ตอนที่ 336. ดุลยกำลังทางทหารภาคตะวันตก
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานความชอบแก่โจโฉด้วยการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเข้าเฝ้าตามแบบอย่างในครั้งสมัยพระเจ้าฮั่นโกโจพระราชทานความชอบแก่อัครมหาเสนาบดี
แต่การที่พระราชทานความชอบครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ผิดแผกจากขุนนางทั้งปวงที่ต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลที่ต้องเข้าเฝ้าตามกำหนด ต้องถวายบังคม และห้ามมิให้พกพาอาวุธ ดังนั้นเมื่อโจโฉปฏิบัติตามกระแสรับสั่งจึงดูประหนึ่งว่าโจโฉมีความกำเริบในอำนาจ ไม่ยำเกรงพระมหากษัตริย์
เหตุนี้สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงได้พรรณนาความประพฤติของโจโฉดังกล่าวว่า “ฝ่ายโจโฉได้รับสั่งก็มีใจกำเริบใหญ่หลวงขึ้นกว่าแต่ก่อน” ดังนั้นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงยกขึ้นเป็นข้ออ้างโจมตีไว้ในสามก๊กฉบับนายทุนว่า พวกที่เขียนสามก๊กเป็นพวกของเล่าปี่ ทั้ง ๆ ที่โจโฉมีความดีความชอบจนได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานปูนบำเหน็จความชอบเป็นพิเศษดังนี้แล้ว ก็บิดเบือนใส่ร้ายโจโฉซึ่งทำการตามรับสั่งว่าเป็นการละเมิดพระราชอาญา มิได้ยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์
เหตุผลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ดังนี้และในตอนนี้จึงสอดคล้องต้องกับเนื้อความซึ่งดำเนินมาและเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และเป็นไปตามแบบอย่างที่มีมาแต่ครั้งองค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น จึงเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น
แต่ในส่วนความรู้สึกของบรรดาข้าราชการขุนนางทั้งปวงนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะการที่โจโฉถือเอารับสั่งเป็นข้ออ้างแล้วประพฤติปฏิบัติผิดแผกแตกต่างจากขุนนางทั้งปวงซึ่งยังคงต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเข้าเฝ้า จึงเกิดการเล่าลือว่าโจโฉกำเริบในอำนาจ มิได้ยำเกรงพระมหากษัตริย์ กิตติศัพท์ร่ำลือนี้ได้กระจายออกนอกราชสำนักและแพร่หลายไปทั่วพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดแง่คิดขึ้นว่าการอันใดที่ผิดแผกแตกต่างจากการประพฤติปฏิบัติของคนทั้งปวง แม้การอันนั้นจะเป็นอภิสิทธิ์ที่กระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หากกระทำแล้วย่อมเกิดผลเสียหายทำลายเกียรติคุณของตัว ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่คนหมู่มากและเป็นช่องทางโอกาสให้แก่ปรปักษ์ทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมืองได้โดยง่าย โดยนัยยะดังนี้การใดแม้ชอบด้วยกฎหมายแต่หากไม่ชอบด้วยโลกนิติแล้ว การนั้นย่อมก่อเกิดอันตรายและความเสื่อมเสียแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การที่โจโฉปราบศึกภาคพายัพได้สำเร็จราบคาบ ส่งผลให้ดุลยกำลังทางทหารระหว่างภาคกลาง ภาคพายัพและภาคตะวันตกเปลี่ยนแปลงไป เพราะแต่ก่อนมานั้น โจโฉครองอำนาจเป็นใหญ่ในภาคกลาง ม้าเท้งครองอำนาจเป็นใหญ่ในภาคพายัพ ส่วนเล่าเจี้ยงครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้นเสฉวนทางด้านตะวันตก โดยมีเมืองฮันต๋งเป็นเมืองระหว่างกลางระหว่างภาคพายัพ ภาคตะวันตก และภาคกลาง
