ตอนที่ 339. ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

 เอียวสิ้วและเตียวสงล้วนเป็นสมาชิกชมรมคนปากเสียมาแต่กำเนิด ดังนั้นแม้เป็นข้าต่างเจ้า บ่าวต่างนาย แต่พอพบหน้ากันก็รู้สึกผูกพันมีไมตรี เอียวสิ้วถึงกับเชิญเตียวสงไปสนทนาต่อที่บ้าน หลังจากสนทนาพาทีแสดงภูมิปัญญาโอ้อวดกันพักหนึ่งแล้ว เตียวสงก็คำนับจะลากลับไปเมือง

            เอี้ยวสิ้วได้เจรจาพาทีและประจักษ์ซึ่งสติปัญญาความจดจำอันล้ำเลิศของเตียวสงก็ประทับใจจึงคิดที่จะได้ตัวเตียวสงไว้ทำราชการในเมืองหลวง จะได้เป็นเพื่อนช่วยคิดอ่านการทั้งปวงสืบไปในเบื้องหน้า

            เอี้ยวสิ้วคำนึงดังนี้แล้วจึงทัดทานเตียวสงว่า ตัวท่านมีสติปัญญาเป็นอันมาก ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงยังมิทันที่จะได้ว่ากล่าวการซึ่งท่านได้อาสามา แต่กลับมีเหตุให้เป็นไปดังนี้ ดังนั้นท่านอย่าเพิ่งกลับเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วยว่ากล่าวกับท่านอัครมหาเสนาบดีให้พาท่านไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านมีภาระสิ่งใดที่อาสาเจ้านายมาก็จงว่ากล่าวในตอนนั้นเถิด

            เตียวสงได้ฟังคำอันมีไมตรีของเอียวสิ้วก็มีความยินดี จึงว่าเมื่อท่านมีความกรุณาดังนี้ข้าพเจ้าก็จะอดใจรออยู่ต่อไป มีความคืบหน้าประการใดก็จงแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ ว่าแล้วเตียวสงจึงคำนับลาเอียวสิ้วกลับไปที่อยู่

            พอเตียวสงกลับออกไปแล้ว เอียวสิ้วจึงขมีขมันกลับไปที่จวนของโจโฉ เข้าไปหาโจโฉแล้วเลียบเคียงถามว่าเมื่อสักพักนี้ท่านโกรธแค้นขุ่นเคืองเตียวสงเป็นนักหนา ไม่ทราบว่าด้วยเหตุประการใด

            โจโฉจึงว่าไอ้เตียวสงผู้นี้มีทีท่าหยิ่งยโสโอหังบังอาจนัก ถ้อยคำเจรจาก็หยาบช้าไม่ยำเกรงเราแม้แต่น้อย เหตุนี้เราจึงโกรธ

            พอเอียวสิ้วรู้สาเหตุดังนั้นก็ท้วงว่าซึ่งเตียวสงกล่าววาจาไม่ระรื่นหูเพียงเท่านี้ท่านโกรธ ก็แลเมื่อครั้งยีเอ๋งนั้นได้กล่าวคำหยาบช้าปรามาสท่านเป็นอันมาก ไฉนท่านยังอดทนได้เล่า

            โจโฉจึงว่ายีเอ๋งกับเตียวสงนี้ต่างกัน ด้วยครั้งยีเอ๋งนั้นมีกิตติศัพท์เลื่องลือต่อคนทั้งปวงว่ามีสติปัญญาหลักแหลมเป็นอันมาก แลเป็นบัณฑิตซึ่งผู้คนทั้งปวงนับถือ ดังนั้นแม้นเราไม่พอใจก็จำต้องอดกลั้นข่มใจไว้จะได้ไม่เป็นที่ครหาแก่คนทั้งปวง แต่ เตียวสงนี้มิเคยปรากฏว่ามีสติปัญญามาแต่ก่อน ทั้งรูปชั่วอัปลักษณ์ขัดนัยน์ตานัก จะให้เราอดทนมันนั้นด้วยประสงค์สิ่งใด

            เอียวสิ้วจึงว่าซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีเห็นว่าเตียวสงไม่มีสติปัญญานั้นอย่าเพิ่งประมาทเตียวสงก่อน เพราะเมื่อก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมานี้ได้เชิญเตียวสงไปสนทนากันที่บ้าน ก็ได้ประจักษ์ถึงความปรีชาสามารถของเตียวสงเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้เอาหนังสือพิชัยสงครามบังเต๊กซึ่งท่านแต่งให้เตียวสงดู เพียงชั่วแค่ผ่านตาเพียงครั้งเดียวเตียวสงก็จำได้จนหมดสิ้น และท่องให้ข้าพเจ้าฟังได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังตู่ด้วยว่าหนังสือพิชัยสงครามเล่มนี้มิใช่ของแต่งใหม่หากเป็นการลอกกากตำราของพิชัยสงครามแต่โบราณ เด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนก็สามารถท่องได้ทุกคน

