ตอนที่ 337. ชมรมคนปากเสีย

 ผลจากการปราบศึกภาคพายัพได้ราบคาบทำให้ดุลยอำนาจทางการทหารของภาคกลางและภาคตะวันตกเปลี่ยนแปลงไป เตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งได้รับแรงกดดันมากที่สุดจึงคิดขยายกำลังเพื่อเตรียมรับมือกับโจโฉด้วยการเตรียมการยกกองทัพไปตีเอาเมืองเสฉวน ทำให้เล่าเจี้ยงต้องคิดอ่านป้องกันรักษาเมือง ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการทหารขึ้นในภาคตะวันตก

            เล่าเจี้ยงเห็นเตียวสงขุนนางรูปร่างอัปลักษณ์ออกมาอาสาคิดกลอุบายที่จะไม่ให้กองทัพเมืองฮันต๋งยกมารุกรานเมืองเสฉวนก็มีความยินดี จึงถามเตียวสงว่าแผนการความคิดของท่านเป็นประการใด จงว่าให้แจ้งเถิด

            เตียวสงฟังคำอนุญาตของเล่าเจี้ยงแล้วเชิดหน้าอย่างทรนง แล้วว่า “ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าโจโฉนี้เที่ยวปราบปรามขอบขัณฑสีมาให้อยู่ในอำนาจสิ้น ทั้งอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดนั้นก็กำจัดเสียได้ บัดนี้ม้าเฉียวบุตรม้าเท้งเล่าก็แตกโจโฉ โจโฉมีทหารเป็นอันมาก ขอให้ตกแต่งเครื่องบรรณาการไปอ่อนน้อมคำนับโจโฉ ข้าพเจ้าจะอาสาถือหนังสือไปว่ากล่าวให้โจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ถ้าเมืองฮันต๋งเป็นศึกรบติดพันกันอยู่แล้วก็เห็นจะไม่ยกกองทัพมาทำอันตรายแก่เราได้”

            แผนการความคิดของเตียวสงนี้คมสันหลักแหลมกว่ารูปโฉมที่อัปลักษณ์มากมายนัก เพราะแผนการนี้คืออุบายที่มีชื่อว่า “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” ซึ่งเป็นแผนการเดียวกันกับที่ขงเบ้งใช้แก้กลอุบายของโจโฉเมื่อครั้งที่ซุนกวนขอให้เล่าปี่ยกกองทัพไปช่วยเมืองกังตั๋งรบกับโจโฉนั่นเอง

            เล่าเจี้ยงได้ฟังดังนั้นจึงสอบถามที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า จะมีผู้ใดมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีเสียงตอบจากบรรดาสาวกทั้งหลาย ดังนั้น เล่าเจี้ยงจึงตัดสินใจตั้งเตียวสงเป็นทูตเชิญเครื่องบรรณาการและถือหนังสือขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และให้รีบเดินทางไปเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด

            เตียวสงรับหนังสือและเครื่องบรรณาการแล้วคำนับลาเล่าเจี้ยงกลับไปบ้าน ครั้นถึงบ้านก็คิดว่าเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวนเป็นคนโลภ โลเล ไร้สติปัญญา การคิดจะพึ่งพาอาศัยอยู่กับเล่าเจี้ยงมีแต่จะเป็นอันตรายในภายหน้า ไม่เป็นอันตรายด้วยเตียวล่อก็ต้องเป็นอันตรายด้วยโจโฉ แม้ที่สุดก็อาจเป็นอันตรายด้วยโทษทัณฑ์จากเล่าเจี้ยงเอง ทั้งคิดว่าตัวเรารับราชการอยู่กับเล่าเจี้ยงที่เมืองเสฉวนนี้ก็ช้านาน แต่เล่าเจี้ยงหาได้เห็นความดีความชอบปูนบำเหน็จให้ยศถาศักดิ์ตามควรแก่สติปัญญาความสามารถไม่ กระไรเลยหากการเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้เป็นทีแล้ว จะได้สวามิภักดิ์เข้ารับราชการกับโจโฉจะดีกว่า

            เตียวสงคิดดังนี้จึงเขียนแผนที่เมืองเสฉวนและเส้นทางเข้าออกโดยละเอียด คิดว่าหากการเจรจากับโจโฉเป็นผลสำเร็จก็จะมอบแผนที่ทางการทหารนี้ให้ เพื่อจะให้โจโฉทราบหนทางการเดินทัพเข้าตีเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก 

            เตียวสงเขียนแผนที่อย่างละเอียดถี่ถ้วนตลอดทั้งคืนจนใกล้สว่างก็แล้วเสร็จ พอนอนหลับได้งีบหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาจัดแจงแต่งขบวนแล้วยกออกจากเมืองเสฉวนจะไปเมืองฮูโต๋

