ตอนที่ 335. เผด็จศึกภาคพายัพ
โจโฉและม้าเฉียวขับเคี่ยวกรำศึกกันอย่างดุเดือดท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บแล้วคิดหย่าศึกพักรบระหว่างฤดูหนาว โจโฉฉวยโอกาสนั้นวางอุบาย “กลลวงในกระดาษเปล่า” ทำให้เกิดความกินแหนงแคลงใจระหว่างม้าเฉียวกับหันซุย แล้วดึงหันซุยเข้าเป็นพวก ม้าเฉียวต้องกลของโจโฉระแวงและเข้าทำร้ายหันซุย จึงทำให้หันซุยไม่มีทางเลือก ตัดสินใจเข้าด้วยโจโฉ
ครั้นหันซุยตัดสินใจที่จะไปอยู่รับราชการกับโจโฉแล้ว จึงแต่งหนังสือให้เอียวฉิวนายทหารคนสนิทถือไปมอบแก่โจโฉความว่า “ข้าพเจ้าหันซุยขอคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าได้ประมาทยกทหารมาต่อรบสู้ท่านนั้น เพราะเบาความมิได้พิเคราะห์ผิดแลชอบ แลบัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโทษตัวแล้ว มิได้คิดที่จะทำร้ายแก่ท่านสืบไป จะมาอ่อนน้อมคำนับท่านตามประเพณี ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด”
โจโฉได้รับหนังสือของหันซุย ทราบความแล้วก็มีความยินดี แจ้งแก่เอียวฉิวว่าให้รีบกลับไปบอกหันซุยให้เร่งจับตัวม้าเฉียวให้จงได้ ในค่ำวันนี้ให้หันซุยจุดเพลิงเป็นสัญญาณขึ้นในค่าย โจโฉจะคุมทหารยกเข้าปล้นค่าย การสำเร็จแล้วจะตั้งให้หันซุยเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง และจะให้เอียวฉิวเป็นปลัดเมือง
เอียวฉิวเห็นอนาคตข้างหน้ารุ่งโรจน์ด้วยยศศักดิ์วาสนาก็มีความยินดี คำนับลาโจโฉแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะคิดอ่านกับหันซุยจับม้าเฉียวให้ได้ ว่าแล้วเอียวฉิวจึงกลับไปหาหันซุย แจ้งความซึ่งได้เจรจากับโจโฉให้หันซุยทราบทุกประการ
หันซุยทราบความแล้วจึงสั่งทหารให้เตรียมฟืนและเชื้อเพลิงไว้ด้านหลังค่าย ครั้นใกล้เวลาพลบจึงปรึกษาด้วยทหารคนสนิททั้งห้าคนว่าเวลาค่ำวันนี้เราจะแต่งกลอุบายเชิญม้าเฉียวมากินโต๊ะ เมื่อม้าเฉียวเมาสุราแล้วให้ช่วยจับม้าเฉียวฆ่าเสีย ความชอบก็จะมีแก่ทุกคนเป็นอันมาก ในระหว่างที่ม้าเฉียวกินโต๊ะอยู่นั้นให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเพื่อให้โจโฉยกกองทัพเข้าปล้นค่าย การก็จะสำเร็จได้โดยสะดวก
ในขณะที่ทหารของหันซุยกำลังเตรียมฟืนและเชื้อเพลิงอยู่ด้านหลังค่ายนั้น ทหารของม้าเฉียวเห็นเหตุการณ์ผิดปกติจึงนำความไปรายงานให้ม้าเฉียวทราบ พอม้าเฉียวทราบความก็คิดว่าหันซุยกำลังสมรู้ร่วมคิดกับโจโฉวางแผนร้ายต่อกองทัพเมืองเสเหลียงก็โกรธ จึงพาบังเต๊กและม้าต้ายพร้อมด้วยทหารสามสิบนายมาที่ค่ายหันซุย โดยม้าเฉียวขี่ม้านำหน้ามาก่อนแต่ผู้เดียว
ในขณะที่ม้าเฉียวมาถึงค่ายหันซุยนั้นหันซุยกำลังปรึกษาอยู่ด้วยนายทหารคนสนิททั้งห้าคน พอม้าเฉียวมาถึงประตูค่ายทหารรักษาประตูไม่รู้ความเห็นเป็นม้าเฉียวแม่ทัพใหญ่ก็ปล่อยให้เข้าไปได้โดยสะดวก ม้าเฉียวเข้าไปถึงค่ายพักของหันซุย ได้ยินเสียงปรึกษากันว่าแผนการซึ่งได้นัดหมายไว้ทั้งนี้จะต้องทำการให้รัดกุมและให้สำเร็จโดยไว ม้าเฉียวก้าวเท้าเข้าประตูค่ายพักเห็นหันซุยกำลังปรึกษาอยู่กับนายทหารคนสนิทจึงปะติดปะต่อความกับที่สงสัยอยู่ในใจ ก็คิดว่าหันซุยและนายทหารคนสนิททั้งห้าคนคบคิดกับโจโฉเพื่อจะทำร้ายโดยไวก็โกรธ