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วว่าหนังสือนี้เราได้แต่งขึ้นด้วยความคิดสติปัญญาและด้วยมือของเราเอง คนทั้งปวงก็รู้อยู่สิ้น แต่เมื่อหนังสือนี้ต้องด้วยตำราโบราณเสียแล้ว จะมีประโยชน์สิ่งใดที่จะรักษาหนังสือเล่มนี้ไว้อีก คนทั้งปวงจะครหาอย่างเดียวกับเตียวสงว่าเราลอกกากตำรามา จะเป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวงเสียเปล่า ๆ

            โจโฉโกรธจนใบหน้าขุ่นเคืองอย่างชัดเจน แล้วจึงสั่งให้ทหารไปเอาตำราพิชัยสงครามบังเต๊กที่ได้จดจารไว้ทุกเล่มมาเผาเสียต่อหน้าแต่เวลานั้น 

            เอียวสิ้วเห็นโจโฉโกรธดังนั้นก็เปลี่ยนเรื่องเสนอความเห็นว่าเตียวสงเป็นทูตมาแต่เมืองเสฉวนอันเป็นแดนทุรกันดาร ชอบที่ท่านจะได้นำไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เพื่อให้ได้เห็นปราสาทพระราชวังอันโอ่อ่าอัครฐาน จะได้นำไปเล่าขานสืบต่อไปให้เกิดความยำเกรงแก่ราชสำนัก แล้วยำเกรงในบุญญานุภาพของท่าน อันเป็นการป้องปรามไม่ให้ชาวเมืองเสฉวนคิดอ่านกำเริบได้สืบไป

            โจโฉฟังเอียวสิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า ความเห็นของท่านครั้งนี้เข้าทีชอบกลอยู่ แต่กระนั้นเตียวสงก็เป็นคนบ้านนอกจะนำไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่สมควร แต่เพื่อให้เป็นไปตามความคิดของท่านที่ต้องการข่มขวัญเตียวสงให้เป็นสง่าราศีไว้กับชาวเมืองหลวง ในวันพรุ่งนี้เราจะคิดอุบายแสร้งฝึกซ้อมทหารที่ลานหน้าเมือง ท่านจงพาเตียวสงออกไปดูเราฝึกซ้อมทหารจะได้เห็นความเข้มแข็งเกรียงไกร แล้วนำไปเล่าขานกันที่เมืองเสฉวน ทั้งจะได้ตรวจตราความพร้อมเพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋งไปพร้อมกันด้วย หากตีได้เมืองกังตั๋งแล้วก็จะยกไปตีเมืองเสฉวนติดต่อกันไป

            เอียวสิ้วได้ฟังก็สรรเสริญความคิดของโจโฉว่าหลักแหลมลึกซึ้งนัก แล้วคำนับลา   โจโฉกลับไปเรือน

            ครั้นเวลาเช้าเอียวสิ้วจึงไปหาเตียวสงยังที่พัก แล้วแจ้งว่าเวลาเช้าวันนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีจะทำพิธีตรวจพลสวนสนาม เป็นโอกาสอันดีที่ท่านจะได้เห็นกำลังกองทัพของเมืองหลวงให้เป็นขวัญตา ว่าแล้วเอียวสิ้วก็เชิญเตียวสงออกไปดูการซ้อมรบสวนสนาม

            เตียวสงได้ฟังคำเอียวสิ้วก็รู้กลของโจโฉว่าแสร้งตรวจพลสวนสนามเพื่อข่มขวัญชาวเมืองเสฉวน แต่เพื่อมิให้เสียธรรมเนียมของทูตต่างเมือง เตียวสงจึงรับคำแล้วพากันไปที่สนามหน้าเมือง

            ในเวลาเช้าวันนั้นโจโฉวางเป้าหมายตรวจพลสวนสนามเพื่อให้เตียวสงได้เห็นเป็นขวัญตาแล้วนำไปบอกกล่าวเล่าขานข่มขวัญชาวเมืองเสฉวนต่อไป จึงจัดแจงแต่งกองทหารครั้งใหญ่ใช้กำลังพลถึงห้าหมื่น ให้แต่งตัวใส่เกราะและเครื่องศึกครบถ้วนกระบวนรบ ยกออกไปสวนสนามและซ้อมรบกันที่ลานหน้าเมืองเป็นที่เอิกเกริก

