ตอนที่ 338. ใช้คนต้องดูหน้า
เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนใช้ให้เตียวสงเป็นทูตถือหนังสือและนำเครื่องบรรณาการไปเมืองหลวงเพื่อขอให้โจโฉยกกองทัพไปช่วยตีเมืองฮันต๋ง ดึงกองทัพของเตียวล่อไว้ไม่ให้ยกไปตีเมืองเสฉวนได้ แต่แทนที่ทูตเมืองเสฉวนจะทำการได้ผลดังปรารถนา กลับส่อเค้าที่ก่อเป็นวิวาทบาดหมางจนการของเมืองเสฉวนต้องเสียไป
การทั้งนี้เป็นเพราะเล่าเจี้ยงไม่ปฏิบัติตามโลกนิติ ซึ่งโบราณว่าไว้ว่าใช้คนต้องดูหน้า ซื้อผ้าต้องดูเนื้อ อันมีนัยยะว่าการทั้งปวงนั้นจะต้องคำนึงทั้งสองด้าน คือทั้งด้านที่เป็นรูปแบบและด้านที่เป็นเนื้อหา จะคำนึงแต่ด้านใดด้านหนึ่งนั้นยากที่การจะสำเร็จดังประสงค์ได้ ยิ่งเป็นการใช้คนด้วยแล้วต้องถือเป็นการอันสำคัญ เพราะสรรพสิ่งย่อมยึดกุมและปฏิบัติโดยคน หากพลาดพลั้งเรื่องคน การใหญ่ก็จะพลาดพลั้งเสียหายได้
ในการใช้คนนี้จะคำนึงถึงแต่ความสามารถและสติปัญญาอันเป็นเนื้อหาเพียงด้านเดียวหาได้ไม่ หากต้องคำนึงถึงด้านที่เป็นรูปแบบคือบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทีท่วงทำนอง ซึ่งสอดคล้องแก่ภาระหน้าที่รับผิดชอบนั้นด้วย
อันเตียวสงนั้นแม้เป็นขุนนางผู้มีสติปัญญาและวาจาแหลมคมก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับมีบุคลิกลักษณะที่อัปลักษณ์ เย่อหยิ่งและทรนงตน ชวนหมั่นไส้ ชวนรังเกียจ ดังนั้นคนลักษณะนี้เมื่อแต่งให้เป็นทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี จึงมีแต่ต้องได้รับผลที่ตรงกันข้าม
เตียวสงได้ยินเสียงเอียวสิ้วตวาดก็หันมามองเอียวสิ้ว พอแรกพบสบพักตร์เตียวสงกลับมีน้ำใจไมตรีกับเอียวสิ้ว ทั้ง ๆ ที่ถูกตวาดกลับไม่คิดขุ่นแค้นโกรธเคือง และรู้สึกถูกชะตาต้องกันเป็นพิเศษ เตียวสงคิดว่าเอียวสิ้วผู้นี้มีสติปัญญาเจรจาหลักแหลม ดังนั้นจึงลดท่าทีที่เย่อหยิ่งทะนงตนลง แล้วกล่าวกับเอียวสิ้วว่าตัวท่านนี้มีชื่อแซ่ประการใด และมีตำแหน่งแหล่งที่ประการใด
เอียวสิ้วแม้จะตวาดเตียวสงก็เป็นเพียงการแสดงอำนาจข่มขวัญ ในขณะที่ในใจก็รู้สึกต้องตาถูกใจเตียวสงเพราะนี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่เกิดมาเป็นสมาชิกชมรมคนปากเสียด้วยกัน ดังนั้นเมื่อเอียวสิ้วเห็นเตียวสงมีทีท่าอ่อนน้อมสุภาพเรียบร้อย และไต่ถามโดยดีก็ตอบเตียวสงไปโดยสุภาพอย่างเดียวกันว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเอียวสิ้วเป็นขุนนางฝ่ายการคลังของเมืองหลวง
เอียวสิ้วคิดว่าเตียวสงเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ย่อมมีการสำคัญเป็นแน่แท้ ดังนั้นจึงคิดจะเลียบเคียงไต่ถามความจากเตียวสงให้กระจ่างก่อน ครั้นเจรจาถ้อยทีถ้อยเป็นไมตรีโดยดีดังนั้นแล้วเอียวสิ้วจึงเชิญเตียวสงไปสนทนากันต่อที่บ้าน
เตียวสงก็รับคำเอียวสิ้วแล้วพากันออกจากจวนของโจโฉท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง ครั้นมาถึงบ้านแล้วเอียวสิ้วก็จัดแจงต้อนรับเตียวสงอย่างสมเกียรติ แล้วว่าเมืองเสฉวนกับเมืองหลวงนี้หนทางไกลแลทุรกันดารนัก ท่านสู้อุตส่าห์บากบั่นดั้นด้นมาย่อมนับว่ามีความวิริยะอุตสาหะไม่น้อยเลย
เตียวสงได้ฟังคำชมก็กล่าวถ่อมตนว่าตัวเราเป็นข้าเขา เมื่อเจ้านายใช้สอยถึงต้องตรากตรำลำบากประการใดก็จำเป็นต้องด้นดั้นไปจนกว่าการจะสำเร็จ “เป็นบ่าวท่าน นายใช้แล้วก็จำเป็น ถึงว่าหนทางจะลุยน้ำลุยเพลิงก็จำมา”
