ตอนที่ 340. อานุภาพของความนิ่ง

  ถ้าหากโจโฉทราบว่าวาระซ่อนเร้นในใจของเตียวสงซึ่งเดินทางมาเมืองหลวงคือการมอบเมืองเสฉวนแล้ว ต่อให้โจโฉต้องคำนับหรือจัดแจงต้อนรับให้ใหญ่โตอัครฐานสักปานไหนโจโฉก็ย่อมทำได้โดยไม่ลังเล แต่เพราะไม่ทราบวาระซ่อนเร้นและความ ทรนงในยศศักดิ์อัครฐานและความไม่พึงใจในนรลักษณ์ จึงแทนที่โจโฉจะได้รับประโยชน์กลับเป็นการขับไล่ไสส่งลาภก้อนใหญ่ไปให้แก่เล่าปี่

            ในพลันที่ขงเบ้งได้รับทราบรายงานจากหน่วยสอดแนมถึงความอันเตียวสงเป็นไปในเมืองฮูโต๋ก็มีความยินดีเป็นอันมาก ลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองฟ้า เอามือที่ถือพัดขนนกไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วกล่าวกับเล่าปี่และบังทองว่าการครั้งนี้เมืองเสฉวนจะตกเป็นสิทธิแก่ท่านเป็นมั่นคง

            บังทองได้ฟังคำขงเบ้งก็พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย แต่เล่าปี่นั้นสงสัยในคำพูดและอากัปกิริยาของทั้งสองกุนซือ จึงถามขงเบ้งว่าท่านกล่าวความดังนี้มีความหมายประการใด

            ขงเบ้งจึงว่าซึ่งเตียวสงไปเมืองหลวงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้โจโฉยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋งเพื่อรั้งเตียวล่อไม่ให้รุกรานเมืองเสฉวน แต่เมื่อเตียวสงได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้ เห็นทีจะคิดอ่านหาทางอย่างอื่นเพื่อยับยั้งเตียวล่อ และนี่คือโอกาสของท่านที่จะยกไปเมืองเสฉวน เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงว่าเมืองเสฉวนจะตกได้แก่ท่าน

            เล่าปี่จึงถามว่าท่านจะคิดอ่านประการใด

            ขงเบ้งจึงว่าเตียวสงได้รับความอัปยศมาครั้งนี้เพียงใด  ท่านจงออกไปต้อนรับเตียวสงให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติยศเพียงนั้น ผูกน้ำใจเตียวสงไว้ด้วยไมตรีแล้วเห็นทีเตียวสงจะคิดอ่านหาทางให้ท่านยกเข้าไปในเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง

            บังทองจึงกล่าวเสริมว่า อันเตียวสงผู้นี้มีสติปัญญาหลักแหลมระแวงระวังนัก ดังนั้นท่านจึงต้องทำการให้แยบยล ว่าแล้วสองกุนซือจึงบอกกล่าวแผนการแก่เล่าปี่ เล่าปี่ได้ฟังแผนการแล้วก็มีความยินดี เรียกกวนอูและจูล่งมาพบ และสั่งการให้ดำเนินการตามแผนการของขงเบ้งและบังทองทุกประการ

            เตียวสงถูกตีด้วยไม้ตะบองได้รับความเจ็บปวดทั้งกายและใจเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งนัก ในขณะที่ใจก็ครุ่นคิดกังวลถึงภาระอันใหญ่หลวงที่รับอาสามาแต่เล่าเจี้ยง เตียวสงยามนี้จึงเต็มไปด้วยความทุกข์กายทุกข์ใจจนอาการหม่นหมองปรากฏชัดเจนตลอดระยะเวลาการเดินทาง

            ครั้นล่วงแดนเมืองหลวงเข้าสู่เขตแดนเมืองเกงจิ๋ว ก็เห็นทหารกองหนึ่งตั้งเป็นกองเกียรติยศอยู่เบื้องหน้า มีธงทิวแน่นขนัดเป็นสง่าราศี เห็นธงประจำตัวนายทัพชื่อเสียงสาน-จูล่ง ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ยังคงขี่ม้ารุดหน้าไปตามปกติ

            จูล่งคุมทหารม้าห้าร้อยในชุดออกศึกมาตั้งขบวนเกียรติยศคอยท่าเตียวสงอยู่ที่ปลายแดนเมืองเกงจิ๋วตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นเห็นขบวนของเตียวสงยกมาจึงให้ทหารตีฆ้องกลองเป็นทำนองต้อนรับแขกคนสำคัญ ตัวจูล่งขี่ม้าออกไปหน้าทหารตรงเข้าไปหาเตียวสง ย่อตัวลงบนหลังม้าเป็นทีคำนับเตียวสง แล้วว่าท่านที่มาข้างหน้านี้คือเตียวสงชาวเมืองเสฉวนใช่หรือไม่