            เอียวสิ้วพาเตียวสงไปยืนชมอยู่ที่พลับพลาพิธีในฐานะที่เป็นแขกต่างเมือง  เตียวสงเห็นงานตรวจพลสวนสนามจัดอย่างยิ่งใหญ่ก็นึกหมั่นไส้โจโฉที่คิดกลอุบายมาข่มขวัญ และเมื่อคิดว่าโจโฉทำการดังนี้เพราะเห็นว่าเตียวสงไม่รู้เท่าทันก็ยิ่งขุ่นแค้น จึงมองดูการตรวจพลสวนสนามด้วยสีหน้าอันเฉยเมย ไม่แสดงความยินดียินร้ายประการใด

            โจโฉตรวจพลสวนสนามครู่หนึ่ง สังเกตเห็นเตียวสงนั่งสังเกตอยู่บนปะรำพิธีก็ให้ทหารคนสนิทไปเชิญเตียวสงมาพบ แล้วถามว่าทหารเมืองเสฉวนจะเข้มแข็งเกรียงไกรโอ่อ่าสง่างามเหมือนทหารในเมืองหลวงนี้หรือหาไม่

            เตียวสงขุ่นใจเพราะคิดว่าโจโฉแสร้งซ้อมตรวจพลสวนสนามเพื่อข่มขวัญ ครั้นได้ยินคำถามที่ข่มชาวเมืองเสฉวนอยู่ในทีก็ตอบกลับไปโดยโวหารว่า “อันเมืองเสฉวนนั้นจะได้ซ่องสุมผู้คนหัดปรือทหารทั้งปวงยกไปปราบปรามบ้านเมืองเหมือนฉะนี้หามิได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น อันประเพณีเมืองเสฉวนปราบปรามข้าศึกซึ่งเป็นเสี้ยนหนามนั้นต้องถือเอาความสุจริตเป็นเบื้องหน้า”

            โจโฉได้ฟังคำเตียวสงดังนั้นก็รู้ทันว่าเตียวสงด่าปรามาสว่าโจโฉซ่องสุมฝึกปรือทหารประพฤติตนเป็นอันธพาลของแผ่นดิน มิได้ยึดถือความสัตย์สุจริตในการบริหารราชการแผ่นดินก็โกรธเตียวสงเป็นอันมาก

            โจโฉจึงตวาดเตียวสงว่า “ในขอบขัณฑสีมานี้เราเล็งดูมิได้เห็นผู้ใดที่จะมีทหารเหมือนเรา บรรดาบ้านเมืองทั้งปวงซึ่งขัดแข็งมิได้คำนับต่อเรานั้นจะอุปมาเหมือนหย่อมหญ้า ถ้าจะยกทหารไปแห่งใดก็จะเหยียบเสียเป็นผงคลี ผู้ใดมิอาจต่อด้วยทหารเราได้ แม้จะตีเมืองไหนก็ได้เมืองนั้น ท่านรู้หรือไม่”

            เตียวสงคุมความขุ่นแค้นอยู่เต็มอก ได้ยินคำโจโฉตวาดเป็นเชิงข่มขู่โอ้อวดข่มท่านดังนั้นจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า กล่าวคำสวนโจโฉด้วยน้ำเสียงเยาะหยันว่า “ซึ่งมหาอุปราชยกกองทัพไปปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวง ไปทิศไหนชนะทิศนั้นเขาเลื่องลือเอิกเกริกทั้งแผ่นดินว่าท่านมีวิชาชำนาญศึกนัก เมื่อครั้งเมืองปักเอี้ยงรบกับลิโป้ เมืองอ้วนเซียรบกับเตียวสิ้ว เมืองกังตั๋งรบกับจิวยี่ ตำบลฮัวหยงพบกับกวนอู แล้วตัดหนวดถอดเกราะเสียที่ด่านตงก๋วนนั้นก็ครั้งหนึ่งเป็นสี่ครั้งด้วยกัน ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ว่าหาใครสู้ได้ไม่”

            โจโฉกำลังโอ้อวดด้วยความทรนงเพื่อจะข่มเตียวสงให้จมอยู่แทบเท้า แต่เตียวสงกลับประชดประชันเย้ยหยันยกเอาการศึกสงครามที่โจโฉปราชัยครั้งใหญ่ถึงสี่ครั้งซึ่งได้สร้างความอัปยศอดสูให้แก่โจโฉอยู่ตลอดทุกเวลาลมหายใจขึ้นมาตอบโต้ จึงทำให้ความรู้สึกภาคภูมิใจและทรนงองอาจของโจโฉพังทะลายลงอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นความโกรธแค้นแสนสาหัส ซึ่งไม่เคยบังเกิดแก่โจโฉมาแต่ก่อน

            แต่ความโกรธนั้นก็ไม่สามารถหักล้างเหตุผลของเตียวสงได้ โจโฉไม่รู้ที่จะทำประการใดจึงได้แต่ด่าเตียวสงว่า “อ้ายหาชาติไม่ มันมาเจรจาลำเลิกกูฉะนี้ หาความยำเกรงมิได้” ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งให้ทหารจับตัวเตียวสงเอาไปประหารชีวิต

