ตอนที่ 334. อุบาย "กลลวงในกระดาษเปล่า"
กองทัพของโจโฉและกองทัพของม้าเฉียวทำสงครามติดพันกันจนล่วงถึงกลางฤดูหนาว ได้ความยากลำบากแก่ทหารของทั้งสองฝ่ายจึงคิดจะหย่าศึก แต่โจโฉกลับคิดใช้อุบายของพระเจ้าเล่าปัง ลวงให้กองทัพม้าเฉียวเลิกทัพก่อนแล้วโจมตีในขณะเลิกทัพ แต่ม้าเฉียวก็ระแวงว่าโจโฉจะไม่ซื่อตรงในสัญญาว่าจะเลิกทัพ จึงปรึกษากับหันซุยเพื่อป้องกันระวังตัวในขณะเลิกทัพ
ม้าเฉียวปรึกษาหันซุยแล้วเห็นว่าโจโฉตั้งค่ายกระหนาบอยู่เป็นสองด้าน ในระหว่างเลิกทัพหากโจโฉละคำสัญญาเสียแล้วยกทหารเข้าโจมตีก็จะต้องยกโจมตีเป็นสองด้าน ดังนั้นจึงกำหนดแผนการเลิกทัพให้จัดแบ่งทหารเป็นสองกอง กองหนึ่งคอยระมัดระวังการโจมตีจากทางค่ายของโจโฉ อีกกองหนึ่งคอยระมัดระวังการโจมตีจากทางค่ายของซิหลง โดยหันซุยคุมกองทัพด้านที่ระมัดระวังกองทัพโจโฉ ส่วนม้าเฉียวคุมกองทัพด้านที่ระมัดระวังกองทัพของซิหลง เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงกำหนดวันเลิกทัพกลับเมืองเสเหลียง
ฝ่ายโจโฉครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพเมืองเสเหลียงต้องอุบายเตรียมเลิกทัพกลับ และหันซุยคุมกองทัพด้านที่อยู่ใกล้กับโจโฉก็มีความยินดี พอรุ่งเช้าโจโฉจึงพาทหารออกมาตั้งอยู่ข้างนอกค่าย ทหารของหันซุยเคยได้ยินกิตติศัพท์ของโจโฉแต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา จึงคิดว่าเมื่อเตรียมจะเลิกทัพกลับก็ใคร่จะได้ดูหน้าโจโฉให้ถนัดตาสักครั้งหนึ่ง จึงต่างคนต่างจ้องมองดูโจโฉและบอกกล่าวต่อ ๆ กัน ดังนั้นในกองทัพของหันซุยจึงแย่งชิงเบียดเสียดเพื่อจะดูตัวโจโฉ
โจโฉเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงขับม้าออกไปหน้าทหาร แล้วร้องบอกแก่ทหารของหันซุยว่า “กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนคนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาดหน่อยหนึ่ง ด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิดผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด”
ทหารของหันซุยได้ฟังคำโจโฉซึ่งเต็มไปด้วยตบะก็จ้องมองโจโฉนิ่งตะลึงอยู่ โจโฉจึงขับม้าเข้าไปใกล้กองทหารของหันซุย แล้วให้ทหารเข้าไปเชิญหันซุยออกมาสนทนากันสักหน่อยหนึ่ง