เพราะเหตุที่อำนาจและกำลังทางการทหารมีลักษณะที่คานกันดังนี้ ต่างเมืองจึงต่างรู้สึกว่ามีความปลอดภัย เพราะโจโฉจะรุกรานภาคตะวันตกก็เกรงกองทัพเมืองเสเหลียง กองทัพเมืองเสฉวนจะรุกรานภาคกลางก็ต้องผ่านเมืองฮันต๋ง และต้องเกรงเมืองเสเหลียง เมืองเสเหลียงจะรุกรานเมืองเสฉวนก็เกรงกองทัพหลวงจากเมืองฮูโต๋ ต่างฝ่ายต่างเกรงต่างคานกันดังนี้ สงครามระหว่างเมืองจึงไม่เกิดขึ้น นี่แลที่เรียกว่ามีแต่สงครามเท่านั้นที่จะยับยั้งสงครามได้
ดังนั้นเมื่อโจโฉปราบปรามภาคพายัพได้ราบคาบแล้ว จึงทำให้ภาคกลางและภาคพายัพเป็นเอกภาพ และมีดุลยอำนาจทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คุกคามต่อเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวน โดยเมืองฮันต๋งซึ่งเป็นเมืองติดต่อกับภาคกลางย่อมถูกคุกคามรุนแรงและมากกว่าเมืองอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดการสั่นไหวขึ้นทางการทหารของเมืองฮันต๋ง
แลเมืองฮันต๋งนี้เดิมมีเตียวเหลงเป็นเจ้าเมือง เตียวเหลงผู้นี้ก่อนที่จะเป็นเจ้าเมืองมีพื้นเพเดิมอยู่ที่เมืองเสฉวน หนีออกจากบ้านไปร่ำเรียนวิชาในป่าเขาที่ตำบลโฉะเบงสัน และวิชาที่ร่ำเรียนนั้นเป็นวิชามายาศาสตร์และคุณไสย อ้างว่าสามารถรักษาโรคภัยให้หายจากป่วยไข้ต่าง ๆ ได้ ชาวบ้านและชาวเมืองหลงเชื่อก็พากันมารักษา ครั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บเตียวเหลงก็เรียกเอาค่ายกครูเป็นข้าวสารจำนวนห้าถัง กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของเตียวเหลงนับวันยิ่งระบือไกล มีผู้คนและชาวเมืองมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เป็นจำนวนมากและได้จัดตั้งเป็นกองกำลังท้องถิ่นขึ้น พอมีกำลังท้องถิ่นติดอาวุธก็ได้ช่วยเหลือไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและความเดือดร้อนของราษฎร จึงทำให้กิตติศัพท์ขจรขจายมากขึ้น คนทั้งปวงก็มาฝากตัวเป็นสานุศิษย์เพิ่มขึ้นโดยลำดับ กองกำลังติดอาวุธของเตียวเหลงจึงเติบโตมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกองกำลังติดอาวุธของโจรโพกผ้าเหลืองในครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้
ครั้นกองกำลังติดอาวุธเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็มีการจัดตั้งเป็นกองทัพแล้วเข้ายึดเอาเมืองฮันต๋ง ตัวเตียวเหลงตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง
ตัวเตียวเหลงแม้เรียนวิชามายาศาสตร์และคุณไสย แต่ด้วยน้ำใจคิดช่วยเหลืออาณาประชาราษฎรและอัธยาศัยที่โอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวงจึงครองเมืองฮันต๋งด้วยความสนับสนุนของอาณาประชาราษฎรอย่างราบรื่น จนกระทั่งเตียวเหลงถึงแก่ความตาย บุตรเตียวเหลงก็สืบอำนาจต่อมาจนกระทั่งมาถึงเตียวล่อในรุ่นที่สาม
เตียวล่อครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองฮันต๋งแล้วก็สืบสานปณิธานในการปกครองบ้านเมืองตามอย่างเตียวเหลงผู้เป็นปู่ จึงเป็นที่รักใคร่นับถือศรัทธาของราษฎรโดยทั่วไปและได้แต่งตั้งแม่ทัพนายกองปกครองหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองฮันต๋ง ทำนุบำรุงบ้านเมืองจนอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นสันติสุขเป็นเวลาช้านาน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นเตียวเหลงตาย เตียวล่อผู้หลานก็ได้วิชาการนั้น กระทำตามประเพณีสืบต่อมา อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็นับถือ ตั้งอยู่ในโอวาทบังคับบัญชาทุกประการ สมมติให้เป็นผู้ใหญ่เตียวล่อก็สั่งสอนคนทั้งปวงให้กระทำตามโอวาทตั้งอยู่โดยปรกติมิได้เบียดเบียนกัน ถ้าผู้ใดกระทำผิดจนสามครั้งก็มิได้เอาโทษ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุขทุกภูมิลำเนา บรรดาแว่นแคว้นอันขึ้นเมืองฮันต๋งนั้นก็เกรงกลัวเตียวล่อสิ้น แลเจ้าเมืองฮันต๋งนั้นก็คำนับนบนอบแก่เตียวล่อ”