            เอียวสิ้วเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเข้าไปคุกเข่าคำนับโจโฉแล้วว่าซึ่งท่านจะสั่งประหารชีวิตเตียวสงนั้นไม่สมควร แลเตียวสงนี้เป็นทูตมาแต่เมืองไกล หากท่านสั่งประหารเสียแล้วก็จะเป็นที่ครหานินทาแก่คนทั้งปวง สืบไปเมื่อหน้าก็จะไม่มีทูตต่างเมืองผู้ใดกล้าเดินทางมาเมืองหลวง จะทำให้เสื่อมบารมีและเกียรติศักดิ์ของท่านไป ขอได้พิจารณาจงควรเถิด

            โจโฉแม้ยามนี้จะมากด้วยโทสะแต่ครั้นได้ฟังคำเอียวสิ้วแสดงเหตุผลเกี่ยวกับเกียรติศักดิ์และบารมีที่มีผลกระทบต่อการใหญ่ในวันหน้าก็ได้สติยั้งคิด จึงผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วยกับข้อเสนอของเอียวสิ้ว แล้วโบกมือเป็นทีให้ทหารซึ่งควบคุมตัวเตียวสงจะเอาไปประหารให้รั้งรออยู่ก่อน

            โจโฉแม้คิดถึงผลทางการเมืองในเบื้องหน้าแต่ความโกรธยังประดังอยู่ในอก ดังนั้นแม้จำใจต้องยกเว้นโทษตายให้แก่เตียวสงแต่เพลิงโทสะในใจก็ยังบันดาลให้คิดทำการให้เตียวสงได้รับความอัปยศอดสูบ้าง โจโฉจึงสั่งให้ยกเลิกโทษประหารให้ปล่อยตัวเตียวสง แต่ให้ทหารเอาไม้ตะบองไล่ตีเตียวสงไปจนกว่าจะพ้นประตูเมือง

            ทหารได้รับคำสั่งโจโฉแล้วจึงเอาไม้ตะบองไล่ตีเตียวสงจากลานหน้าเมืองไปจนถึงเรือนพัก รอให้เตียวสงจัดเก็บข้าวของสัมภาระเสร็จแล้วก็ไล่ตีไปตลอดทางจนเตียวสงวิ่งออกนอกประตูเมืองไป

            เตียวสงถูกโจโฉให้ทหารไล่ตามตีเป็นที่อัปยศอดสูนัก เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ คำนึงขึ้นในใจว่าตัวเรานี้สู้อุตส่าห์อาสาเล่าเจี้ยงมาเมืองหลวง แม้การภายนอกจะมาขอกองทัพเมืองหลวงไปช่วยเมืองเสฉวน แต่การภายในนั้นหามีใครรู้เจตนาของเราไม่ว่าต้องการยกเมืองเสฉวนให้แก่ผู้มีบุญญาบารมีได้เป็นที่พึ่งของชาวเมืองเสฉวนสืบไป

            เตียวสงรำพึงต่อไปว่า เสียทีที่โจโฉมีอำนาจวาสนาแต่บ้ายศบ้าอย่าง แทนที่จะต้อนรับขับสู้ตัวเราให้สมเกียรติยศ อาณาประโยชน์ก็จะบังเกิดขึ้นเป็นอันมาก กลับทำร้ายทำลายร่างกายและจิตใจเราถึงปานนี้ ตัวเราอาสาเล่าเจี้ยงมาก็เป็นการใหญ่ ไม่สำเร็จดังปรารถนากลับเสียหน้าได้อัปยศดังนี้ แม้นกลับไปเมืองเสฉวนก็จะถูกขุนนางข้าราชการหัวเราะเยาะหยันให้เป็นที่อัปยศซ้ำอีก กระนั้นเลยเราควรที่จะแวะเวียนไปหาเล่าปี่ฟังแยบคายดูสักครั้งหนึ่ง หากเล่าปี่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีมีสติปัญญา เป็นที่พึ่งพาแก่คนทั้งปวงได้แล้วก็จะได้พึ่งเล่าปี่สืบไป

            เตียวสงรำพึงดังนี้แล้วจึงตัดสินใจว่าในช่วงเดินทางขากลับเมื่อล่วงเข้าแดนเกงจิ๋วแล้ว จะทำทีแวะไปเยี่ยมเยียนเล่าปี่เพื่อสนทนาฟังความคิดเห็นเล่าปี่สักครั้งหนึ่งก่อน

            ความอันเตียวสงเป็นไปในเมืองฮูโต๋นั้นอยู่ในการติดตามของหน่วยสอดแนมซึ่งขงเบ้งใช้มาทุกประการ ดังนั้นพอเตียวสงเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวง หน่วยสอดแนมจึงรีบรายงานข่าวเข้าไปที่เมืองเกงจิ๋ว.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