หันซุยได้ทราบคำเชิญก็ขี่ม้าออกมาพบกับโจโฉ โจโฉเห็นหันซุยขี่ม้าออกมาดังนั้นจึงขี่ม้าเข้าไปเคียงม้าของหันซุย ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วโจโฉจึงว่า “ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็ใช่คนอื่น บิดาของท่านเล่าข้าพเจ้าก็ได้คำนับว่าเป็นอา เราทั้งสองเมื่อหนุ่มนั้นเป็นขุนนางทำราชการอยู่ด้วยกัน เป็นคนชอบอัธยาศัย แลบัดนี้เราจากกันมาช้านานแล้วพึ่งได้เห็นกัน อายุท่านจะได้สักเท่าใด”
หันซุยไม่รู้กลของโจโฉ ครั้นเห็นโจโฉเจรจาด้วยท่าทีแห่งไมตรี จึงกล่าวตอบไปโดยอัธยาศัยว่าตัวข้าพเจ้าบัดนี้มีอายุได้สี่สิบปีแล้ว
โจโฉได้ฟังคำหันซุยก็ทอดสายตามองไปทางเบื้องหน้าเป็นทีว่ารำลึกความหลัง เอามือซ้ายถือบังเหียนม้าเอามือขวาลูบอกแล้วว่า “เราทำราชการอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงหลัด ๆ แลจากกันมาดังหนึ่งมิทันจะเหลียวหลัง อายุล่วงไปถึงเพียงนี้แล้ว เมื่อไรบ้านเมืองจะราบคาบเป็นปกติ เราทั้งสองจะได้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยกัน”
หันซุยจึงว่าอำนาจแห่งกาลเวลานั้นหามีผู้ใดต้านทานขัดขวางไว้ได้ไม่ ลำดับแต่พระจักรพรรดิลงมาจนถึงยาจกขอทานก็ล้วนอยู่ใต้อำนาจแห่งกาลเวลาที่จะพร่าผลาญความหนุ่มสาวให้สูญสิ้น ข้าพเจ้าและตัวท่านรับราชการกันมาก็นานช้า หวังให้อาณาประชาราษฎรได้เป็นสุข แต่ถึงทุกวันนี้แผ่นดินยังเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า คิดขึ้นมาแล้วให้ละอายแก่ใจนัก
โจโฉและหันซุยสนทนากันด้วยเรื่องความเก่าที่ไม่เป็นสาระแก่การสงครามทั้งสิ้น จึงไม่มีสิ่งใดจะขัดแย้งให้เกิดความตึงเครียด ในบางครั้งเป็นเรื่องชวนหัวเราะทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่าย โจโฉและหันซุยจึงคำนับลาจากกัน
ฝ่ายทหารของม้าเฉียวเห็นหันซุยกับโจโฉสนทนากันบนหลังม้าเป็นเวลาช้านานแต่ไม่รู้ความประการใด ก็นำความไปรายงานให้ม้าเฉียวทราบ
ม้าเฉียวยังเยาว์วัยแก่กลอุบาย พอทราบรายงานก็สงสัยจึงเชิญหันซุยมาพบ แล้วสอบถามว่าเวลาวันนี้ท่านออกไปสนทนาด้วยโจโฉช้านาน เจรจากันด้วยการสิ่งใดหรือ
หันซุยจึงว่าเป็นการพูดจาเกี่ยวด้วยความเก่าซึ่งเคยทำราชการด้วยกันมาแต่ก่อน
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็สงสัยจึงถามสืบไปว่า ท่านอาออกไปเจรจากับโจโฉช้านาน ไม่มีการเจรจากันด้วยการสงครามดอกหรือ
หันซุยจึงตอบว่าไม่มีแม้แต่สักคำเดียว โจโฉไม่ได้เอ่ยถึงการสงคราม ตัวเราก็มิได้พูดถึงในเรื่องการศึก
ม้าเฉียวฟังคำยืนยันของหันซุยขันแข็ง แต่ก็ไม่วายที่จะมีความสงสัยว่าสองฝ่ายเป็นคู่ศึกแก่กันออกไปเจรจากันช้านานเหตุไฉนจึงไม่พูดจากันด้วยการสงคราม ซึ่งต่างฝ่ายต่างสัญญาว่าจะเลิกทัพกลับไป หรือว่าหันซุยปกปิดความลับบางประการไว้ ม้าเฉียวสงสัยดังนั้นสีหน้าก็วิตกหม่นหมอง แต่เกรงใจหันซุยจึงไม่กล่าวถ้อยคำประการอื่นสืบไป