เอียวสิ้วจึงถามต่อไปว่า สถานการณ์ทางเมืองเสฉวนในบัดนี้เป็นประการใด
เตียวสงก็ตอบโดยทางมารยาทว่า “อันเมืองเสฉวนนั้นภูมิฐานกว้างขวางสนุกสบาย แต่ก่อนเรียกว่าเมืองเอ๊กจิ๋ว ทิศใต้นั้นมีแม่น้ำกิ๋มกั๋งกั้นอยู่ ฝ่ายทิศเหนือนั้นมีด่านเกียมก๊ก หนทางซึ่งจะไปมาคับขันนัก แลเมืองนั้นมีปริมณฑลได้สามพันเส้น มีระยะบ้านพอไก่ขันได้ยิน ทั้งข้าวปลาอาหารสารพัดจะบริบูรณ์ เป็นที่สนุกสบายยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง”
เตียวสงกล่าวตอบเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศเมืองเสฉวนเฉพาะแต่สองทิศ เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าทางทิศตะวันออกนั้นจรดเมืองฮันต๋งและเมืองหลวง ส่วนด้านตะวันตกจรดสุดชายแดนของประเทศจีน จึงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว ส่วนสภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็ได้สรุปอย่างชัดเจนว่าเมืองเสฉวนเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ รุ่งเรืองมั่งคั่ง มีผู้คนแน่นขนัดและมีอาณาเขตกว้างขวาง
เอียวสิ้วได้ฟังดังนั้นจึงถามต่อไปว่า อันภูมิฐานบ้านเมืองแลราษฎรตามคำท่านก็แลเห็นได้ว่าเมืองเสฉวนนี้มั่งคั่งพรั่งพร้อมอัครฐานนัก แต่ส่วนการปกครองแลขุนนางผู้มีสติปัญญานั้นเป็นประการใดเล่า
เตียวสงเห็นเอียวสิ้วถามลึกเข้ามาถึงความเมืองก็โอ่ว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีขุนนางแม่ทัพนายกองซึ่งมีสติปัญญากล้าแข็งเป็นอันมาก นับจำนวนไม่ถ้วนดอก จึงไม่รู้ที่จะพรรณนาประการใด
เอียวสิ้วจึงถามขยั้นในเชิงชมเตียวสงต่อไปว่า “ขุนนางที่มีสติปัญญาเหมือนท่านว่าฉะนี้มีสักกี่คน”
เตียวสงจึงโอ่สืบต่อไปว่า “ขุนนางที่มีสติปัญญาพิสดารกว้างขวางแลกอปรไปด้วยความสัตย์ซื่อมั่นคงที่ดีมีฝีมือนั้นประมาณสักร้อยหนึ่ง แต่ที่ปัญญาเป็นประมาณเหมือนข้าพเจ้านี้แม้จะเอาเกวียนไปบรรทุกก็มิสิ้น”
เอียวสิ้วได้ฟังเตียวสงโอ่ดังนั้นก็ทำทีตื่นตะลึง และถามล้วงความต่อไปว่าตัวท่านนี้ดำรงตำแหน่งสูงต่ำประการใด
เตียวสงจึงกล่าวถ่อมตนในทีแต่โอ่ให้กับเมืองเสฉวนว่าตัวข้าพเจ้านี้เป็นแต่ที่ปรึกษาชั้นผู้น้อย มิได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แต่ประการใด กล่าวดังนั้นแล้วเตียวสงจึงถามเอียวสิ้วบ้างว่า แล้วตัวท่านเล่ามีฐานะตำแหน่งสูงต่ำประการใด
เอียวสิ้วก็กล่าวในเชิงชั้นอย่างเดียวกับเตียวสงว่า “ตัวเรานี้เป็นขุนนางสำหรับถือบัญชีสิ่งของมหาอุปราช ได้ตรวจตราขาดเหลือทั้งปวง”
ความอันเอียวสิ้วโต้ตอบกับเตียวสงดังกล่าวนั้น ด้านหนึ่งเป็นการถ่อมตนว่ามีตำแหน่งเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยแบบเดียวกับเตียวสง แต่อีกด้านหนึ่งก็คือการโอ้อวดว่าขนาดเมืองหลวงมีขุนนางชั้นผู้น้อยที่รู้เชิงชั้นตอบถ้อยเจรจาดังนี้ ขุนนางผู้ใหญ่อีกจำนวนมากจะมีสติปัญญาหลักแหลมขนาดไหน ซึ่งก็คือการข่มขวัญเตียวสงอยู่ในทีนั่นเอง ทั้งๆ ที่ความจริงตำแหน่งของเอียวสิ้วคือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสังกัดฝ่ายการคลังของอัครมหาเสนาบดี รับผิดชอบงานพลาธิการของส่วนราชการในบังคับของโจโฉทั้งหมด