หันซุยและทหารคนสนิททั้งห้าคนพอเห็นหน้าม้าเฉียวก็ตกใจตะลึงอยู่ ม้าเฉียวยิ่งเห็นเป็นพิรุธก็ยิ่งโกรธ ด่าหันซุยว่าไอ้พวกทรยศ เสียแรงที่เรานับถือและไว้ใจ กลับละความสัตย์คิดจะทำร้ายเราอีก ว่าแล้วม้าเฉียวก็ชักกระบี่ปรี่เข้าไปฟันหันซุย
หันซุยเห็นดังนั้นก็ตกใจยกแขนขึ้นรับ จึงถูกกระบี่ของม้าเฉียวฟันแขนขาดตกลงกับพื้น ม้าเฉียวสะอึกเข้าไปจะฟันศีรษะหันซุยซ้ำ นายทหารคนสนิททั้งห้าได้สติจึงชักกระบี่สกัดม้าเฉียวแล้วเข้าล้อมม้าเฉียวไว้
ม้าเฉียวเห็นสถานการณ์อยู่ท่ามกลางวงล้อมและอยู่ในค่ายพักของหันซุย มีทหารของหันซุยอยู่โดยรอบจึงถือกระบี่แกว่งออกมาทางประตูค่ายพัก ทหารคนสนิทของหันซุยเกรงฝีมือของม้าเฉียวจึงถอยออกจากทางหน้าประตู ปล่อยให้ม้าเฉียวออกนอกประตูค่ายไป
พอตั้งสติได้มั่นทหารคนสนิทของม้าเฉียวทั้งห้าคนก็กรูออกจากประตูค่ายตามรุมเข้าฟันม้าเฉียว ม้าเฉียวหันกลับมาเห็นนายทหารทั้งห้ากรูเข้ามาดังนั้นจึงปราดเข้าฟันม้าอ้วนล้มลงแล้วแทงถูกเหลียงเหงตายคาที่ ส่วนเฮาชวน ลิขำ และเอียวฉิว เห็นดังนั้นก็รู้ตัวว่าสู้กำลังม้าเฉียวไม่ได้ จึงพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศคนละทาง
ม้าเฉียวเห็นนายทหารคนสนิทวิ่งหนีออกนอกประตูค่ายไปก็วิ่งกลับเข้ามาในค่ายพักของหันซุยอีกครั้งหนึ่งหวังจะฆ่าหันซุยเสียให้ได้แต่ไม่พบหันซุย เพราะในขณะที่ม้าเฉียวต่อสู้กับนายทหารคนสนิทที่นอกประตูค่ายนั้น ทหารของหันซุยได้ลอบเข้ามาทางด้านหลังค่ายแล้วพาตัวหันซุยหนีออกจากค่ายพักไปซ่อนอยู่อีกค่ายหนึ่งแล้วจุดเพลิงสัญญาณขึ้น
ม้าเฉียวเข้าไปในค่ายไม่เห็นหันซุยจึงวิ่งออกมานอกประตูค่าย ทหารของหันซุยเห็นดังนั้นจึงกรูเข้าไปจะรุมทำร้ายม้าเฉียว ม้าเฉียวแต่ผู้เดียวมิได้เกรงกลัวต่อทหารของหันซุยได้ต่อสู้ป้องกันตัวเป็นสามารถ พอดีบังเต๊กและม้าต้ายคุมทหารสามสิบคนมาทันจึงตีล้อมแก้เอาม้าเฉียวออกมาได้
บังเต๊กและม้าต้ายพาม้าเฉียวออกมาพ้นค่ายหันซุยก็ได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองและทหารโจโฉโห่ร้องรุกใกล้เข้ามาจึงหนีไปที่ค่ายของม้าเฉียว แต่ทหารโจโฉได้ตีฝ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว และได้ต่อสู้กันเป็นชุลมุนจนบังเต๊กและม้าต้ายพลัดหลงกับม้าเฉียว
ม้าเฉียวเห็นทหารโจโฉรุมล้อมเข้ามาเป็นอันมากก็ตกใจ พาทหารซึ่งสนิทร้อยกว่าคนตีฝ่าวงล้อมไปทางสะพานข้ามแม่น้ำอุยโห ทหารของโจโฉอีกฟากหนึ่งของสะพานก็สกัดขวางทางไว้ ในขณะที่ทหารของโจโฉอีกกองหนึ่งก็ไล่ตามไปที่ต้นสะพาน
ลิขำทหารของหันซุยซึ่งเข้าด้วยทหารของโจโฉเห็นม้าเฉียวตกอยู่ท่ามกลางการสกัดหน้าไล่หลังอยู่ที่กลางสะพาน คิดจะสร้างความชอบไว้กับโจโฉจึงขี่ม้าตรงเข้าไปจะรบด้วย ม้าเฉียว ม้าเฉียวเห็นเป็นลิขำก็โกรธ กระตุ้นม้าพุ่งเข้ารบด้วยลิขำได้สามเพลง ลิขำเห็นจะสู้ ม้าเฉียวไม่ได้จึงชักม้าหนีกลับมาทางต้นสะพาน ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามไป
ฝ่ายอิกิ๋มนายทหารของโจโฉคุมทหารสกัดม้าเฉียวอยู่ที่ปลายสะพาน เห็นม้าเฉียวขี่ม้าไล่หลังลิขำไปดังนั้นจึงสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวได้ยินเสียงเกาทัณฑ์กรีดฝ่าอากาศดังหวิวหวูมาทางด้านหลังก็หมอบตัวลงกับคอม้า ลูกเกาทัณฑ์จึงเลยผ่านม้าเฉียวไปถูกลิขำตกม้าตาย
ม้าเฉียวชักม้าเหลียวหลังกลับมาเห็นอิกิ๋มคุมทหารอยู่ที่ปลายสะพานจึงชักม้าตรงเข้าหาอิกิ๋ม