ความในตอนท้ายที่ระบุว่าเจ้าเมืองฮันต๋งก็คำนับนบนอบแก่เตียวล่อนั้นเห็นจะเป็นการแปลโดยคลาดเคลื่อน เพราะความจริงเตียวล่อสืบทอดอำนาจเป็นเจ้าเมืองฮันต๋งต่อจากปู่และบิดามาโดยลำดับ โดยจัดระบบการปกครองแบบผีบุญ แต่ก็ได้สร้างความร่มเย็นเป็นสุขแก่บ้านเมืองและราษฎรทั้งปวง
ครั้นดุลยกำลังทางทหารเปลี่ยนแปลงไประหว่างภาคกลางกับภาคตะวันตกซึ่งมีผลกระทบต่อเมืองฮันต๋งมากที่สุด เตียวล่อก็ร้อนใจเกรงว่าโจโฉจะยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉปราบปรามเมืองเสเหลียงอยู่ในอำนาจแล้ว ม้าเท้งเจ้าเมืองก็ถูกโจโฉฆ่าเสีย ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งเล่าก็เสียทีแตกหนีโจโฉไปไม่รู้อยู่แห่งหนตำบลใด เห็นโจโฉจะคิดการกำเริบยกกองทัพมารุกรานภาคตะวันตกเป็นแน่แท้ อาณาประชาราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้ากัน ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองล้วนแต่เป็นขุนพลพลอยพยัก ยึดมั่นศรัทธาในระบบผีบุญ ได้ฟังปรารภของเตียวล่อดังนั้นจึงว่าตัวท่านเป็นเทพยดามาจุติในเมืองมนุษย์ จะวิตกไปไยกับกำลังกองทัพของโจโฉเพียงเท่านี้ ท่านจะคิดอ่านประการใดก็เร่งคิดเร่งทำเถิด พวกข้าพเจ้าทั้งปวงล้วนเป็นสาวก พร้อมพลีชีวิตเพื่อพิทักษ์ท่านประมุขอย่างเด็ดเดี่ยว
เตียวล่อได้ฟังดังนั้นจึงปรารภว่าเราจะประกาศสถาปนาตนเองเป็นพระจักรพรรดิ ชื่อพระเจ้าฮานเหลงอ๋อง เพื่อให้มีศักดิ์ฐานะเสมอด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้แห่งราชสำนักฮั่น แล้วจะสั่งให้เกณฑ์ชาวเมืองเป็นทหารและระดมเสบียงอาหารเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามกับกองทัพภาคกลาง
ฝ่ายเงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาแต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ต่างจากที่ปรึกษาอื่นเพราะเป็นชาวภาคกลาง ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ครั้นเห็นเตียวล่อเตรียมการสงครามดังนั้นจึงเสนอว่าท่านอย่าเพิ่งตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าก่อน แล้วว่า “ท่านคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ เมืองฮันต๋งผู้คนก็มาก อยู่ในโอวาทท่านตั้งสิบหมื่น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ก็จริง แต่ยังหาเท่าโจโฉไม่ ม้าเฉียวซึ่งแตกโจโฉมาบัดนี้ก็จะมาอาศัยเรา เห็นว่าศึกโจโฉจะยกมาถึงเมืองเราเป็นมั่นคง ซึ่งจะคิดทำการต่อด้วยโจโฉนั้นชอบที่จะไปตีเอาเมืองเสฉวนทั้งสี่สิบหัวเมืองให้ได้ก่อนกำลังเราจะได้มากขึ้น ด้วยเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนนั้นก็เป็นคนโลภอยู่ เห็นจะได้โดยง่าย แม้ได้สำเร็จแล้วท่านจึงตั้งตัวเป็นเจ้า”
ตามแผนการของเงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญเห็นว่าการที่ดุลยอำนาจทางการทหารเปลี่ยนแปลงไปนั้น แม้เมืองฮันต๋งจะเป็นเมืองใหญ่ มีกำลังผู้คนและเสบียงอาหารบริบูรณ์ แต่ไม่พอเพียงที่จะรับมือกับกองทัพโจโฉ จำเป็นที่จะต้องยึดเมืองเสฉวนซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ไว้ในอำนาจให้ได้จึงจะสามารถตั้งรับกับกองทัพโจโฉได้ เมื่อยึดได้เมืองเสฉวนแล้วจึงให้เตียวล่อค่อยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้า แผนการดังนี้ได้ทำให้สถานการณ์ที่สงบสันติในภาคตะวันตกเปลี่ยนแปลงไป และเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างดุลยกำลังทางทหารขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดุลยกำลังทหารของภาคตะวันตกสามารถถ่วงดุลยกับกำลังทหารของภาคกลางคือกองทัพของโจโฉได้ นั่นคือการเตรียมสงครามเพื่อยับยั้งสงครามนั่นเอง