            แต่การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้หากจะผ่านแดนเมืองฮันต๋งก็เกรงว่าทหารของเตียวล่อจะพบเห็น ดังนั้นเตียวสงจึงเลือกเดินทางอ้อมไปข้างทิศใต้แดนเมืองฮันต๋งซึ่งต้องผ่านเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วแล้ววกขึ้นทางทิศเหนือตามถนนหลวงไปสู่เมืองฮูโต๋

            ฝ่ายขงเบ้งอยู่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ได้ติดตามสถานการณ์ความศึกภาคพายัพอย่างใกล้ชิด ทั้งเตรียมแผนการทางการทหารว่าถ้าหากแม้นโจโฉเสียทีแก่กองทัพเมืองเสเหลียง ดุลยกำลังอำนาจทางทหารของเมืองหลวงและภาคกลางก็จะอ่อนแอลง เล่าปี่ก็จะสิ้นที่กังวลภัยสงครามจากโจโฉ แล้วจะได้คิดอ่านยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก

            แต่ถ้าหากกองทัพเมืองเสเหลียงเสียทีแก่โจโฉ ภาคกลางและภาคพายัพรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว เตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น นอกจากต้องคิดอ่านยกกองทัพไปยึดเมืองเสฉวนเพื่อขยายฐานกำลังอำนาจให้เติบใหญ่เข้มแข็งเพียงพอต่อการรับมือของโจโฉ และเมื่อนั้นเล่าเจี้ยงก็จะต้องหาพันธมิตรเข้าช่วยเหลือ โอกาสก็จะเปิดช่องแก่เล่าปี่ที่จะยกเข้าเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก

            ขงเบ้งประเมินสถานการณ์สงครามดังนี้จึงแต่งหน่วยสอดแนมเข้าสู่ภาคตะวันตก โดยเฉพาะในเมืองเสฉวนเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวทั้งทางการเมืองและการทหารอย่างใกล้ชิด

            ครั้นเมืองเสฉวนแต่งเตียวสงเป็นทูตไปเมืองหลวงขงเบ้งก็ได้ทราบความ จึงกำชับให้หน่วยสอดแนมที่รับผิดชอบภาคกลางและเมืองฮูโต๋ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด แล้วรีบรายงานผลให้ทราบในทันที

            พอขบวนของเตียวสงเข้าเขตแดนเมืองเกงจิ๋วขงเบ้งก็ได้รับทราบรายงาน จึงแอบสั่งการให้ทหารลาดตระเวนทำทีเป็นไม่รู้เห็น เปิดทางสะดวกให้แก่ขบวนของเตียวสง ดังนั้นขบวนของเตียวสงจึงเดินทางผ่านเส้นทางแดนเมืองเกงจิ๋วได้โดยสะดวกและราบรื่น

            ครั้นขบวนของเตียวสงไปถึงเมืองฮูโต๋จึงไปขอพบโจโฉที่จวน แต่นายประตูไม่ให้พบอ้างว่าโจโฉพักผ่อน ไม่ได้ออกว่าราชการ เตียวสงจึงต้องไปหาที่พักแรมตามโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงนั้น และรู้สึกน้อยใจที่ทางเมืองหลวงไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้การต้อนรับ ปล่อยปละให้คณะทูตต้องหาที่พักที่กินตามยถากรรม ความรู้สึกขุ่นใจต่อการบริหารราชการในเมืองหลวงจึงบังเกิดแก่เตียวสงตั้งแต่เวลานั้น

            เตียวสงได้เพียรพยายามมาขอพบโจโฉถึงสามวันสามครั้งแต่โจโฉยังคงไม่ออกว่าราชการ และนายประตูก็ไม่ยอมให้เข้าพบ เตียวสงไม่มีทางอื่นเลือกจึงทำหนังสือจ้างวานให้คนลอบเข้าไปมอบแก่ทหารรักษาการณ์ประจำจวนของโจโฉ และให้นำหนังสือขอเข้าพบไปมอบแก่โจโฉให้จงได้

            โจโฉครั้นทราบความว่าเตียวสงมาแต่เมืองเสฉวนจึงสั่งให้ทหารไปเชิญเตียวสงเข้ามาพบ เตียวสงเข้ามาถึงจวนของโจโฉแล้วได้คำนับตามธรรมเนียม และส่งหนังสือพร้อมเครื่องบรรณาการทั้งปวงให้แก่โจโฉ

            โจโฉพอแรกเห็นหน้าเตียวสงก็รู้สึกหมั่นไส้ชิงชังเพราะเห็นรูปร่างเตียวสงอัปลักษณ์และมีลักษณะทรนง ไม่เคารพนบนอบหมอบคลานเหมือนกับขุนนางข้าราชการทั้งปวง ศรศิลป์จึงไม่กินกันตั้งแต่เวลานั้น เหตุนี้ความรู้สึกของเตียวสงและโจโฉจึงเหมือนกันคือต่างขุ่นมัวและไม่พอใจกันและกันตั้งแต่ครั้งแรกพบ