ฝ่ายอิกิ๋มรู้กำลังม้าเฉียวเป็นอย่างดี เห็นว่าสู้ฝีมือม้าเฉียวไม่ได้จึงรีบขับม้าหนีไป ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงขับม้ากลับมาที่กลางสะพานอีกครั้งหนึ่งหวังจะฆ่าหันซุยให้จงได้ ทหารโจโฉที่อยู่ทั้งต้นและปลายสะพานจึงช่วยกันระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่ม้าเฉียวราวห่าฝน
ม้าเฉียวควงทวนดุจดังจักรผันสกัดกั้นเกาทัณฑ์มิให้กร้ำใกล้ต้องกายทั้งด้านหน้าด้านหลังเป็นพัลวัน ลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงมาราวห่าฝนนั้นถูกร่มทวนของม้าเฉียวปัดพลัดตกลงน้ำจนหมดสิ้น ม้าเฉียวจึงสั่งทหารที่ตามมาด้วยกันให้ตีฝ่ากลับไปทางต้นสะพาน แต่ทหารของม้าเฉียวน้อยตัวนักตีฝ่าออกไปไม่ได้ พากันถอยร่นมาที่กลางสะพาน ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าออกหน้าทหารตีฝ่าทหารโจโฉที่ต้นสะพานนั้นแตกออกไป
แต่พอลงไปถึงเชิงสะพานม้าเฉียวก็ตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของทหารโจโฉอย่างแน่นหนา ทหารของโจโฉได้ตั้งวงล้อมม้าเฉียวไว้ตรงกลางแล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ม้าเฉียวก็กวัดแกว่งทวนป้องกันตัวไว้เป็นสามารถ แต่เกาทัณฑ์ดอกหนึ่งทะลวงฝ่าร่มทวนของม้าเฉียวเข้าไปถูกขาม้าเฉียวล้มลง
ทหารของโจโฉเห็นดังนั้นก็แย่งชิงกันจะจับม้าเฉียวเอาความชอบ พอดีขณะนั้นบังเต๊กและม้าต้ายซึ่งพลัดหลงกับม้าเฉียวเห็นเหตุการณ์จึงคุมทหารตีฝ่าเข้ามาช่วยม้าเฉียวไว้ได้ทันท่วงที แล้วทหารม้าเฉียวคนหนึ่งจึงลงจากม้าพยุงม้าเฉียวขึ้นขี่ม้าตีฝ่าออกจากวงล้อมออกไปได้
ฝ่ายโจโฉบัญชาการทหารอยู่ที่ค่าย ครั้นได้ทราบรายงานว่าม้าเฉียวตีฝ่าวงล้อมหนีไปได้ก็โกรธ ออกคำสั่งสนามให้ทหารทุกกองจับเป็นหรือจับตายม้าเฉียวให้จงได้ ผู้ใดจับม้าเฉียวได้ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะให้ทองคำพันตำลึง เงินพันตำลึงเป็นบำเหน็จรางวัล และจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
พอคำสั่งสนามถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งกองทัพ บรรดาทหารของโจโฉก็พากันเร่งรุดติดตามควานหาตัวม้าเฉียวเพื่อจะจับตัวมาเป็นความดีความชอบ แต่เนื่องจากม้าเมืองเสเหลียงมีฝีเท้าแรงจัดนักทหารของโจโฉจึงไม่สามารถไล่ตามม้าเฉียวและทหารเมืองเสเหลียงได้ทัน จนม้าเฉียวพาทหารหนีไปทางทิศใต้ของเมืองเสเหลียง
โจโฉคุมทหารไล่ตามม้าเฉียวไปทางเมืองเสเหลียง เห็นม้าเฉียวหนีพ้นไปแล้ว จะไล่ตามก็มิทันจึงยกทหารกลับมาตั้งที่เมืองเตียงอัน แล้วสั่งให้หมอพยาบาลรักษาแขน หันซุยซึ่งขาดนั้น แล้วตั้งหันซุยให้เป็นเจ้าเมืองเสเหลียง ให้เฮาชวนและเอียวฉิวเป็นปลัดเมืองช่วยว่าราชการ และให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนตามลำน้ำอุยโหป้องกันมิให้ม้าเฉียวยกทหารมาทำอันตรายเมืองเตียงอันและยกล่วงเข้าแดนเมืองหลวงอีกต่อไป
จากนั้นโจโฉจึงให้ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามควรแก่ความดีความชอบจนถ้วนหน้ากัน แล้วเตรียมจะเลิกทัพกลับไปเมืองหลวง
เอียวหูนายทหารรองของเอียวฉิวเห็นโจโฉมิได้แต่งตั้งผู้ใดรักษาเมืองเตียงอันจึงเข้าไปเสนอความเห็นแก่โจโฉว่า เมืองเตียงอันนี้เป็นหัวเมืองสำคัญแต่ยังมิได้ตั้งผู้ใดเป็นเจ้าเมือง ซึ่งม้าเฉียวแตกหนีไปครั้งนี้มีความพยาบาทอยู่เป็นอันมากเห็นจะยกกองทัพกลับมาการป้องกันรักษาเมืองเตียงอันจึงขัดสน เห็นจะเสียทีแก่ม้าเฉียวโดยง่าย