เตียวล่อได้ฟังความเห็นของเงียมเภาแล้วก็เห็นชอบ จึงเรียกเตียวโอยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาเพื่อวางแผนยกกองทัพไปตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อปรึกษากันแล้วเตียวล่อจึงสั่งให้เตรียมกองทัพและเสบียงอาหารรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองเสฉวน
อันแคว้นเสฉวนนั้นมีเมืองเอ๊กจิ๋วเป็นเมืองหลวง และมีเล่าเจี้ยงซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นเป็นเจ้าเมือง เมื่อครั้งที่เล่าเอียงบิดาของเล่าเจี้ยงเป็นเจ้าเมืองและถึงแก่กรรมใหม่ ๆ แล้วเล่าเจี้ยงได้ขึ้นครองอำนาจสืบต่อนั้น ทหารเมืองเสฉวนจับมารดาของเตียวล่อซึ่งเดินทางเข้ามาในแดนเมืองเสฉวนได้ เล่าเจี้ยงได้สั่งให้ประหารมารดาของเตียวล่อเสีย เตียวล่อทราบความก็มีพยาบาทและนับแต่นั้นมาเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนจึงเป็นอริต่อกัน
แต่เพราะเหตุที่ดุลยกำลังทางทหารของภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคพายัพต่างคานกัน แม้เตียวล่อจะมีความพยาบาทเล่าเจี้ยงสักเพียงไหนก็ไม่กล้าที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ด้วยเกรงว่าม้าเท้งจะยกกองทัพเมืองเสเหลียงเข้ายึดเอาเมืองฮันต๋ง ดังนั้นจึงได้แต่ผูกพยาบาทต่อเล่าเจี้ยงเรื่อยมา ในขณะที่เล่าเจี้ยงเองแม้จะเกรงว่าเตียวล่อผูกพยาบาทคิดจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน แต่เล่าเจี้ยงก็ไม่กล้ายกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋งเพราะเกรงว่าเตียวล่อจะขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยรบ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงได้แต่ระวังตัวเพราะต่างคนต่างระวังตัวดังนี้ สันติภาพจึงยังคงดำรงอยู่
ถึงกระนั้นเล่าเจี้ยงก็มิได้ประมาท ได้แต่งตั้งให้บังยี่เป็นเจ้าเมืองปาเสซึ่งเป็นเมืองแดนต่อแดนกับเมืองฮันต๋ง เพื่อให้เป็นด่านหน้าคอยป้องกันกองทัพเมืองฮันต๋งมิให้ยกล่วงเข้ามาตีเมืองเสฉวน
บังยี่มาครองเมืองปาเสแล้วก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่งหน่วยสอดแนมออกลาดตระเวนสืบหาข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเมืองฮันต๋งมิได้ขาด ครั้นเตียวล่อสั่งการให้เตรียมกองทัพเพื่อจะยกมาตีเมืองเสฉวน หน่วยสอดแนมของเมืองปาเสก็ทราบข่าวศึกจึงรายงานข่าวให้บังยี่ทราบ
ครั้นบังยี่ทราบความจึงรายงานความศึกเข้าไปยังเมืองเอ๊กจิ๋ว เมื่อเล่าเจี้ยงทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่าบ้านเมืองของเราสงบสันติมาช้านาน แต่บัดนี้เตียวล่อกำเริบจัดแจงกองทัพจะยกมาตีเมืองเสฉวน ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด
พอเล่าเจี้ยงปรารภสิ้นคำลงก็มีที่ปรึกษาผู้หนึ่ง “รูปร่างต่ำเตี้ย ศีรษะรีดังผลมะตูม จมูกก็เฟ็ด ฟันก็เสี้ยม” มีลักษณะอัปลักษณ์ ลุกออกมายืนอยู่ข้างหน้า คำนับ เล่าเจี้ยงแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเตียวสง มีแผนการป้องกันไม่ให้เตียวล่อยกมาตีเมืองเราได้.