            โจโฉไม่รับคำนับเตียวสง แต่รับหนังสือและของบรรณาการตามธรรมเนียม ครั้นโจโฉได้อ่านหนังสือของเล่าเจี้ยงก็ทราบความว่าเล่าเจี้ยงขออ่อนน้อมยอมมอบเครื่องบรรณาการก็เพราะเกรงภัยจากเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋ง จึงขอให้กองทัพเมืองหลวงยกไปช่วย ด้วยน้ำใจที่ขุ่นมัวชิงชังโจโฉจึงคิดไปว่าเล่าเจี้ยงแต่งของบรรณาการค่าเพียงเท่านี้มาเป็นสินบน ยืมมือเราไปรั้งกองทัพเมืองฮันต๋งไว้หาต้องการไม่ ปล่อยให้เมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนสู้รบกันให้แหลกราญไปข้างหนึ่งหรือสองข้างแล้วค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลังจะได้ประโยชน์ยิ่งกว่า

            โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงมีสีหน้าฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วถามเตียวสงว่า “เล่าเจี้ยงนายท่านนั้นหลายปีแล้วมิได้ส่งเครื่องบรรณาการมาคำนับตามประเพณีด้วยเหตุอันใด”

            เตียวสงฟังน้ำเสียงของโจโฉแสดงความไม่พอใจก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจตอบสนอง จึงตอบโจโฉด้วยถ้อยคำอันยอกย้อนว่า “เมืองเสฉวนเป็นทางไกลกันดาร ยากที่จะไปมานัก อนึ่งหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นเสี้ยนหนาม ยังมิราบคาบเป็นปรกติ กลัวโจรผู้ร้ายจะคุมกันเข้าช่วงชิงสิ่งของบรรณาการในกลางทาง จึงมิได้มา”

            เนื้อความอันเตียวสงกล่าวยอกย้อนประหนึ่งเป็นพวกเจ้าถ้อยหมอความครั้งนี้มีความหมายซ่อนเร้นว่าโจโฉเป็นอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ปกป้องขอบขัณฑสีมาให้ร่มเย็นเป็นสุข เมื่อบ้านเมืองเป็นสุขปราศจากโจรผู้ร้ายแล้ว หัวเมืองทั้งปวงจึงมีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการตามประเพณี แต่โจโฉไม่สามารถสร้างความร่มเย็นเป็นสุขได้ แผ่นดินเดือดร้อนเต็มไปด้วยภัยสงคราม ทั้งโจรผู้ร้ายก็ชุกชุม นี่หรือจะมีหน้ามาเรียกหาเครื่องบรรณาการอีกเล่า

            ถ้อยคำอันยอกย้อนซ่อนเงื่อนของเตียวสงดังกล่าวไม่อาจข้ามความคิดของโจโฉไปได้ โจโฉพอฟังสิ้นคำก็แจ้งในความหมายของเตียวสงก็โกรธ เห็นว่าเตียวสงกล่าวถ้อยคำทั้งนี้เป็นการหมิ่นประมาทอัครมหาเสนบดีแห่งราชสำนักฮั่นอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่มีใครผู้ใดหาญกล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ โจโฉจึงตวาดเตียวสงด้วยเสียงอันดังว่า “กูเที่ยวปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงราบคาบเป็นผาสุขแล้ว โจรที่ไหนยังมีอยู่อีกเล่า”

            เตียวสงเป็นคนจำพวกเจ้าถ้อยร้อยคำและคงเป็นผู้คนในชมรมคนปากเสียอย่างเดียวกับยีเอ๋งหรือเขาฮิว เพราะทั้งยีเอ๋งและเขาฮิวก็มีถ้อยร้อยวาจาที่ประชดประชันอย่างแหลมคม ไม่ยอมลดราวาศอกในเชิงวาทศิลป์แก่ผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจคับฟ้าคับแผ่นดินสักเพียงไหน เมื่อครั้งยีเอ๋งนั้นโจโฉเกลียดชิงชังแต่ไม่กล้าสังหารเสียด้วยน้ำมือตัว ต้องหาอุบายส่งไปหาเล่าเปียวเพื่อยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋ง แต่เล่าเปียวรู้ทันความคิดของโจโฉจึงคิดอุบายให้ยีเอ๋งไปหาหองจอ หองจอไม่รู้กลทนคารมยีเอ๋งไม่ได้ก็ฆ่ายีเอ๋งเสียในขณะกินโต๊ะ ส่วนเขาฮิวก็เช่นเดียวกันเป็นสมาชิกชมรมคนปากเสียสาขานักคุยโว คิดอ่านวางแผนการจนโจโฉได้ชัยชนะต่ออ้วนเสี้ยวแล้วก็คุยโวโอ้อวดจนโจโฉเจ็บแค้นแต่ไม่รู้ที่จะทำประการใดได้ จนทหารเอกของโจโฉทนฟังเขาฮิวไม่ได้จึงฆ่าเขาฮิวถึงแก่ความตาย