เตียวสงฟังคำเอียวสิ้วถ่อมตนดังนั้นก็รู้ทีจึงผสมโรงเป็นเชิงประชดโจโฉว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือชื่อเสียงท่านอยู่ว่ามีสติปัญญา เหตุไฉนท่านมาเป็นขุนนางนอกตำแหน่งอยู่ในมหาอุปราชเล่า ถ้าจะอุตส่าห์ทำราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ได้เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ จะได้ช่วยทำนุบำรุงเจ้าแผ่นดิน จะมิดีหรือ”
เอียวสิ้วแม้ได้ฟังคำเตียวสงกล่าวความเป็นเชิงยอกย้อนแต่ความที่เป็นนักวิชาการยังสำนึกผิดชอบชั่วดี รู้ดีว่าตำแหน่งแหล่งที่ที่โจโฉมอบให้นั้นยังคงเป็นเพียงข้าราชการในกรมกองของโจโฉโดยเฉพาะ หาใช่ขุนนางในทำเนียบตำแหน่งของราชสำนักแต่ประการใดไม่ แต่วิสัยนักวิชาการที่คิดแต่จะรักษาหน้าตัวเองก็ได้ยกเหตุผลชี้แจงเตียวสงว่า “ถึงตัวข้าพเจ้าอยู่ในมหาอุปราชนี้เป็นขุนนางนอกตำแหน่งก็จริง คนทั้งปวงก็ยำเกรงนับถือเหมือนกัน ด้วยมหาอุปราชเป็นที่วางใจมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงให้ว่ากล่าว แล้วก็มีความเอ็นดูกรุณามาก สั่งสอนกิจการทั้งปวงเป็นนิจ คุณของมหาอุปราชหาที่สุดมิได้ เราจึงภักดีอยู่ด้วย”
เตียวสงขุ่นใจโจโฉติดอยู่ไม่สร่างคลาย พอได้ยินเอียวสิ้วยกย่องสรรเสริญโจโฉดังนั้นก็เอามือป้องปาก หัวเราะแล้วว่า ท่านมานับถือโจโฉว่ามิต่างด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นมิชอบ โจโฉมีตำแหน่งสูงมีอำนาจมากก็จริงอยู่ แต่สติปัญญานั้นเป็นแต่ประมาณ การสิ่งใดก็รู้แต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ หารู้กระจ่างแจ้งสักสิ่งเดียวไม่ แม้ศิลปะวิทยาการทั้งด้านอักษรศาสตร์ การทหาร การปกครอง หรือพิชัยสงคราม ก็รู้แต่งู ๆ ปลา ๆ จะเอาความรู้ที่ไหนมาสอนสั่งท่านได้เล่า ท่านมาหลงนับถือคนไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาดังนี้มิเสียทีที่เกิดมาดอกหรือ
เอียวสิ้วได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าท่านเป็นชาวเมืองไกล จึงมิได้รู้ถึงภูมิปัญญาวิทยาคุณของท่านอัครมหาเสนาบดีจึงสำคัญผิดกล่าวปรามาสดังนี้ อันท่านอัครมหาเสนาบดี-โจโฉนี้เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาของแผ่นดิน สรรพศาสตร์ สรรพสิ่งก็รู้แจ้งเชี่ยวชาญสิ้น ในส่วนของการทหารแลพิชัยสงครามนั้นเล่าก็เชี่ยวชาญเชิงชั้นจนสามารถแต่งเป็นตำราพิชัยสงครามได้
เอียวสิ้วกล่าวสรรเสริญโจโฉไม่ทันขาดคำเตียวสงก็ทนฟังต่อไปไม่ได้จึงกล่าวสวนมาว่า ซึ่งท่านว่าโจโฉเชี่ยวชาญการพิชัยสงครามจนสามารถแต่งเป็นตำราได้นั้นข้าพเจ้าไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน
เอียวสิ้วจึงว่าโจโฉได้แต่งตำราพิชัยสงครามขึ้นเล่มหนึ่ง เพิ่งจารบันทึกเสร็จใหม่ๆ มีชื่อว่าบังเต๊ก หรือคัมภีร์พิชัยสงครามของโจโฉ ว่าแล้วเอียวสิ้วจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง หน้าปกเขียนชื่อว่าคัมภีร์พิชัยสงครามของโจโฉส่งให้เตียวสงดู
เตียวสงรับหนังสือชื่อบังเต๊กมาอ่านดูทุกหน้าแล้วก็ปิดหนังสือนั้น แล้วว่านี่หรือซึ่งท่านว่าเป็นตำราพิชัยสงครามที่โจโฉเป็นผู้แต่งเป็นที่พิสดาร ว่าแล้วเตียวสงก็หัวเราะเยาะแล้วว่าหนังสือนี้มีอยู่สิบสามบท ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพียงการลอกกากตำราของคนอื่นมาเขียนเท่านั้น