โจโฉกลับมาถึงค่ายแล้วเรียกกาเซี่ยงที่ปรึกษาเข้ามาพบ แล้วถามว่าซึ่งเราออกไปเจรจาสนทนากับหันซุยในวันนี้ ท่านพิเคราะห์เห็นแยบคายประการใดบ้างหรือไม่
กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านออกไปเจรจาดังนี้เห็นทีว่ามีกลอุบายแยบยลอยู่ แต่ม้าเฉียวกับหันซุยนั้นมีความสนิทสนมนับถือกันมานาน เห็นจะยังไม่กินแหนงแคลงใจกันถึงขนาดที่จะหักล้างกันเอง
โจโฉได้ฟังกาเซี่ยงซึ่งแจ้งในความคิดของตัวก็ยินดี แต่สงสัยว่าจะทำประการใดต่อไปจึงจะทำให้ม้าเฉียวและหันซุยแตกหักกันเองได้ จึงถามกาเซี่ยงว่าท่านมีแผนการประการใด
กาเซี่ยงจึงว่าข้าพเจ้าคิดกลอุบายได้อย่างหนึ่ง ชื่อว่าอุบาย “กลลวงในกระดาษเปล่า” แล้วกาเซี่ยงจึงอธิบายต่อไปว่า “ข้าพเจ้าคิดจะให้เอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแล้วสลักหลังผนึกเป็นอักษรให้ลบเลือนเสีย อย่าให้เห็นตัวถนัด ให้คนถือไปให้หันซุยทำเป็นว่าท่านให้หนังสือลับไป ม้าเฉียวรู้ก็จะมาดู ครั้นฉีกผนึกออกเห็นกระดาษเปล่าก็จะสงสัยว่าหันซุยซ่อนหนังสือเสียแกล้งเอาผนึกกระดาษเปล่าให้ ดีร้ายม้าเฉียวกับหันซุยจะขุ่นหมองผิดใจกัน ภายหลังเราจึงแต่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเอาตัวหันซุยมาไว้เป็นพวกเรา เห็นจะกำจัดม้าเฉียวได้โดยง่าย”
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ แล้วสรรเสริญความคิดของกาเซี่ยงเป็นอันมาก และให้ดำเนินการตามความคิดของกาเซี่ยงทุกประการ
ครั้นทหารของโจโฉเอาหนังสือไปส่งแก่หันซุยที่ค่าย หันซุยรับหนังสือมาเปิดอ่านดูเห็นเป็นกระดาษเปล่าก็ประหลาดใจ อีกครู่หนึ่งม้าเฉียวก็มาหาหันซุย แล้วว่าข้าพเจ้าได้ทราบว่าโจโฉได้ให้ทหารถือหนังสือมาให้ท่านอา หนังสือนั้นมีความว่าประการใดหรือ
หันซุยจึงว่าโจโฉให้ทหารเอาหนังสือมาส่งให้นั้นจริงแล้ว แต่เราเปิดอ่านดูกลับเป็นกระดาษเปล่าเท่านั้น ว่าแล้วหันซุยจึงเอาหนังสือและซองผนึกส่งให้แก่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวรับซองและหนังสือมาดูเห็นเป็นกระดาษเปล่าก็สงสัย จึงถามหันซุยว่าไฉนหนังสือของโจโฉจึงเป็นเพียงกระดาษเปล่าเล่า
หันซุยจึงว่าข้าพเจ้าเองก็ยังนึกเหตุผลไม่ออก เพราะเมื่อได้รับหนังสือและเปิดออกดูก็เห็นเป็นกระดาษเปล่าดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ กรณีเป็นไปได้ว่าโจโฉปิดผนึกโดยผิดหลงพลาดพลั้งเอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแทนหนังสือที่ทำขึ้น