แต่การที่พระราชทานความชอบครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ผิดแผกจากขุนนางทั้งปวงที่ต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลที่ต้องเข้าเฝ้าตามกำหนด ต้องถวายบังคม และห้ามมิให้พกพาอาวุธ ดังนั้นเมื่อโจโฉปฏิบัติตามกระแสรับสั่งจึงดูประหนึ่งว่าโจโฉมีความกำเริบในอำนาจ ไม่ยำเกรงพระมหากษัตริย์
เหตุนี้สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงได้พรรณนาความประพฤติของโจโฉดังกล่าวว่า “ฝ่ายโจโฉได้รับสั่งก็มีใจกำเริบใหญ่หลวงขึ้นกว่าแต่ก่อน” ดังนั้นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงยกขึ้นเป็นข้ออ้างโจมตีไว้ในสามก๊กฉบับนายทุนว่า พวกที่เขียนสามก๊กเป็นพวกของเล่าปี่ ทั้ง ๆ ที่โจโฉมีความดีความชอบจนได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานปูนบำเหน็จความชอบเป็นพิเศษดังนี้แล้ว ก็บิดเบือนใส่ร้ายโจโฉซึ่งทำการตามรับสั่งว่าเป็นการละเมิดพระราชอาญา มิได้ยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์
เหตุผลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ดังนี้และในตอนนี้จึงสอดคล้องต้องกับเนื้อความซึ่งดำเนินมาและเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และเป็นไปตามแบบอย่างที่มีมาแต่ครั้งองค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น จึงเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น
แต่ในส่วนความรู้สึกของบรรดาข้าราชการขุนนางทั้งปวงนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะการที่โจโฉถือเอารับสั่งเป็นข้ออ้างแล้วประพฤติปฏิบัติผิดแผกแตกต่างจากขุนนางทั้งปวงซึ่งยังคงต้องประพฤติปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเข้าเฝ้า จึงเกิดการเล่าลือว่าโจโฉกำเริบในอำนาจ มิได้ยำเกรงพระมหากษัตริย์ กิตติศัพท์ร่ำลือนี้ได้กระจายออกนอกราชสำนักและแพร่หลายไปทั่วพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดแง่คิดขึ้นว่าการอันใดที่ผิดแผกแตกต่างจากการประพฤติปฏิบัติของคนทั้งปวง แม้การอันนั้นจะเป็นอภิสิทธิ์ที่กระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หากกระทำแล้วย่อมเกิดผลเสียหายทำลายเกียรติคุณของตัว ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่คนหมู่มากและเป็นช่องทางโอกาสให้แก่ปรปักษ์ทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมืองได้โดยง่าย โดยนัยยะดังนี้การใดแม้ชอบด้วยกฎหมายแต่หากไม่ชอบด้วยโลกนิติแล้ว การนั้นย่อมก่อเกิดอันตรายและความเสื่อมเสียแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การที่โจโฉปราบศึกภาคพายัพได้สำเร็จราบคาบ ส่งผลให้ดุลยกำลังทางทหารระหว่างภาคกลาง ภาคพายัพและภาคตะวันตกเปลี่ยนแปลงไป เพราะแต่ก่อนมานั้น โจโฉครองอำนาจเป็นใหญ่ในภาคกลาง ม้าเท้งครองอำนาจเป็นใหญ่ในภาคพายัพ ส่วนเล่าเจี้ยงครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้นเสฉวนทางด้านตะวันตก โดยมีเมืองฮันต๋งเป็นเมืองระหว่างกลางระหว่างภาคพายัพ ภาคตะวันตก และภาคกลาง
เพราะเหตุที่อำนาจและกำลังทางการทหารมีลักษณะที่คานกันดังนี้ ต่างเมืองจึงต่างรู้สึกว่ามีความปลอดภัย เพราะโจโฉจะรุกรานภาคตะวันตกก็เกรงกองทัพเมืองเสเหลียง กองทัพเมืองเสฉวนจะรุกรานภาคกลางก็ต้องผ่านเมืองฮันต๋ง และต้องเกรงเมืองเสเหลียง เมืองเสเหลียงจะรุกรานเมืองเสฉวนก็เกรงกองทัพหลวงจากเมืองฮูโต๋ ต่างฝ่ายต่างเกรงต่างคานกันดังนี้ สงครามระหว่างเมืองจึงไม่เกิดขึ้น นี่แลที่เรียกว่ามีแต่สงครามเท่านั้นที่จะยับยั้งสงครามได้