โจโฉฟังคำเอียวหูก็รู้ว่าเอียวหูประสงค์จะได้ตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเตียงอัน แต่เมื่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเอียวหูเป็นแต่เพียงทหารรองและมิได้มีความชอบอันสมควรแก่ตำแหน่งเจ้าเมือง โจโฉจึงแสร้งบ่ายเบี่ยงว่าอันการจะรักษาเมืองเตียงอันนี้เราได้จัดแจงไว้พร้อมแล้วอย่าได้ปรารมภ์เลย
เอียวหูได้ฟังดังนั้นก็รู้ทีว่าโจโฉไม่เต็มใจจะมอบตำแหน่งให้จึงคำนับลาโจโฉกลับไปหาหันซุย แล้วพากันยกไปเมืองเสเหลียง
โจโฉได้จัดแจงการปกครองเมืองเตียงอันเป็นปกติแล้วจึงแต่งตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนเป็นเจ้าเมืองเตียงอัน ให้เลื่อนเตียวกี๋ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเกงเตียวชั้นจัตวาขึ้นเป็นปลัดเมือง ช่วยว่าราชการเมืองเตียงอันกับแฮหัวเอี๋ยน
เจี้ยนอันศกปีที่สิบหก เดือนยี่ โจโฉทำสงครามปราบศึกภาคพายัพเสร็จสิ้น ครั้นจัดแจงเมืองเตียงอันเสร็จแล้วจึงยกทัพกลับคืนเมืองฮูโต๋
พอเข้าเขตแดนเมืองฮูโต๋หน่วยลาดตระเวนล่วงหน้าจึงเร่งเข้าไปในเมืองแล้วแจ้งความให้ทางราชสำนักทราบ
ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบความว่าโจโฉสามารถปราบศึกภาคพายัพได้ราบคาบแล้วก็มีพระทัยยินดี สั่งให้กรมวังจัดแจงแต่งขบวนเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารคและเสด็จออกไปต้อนรับโจโฉถึงหน้าประตูเมือง
โจโฉเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกมารับด้วยพระองค์เองก็มีความยินดี ลงจากหลังม้าพร้อมกับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาคุกเข่าคำนับถวายบังคม แล้วกราบทูลรายงานความศึกให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงสดับรายงานของโจโฉแล้วจึงมีพระราชกระแสว่าซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีสู้ตรากตรำลำบากกรำศึกในภาคพายัพเป็นเวลาช้านานจนการสำเร็จได้ชัยชนะดังประสงค์ครั้งนี้ภาคพายัพก็จะสงบสันติ ราษฎรทั้งปวงจะมีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน ความชอบของอัครมหาเสนาบดีครั้งนี้มีเป็นอันมาก “แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้ามิได้ให้หาก็อย่าให้เข้ามาเฝ้าดุจหนึ่งขุนนางทั้งปวงเลย แม้เราสั่งให้หาเข้ามาเฝ้า ก็ให้เหน็บกระบี่เข้ามาในที่เฝ้าแล้วอย่าให้ถวายบังคมเป็นอันขาดทีเดียว”
นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่พระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่โจโฉ เสมอด้วยอัครมหาเสนาบดีในครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจ เพราะตามกฎมณเฑียรบาลนั้นขุนนางมีหน้าที่เฝ้าตามวันเวลาเฝ้าที่กำหนด และเมื่อเวลาเข้าเฝ้าก็ต้องถวายบังคมและห้ามพกพาอาวุธ มิฉะนั้นย่อมมีความผิดตามกฎมณเฑียรบาลระวางโทษถึงประหารชีวิต แต่กฎมณเฑียรบาลดังกล่าวนี้เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจก็ทรงโปรดเกล้าพระราชทานยกเว้นให้แก่อัครมหาเสนาบดี ดังนั้นการที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้แก่โจโฉครั้งนี้จึงเป็นการดำเนินตามแบบอย่างแต่ครั้งองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นนั้น.