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งสงสัยหันซุยว่าคบคิดประการใดประการหนึ่งกับโจโฉแล้วแกล้งปกปิดความเสีย จึงว่าโจโฉนั้นมีสติปัญญาและรอบคอบ ที่ไหนเลยจะพลั้งเผลอหลงลืมเลอะเลือนเอากระดาษเปล่าส่งมาแทน หรือว่าท่านอาได้คิดอ่านประการใดกับโจโฉในทางร้ายต่อข้าพเจ้าแล้วเกรงว่าข้าพเจ้าจะทราบความ จึงแสร้งปิดหนังสือลับเสียแล้วเอากระดาษเปล่าให้ข้าพเจ้าดู
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็น้อยใจจึงว่า ความอันเรากล่าวกับเจ้าล้วนเป็นสัตย์จริงทุกสิ่งอัน หากแม้นว่าเจ้ายังสงสัยประการใด ในวันพรุ่งนี้เราจะออกไปเจรจากับโจโฉในระยะที่ไม่ห่างจากค่าย เจ้าจงคอยฟังถ้อยคำเจรจาว่าจะมีพิรุธประการใด หากแม้นเห็นว่าเรามิตั้งอยู่ในคุณธรรมน้ำมิตร คิดหักหลังเจ้าแล้ว ก็จงเอาทวนแทงเราเสียให้ตาย
ม้าเฉียวจึงว่าถ้าความจริงเป็นดังคำของท่านอาข้าพเจ้าก็จะสิ้นสงสัย จึงคำนับลาหันซุยกลับไปด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกินแหนงแคลงใจกันและกัน ในขณะที่หันซุยนั้นรู้สึกน้อยใจม้าเฉียวที่เบาความคิดระแวงจนเกินการ
พอวันรุ่งขึ้นหันซุยจึงพาเฮาชวน ลิขำ และนายทหารซึ่งสนิทรวมห้าคนออกไปจากค่าย ให้ทหารไปเชิญโจโฉมาเจรจากัน
โจโฉพอทราบว่าหันซุยให้ทหารมาเชิญก็รู้ว่าสถานการณ์ข้างกองทัพเมืองเสเหลียงบัดนี้มีความหวาดระแวงเกิดขึ้นแล้ว จึงเรียกโจหองมากระซิบสั่งความให้ออกไปเจรจาโต้ตอบกับหันซุย
โจหองพยักหน้ารับคำโจโฉแล้ว คำนับลาออกมาจัดทหารสามสิบนาย ยกออกมาที่หน้าค่ายของหันซุย ซึ่งหันซุยยืนม้าอยู่ในระยะใกล้กับค่ายด้วยหวังให้ม้าเฉียวได้แอบฟังถ้อยคำซึ่งจะได้สนทนากัน
พอโจหองขี่ม้าเข้าไปใกล้หันซุยก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่าหนังสือซึ่งให้ไปนั้นอย่าให้ผู้ใดรู้แพร่งพรายไป จะเสียการเสีย”
โจหองกล่าวสิ้นความแล้วไม่รอฟังคำตอบประการใด รีบขี่ม้าพาทหารกลับมาค่าย ในขณะที่หันซุยตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าโจโฉจะให้โจหองออกมากล่าวความดังนี้
ในขณะนั้นม้าเฉียวแอบฟังหวังจะได้ยินคำสนทนาระหว่างโจโฉกับหันซุย แต่การกลับกลายเป็นว่าได้ยินคำกำชับที่โจโฉให้โจหองมากำชับหันซุย แลความซึ่งโจหองกล่าวนั้นทำให้ความสงสัยในใจของม้าเฉียวขยายความกลายเป็นว่าหันซุยได้สมคบกับโจโฉ มีการสั่งการเป็นความลับมาในหนังสือแล้วหันซุยปกปิดหนังสือลับนั้น เอาแต่กระดาษเปล่าให้ม้าเฉียวดู ม้าเฉียวจึงสำคัญว่าหันซุยคบคิดกับโจโฉทำร้ายตัวก็โกรธ รีบขี่ม้าออกจากค่าย กรายทวนจะเข้ามาแทงหันซุยตามคำซึ่งหันซุยได้พูดไว้
