรว่ารู้สิ่งใดเป็นการลับก็มิควรที่จะอำไว้ จำจะบอกออกให้สิ้น ที่จะตั้งใจให้ท่านทดแทนคุณนั้นหามิได้”.