            เตียวสงได้ฟังคำอ่อนน้อมเป็นไมตรีจากจูล่งก็มีความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตร จึงกล่าวตอบว่าตัวเรานี่แล้วคือเตียวสง และถามกลับว่าตัวท่านคือจูล่งที่มีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดินใช่หรือไม่

            จูล่งจึงว่าข้าพเจ้าชื่อจูล่ง แล้วจูล่งจึงลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาเตียวสง เตียวสงเห็นดังนั้นก็ลงจากหลังม้า เดินตรงเข้ามาอย่างเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างคำนับตามธรรมเนียม แล้วจูล่งจึงว่าเล่าปี่นายข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านมีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้ง จึงมีความนับถือเลื่อมใสท่านเป็นอันมาก บัดนี้ได้ทราบว่าท่านอุตส่าห์เดินทางมาแต่หนทางไกล คงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงให้ข้าพเจ้าคุมขบวนมาต้อนรับให้เป็นเกียรติยศ

            เตียวสงเจ็บช้ำน้ำใจมาแต่เมืองหลวง เพิ่งมาได้ยินคำอันระรื่นหูว่าผู้เป็นถึงพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้มีน้ำใจนับถือศรัทธาในสติปัญญาของตัวก็ค่อยรู้สึกชื่นใจ กล่าวกับจูล่งเป็นเชิงถ่อมตัวว่าอันสติปัญญาข้าพเจ้าเป็นแต่ประมาณดอก หาเสมอดังนายท่านได้ยินไม่

            จูล่งจึงกล่าวว่าท่านจะถ่อมตัวไปไย ข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อยก็พลอยชื่นชมสติปัญญาท่าน ว่าแล้วจูล่งจึงเชิญเตียวสงให้หยุดพักกินโต๊ะเพื่อเป็นเกียรติในฐานะแขกเมืองของเมืองเกงจิ๋ว

            เตียวสงเห็นจูล่งทอดไมตรี และเห็นการจะเป็นไปสมกับที่ตั้งใจไว้ก็มีความยินดี รับคำเชิญจูล่งแล้วจึงเคลื่อนขบวนไปที่ด่าน จูล่งจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงเตียวสงท่ามกลางการบรรเลงมโหรีอย่างสมเกียรติและสมศักดิ์ศรีของขุนนางผู้ใหญ่แห่งเมืองเสฉวน

            ในระหว่างกินโต๊ะนั้นจูล่งได้กล่าวยกย่องสรรเสริญสติปัญญาของเตียวสงเป็นอันมาก ในขณะที่เตียวสงก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับการสงครามและเกียรติประวัติของจูล่งเป็นอย่างดี จึงต่างฝ่ายต่างถ้อยทียกย่องสรรเสริญเป็นที่เจริญไมตรีต่อกันเป็นอันดี

            เตียวสงรำพึงขึ้นในใจว่าได้ยินคำร่ำลือว่าเล่าปี่มีสติปัญญา แลน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวงก็เห็นจริงเหมือนคำร่ำลือนั้น ครั้นกินโต๊ะเสร็จจูล่งจึงว่าเล่าปี่นายข้าพเจ้าได้สั่งความให้ข้าพเจ้าเรียนแก่ท่านว่า ใคร่ได้พบหน้าสนทนากับท่านให้สมกับที่นับถือมาช้านาน ดังนั้นถ้าหากท่านไม่รีบร้อนจนเกินไป ขอได้เมตตาให้เวลานายข้าพเจ้าได้พบหน้าสักหน่อยหนึ่ง

            เตียวสงได้ฟังคำเชิญด้วยไมตรีดังนั้นก็รับคำ แล้วจูล่งจึงนำขบวนของเตียวสงตรงไปที่เมืองเกงจิ๋ว

            ครั้นขบวนเดินทางมาถึงด่านชั้นใน ก็เห็นกองทหารม้าอีกกองหนึ่งมาตั้งขบวนเป็นกองเกียรติยศคอยต้อนรับอยู่ที่นอกด่าน ประกอบด้วยธงทิวปลิวระยับ ธงประจำตัวนายทัพชื่อว่ากวนอู จูล่งจึงบอกเตียวสงว่านั่นเป็นขบวนเกียรติยศของกวนอูมาคอยอำนวยความสะดวกและอารักขาท่าน