เอียวสิ้วได้ฟังก็ประหลาดใจและรู้สึกไม่พอใจที่เตียวสงกล่าวความปรามาสดังนั้น จึงว่าซึ่งท่านว่าปรามาสดังนี้ไม่ควรเพราะตำราพิชัยสงครามเล่มนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้แต่งขึ้นด้วยตนเอง หวังจะให้เป็นตำราทางการทหารให้ทั่วทั้งกองทัพได้ศึกษาเป็นแบบอย่างธรรมเนียมสืบไปในภายหน้า ไฉนท่านจึงกล่าวว่าเป็นการลอกกากตำราผู้อื่นเล่า
เตียวสงหัวเราะร่วนแล้วกล่าวสืบไปว่า หนังสือนี้โจโฉหลอกได้ก็แต่ชาวเมืองหลวงเท่านั้นว่าเก่งกล้าสามารถแต่งตำราพิชัยสงครามได้ แต่หาหลอกชาวเมืองเสฉวนได้ไม่ เพราะหนังสือเล่มนี้ลูกเด็กเล็กแดงและชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงล้วนรู้จักและท่องจำได้แทบทุกคน เป็นตำราโบราณที่มีมานานแล้ว ไฉนท่านจึงตู่ว่าโจโฉเป็นผู้แต่งด้วยตนเองเล่า
เอียวสิ้วได้ฟังคำเตียวสงยืนยันซ้ำดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ แต่มั่นใจว่าหนังสือพิชัยสงครามชื่อบังเต๊กนี้โจโฉเป็นผู้แต่งขึ้นเอง จึงยืนยันกับเตียวสงว่า “หนังสือนี้มหาอุปราชคิดแต่งไว้ เพื่อจะให้ปรากฏไปตราบเท่าสิ้นแผ่นดิน คนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ เหตุใดท่านจึงว่าสำหรับเด็กอ่านเล่น แสร้งเอาความมิจริงมาว่ากล่าวประมาทมหาอุปราชฉะนี้มิควร”
เตียวสงได้ฟังดังนั้นจึงว่าหากมาตรแม้นท่านไม่เชื่อฟังคำข้าพเจ้าก็จงปิดหนังสือเล่มนี้เสียเถิด ข้าพเจ้าจะท่องให้ท่านฟังเล่นเป็นขวัญตา จะได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าหนังสือนี้โจโฉเพียงแต่ลอกตำราโบราณแล้วลวงคนทั้งปวงให้หลงเชื่อเท่านั้น
ในขณะที่เอียวสิ้วตกตะลึงอยู่นั้นเตียวสงก็ได้ท่องสาธยายความตามคัมภีร์พิชัยสงครามทั้งสิบสามบทอันมีระบุไว้ในหนังสือชื่อบังเต๊กนั้นอย่างแคล่วคล่องว่องไวตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้ายโดยมิได้ผิดเพี้ยน
ครั้นพอท่องความตามคัมภีร์พิชัยสงครามนั้นจบลง เตียวสงจึงย้อนถามเอียวสิ้วว่าท่านได้เห็นด้วยตัวเองแล้วมิใช่หรือว่าเป็นความจริงดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมานี้ ความทั้งปวงที่ปรากฏในคัมภีร์บังเต๊กเล่มนี้หาใช่ของแต่งขึ้นใหม่แต่ประการใดไม่ หากเป็นของเก่าแต่โบราณที่ผู้คนทั้งปวงในเมืองเสฉวนล้วนรู้ดีและท่องได้ทุกคน ท่านอย่าได้กล่าวสืบไป และว่าโจโฉแต่งคัมภีร์พิชัยสงครามเล่มนี้จะเป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวง
เอียวสิ้วมีความเชื่อมั่นว่าคัมภีร์พิชัยสงครามบังเต๊กเป็นหนังสือซึ่งโจโฉแต่งขึ้นด้วยตนเอง จึงคิดว่าการที่เตียวสงสามารถท่องความตามหนังสือชื่อบังเต๊กได้โดยไม่ผิดเพี้ยนนั้นเป็นเพราะเตียวสงมีสติปัญญาและความจำเป็นเลิศ จึงสามารถจำความตามคัมภีร์นั้นได้ แม้ว่าจะผ่านสายตาเพียงครั้งเดียว
เอียวสิ้วสำคัญดังนั้นจึงกล่าวชมเชยเตียวสงว่าตัวท่านนี้มีสติปัญญาและความจำล้ำเลิศหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ว่าแล้วเอียวสิ้วก็หัวเราะเป็นทีว่ารู้ทันเตียวสง
เตียวสงเห็นดังนั้นก็คิดว่าได้สนทนากับเอียวสิ้วมาก็ช้านานแต่หาการสิ่งใดเป็นมรรคผลก็มิได้ จึงว่าข้าพเจ้าสนทนากับท่านก็เป็นเวลาสมควรแล้ว บัดนี้สิ้นธุระแล้วข้าพเจ้าขอคำนับลาท่านกลับไปก่อน.