ครั้นหันซุยตัดสินใจที่จะไปอยู่รับราชการกับโจโฉแล้ว จึงแต่งหนังสือให้เอียวฉิวนายทหารคนสนิทถือไปมอบแก่โจโฉความว่า “ข้าพเจ้าหันซุยขอคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าได้ประมาทยกทหารมาต่อรบสู้ท่านนั้น เพราะเบาความมิได้พิเคราะห์ผิดแลชอบ แลบัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโทษตัวแล้ว มิได้คิดที่จะทำร้ายแก่ท่านสืบไป จะมาอ่อนน้อมคำนับท่านตามประเพณี ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด”
โจโฉได้รับหนังสือของหันซุย ทราบความแล้วก็มีความยินดี แจ้งแก่เอียวฉิวว่าให้รีบกลับไปบอกหันซุยให้เร่งจับตัวม้าเฉียวให้จงได้ ในค่ำวันนี้ให้หันซุยจุดเพลิงเป็นสัญญาณขึ้นในค่าย โจโฉจะคุมทหารยกเข้าปล้นค่าย การสำเร็จแล้วจะตั้งให้หันซุยเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง และจะให้เอียวฉิวเป็นปลัดเมือง
เอียวฉิวเห็นอนาคตข้างหน้ารุ่งโรจน์ด้วยยศศักดิ์วาสนาก็มีความยินดี คำนับลาโจโฉแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะคิดอ่านกับหันซุยจับม้าเฉียวให้ได้ ว่าแล้วเอียวฉิวจึงกลับไปหาหันซุย แจ้งความซึ่งได้เจรจากับโจโฉให้หันซุยทราบทุกประการ
หันซุยทราบความแล้วจึงสั่งทหารให้เตรียมฟืนและเชื้อเพลิงไว้ด้านหลังค่าย ครั้นใกล้เวลาพลบจึงปรึกษาด้วยทหารคนสนิททั้งห้าคนว่าเวลาค่ำวันนี้เราจะแต่งกลอุบายเชิญม้าเฉียวมากินโต๊ะ เมื่อม้าเฉียวเมาสุราแล้วให้ช่วยจับม้าเฉียวฆ่าเสีย ความชอบก็จะมีแก่ทุกคนเป็นอันมาก ในระหว่างที่ม้าเฉียวกินโต๊ะอยู่นั้นให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเพื่อให้โจโฉยกกองทัพเข้าปล้นค่าย การก็จะสำเร็จได้โดยสะดวก
ในขณะที่ทหารของหันซุยกำลังเตรียมฟืนและเชื้อเพลิงอยู่ด้านหลังค่ายนั้น ทหารของม้าเฉียวเห็นเหตุการณ์ผิดปกติจึงนำความไปรายงานให้ม้าเฉียวทราบ พอม้าเฉียวทราบความก็คิดว่าหันซุยกำลังสมรู้ร่วมคิดกับโจโฉวางแผนร้ายต่อกองทัพเมืองเสเหลียงก็โกรธ จึงพาบังเต๊กและม้าต้ายพร้อมด้วยทหารสามสิบนายมาที่ค่ายหันซุย โดยม้าเฉียวขี่ม้านำหน้ามาก่อนแต่ผู้เดียว
ในขณะที่ม้าเฉียวมาถึงค่ายหันซุยนั้นหันซุยกำลังปรึกษาอยู่ด้วยนายทหารคนสนิททั้งห้าคน พอม้าเฉียวมาถึงประตูค่ายทหารรักษาประตูไม่รู้ความเห็นเป็นม้าเฉียวแม่ทัพใหญ่ก็ปล่อยให้เข้าไปได้โดยสะดวก ม้าเฉียวเข้าไปถึงค่ายพักของหันซุย ได้ยินเสียงปรึกษากันว่าแผนการซึ่งได้นัดหมายไว้ทั้งนี้จะต้องทำการให้รัดกุมและให้สำเร็จโดยไว ม้าเฉียวก้าวเท้าเข้าประตูค่ายพักเห็นหันซุยกำลังปรึกษาอยู่กับนายทหารคนสนิทจึงปะติดปะต่อความกับที่สงสัยอยู่ในใจ ก็คิดว่าหันซุยและนายทหารคนสนิททั้งห้าคนคบคิดกับโจโฉเพื่อจะทำร้ายโดยไวก็โกรธ
หันซุยและทหารคนสนิททั้งห้าคนพอเห็นหน้าม้าเฉียวก็ตกใจตะลึงอยู่ ม้าเฉียวยิ่งเห็นเป็นพิรุธก็ยิ่งโกรธ ด่าหันซุยว่าไอ้พวกทรยศ เสียแรงที่เรานับถือและไว้ใจ กลับละความสัตย์คิดจะทำร้ายเราอีก ว่าแล้วม้าเฉียวก็ชักกระบี่ปรี่เข้าไปฟันหันซุย
หันซุยเห็นดังนั้นก็ตกใจยกแขนขึ้นรับ จึงถูกกระบี่ของม้าเฉียวฟันแขนขาดตกลงกับพื้น ม้าเฉียวสะอึกเข้าไปจะฟันศีรษะหันซุยซ้ำ นายทหารคนสนิททั้งห้าได้สติจึงชักกระบี่สกัดม้าเฉียวแล้วเข้าล้อมม้าเฉียวไว้