นายทหารคนสนิทของหันซุยซึ่งติดตามหันซุยออกไปนอกค่ายเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ รีบสกัดขวางไม่ให้ม้าเฉียวแทงหันซุยได้ แล้วป้องกันหันซุยจะกลับเข้าค่าย
หันซุยเป็นคนซื่อ รู้ดีว่าถ้อยคำซึ่งโจหองกล่าวนั้นเป็นกลอุบายของโจโฉหวังให้ตัวและม้าเฉียวหักล้างกันเองก็เสียน้ำใจ แต่ก็หวังในไมตรีที่มีกับม้าเท้งผู้บิดาของม้าเฉียว จึงร้องบอกม้าเฉียวว่า “หลานเราอย่าสงสัยเลย อันจะคิดร้ายต่อเจ้านั้นหามิได้”
ม้าเฉียวได้ยินคำหันซุยก็สำคัญว่าหันซุยแก้ตัวเพื่อจะดำเนินการตามแผนการลับที่คบคิดกับโจโฉก็ยิ่งโกรธ จึงขี่ม้ากรายทวนจะเข้ามาแทงหันซุยอีกครั้งหนึ่ง นายทหารของหันซุยทั้งหมดที่ติดตามไปจึงช่วยกันแก้ไขคุ้มกันหันซุยกลับไปค่าย
ม้าเฉียวเห็นจะแทงหันซุยไม่ได้ก็ขี่ม้ากลับมาที่ค่ายของตัว
ครั้นหันซุยกลับไปถึงค่ายจึงปรึกษาด้วยทหารคนสนิททั้งห้าคนว่า เหตุการณ์ซึ่งเกิดทั้งนี้เป็นกลอุบายของโจโฉเราก็แจ้งอยู่ แต่ม้าเฉียวนั้นอ่อนแก่ความไม่รู้ว่าเป็นกลอุบายจึงคิดทำร้ายเราดังนี้ เราจะทำประการใดเล่าจึงจะคลายความสงสัยให้สิ้นได้
เอียวฉิวนายทหารคนสนิทของหันซุยจึงว่าตัวท่านเป็นผู้ใหญ่ มีฐานะเป็นอาของม้าเฉียวแต่ม้าเฉียวไม่ได้เกรงใจนับถือ คิดอ่านจะทำร้ายท่าน ไม่ได้เห็นความผูกพันอันสนิทมาแต่ก่อน ดังนี้จะร่วมการด้วยม้าเฉียวต่อไปเห็นจะขัดสน ถึงจะคิดอ่านงอนง้อแก้ตัวประการใดก็เหมือนกับการง้อเด็กที่เอาแต่ใจตัวเห็นจะไม่ได้การ โจโฉทำการทั้งนี้เห็นประจักษ์อยู่ว่าต้องการตัวท่านให้ออกจากม้าเฉียว ดังนั้นจึงชอบที่ท่านจะไปอยู่กับโจโฉทำราชการในเมืองหลวงก็จะได้ยศศักดิ์อัครฐานในกาลเบื้องหน้าเป็นมั่นคง
หันซุยจึงว่าตัวเรากับม้าเท้งบิดาม้าเฉียวนั้นเป็นสหายสนิท รักใคร่ดุจดังพี่น้องร่วมอุทร โจโฉฆ่าม้าเท้งเสียแล้วเราจะคิดอ่านผลาญบุตรสหายอีกเล่า เราตัดใจทำไม่ได้เลย
เอียวฉิวจึงกล่าวสืบไปว่า ตัวท่านคิดถึงความสัตย์อยู่ข้างเดียวเหมือนตบมือข้างเดียวหาดังไม่ มาตรแม้นท่านจะถือความสัตย์ประการใด แต่เมื่อม้าเฉียวคิดทำร้ายท่านดังนี้แม้ท่านไม่ตัดใจทำ ก็จำต้องทำอยู่นั่นเอง ท่านหามีทางเลือกอื่นใดอีกไม่
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นทางออกประการอื่น จึงจำใจเห็นชอบกับความคิดของเอียวฉิว.