            เตียวสงได้ปะหน้าจูล่งยอดขุนพลจากเสียงสานผู้มีเกียรติศัพท์ลือลั่นทั้งแผ่นดินก็ให้รู้สึกเป็นเกียรติและชื่นใจ ต่างกับความรู้สึกทุกข์ตรอมหมองไหม้ที่ได้รับจากเมืองหลวงราวฟ้ากับดินก็อุ่นใจพออยู่แล้ว ครั้นได้ยินว่ายอดขุนพลที่มาตั้งขบวนเป็นเกียรติยศรอรับอยู่เบื้องหน้าคือกวนอูน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ หัวใจของเตียวสงก็อิ่มเอิบเบิกบานยินดียิ่งนัก รู้สึกว่าเล่าปี่ได้เห็นความสำคัญและให้เกียรติต่อตัวเองเป็นอันมาก น้ำใจนิยมเล่าปี่จึงเพิ่มพูนขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว

            กวนอูคุมทหารม้ามาตั้งขบวนคอยท่ารอรับเตียวสงอยู่ตามคำสั่งของขงเบ้ง พอเห็นจูล่งนำขบวนเตียวสงเข้ามาใกล้ ก็สั่งทหารให้ตีม้าล่อฆ้องกลองเป็นทำนองรื่นเริงชัยให้เกียรติต้อนรับแก่เตียวสงแล้วขี่ม้าออกไปหน้าทหาร คำนับเตียวสงแล้วว่าเล่าปี่พี่ของข้าพเจ้ามีน้ำใจนับถือศรัทธาท่านเป็นอันมาก ทราบว่าท่านเดินทางผ่านแดนเมืองเกงจิ๋วจึงให้ข้าพเจ้ามาคอยต้อนรับ และขอเชิญท่านเข้าพักผ่อนในด่านให้เป็นที่สำราญใจสักคืนหนึ่ง

            เตียวสงรับคำนับกวนอูแล้วขอบคุณเล่าปี่ที่มีน้ำใจไมตรี ต่างฝ่ายต่างปฏิสันถารกันตามธรรมเนียมแล้วกวนอูจึงนำขบวนเข้าไปในด่าน แล้วจัดที่พักให้แก่ขบวนของเตียวสงอย่างสมเกียรติ

            ครั้นถึงเวลาเย็นก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเตียวสงอย่างยิ่งใหญ่ มีดนตรีและมหรสพแสดงต้อนรับเพื่อเป็นเกียรติ ทั้งกวนอูและจูล่งต่างรินสุราให้เตียวสงแล้วเชิญเตียวสงดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า เป็นที่ถูกอกถูกใจของเตียวสงยิ่งนัก

            ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วทั้งกวนอูและจูล่งต่างคุมทหารอารักขาและส่งเตียวสงจนถึงที่พักแขกเมือง สั่งให้ผู้ดูแลตึกรับรองแขกเมืองเอาใจใส่ดูแลเตียวสงเป็นพิเศษ ทั้งเตียวสงและผู้คนในขบวนต่างสรรเสริญน้ำใจเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีเป็นอันมาก

            ตั้งแต่แรกเข้าเขตแดนเมืองเกงจิ๋วจนถึงเขตด่านชั้นใน แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยไมตรีอย่างอบอุ่น แต่ทั้งกวนอูและจูล่งตลอดจนทหารเมืองเกงจิ๋วทุกคนไม่ปริปากพูดถึงความศึกสงครามและการเมืองแม้แต่สักคำเดียว คงกล่าวแต่คำยกย่องสรรเสริญสติปัญญาและมิตรไมตรีอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น เตียวสงแม้รู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมใจแต่ก็ยังคงระวังระแวงว่าอาจเป็นกลอุบายเพื่อลวงล่อให้พอใจโดยมีความนัยซ่อนอยู่ข้างหลัง จึงมิได้ปริปากกล่าวเรื่องความเมืองและการสงครามเช่นเดียวกัน

            ครั้นวันรุ่งขึ้นกวนอูและจูล่งได้คุมทหารมาตั้งขบวนพร้อมอยู่หน้าตึกพักรับรองแขกเมืองซึ่งเตียวสงพักอยู่ รอจนเตียวสงตื่นจัดแจงข้าวของและขบวนเสร็จแล้วจึงพากันออกเดินทางจะเข้าไปในเมืองเกงจิ๋ว

            ครั้นขบวนออกจากด่านมาได้ห้าสิบเส้น เตียวสงเห็นเบื้องหน้ามีกองทหารกองใหญ่ประดับธงทิวขอบแสดพื้นเหลืองตั้งเป็นขบวนอย่างยิ่งใหญ่ยาวเหยียดแน่นขนัด ธงเหลืองใหญ่ประจำตัวนายทัพระบุชื่อเล่าปี่ และยังมีธงใหญ่อีกสองผืนขนาบอยู่ข้างระบุชื่อ จูกัดเหลียงและบังทอง เห็นเล่าปี่ ขงเบ้ง และบังทองยืนม้าอยู่หน้าทหารก็ตะลึงพรึงเพริดนึกไม่ถึงว่าตัวเป็นเพียงขุนนางเมืองเสฉวน กลับได้รับเกียรติจากเชื้อพระวงศ์ชั้นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงขนาดออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