การทั้งนี้เป็นเพราะเล่าเจี้ยงไม่ปฏิบัติตามโลกนิติ ซึ่งโบราณว่าไว้ว่าใช้คนต้องดูหน้า ซื้อผ้าต้องดูเนื้อ อันมีนัยยะว่าการทั้งปวงนั้นจะต้องคำนึงทั้งสองด้าน คือทั้งด้านที่เป็นรูปแบบและด้านที่เป็นเนื้อหา จะคำนึงแต่ด้านใดด้านหนึ่งนั้นยากที่การจะสำเร็จดังประสงค์ได้ ยิ่งเป็นการใช้คนด้วยแล้วต้องถือเป็นการอันสำคัญ เพราะสรรพสิ่งย่อมยึดกุมและปฏิบัติโดยคน หากพลาดพลั้งเรื่องคน การใหญ่ก็จะพลาดพลั้งเสียหายได้
ในการใช้คนนี้จะคำนึงถึงแต่ความสามารถและสติปัญญาอันเป็นเนื้อหาเพียงด้านเดียวหาได้ไม่ หากต้องคำนึงถึงด้านที่เป็นรูปแบบคือบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทีท่วงทำนอง ซึ่งสอดคล้องแก่ภาระหน้าที่รับผิดชอบนั้นด้วย
อันเตียวสงนั้นแม้เป็นขุนนางผู้มีสติปัญญาและวาจาแหลมคมก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับมีบุคลิกลักษณะที่อัปลักษณ์ เย่อหยิ่งและทรนงตน ชวนหมั่นไส้ ชวนรังเกียจ ดังนั้นคนลักษณะนี้เมื่อแต่งให้เป็นทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี จึงมีแต่ต้องได้รับผลที่ตรงกันข้าม
เตียวสงได้ยินเสียงเอียวสิ้วตวาดก็หันมามองเอียวสิ้ว พอแรกพบสบพักตร์เตียวสงกลับมีน้ำใจไมตรีกับเอียวสิ้ว ทั้ง ๆ ที่ถูกตวาดกลับไม่คิดขุ่นแค้นโกรธเคือง และรู้สึกถูกชะตาต้องกันเป็นพิเศษ เตียวสงคิดว่าเอียวสิ้วผู้นี้มีสติปัญญาเจรจาหลักแหลม ดังนั้นจึงลดท่าทีที่เย่อหยิ่งทะนงตนลง แล้วกล่าวกับเอียวสิ้วว่าตัวท่านนี้มีชื่อแซ่ประการใด และมีตำแหน่งแหล่งที่ประการใด
เอียวสิ้วแม้จะตวาดเตียวสงก็เป็นเพียงการแสดงอำนาจข่มขวัญ ในขณะที่ในใจก็รู้สึกต้องตาถูกใจเตียวสงเพราะนี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่เกิดมาเป็นสมาชิกชมรมคนปากเสียด้วยกัน ดังนั้นเมื่อเอียวสิ้วเห็นเตียวสงมีทีท่าอ่อนน้อมสุภาพเรียบร้อย และไต่ถามโดยดีก็ตอบเตียวสงไปโดยสุภาพอย่างเดียวกันว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเอียวสิ้วเป็นขุนนางฝ่ายการคลังของเมืองหลวง
เอียวสิ้วคิดว่าเตียวสงเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ย่อมมีการสำคัญเป็นแน่แท้ ดังนั้นจึงคิดจะเลียบเคียงไต่ถามความจากเตียวสงให้กระจ่างก่อน ครั้นเจรจาถ้อยทีถ้อยเป็นไมตรีโดยดีดังนั้นแล้วเอียวสิ้วจึงเชิญเตียวสงไปสนทนากันต่อที่บ้าน
เตียวสงก็รับคำเอียวสิ้วแล้วพากันออกจากจวนของโจโฉท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง ครั้นมาถึงบ้านแล้วเอียวสิ้วก็จัดแจงต้อนรับเตียวสงอย่างสมเกียรติ แล้วว่าเมืองเสฉวนกับเมืองหลวงนี้หนทางไกลแลทุรกันดารนัก ท่านสู้อุตส่าห์บากบั่นดั้นด้นมาย่อมนับว่ามีความวิริยะอุตสาหะไม่น้อยเลย
เตียวสงได้ฟังคำชมก็กล่าวถ่อมตนว่าตัวเราเป็นข้าเขา เมื่อเจ้านายใช้สอยถึงต้องตรากตรำลำบากประการใดก็จำเป็นต้องด้นดั้นไปจนกว่าการจะสำเร็จ “เป็นบ่าวท่าน นายใช้แล้วก็จำเป็น ถึงว่าหนทางจะลุยน้ำลุยเพลิงก็จำมา”
เอียวสิ้วจึงถามต่อไปว่า สถานการณ์ทางเมืองเสฉวนในบัดนี้เป็นประการใด