ม้าเฉียวปรึกษาหันซุยแล้วเห็นว่าโจโฉตั้งค่ายกระหนาบอยู่เป็นสองด้าน ในระหว่างเลิกทัพหากโจโฉละคำสัญญาเสียแล้วยกทหารเข้าโจมตีก็จะต้องยกโจมตีเป็นสองด้าน ดังนั้นจึงกำหนดแผนการเลิกทัพให้จัดแบ่งทหารเป็นสองกอง กองหนึ่งคอยระมัดระวังการโจมตีจากทางค่ายของโจโฉ อีกกองหนึ่งคอยระมัดระวังการโจมตีจากทางค่ายของซิหลง โดยหันซุยคุมกองทัพด้านที่ระมัดระวังกองทัพโจโฉ ส่วนม้าเฉียวคุมกองทัพด้านที่ระมัดระวังกองทัพของซิหลง เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงกำหนดวันเลิกทัพกลับเมืองเสเหลียง
ฝ่ายโจโฉครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพเมืองเสเหลียงต้องอุบายเตรียมเลิกทัพกลับ และหันซุยคุมกองทัพด้านที่อยู่ใกล้กับโจโฉก็มีความยินดี พอรุ่งเช้าโจโฉจึงพาทหารออกมาตั้งอยู่ข้างนอกค่าย ทหารของหันซุยเคยได้ยินกิตติศัพท์ของโจโฉแต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา จึงคิดว่าเมื่อเตรียมจะเลิกทัพกลับก็ใคร่จะได้ดูหน้าโจโฉให้ถนัดตาสักครั้งหนึ่ง จึงต่างคนต่างจ้องมองดูโจโฉและบอกกล่าวต่อ ๆ กัน ดังนั้นในกองทัพของหันซุยจึงแย่งชิงเบียดเสียดเพื่อจะดูตัวโจโฉ
โจโฉเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงขับม้าออกไปหน้าทหาร แล้วร้องบอกแก่ทหารของหันซุยว่า “กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนคนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาดหน่อยหนึ่ง ด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิดผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด”
ทหารของหันซุยได้ฟังคำโจโฉซึ่งเต็มไปด้วยตบะก็จ้องมองโจโฉนิ่งตะลึงอยู่ โจโฉจึงขับม้าเข้าไปใกล้กองทหารของหันซุย แล้วให้ทหารเข้าไปเชิญหันซุยออกมาสนทนากันสักหน่อยหนึ่ง
หันซุยได้ทราบคำเชิญก็ขี่ม้าออกมาพบกับโจโฉ โจโฉเห็นหันซุยขี่ม้าออกมาดังนั้นจึงขี่ม้าเข้าไปเคียงม้าของหันซุย ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วโจโฉจึงว่า “ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็ใช่คนอื่น บิดาของท่านเล่าข้าพเจ้าก็ได้คำนับว่าเป็นอา เราทั้งสองเมื่อหนุ่มนั้นเป็นขุนนางทำราชการอยู่ด้วยกัน เป็นคนชอบอัธยาศัย แลบัดนี้เราจากกันมาช้านานแล้วพึ่งได้เห็นกัน อายุท่านจะได้สักเท่าใด”
หันซุยไม่รู้กลของโจโฉ ครั้นเห็นโจโฉเจรจาด้วยท่าทีแห่งไมตรี จึงกล่าวตอบไปโดยอัธยาศัยว่าตัวข้าพเจ้าบัดนี้มีอายุได้สี่สิบปีแล้ว
โจโฉได้ฟังคำหันซุยก็ทอดสายตามองไปทางเบื้องหน้าเป็นทีว่ารำลึกความหลัง เอามือซ้ายถือบังเหียนม้าเอามือขวาลูบอกแล้วว่า “เราทำราชการอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงหลัด ๆ แลจากกันมาดังหนึ่งมิทันจะเหลียวหลัง อายุล่วงไปถึงเพียงนี้แล้ว เมื่อไรบ้านเมืองจะราบคาบเป็นปกติ เราทั้งสองจะได้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยกัน”