            พอขบวนของเตียวสงเคลื่อนเข้ามาใกล้ กองทหารของเมืองเกงจิ๋วซึ่งแต่งกายในชุดออกศึกแน่นขนัดท่ามกลางธงทิวปลิวไสวอยู่กลางทุ่งก็ตีม้าล่อฆ้องกลองดังสนั่นหวั่นไหว เล่าปี่ได้ขี่ม้าออกไปข้างหน้าตามด้วยม้าของขงเบ้งและบังทอง ภายใต้ธงประจำตัวของเล่าปี่ ขงเบ้ง และบังทอง ที่แห่แหนเป็นขบวนเกียรติยศ 

            เล่าปี่ได้ขี่ม้าตรงเข้าไปคำนับเตียวสงแล้วว่า “แต่ก่อนก็ได้ยินเขาสรรเสริญถึงท่านอยู่ว่ามีสติปัญญามาก ครั้นจะไปสนทนาด้วยท่านก็เป็นหนทางกันดาร ท่านมาบัดนี้เป็นบุญหนักหนา ขอเชิญท่านเข้าไปในเมืองเกงจิ๋วจะได้สนทนาด้วยกัน เหมือนท่านเอาน้ำมาให้เรากิน ซึ่งหอบกระหายอยากก็จะคลาย”

            เตียวสงรับคำนับเล่าปี่แล้วกล่าวตอบด้วยไมตรีว่า ข้าพเจ้าเดินทางผ่านแดนเมืองเกงจิ๋ว ได้รับน้ำใจไมตรีของท่านก็ชื่นใจนัก กิตติศัพท์ที่เขาเล่าลือว่าท่านมีสติปัญญาและโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวงก็เพิ่งประจักษ์ในครั้งนี้ อันตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ขุนนางผู้น้อยด้อยปัญญาหาได้เหมือนคำร่ำลือไม่

            เล่าปี่เห็นท่าทีของเตียวสงเป็นนัยรับคำเชิญก็มีความยินดี จึงแนะนำให้เตียวสงรู้จักขงเบ้งและบังทอง ต่างฝ่ายต่างคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่ก็เชิญเตียวสงเข้าไปในเมืองเกงจิ๋ว

            พอขบวนเริ่มเคลื่อนเล่าปี่ก็ขี่ม้าเคียงคู่กับเตียวสง ตามด้วยขงเบ้ง บังทองเป็นแถวที่สอง ตามด้วยผู้ติดตามในขบวนของเตียวสงที่ติดตามมาแต่เมืองเสฉวนเป็นขบวนที่สาม ส่วนกวนอูและจูล่งเป็นแถวที่สี่ ตามด้วยขบวนทหารที่ไปต้อนรับเตียวสงแน่นขนัด

            ครั้นเข้าไปในเมืองเล่าปี่ได้เชิญเตียวสงไปสนทนากันที่ศาลาว่าราชการเมืองเกงจิ๋วพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงคุมขบวนมาส่งเตียวสงที่ตึกรับรองแขกเมือง ค่ำลงก็แต่งโต๊ะเลี้ยงรับรองเพื่อเป็นเกียรติยศแก่เตียวสง

            ในระหว่างกินโต๊ะเล่าปี่ได้สนทนาพาทีกับเตียวสงด้วยเรื่องดินฟ้าอากาศและปรัชญาในการปกครองบ้านเมืองแลราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข เล่าปี่ได้ไต่ถามความรู้จากเตียวสงหลายประการ เตียวสงก็ตอบชี้แจงด้วยมิตรไมตรีเป็นอย่างดี

            ในใจของเตียวสงคือภารกิจที่รับอาสามาแต่เล่าเจี้ยงเรื่องความเมืองเสฉวนรุมร้อนอยู่ในอก แต่เล่าปี่ ขงเบ้ง บังทอง กลับไม่ปริปากพูดถึงเรื่องเมืองเสฉวนเลยแม้แต่คำเดียว ก็อดใจไว้ไม่ได้

            เตียวสงจึงถามเล่าปี่ว่า “ท่านมาอยู่เป็นใหญ่ในเมืองเกงจิ๋วนี้มีเมืองขึ้นสักกี่หัวเมือง”

            การไม่ปริปากพูดจาถึงเรื่องเมืองเสฉวนตั้งแต่ก้าวแรกที่เตียวสงย่างเข้าสู่เขตแดนเมืองเกงจิ๋วจนกระทั่งถึงบัดนี้กลับรุกเร้าจนเตียวสงอดรนทนต่อไปไม่ได้ นี่แลคืออานุภาพของความนิ่งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าความอ่อนหรือความแข็ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