เตียวสงก็ตอบโดยทางมารยาทว่า “อันเมืองเสฉวนนั้นภูมิฐานกว้างขวางสนุกสบาย แต่ก่อนเรียกว่าเมืองเอ๊กจิ๋ว ทิศใต้นั้นมีแม่น้ำกิ๋มกั๋งกั้นอยู่ ฝ่ายทิศเหนือนั้นมีด่านเกียมก๊ก หนทางซึ่งจะไปมาคับขันนัก แลเมืองนั้นมีปริมณฑลได้สามพันเส้น มีระยะบ้านพอไก่ขันได้ยิน ทั้งข้าวปลาอาหารสารพัดจะบริบูรณ์ เป็นที่สนุกสบายยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง”
เตียวสงกล่าวตอบเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศเมืองเสฉวนเฉพาะแต่สองทิศ เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าทางทิศตะวันออกนั้นจรดเมืองฮันต๋งและเมืองหลวง ส่วนด้านตะวันตกจรดสุดชายแดนของประเทศจีน จึงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว ส่วนสภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็ได้สรุปอย่างชัดเจนว่าเมืองเสฉวนเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ รุ่งเรืองมั่งคั่ง มีผู้คนแน่นขนัดและมีอาณาเขตกว้างขวาง
เอียวสิ้วได้ฟังดังนั้นจึงถามต่อไปว่า อันภูมิฐานบ้านเมืองแลราษฎรตามคำท่านก็แลเห็นได้ว่าเมืองเสฉวนนี้มั่งคั่งพรั่งพร้อมอัครฐานนัก แต่ส่วนการปกครองแลขุนนางผู้มีสติปัญญานั้นเป็นประการใดเล่า
เตียวสงเห็นเอียวสิ้วถามลึกเข้ามาถึงความเมืองก็โอ่ว่าอันเมืองเสฉวนนี้มีขุนนางแม่ทัพนายกองซึ่งมีสติปัญญากล้าแข็งเป็นอันมาก นับจำนวนไม่ถ้วนดอก จึงไม่รู้ที่จะพรรณนาประการใด
เอียวสิ้วจึงถามขยั้นในเชิงชมเตียวสงต่อไปว่า “ขุนนางที่มีสติปัญญาเหมือนท่านว่าฉะนี้มีสักกี่คน”
เตียวสงจึงโอ่สืบต่อไปว่า “ขุนนางที่มีสติปัญญาพิสดารกว้างขวางแลกอปรไปด้วยความสัตย์ซื่อมั่นคงที่ดีมีฝีมือนั้นประมาณสักร้อยหนึ่ง แต่ที่ปัญญาเป็นประมาณเหมือนข้าพเจ้านี้แม้จะเอาเกวียนไปบรรทุกก็มิสิ้น”
เอียวสิ้วได้ฟังเตียวสงโอ่ดังนั้นก็ทำทีตื่นตะลึง และถามล้วงความต่อไปว่าตัวท่านนี้ดำรงตำแหน่งสูงต่ำประการใด
เตียวสงจึงกล่าวถ่อมตนในทีแต่โอ่ให้กับเมืองเสฉวนว่าตัวข้าพเจ้านี้เป็นแต่ที่ปรึกษาชั้นผู้น้อย มิได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แต่ประการใด กล่าวดังนั้นแล้วเตียวสงจึงถามเอียวสิ้วบ้างว่า แล้วตัวท่านเล่ามีฐานะตำแหน่งสูงต่ำประการใด
เอียวสิ้วก็กล่าวในเชิงชั้นอย่างเดียวกับเตียวสงว่า “ตัวเรานี้เป็นขุนนางสำหรับถือบัญชีสิ่งของมหาอุปราช ได้ตรวจตราขาดเหลือทั้งปวง”
ความอันเอียวสิ้วโต้ตอบกับเตียวสงดังกล่าวนั้น ด้านหนึ่งเป็นการถ่อมตนว่ามีตำแหน่งเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยแบบเดียวกับเตียวสง แต่อีกด้านหนึ่งก็คือการโอ้อวดว่าขนาดเมืองหลวงมีขุนนางชั้นผู้น้อยที่รู้เชิงชั้นตอบถ้อยเจรจาดังนี้ ขุนนางผู้ใหญ่อีกจำนวนมากจะมีสติปัญญาหลักแหลมขนาดไหน ซึ่งก็คือการข่มขวัญเตียวสงอยู่ในทีนั่นเอง ทั้งๆ ที่ความจริงตำแหน่งของเอียวสิ้วคือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสังกัดฝ่ายการคลังของอัครมหาเสนาบดี รับผิดชอบงานพลาธิการของส่วนราชการในบังคับของโจโฉทั้งหมด