หันซุยจึงว่าอำนาจแห่งกาลเวลานั้นหามีผู้ใดต้านทานขัดขวางไว้ได้ไม่ ลำดับแต่พระจักรพรรดิลงมาจนถึงยาจกขอทานก็ล้วนอยู่ใต้อำนาจแห่งกาลเวลาที่จะพร่าผลาญความหนุ่มสาวให้สูญสิ้น ข้าพเจ้าและตัวท่านรับราชการกันมาก็นานช้า หวังให้อาณาประชาราษฎรได้เป็นสุข แต่ถึงทุกวันนี้แผ่นดินยังเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า คิดขึ้นมาแล้วให้ละอายแก่ใจนัก
โจโฉและหันซุยสนทนากันด้วยเรื่องความเก่าที่ไม่เป็นสาระแก่การสงครามทั้งสิ้น จึงไม่มีสิ่งใดจะขัดแย้งให้เกิดความตึงเครียด ในบางครั้งเป็นเรื่องชวนหัวเราะทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่าย โจโฉและหันซุยจึงคำนับลาจากกัน
ฝ่ายทหารของม้าเฉียวเห็นหันซุยกับโจโฉสนทนากันบนหลังม้าเป็นเวลาช้านานแต่ไม่รู้ความประการใด ก็นำความไปรายงานให้ม้าเฉียวทราบ
ม้าเฉียวยังเยาว์วัยแก่กลอุบาย พอทราบรายงานก็สงสัยจึงเชิญหันซุยมาพบ แล้วสอบถามว่าเวลาวันนี้ท่านออกไปสนทนาด้วยโจโฉช้านาน เจรจากันด้วยการสิ่งใดหรือ
หันซุยจึงว่าเป็นการพูดจาเกี่ยวด้วยความเก่าซึ่งเคยทำราชการด้วยกันมาแต่ก่อน
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็สงสัยจึงถามสืบไปว่า ท่านอาออกไปเจรจากับโจโฉช้านาน ไม่มีการเจรจากันด้วยการสงครามดอกหรือ
หันซุยจึงตอบว่าไม่มีแม้แต่สักคำเดียว โจโฉไม่ได้เอ่ยถึงการสงคราม ตัวเราก็มิได้พูดถึงในเรื่องการศึก
ม้าเฉียวฟังคำยืนยันของหันซุยขันแข็ง แต่ก็ไม่วายที่จะมีความสงสัยว่าสองฝ่ายเป็นคู่ศึกแก่กันออกไปเจรจากันช้านานเหตุไฉนจึงไม่พูดจากันด้วยการสงคราม ซึ่งต่างฝ่ายต่างสัญญาว่าจะเลิกทัพกลับไป หรือว่าหันซุยปกปิดความลับบางประการไว้ ม้าเฉียวสงสัยดังนั้นสีหน้าก็วิตกหม่นหมอง แต่เกรงใจหันซุยจึงไม่กล่าวถ้อยคำประการอื่นสืบไป
โจโฉกลับมาถึงค่ายแล้วเรียกกาเซี่ยงที่ปรึกษาเข้ามาพบ แล้วถามว่าซึ่งเราออกไปเจรจาสนทนากับหันซุยในวันนี้ ท่านพิเคราะห์เห็นแยบคายประการใดบ้างหรือไม่
กาเซี่ยงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านออกไปเจรจาดังนี้เห็นทีว่ามีกลอุบายแยบยลอยู่ แต่ม้าเฉียวกับหันซุยนั้นมีความสนิทสนมนับถือกันมานาน เห็นจะยังไม่กินแหนงแคลงใจกันถึงขนาดที่จะหักล้างกันเอง
โจโฉได้ฟังกาเซี่ยงซึ่งแจ้งในความคิดของตัวก็ยินดี แต่สงสัยว่าจะทำประการใดต่อไปจึงจะทำให้ม้าเฉียวและหันซุยแตกหักกันเองได้ จึงถามกาเซี่ยงว่าท่านมีแผนการประการใด
กาเซี่ยงจึงว่าข้าพเจ้าคิดกลอุบายได้อย่างหนึ่ง ชื่อว่าอุบาย “กลลวงในกระดาษเปล่า” แล้วกาเซี่ยงจึงอธิบายต่อไปว่า “ข้าพเจ้าคิดจะให้เอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแล้วสลักหลังผนึกเป็นอักษรให้ลบเลือนเสีย อย่าให้เห็นตัวถนัด ให้คนถือไปให้หันซุยทำเป็นว่าท่านให้หนังสือลับไป ม้าเฉียวรู้ก็จะมาดู ครั้นฉีกผนึกออกเห็นกระดาษเปล่าก็จะสงสัยว่าหันซุยซ่อนหนังสือเสียแกล้งเอาผนึกกระดาษเปล่าให้ ดีร้ายม้าเฉียวกับหันซุยจะขุ่นหมองผิดใจกัน ภายหลังเราจึงแต่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเอาตัวหันซุยมาไว้เป็นพวกเรา เห็นจะกำจัดม้าเฉียวได้โดยง่าย”