ดังนั้นเมื่อโจโฉปราบปรามภาคพายัพได้ราบคาบแล้ว จึงทำให้ภาคกลางและภาคพายัพเป็นเอกภาพ และมีดุลยอำนาจทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คุกคามต่อเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวน โดยเมืองฮันต๋งซึ่งเป็นเมืองติดต่อกับภาคกลางย่อมถูกคุกคามรุนแรงและมากกว่าเมืองอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดการสั่นไหวขึ้นทางการทหารของเมืองฮันต๋ง
แลเมืองฮันต๋งนี้เดิมมีเตียวเหลงเป็นเจ้าเมือง เตียวเหลงผู้นี้ก่อนที่จะเป็นเจ้าเมืองมีพื้นเพเดิมอยู่ที่เมืองเสฉวน หนีออกจากบ้านไปร่ำเรียนวิชาในป่าเขาที่ตำบลโฉะเบงสัน และวิชาที่ร่ำเรียนนั้นเป็นวิชามายาศาสตร์และคุณไสย อ้างว่าสามารถรักษาโรคภัยให้หายจากป่วยไข้ต่าง ๆ ได้ ชาวบ้านและชาวเมืองหลงเชื่อก็พากันมารักษา ครั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บเตียวเหลงก็เรียกเอาค่ายกครูเป็นข้าวสารจำนวนห้าถัง กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของเตียวเหลงนับวันยิ่งระบือไกล มีผู้คนและชาวเมืองมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เป็นจำนวนมากและได้จัดตั้งเป็นกองกำลังท้องถิ่นขึ้น พอมีกำลังท้องถิ่นติดอาวุธก็ได้ช่วยเหลือไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและความเดือดร้อนของราษฎร จึงทำให้กิตติศัพท์ขจรขจายมากขึ้น คนทั้งปวงก็มาฝากตัวเป็นสานุศิษย์เพิ่มขึ้นโดยลำดับ กองกำลังติดอาวุธของเตียวเหลงจึงเติบโตมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกองกำลังติดอาวุธของโจรโพกผ้าเหลืองในครั้งแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้
ครั้นกองกำลังติดอาวุธเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็มีการจัดตั้งเป็นกองทัพแล้วเข้ายึดเอาเมืองฮันต๋ง ตัวเตียวเหลงตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง
ตัวเตียวเหลงแม้เรียนวิชามายาศาสตร์และคุณไสย แต่ด้วยน้ำใจคิดช่วยเหลืออาณาประชาราษฎรและอัธยาศัยที่โอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวงจึงครองเมืองฮันต๋งด้วยความสนับสนุนของอาณาประชาราษฎรอย่างราบรื่น จนกระทั่งเตียวเหลงถึงแก่ความตาย บุตรเตียวเหลงก็สืบอำนาจต่อมาจนกระทั่งมาถึงเตียวล่อในรุ่นที่สาม
เตียวล่อครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองฮันต๋งแล้วก็สืบสานปณิธานในการปกครองบ้านเมืองตามอย่างเตียวเหลงผู้เป็นปู่ จึงเป็นที่รักใคร่นับถือศรัทธาของราษฎรโดยทั่วไปและได้แต่งตั้งแม่ทัพนายกองปกครองหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองฮันต๋ง ทำนุบำรุงบ้านเมืองจนอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นสันติสุขเป็นเวลาช้านาน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นเตียวเหลงตาย เตียวล่อผู้หลานก็ได้วิชาการนั้น กระทำตามประเพณีสืบต่อมา อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็นับถือ ตั้งอยู่ในโอวาทบังคับบัญชาทุกประการ สมมติให้เป็นผู้ใหญ่เตียวล่อก็สั่งสอนคนทั้งปวงให้กระทำตามโอวาทตั้งอยู่โดยปรกติมิได้เบียดเบียนกัน ถ้าผู้ใดกระทำผิดจนสามครั้งก็มิได้เอาโทษ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุขทุกภูมิลำเนา บรรดาแว่นแคว้นอันขึ้นเมืองฮันต๋งนั้นก็เกรงกลัวเตียวล่อสิ้น แลเจ้าเมืองฮันต๋งนั้นก็คำนับนบนอบแก่เตียวล่อ”