ม้าเฉียวเห็นสถานการณ์อยู่ท่ามกลางวงล้อมและอยู่ในค่ายพักของหันซุย มีทหารของหันซุยอยู่โดยรอบจึงถือกระบี่แกว่งออกมาทางประตูค่ายพัก ทหารคนสนิทของหันซุยเกรงฝีมือของม้าเฉียวจึงถอยออกจากทางหน้าประตู ปล่อยให้ม้าเฉียวออกนอกประตูค่ายไป
พอตั้งสติได้มั่นทหารคนสนิทของม้าเฉียวทั้งห้าคนก็กรูออกจากประตูค่ายตามรุมเข้าฟันม้าเฉียว ม้าเฉียวหันกลับมาเห็นนายทหารทั้งห้ากรูเข้ามาดังนั้นจึงปราดเข้าฟันม้าอ้วนล้มลงแล้วแทงถูกเหลียงเหงตายคาที่ ส่วนเฮาชวน ลิขำ และเอียวฉิว เห็นดังนั้นก็รู้ตัวว่าสู้กำลังม้าเฉียวไม่ได้ จึงพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศคนละทาง
ม้าเฉียวเห็นนายทหารคนสนิทวิ่งหนีออกนอกประตูค่ายไปก็วิ่งกลับเข้ามาในค่ายพักของหันซุยอีกครั้งหนึ่งหวังจะฆ่าหันซุยเสียให้ได้แต่ไม่พบหันซุย เพราะในขณะที่ม้าเฉียวต่อสู้กับนายทหารคนสนิทที่นอกประตูค่ายนั้น ทหารของหันซุยได้ลอบเข้ามาทางด้านหลังค่ายแล้วพาตัวหันซุยหนีออกจากค่ายพักไปซ่อนอยู่อีกค่ายหนึ่งแล้วจุดเพลิงสัญญาณขึ้น
ม้าเฉียวเข้าไปในค่ายไม่เห็นหันซุยจึงวิ่งออกมานอกประตูค่าย ทหารของหันซุยเห็นดังนั้นจึงกรูเข้าไปจะรุมทำร้ายม้าเฉียว ม้าเฉียวแต่ผู้เดียวมิได้เกรงกลัวต่อทหารของหันซุยได้ต่อสู้ป้องกันตัวเป็นสามารถ พอดีบังเต๊กและม้าต้ายคุมทหารสามสิบคนมาทันจึงตีล้อมแก้เอาม้าเฉียวออกมาได้
บังเต๊กและม้าต้ายพาม้าเฉียวออกมาพ้นค่ายหันซุยก็ได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองและทหารโจโฉโห่ร้องรุกใกล้เข้ามาจึงหนีไปที่ค่ายของม้าเฉียว แต่ทหารโจโฉได้ตีฝ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว และได้ต่อสู้กันเป็นชุลมุนจนบังเต๊กและม้าต้ายพลัดหลงกับม้าเฉียว
ม้าเฉียวเห็นทหารโจโฉรุมล้อมเข้ามาเป็นอันมากก็ตกใจ พาทหารซึ่งสนิทร้อยกว่าคนตีฝ่าวงล้อมไปทางสะพานข้ามแม่น้ำอุยโห ทหารของโจโฉอีกฟากหนึ่งของสะพานก็สกัดขวางทางไว้ ในขณะที่ทหารของโจโฉอีกกองหนึ่งก็ไล่ตามไปที่ต้นสะพาน
ลิขำทหารของหันซุยซึ่งเข้าด้วยทหารของโจโฉเห็นม้าเฉียวตกอยู่ท่ามกลางการสกัดหน้าไล่หลังอยู่ที่กลางสะพาน คิดจะสร้างความชอบไว้กับโจโฉจึงขี่ม้าตรงเข้าไปจะรบด้วย ม้าเฉียว ม้าเฉียวเห็นเป็นลิขำก็โกรธ กระตุ้นม้าพุ่งเข้ารบด้วยลิขำได้สามเพลง ลิขำเห็นจะสู้ ม้าเฉียวไม่ได้จึงชักม้าหนีกลับมาทางต้นสะพาน ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามไป
ฝ่ายอิกิ๋มนายทหารของโจโฉคุมทหารสกัดม้าเฉียวอยู่ที่ปลายสะพาน เห็นม้าเฉียวขี่ม้าไล่หลังลิขำไปดังนั้นจึงสั่งทหารให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวได้ยินเสียงเกาทัณฑ์กรีดฝ่าอากาศดังหวิวหวูมาทางด้านหลังก็หมอบตัวลงกับคอม้า ลูกเกาทัณฑ์จึงเลยผ่านม้าเฉียวไปถูกลิขำตกม้าตาย
ม้าเฉียวชักม้าเหลียวหลังกลับมาเห็นอิกิ๋มคุมทหารอยู่ที่ปลายสะพานจึงชักม้าตรงเข้าหาอิกิ๋ม
ฝ่ายอิกิ๋มรู้กำลังม้าเฉียวเป็นอย่างดี เห็นว่าสู้ฝีมือม้าเฉียวไม่ได้จึงรีบขับม้าหนีไป ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงขับม้ากลับมาที่กลางสะพานอีกครั้งหนึ่งหวังจะฆ่าหันซุยให้จงได้ ทหารโจโฉที่อยู่ทั้งต้นและปลายสะพานจึงช่วยกันระดมยิงเกาทัณฑ์มาที่ม้าเฉียวราวห่าฝน