เตียวสงฟังคำเอียวสิ้วถ่อมตนดังนั้นก็รู้ทีจึงผสมโรงเป็นเชิงประชดโจโฉว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือชื่อเสียงท่านอยู่ว่ามีสติปัญญา เหตุไฉนท่านมาเป็นขุนนางนอกตำแหน่งอยู่ในมหาอุปราชเล่า ถ้าจะอุตส่าห์ทำราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ได้เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ จะได้ช่วยทำนุบำรุงเจ้าแผ่นดิน จะมิดีหรือ”
เอียวสิ้วแม้ได้ฟังคำเตียวสงกล่าวความเป็นเชิงยอกย้อนแต่ความที่เป็นนักวิชาการยังสำนึกผิดชอบชั่วดี รู้ดีว่าตำแหน่งแหล่งที่ที่โจโฉมอบให้นั้นยังคงเป็นเพียงข้าราชการในกรมกองของโจโฉโดยเฉพาะ หาใช่ขุนนางในทำเนียบตำแหน่งของราชสำนักแต่ประการใดไม่ แต่วิสัยนักวิชาการที่คิดแต่จะรักษาหน้าตัวเองก็ได้ยกเหตุผลชี้แจงเตียวสงว่า “ถึงตัวข้าพเจ้าอยู่ในมหาอุปราชนี้เป็นขุนนางนอกตำแหน่งก็จริง คนทั้งปวงก็ยำเกรงนับถือเหมือนกัน ด้วยมหาอุปราชเป็นที่วางใจมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงให้ว่ากล่าว แล้วก็มีความเอ็นดูกรุณามาก สั่งสอนกิจการทั้งปวงเป็นนิจ คุณของมหาอุปราชหาที่สุดมิได้ เราจึงภักดีอยู่ด้วย”
เตียวสงขุ่นใจโจโฉติดอยู่ไม่สร่างคลาย พอได้ยินเอียวสิ้วยกย่องสรรเสริญโจโฉดังนั้นก็เอามือป้องปาก หัวเราะแล้วว่า ท่านมานับถือโจโฉว่ามิต่างด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นมิชอบ โจโฉมีตำแหน่งสูงมีอำนาจมากก็จริงอยู่ แต่สติปัญญานั้นเป็นแต่ประมาณ การสิ่งใดก็รู้แต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ หารู้กระจ่างแจ้งสักสิ่งเดียวไม่ แม้ศิลปะวิทยาการทั้งด้านอักษรศาสตร์ การทหาร การปกครอง หรือพิชัยสงคราม ก็รู้แต่งู ๆ ปลา ๆ จะเอาความรู้ที่ไหนมาสอนสั่งท่านได้เล่า ท่านมาหลงนับถือคนไม่มีความรู้ ไม่มีสติปัญญาดังนี้มิเสียทีที่เกิดมาดอกหรือ
เอียวสิ้วได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่าท่านเป็นชาวเมืองไกล จึงมิได้รู้ถึงภูมิปัญญาวิทยาคุณของท่านอัครมหาเสนาบดีจึงสำคัญผิดกล่าวปรามาสดังนี้ อันท่านอัครมหาเสนาบดี-โจโฉนี้เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาของแผ่นดิน สรรพศาสตร์ สรรพสิ่งก็รู้แจ้งเชี่ยวชาญสิ้น ในส่วนของการทหารแลพิชัยสงครามนั้นเล่าก็เชี่ยวชาญเชิงชั้นจนสามารถแต่งเป็นตำราพิชัยสงครามได้
เอียวสิ้วกล่าวสรรเสริญโจโฉไม่ทันขาดคำเตียวสงก็ทนฟังต่อไปไม่ได้จึงกล่าวสวนมาว่า ซึ่งท่านว่าโจโฉเชี่ยวชาญการพิชัยสงครามจนสามารถแต่งเป็นตำราได้นั้นข้าพเจ้าไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยิน
เอียวสิ้วจึงว่าโจโฉได้แต่งตำราพิชัยสงครามขึ้นเล่มหนึ่ง เพิ่งจารบันทึกเสร็จใหม่ๆ มีชื่อว่าบังเต๊ก หรือคัมภีร์พิชัยสงครามของโจโฉ ว่าแล้วเอียวสิ้วจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง หน้าปกเขียนชื่อว่าคัมภีร์พิชัยสงครามของโจโฉส่งให้เตียวสงดู
เตียวสงรับหนังสือชื่อบังเต๊กมาอ่านดูทุกหน้าแล้วก็ปิดหนังสือนั้น แล้วว่านี่หรือซึ่งท่านว่าเป็นตำราพิชัยสงครามที่โจโฉเป็นผู้แต่งเป็นที่พิสดาร ว่าแล้วเตียวสงก็หัวเราะเยาะแล้วว่าหนังสือนี้มีอยู่สิบสามบท ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพียงการลอกกากตำราของคนอื่นมาเขียนเท่านั้น