ความในตอนท้ายที่ระบุว่าเจ้าเมืองฮันต๋งก็คำนับนบนอบแก่เตียวล่อนั้นเห็นจะเป็นการแปลโดยคลาดเคลื่อน เพราะความจริงเตียวล่อสืบทอดอำนาจเป็นเจ้าเมืองฮันต๋งต่อจากปู่และบิดามาโดยลำดับ โดยจัดระบบการปกครองแบบผีบุญ แต่ก็ได้สร้างความร่มเย็นเป็นสุขแก่บ้านเมืองและราษฎรทั้งปวง
ครั้นดุลยกำลังทางทหารเปลี่ยนแปลงไประหว่างภาคกลางกับภาคตะวันตกซึ่งมีผลกระทบต่อเมืองฮันต๋งมากที่สุด เตียวล่อก็ร้อนใจเกรงว่าโจโฉจะยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉปราบปรามเมืองเสเหลียงอยู่ในอำนาจแล้ว ม้าเท้งเจ้าเมืองก็ถูกโจโฉฆ่าเสีย ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งเล่าก็เสียทีแตกหนีโจโฉไปไม่รู้อยู่แห่งหนตำบลใด เห็นโจโฉจะคิดการกำเริบยกกองทัพมารุกรานภาคตะวันตกเป็นแน่แท้ อาณาประชาราษฎรจะได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้ากัน ท่านทั้งปวงจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองล้วนแต่เป็นขุนพลพลอยพยัก ยึดมั่นศรัทธาในระบบผีบุญ ได้ฟังปรารภของเตียวล่อดังนั้นจึงว่าตัวท่านเป็นเทพยดามาจุติในเมืองมนุษย์ จะวิตกไปไยกับกำลังกองทัพของโจโฉเพียงเท่านี้ ท่านจะคิดอ่านประการใดก็เร่งคิดเร่งทำเถิด พวกข้าพเจ้าทั้งปวงล้วนเป็นสาวก พร้อมพลีชีวิตเพื่อพิทักษ์ท่านประมุขอย่างเด็ดเดี่ยว
เตียวล่อได้ฟังดังนั้นจึงปรารภว่าเราจะประกาศสถาปนาตนเองเป็นพระจักรพรรดิ ชื่อพระเจ้าฮานเหลงอ๋อง เพื่อให้มีศักดิ์ฐานะเสมอด้วยพระเจ้าเหี้ยนเต้แห่งราชสำนักฮั่น แล้วจะสั่งให้เกณฑ์ชาวเมืองเป็นทหารและระดมเสบียงอาหารเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามกับกองทัพภาคกลาง
ฝ่ายเงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาแต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ต่างจากที่ปรึกษาอื่นเพราะเป็นชาวภาคกลาง ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ครั้นเห็นเตียวล่อเตรียมการสงครามดังนั้นจึงเสนอว่าท่านอย่าเพิ่งตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าก่อน แล้วว่า “ท่านคิดทั้งนี้ก็ดีอยู่ เมืองฮันต๋งผู้คนก็มาก อยู่ในโอวาทท่านตั้งสิบหมื่น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ก็จริง แต่ยังหาเท่าโจโฉไม่ ม้าเฉียวซึ่งแตกโจโฉมาบัดนี้ก็จะมาอาศัยเรา เห็นว่าศึกโจโฉจะยกมาถึงเมืองเราเป็นมั่นคง ซึ่งจะคิดทำการต่อด้วยโจโฉนั้นชอบที่จะไปตีเอาเมืองเสฉวนทั้งสี่สิบหัวเมืองให้ได้ก่อนกำลังเราจะได้มากขึ้น ด้วยเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋วซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนนั้นก็เป็นคนโลภอยู่ เห็นจะได้โดยง่าย แม้ได้สำเร็จแล้วท่านจึงตั้งตัวเป็นเจ้า”
ตามแผนการของเงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญเห็นว่าการที่ดุลยอำนาจทางการทหารเปลี่ยนแปลงไปนั้น แม้เมืองฮันต๋งจะเป็นเมืองใหญ่ มีกำลังผู้คนและเสบียงอาหารบริบูรณ์ แต่ไม่พอเพียงที่จะรับมือกับกองทัพโจโฉ จำเป็นที่จะต้องยึดเมืองเสฉวนซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ไว้ในอำนาจให้ได้จึงจะสามารถตั้งรับกับกองทัพโจโฉได้ เมื่อยึดได้เมืองเสฉวนแล้วจึงให้เตียวล่อค่อยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้า แผนการดังนี้ได้ทำให้สถานการณ์ที่สงบสันติในภาคตะวันตกเปลี่ยนแปลงไป และเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างดุลยกำลังทางทหารขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดุลยกำลังทหารของภาคตะวันตกสามารถถ่วงดุลยกับกำลังทหารของภาคกลางคือกองทัพของโจโฉได้ นั่นคือการเตรียมสงครามเพื่อยับยั้งสงครามนั่นเอง