ม้าเฉียวควงทวนดุจดังจักรผันสกัดกั้นเกาทัณฑ์มิให้กร้ำใกล้ต้องกายทั้งด้านหน้าด้านหลังเป็นพัลวัน ลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงมาราวห่าฝนนั้นถูกร่มทวนของม้าเฉียวปัดพลัดตกลงน้ำจนหมดสิ้น ม้าเฉียวจึงสั่งทหารที่ตามมาด้วยกันให้ตีฝ่ากลับไปทางต้นสะพาน แต่ทหารของม้าเฉียวน้อยตัวนักตีฝ่าออกไปไม่ได้ พากันถอยร่นมาที่กลางสะพาน ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าออกหน้าทหารตีฝ่าทหารโจโฉที่ต้นสะพานนั้นแตกออกไป
แต่พอลงไปถึงเชิงสะพานม้าเฉียวก็ตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของทหารโจโฉอย่างแน่นหนา ทหารของโจโฉได้ตั้งวงล้อมม้าเฉียวไว้ตรงกลางแล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ม้าเฉียวก็กวัดแกว่งทวนป้องกันตัวไว้เป็นสามารถ แต่เกาทัณฑ์ดอกหนึ่งทะลวงฝ่าร่มทวนของม้าเฉียวเข้าไปถูกขาม้าเฉียวล้มลง
ทหารของโจโฉเห็นดังนั้นก็แย่งชิงกันจะจับม้าเฉียวเอาความชอบ พอดีขณะนั้นบังเต๊กและม้าต้ายซึ่งพลัดหลงกับม้าเฉียวเห็นเหตุการณ์จึงคุมทหารตีฝ่าเข้ามาช่วยม้าเฉียวไว้ได้ทันท่วงที แล้วทหารม้าเฉียวคนหนึ่งจึงลงจากม้าพยุงม้าเฉียวขึ้นขี่ม้าตีฝ่าออกจากวงล้อมออกไปได้
ฝ่ายโจโฉบัญชาการทหารอยู่ที่ค่าย ครั้นได้ทราบรายงานว่าม้าเฉียวตีฝ่าวงล้อมหนีไปได้ก็โกรธ ออกคำสั่งสนามให้ทหารทุกกองจับเป็นหรือจับตายม้าเฉียวให้จงได้ ผู้ใดจับม้าเฉียวได้ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะให้ทองคำพันตำลึง เงินพันตำลึงเป็นบำเหน็จรางวัล และจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
พอคำสั่งสนามถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งกองทัพ บรรดาทหารของโจโฉก็พากันเร่งรุดติดตามควานหาตัวม้าเฉียวเพื่อจะจับตัวมาเป็นความดีความชอบ แต่เนื่องจากม้าเมืองเสเหลียงมีฝีเท้าแรงจัดนักทหารของโจโฉจึงไม่สามารถไล่ตามม้าเฉียวและทหารเมืองเสเหลียงได้ทัน จนม้าเฉียวพาทหารหนีไปทางทิศใต้ของเมืองเสเหลียง
โจโฉคุมทหารไล่ตามม้าเฉียวไปทางเมืองเสเหลียง เห็นม้าเฉียวหนีพ้นไปแล้ว จะไล่ตามก็มิทันจึงยกทหารกลับมาตั้งที่เมืองเตียงอัน แล้วสั่งให้หมอพยาบาลรักษาแขน หันซุยซึ่งขาดนั้น แล้วตั้งหันซุยให้เป็นเจ้าเมืองเสเหลียง ให้เฮาชวนและเอียวฉิวเป็นปลัดเมืองช่วยว่าราชการ และให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนตามลำน้ำอุยโหป้องกันมิให้ม้าเฉียวยกทหารมาทำอันตรายเมืองเตียงอันและยกล่วงเข้าแดนเมืองหลวงอีกต่อไป
จากนั้นโจโฉจึงให้ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามควรแก่ความดีความชอบจนถ้วนหน้ากัน แล้วเตรียมจะเลิกทัพกลับไปเมืองหลวง
เอียวหูนายทหารรองของเอียวฉิวเห็นโจโฉมิได้แต่งตั้งผู้ใดรักษาเมืองเตียงอันจึงเข้าไปเสนอความเห็นแก่โจโฉว่า เมืองเตียงอันนี้เป็นหัวเมืองสำคัญแต่ยังมิได้ตั้งผู้ใดเป็นเจ้าเมือง ซึ่งม้าเฉียวแตกหนีไปครั้งนี้มีความพยาบาทอยู่เป็นอันมากเห็นจะยกกองทัพกลับมาการป้องกันรักษาเมืองเตียงอันจึงขัดสน เห็นจะเสียทีแก่ม้าเฉียวโดยง่าย