            เตียวสงได้ฟังคำโจโฉแล้วเห็นว่าเป็นคำคุยโม้โอ้อวด ยกตนข่มท่าน ปรามาสว่าเตียวสงไม่รู้ความเป็นไปในแผ่นดิน ประกอบเข้ากับความไม่พอใจเพิ่มความแรงกล้าขึ้น เตียวสงจึงเชิดหน้ามองเพดานอย่างทรนงและท้าทาย รำพึงว่า “เฮอะ!” แล้วกล่าวว่าท่านว่าแผ่นดินนี้สงบราบคาบผาสุขดีแล้วนั้นจริงหรือ “ทิศใต้นั้นซุนกวนเป็นศัตรูของท่านก็ยังอยู่ ทิศตะวันตกเล่าก็เล่าปี่ ทิศเหนือนั้นก็เตียวล่อ เมื่อข้าศึกของท่านยังอยู่รอบตัวฉะนี้ เหตุไฉนจึงว่าปราบปรามหัวเมืองราบคาบแล้ว”

            โจโฉได้ฟังคำเตียวสงดังนั้นก็โกรธ เขม็งจ้องหน้าเตียวสงก็ยิ่งเห็นถึงรูปร่างอันอัปลักษณ์จึงชิงชังรังเกียจเตียวสงเป็นอันมาก ครั้นจะต่อถ้อยร้อยวาจาต่อไปก็เห็นว่าเตียวสงเป็นคนมีวาจาหลักแหลมแบบเดียวกับยีเอ๋ง มีแต่จะเสียปากเปล่า โจโฉคำนึงดังนี้จึงถุยน้ำลายลงกับพื้น สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าไปที่ข้างใน

            เตียวสงเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าโจโฉจำนนต่อถ้อยคำ จึงเชิดหน้าด้วยความผยองว่าเป็นผู้มีชัยชนะเชิงวาทศิลป์ต่อโจโฉ แต่กลับลืมไปว่าภารกิจที่อาสามาแต่เล่าเจี้ยงคือว่ากล่าวให้โจโฉยกกองทัพไปช่วยป้องกันเตียวล่อนั้นล้มเหลวลงไปแล้ว

            บรรดาที่ปรึกษาซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นเตียวสงมีท่าทีเช่นนั้นก็หมั่นไส้จึงพากันเข้าไปต่อว่าต่อขานเตียวสงว่าตัวท่านเป็นทูตมาแต่เมืองไกล ไฉนจึงไม่รักษากิริยามารยาท บังอาจเจรจาถ้อยคำหยาบช้าปรามาสผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของแผ่นดิน นี่ดีที่ว่าท่านอัครมหาเสนาบดีถือตนเป็นผู้ใหญ่ไม่ข่มเหงผู้น้อย เห็นว่าท่านเป็นทูตคุมเครื่องบรรณาการมาจึงมิได้เอาโทษ

            ว่าแล้วบรรดาที่ปรึกษาก็บอกเตียวสงให้รีบเดินทางออกไปจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด

            เตียวสงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ไฉนพวกท่านจึงมากล่าวหาว่าข้าพเจ้าไม่รักษากิริยามารยาท ตัวข้าพเจ้านี้เป็นชาวเมืองเสฉวนแต่กำเนิด ถือความซื่อตรงเป็นที่ตั้ง จะพูดจาสิ่งใดก็ว่าไปแต่โดยซื่อ มิได้เสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำมาหลอกลวงหรือเอาความเท็จมาเจรจาว่ากล่าวสอพลอปอปั้นเหมือนกับคนทั้งปวง

            เอียวสิ้วที่ปรึกษาของโจโฉมีตำแหน่งเป็นขุนนางว่าราชการงานคลัง เป็นที่ปรึกษาที่ฉลาดหลักแหลม แต่เป็นแนวร่วมของชมรมคนปากเสียโดยมิได้นัดหมายหรือรู้จักมักคุ้นกับเตียวสง ได้ฟังคำเตียวสงดังนั้นก็เข้าใจความหมายว่าเตียวสงกล่าวประชดประชัน กล่าวหาบรรดาขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงว่าเป็นพวกหลอกลวงสอพลอปอปั้น

            เอียวสิ้วคิดดังนั้นจึงตวาดเตียวสงว่า ท่านพูดฉะนี้เป็นการยกตัวว่าชาวเมือง เสฉวนเป็นคนซื่อ ข่มชาวเมืองหลวงว่าเป็นพวกประจบสอพลอ หาควรไม่.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