เตียวล่อได้ฟังความเห็นของเงียมเภาแล้วก็เห็นชอบ จึงเรียกเตียวโอยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาเพื่อวางแผนยกกองทัพไปตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อปรึกษากันแล้วเตียวล่อจึงสั่งให้เตรียมกองทัพและเสบียงอาหารรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองเสฉวน
อันแคว้นเสฉวนนั้นมีเมืองเอ๊กจิ๋วเป็นเมืองหลวง และมีเล่าเจี้ยงซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นเป็นเจ้าเมือง เมื่อครั้งที่เล่าเอียงบิดาของเล่าเจี้ยงเป็นเจ้าเมืองและถึงแก่กรรมใหม่ ๆ แล้วเล่าเจี้ยงได้ขึ้นครองอำนาจสืบต่อนั้น ทหารเมืองเสฉวนจับมารดาของเตียวล่อซึ่งเดินทางเข้ามาในแดนเมืองเสฉวนได้ เล่าเจี้ยงได้สั่งให้ประหารมารดาของเตียวล่อเสีย เตียวล่อทราบความก็มีพยาบาทและนับแต่นั้นมาเมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนจึงเป็นอริต่อกัน
แต่เพราะเหตุที่ดุลยกำลังทางทหารของภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคพายัพต่างคานกัน แม้เตียวล่อจะมีความพยาบาทเล่าเจี้ยงสักเพียงไหนก็ไม่กล้าที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ด้วยเกรงว่าม้าเท้งจะยกกองทัพเมืองเสเหลียงเข้ายึดเอาเมืองฮันต๋ง ดังนั้นจึงได้แต่ผูกพยาบาทต่อเล่าเจี้ยงเรื่อยมา ในขณะที่เล่าเจี้ยงเองแม้จะเกรงว่าเตียวล่อผูกพยาบาทคิดจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน แต่เล่าเจี้ยงก็ไม่กล้ายกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋งเพราะเกรงว่าเตียวล่อจะขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยรบ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงได้แต่ระวังตัวเพราะต่างคนต่างระวังตัวดังนี้ สันติภาพจึงยังคงดำรงอยู่
ถึงกระนั้นเล่าเจี้ยงก็มิได้ประมาท ได้แต่งตั้งให้บังยี่เป็นเจ้าเมืองปาเสซึ่งเป็นเมืองแดนต่อแดนกับเมืองฮันต๋ง เพื่อให้เป็นด่านหน้าคอยป้องกันกองทัพเมืองฮันต๋งมิให้ยกล่วงเข้ามาตีเมืองเสฉวน
บังยี่มาครองเมืองปาเสแล้วก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่งหน่วยสอดแนมออกลาดตระเวนสืบหาข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเมืองฮันต๋งมิได้ขาด ครั้นเตียวล่อสั่งการให้เตรียมกองทัพเพื่อจะยกมาตีเมืองเสฉวน หน่วยสอดแนมของเมืองปาเสก็ทราบข่าวศึกจึงรายงานข่าวให้บังยี่ทราบ
ครั้นบังยี่ทราบความจึงรายงานความศึกเข้าไปยังเมืองเอ๊กจิ๋ว เมื่อเล่าเจี้ยงทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่าบ้านเมืองของเราสงบสันติมาช้านาน แต่บัดนี้เตียวล่อกำเริบจัดแจงกองทัพจะยกมาตีเมืองเสฉวน ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด
พอเล่าเจี้ยงปรารภสิ้นคำลงก็มีที่ปรึกษาผู้หนึ่ง “รูปร่างต่ำเตี้ย ศีรษะรีดังผลมะตูม จมูกก็เฟ็ด ฟันก็เสี้ยม” มีลักษณะอัปลักษณ์ ลุกออกมายืนอยู่ข้างหน้า คำนับ เล่าเจี้ยงแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเตียวสง มีแผนการป้องกันไม่ให้เตียวล่อยกมาตีเมืองเราได้.