เอียวสิ้วได้ฟังก็ประหลาดใจและรู้สึกไม่พอใจที่เตียวสงกล่าวความปรามาสดังนั้น จึงว่าซึ่งท่านว่าปรามาสดังนี้ไม่ควรเพราะตำราพิชัยสงครามเล่มนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้แต่งขึ้นด้วยตนเอง หวังจะให้เป็นตำราทางการทหารให้ทั่วทั้งกองทัพได้ศึกษาเป็นแบบอย่างธรรมเนียมสืบไปในภายหน้า ไฉนท่านจึงกล่าวว่าเป็นการลอกกากตำราผู้อื่นเล่า
เตียวสงหัวเราะร่วนแล้วกล่าวสืบไปว่า หนังสือนี้โจโฉหลอกได้ก็แต่ชาวเมืองหลวงเท่านั้นว่าเก่งกล้าสามารถแต่งตำราพิชัยสงครามได้ แต่หาหลอกชาวเมืองเสฉวนได้ไม่ เพราะหนังสือเล่มนี้ลูกเด็กเล็กแดงและชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงล้วนรู้จักและท่องจำได้แทบทุกคน เป็นตำราโบราณที่มีมานานแล้ว ไฉนท่านจึงตู่ว่าโจโฉเป็นผู้แต่งด้วยตนเองเล่า
เอียวสิ้วได้ฟังคำเตียวสงยืนยันซ้ำดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ แต่มั่นใจว่าหนังสือพิชัยสงครามชื่อบังเต๊กนี้โจโฉเป็นผู้แต่งขึ้นเอง จึงยืนยันกับเตียวสงว่า “หนังสือนี้มหาอุปราชคิดแต่งไว้ เพื่อจะให้ปรากฏไปตราบเท่าสิ้นแผ่นดิน คนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ เหตุใดท่านจึงว่าสำหรับเด็กอ่านเล่น แสร้งเอาความมิจริงมาว่ากล่าวประมาทมหาอุปราชฉะนี้มิควร”
เตียวสงได้ฟังดังนั้นจึงว่าหากมาตรแม้นท่านไม่เชื่อฟังคำข้าพเจ้าก็จงปิดหนังสือเล่มนี้เสียเถิด ข้าพเจ้าจะท่องให้ท่านฟังเล่นเป็นขวัญตา จะได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าหนังสือนี้โจโฉเพียงแต่ลอกตำราโบราณแล้วลวงคนทั้งปวงให้หลงเชื่อเท่านั้น
ในขณะที่เอียวสิ้วตกตะลึงอยู่นั้นเตียวสงก็ได้ท่องสาธยายความตามคัมภีร์พิชัยสงครามทั้งสิบสามบทอันมีระบุไว้ในหนังสือชื่อบังเต๊กนั้นอย่างแคล่วคล่องว่องไวตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้ายโดยมิได้ผิดเพี้ยน
ครั้นพอท่องความตามคัมภีร์พิชัยสงครามนั้นจบลง เตียวสงจึงย้อนถามเอียวสิ้วว่าท่านได้เห็นด้วยตัวเองแล้วมิใช่หรือว่าเป็นความจริงดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมานี้ ความทั้งปวงที่ปรากฏในคัมภีร์บังเต๊กเล่มนี้หาใช่ของแต่งขึ้นใหม่แต่ประการใดไม่ หากเป็นของเก่าแต่โบราณที่ผู้คนทั้งปวงในเมืองเสฉวนล้วนรู้ดีและท่องได้ทุกคน ท่านอย่าได้กล่าวสืบไป และว่าโจโฉแต่งคัมภีร์พิชัยสงครามเล่มนี้จะเป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวง
เอียวสิ้วมีความเชื่อมั่นว่าคัมภีร์พิชัยสงครามบังเต๊กเป็นหนังสือซึ่งโจโฉแต่งขึ้นด้วยตนเอง จึงคิดว่าการที่เตียวสงสามารถท่องความตามหนังสือชื่อบังเต๊กได้โดยไม่ผิดเพี้ยนนั้นเป็นเพราะเตียวสงมีสติปัญญาและความจำเป็นเลิศ จึงสามารถจำความตามคัมภีร์นั้นได้ แม้ว่าจะผ่านสายตาเพียงครั้งเดียว
เอียวสิ้วสำคัญดังนั้นจึงกล่าวชมเชยเตียวสงว่าตัวท่านนี้มีสติปัญญาและความจำล้ำเลิศหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ว่าแล้วเอียวสิ้วก็หัวเราะเป็นทีว่ารู้ทันเตียวสง
เตียวสงเห็นดังนั้นก็คิดว่าได้สนทนากับเอียวสิ้วมาก็ช้านานแต่หาการสิ่งใดเป็นมรรคผลก็มิได้ จึงว่าข้าพเจ้าสนทนากับท่านก็เป็นเวลาสมควรแล้ว บัดนี้สิ้นธุระแล้วข้าพเจ้าขอคำนับลาท่านกลับไปก่อน.