โจโฉฟังคำเอียวหูก็รู้ว่าเอียวหูประสงค์จะได้ตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเตียงอัน แต่เมื่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเอียวหูเป็นแต่เพียงทหารรองและมิได้มีความชอบอันสมควรแก่ตำแหน่งเจ้าเมือง โจโฉจึงแสร้งบ่ายเบี่ยงว่าอันการจะรักษาเมืองเตียงอันนี้เราได้จัดแจงไว้พร้อมแล้วอย่าได้ปรารมภ์เลย
เอียวหูได้ฟังดังนั้นก็รู้ทีว่าโจโฉไม่เต็มใจจะมอบตำแหน่งให้จึงคำนับลาโจโฉกลับไปหาหันซุย แล้วพากันยกไปเมืองเสเหลียง
โจโฉได้จัดแจงการปกครองเมืองเตียงอันเป็นปกติแล้วจึงแต่งตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนเป็นเจ้าเมืองเตียงอัน ให้เลื่อนเตียวกี๋ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเกงเตียวชั้นจัตวาขึ้นเป็นปลัดเมือง ช่วยว่าราชการเมืองเตียงอันกับแฮหัวเอี๋ยน
เจี้ยนอันศกปีที่สิบหก เดือนยี่ โจโฉทำสงครามปราบศึกภาคพายัพเสร็จสิ้น ครั้นจัดแจงเมืองเตียงอันเสร็จแล้วจึงยกทัพกลับคืนเมืองฮูโต๋
พอเข้าเขตแดนเมืองฮูโต๋หน่วยลาดตระเวนล่วงหน้าจึงเร่งเข้าไปในเมืองแล้วแจ้งความให้ทางราชสำนักทราบ
ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบความว่าโจโฉสามารถปราบศึกภาคพายัพได้ราบคาบแล้วก็มีพระทัยยินดี สั่งให้กรมวังจัดแจงแต่งขบวนเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารคและเสด็จออกไปต้อนรับโจโฉถึงหน้าประตูเมือง
โจโฉเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จออกมารับด้วยพระองค์เองก็มีความยินดี ลงจากหลังม้าพร้อมกับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาคุกเข่าคำนับถวายบังคม แล้วกราบทูลรายงานความศึกให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงสดับรายงานของโจโฉแล้วจึงมีพระราชกระแสว่าซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีสู้ตรากตรำลำบากกรำศึกในภาคพายัพเป็นเวลาช้านานจนการสำเร็จได้ชัยชนะดังประสงค์ครั้งนี้ภาคพายัพก็จะสงบสันติ ราษฎรทั้งปวงจะมีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน ความชอบของอัครมหาเสนาบดีครั้งนี้มีเป็นอันมาก “แต่นี้ไปเมื่อหน้าถ้ามิได้ให้หาก็อย่าให้เข้ามาเฝ้าดุจหนึ่งขุนนางทั้งปวงเลย แม้เราสั่งให้หาเข้ามาเฝ้า ก็ให้เหน็บกระบี่เข้ามาในที่เฝ้าแล้วอย่าให้ถวายบังคมเป็นอันขาดทีเดียว”
นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่พระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่โจโฉ เสมอด้วยอัครมหาเสนาบดีในครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจ เพราะตามกฎมณเฑียรบาลนั้นขุนนางมีหน้าที่เฝ้าตามวันเวลาเฝ้าที่กำหนด และเมื่อเวลาเข้าเฝ้าก็ต้องถวายบังคมและห้ามพกพาอาวุธ มิฉะนั้นย่อมมีความผิดตามกฎมณเฑียรบาลระวางโทษถึงประหารชีวิต แต่กฎมณเฑียรบาลดังกล่าวนี้เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจก็ทรงโปรดเกล้าพระราชทานยกเว้นให้แก่อัครมหาเสนาบดี ดังนั้นการที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้แก่โจโฉครั้งนี้จึงเป็นการดำเนินตามแบบอย่างแต่ครั้งองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นนั้น.