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ แล้วสรรเสริญความคิดของกาเซี่ยงเป็นอันมาก และให้ดำเนินการตามความคิดของกาเซี่ยงทุกประการ
ครั้นทหารของโจโฉเอาหนังสือไปส่งแก่หันซุยที่ค่าย หันซุยรับหนังสือมาเปิดอ่านดูเห็นเป็นกระดาษเปล่าก็ประหลาดใจ อีกครู่หนึ่งม้าเฉียวก็มาหาหันซุย แล้วว่าข้าพเจ้าได้ทราบว่าโจโฉได้ให้ทหารถือหนังสือมาให้ท่านอา หนังสือนั้นมีความว่าประการใดหรือ
หันซุยจึงว่าโจโฉให้ทหารเอาหนังสือมาส่งให้นั้นจริงแล้ว แต่เราเปิดอ่านดูกลับเป็นกระดาษเปล่าเท่านั้น ว่าแล้วหันซุยจึงเอาหนังสือและซองผนึกส่งให้แก่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวรับซองและหนังสือมาดูเห็นเป็นกระดาษเปล่าก็สงสัย จึงถามหันซุยว่าไฉนหนังสือของโจโฉจึงเป็นเพียงกระดาษเปล่าเล่า
หันซุยจึงว่าข้าพเจ้าเองก็ยังนึกเหตุผลไม่ออก เพราะเมื่อได้รับหนังสือและเปิดออกดูก็เห็นเป็นกระดาษเปล่าดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ กรณีเป็นไปได้ว่าโจโฉปิดผนึกโดยผิดหลงพลาดพลั้งเอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแทนหนังสือที่ทำขึ้น
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งสงสัยหันซุยว่าคบคิดประการใดประการหนึ่งกับโจโฉแล้วแกล้งปกปิดความเสีย จึงว่าโจโฉนั้นมีสติปัญญาและรอบคอบ ที่ไหนเลยจะพลั้งเผลอหลงลืมเลอะเลือนเอากระดาษเปล่าส่งมาแทน หรือว่าท่านอาได้คิดอ่านประการใดกับโจโฉในทางร้ายต่อข้าพเจ้าแล้วเกรงว่าข้าพเจ้าจะทราบความ จึงแสร้งปิดหนังสือลับเสียแล้วเอากระดาษเปล่าให้ข้าพเจ้าดู
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็น้อยใจจึงว่า ความอันเรากล่าวกับเจ้าล้วนเป็นสัตย์จริงทุกสิ่งอัน หากแม้นว่าเจ้ายังสงสัยประการใด ในวันพรุ่งนี้เราจะออกไปเจรจากับโจโฉในระยะที่ไม่ห่างจากค่าย เจ้าจงคอยฟังถ้อยคำเจรจาว่าจะมีพิรุธประการใด หากแม้นเห็นว่าเรามิตั้งอยู่ในคุณธรรมน้ำมิตร คิดหักหลังเจ้าแล้ว ก็จงเอาทวนแทงเราเสียให้ตาย
ม้าเฉียวจึงว่าถ้าความจริงเป็นดังคำของท่านอาข้าพเจ้าก็จะสิ้นสงสัย จึงคำนับลาหันซุยกลับไปด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกินแหนงแคลงใจกันและกัน ในขณะที่หันซุยนั้นรู้สึกน้อยใจม้าเฉียวที่เบาความคิดระแวงจนเกินการ
พอวันรุ่งขึ้นหันซุยจึงพาเฮาชวน ลิขำ และนายทหารซึ่งสนิทรวมห้าคนออกไปจากค่าย ให้ทหารไปเชิญโจโฉมาเจรจากัน
โจโฉพอทราบว่าหันซุยให้ทหารมาเชิญก็รู้ว่าสถานการณ์ข้างกองทัพเมืองเสเหลียงบัดนี้มีความหวาดระแวงเกิดขึ้นแล้ว จึงเรียกโจหองมากระซิบสั่งความให้ออกไปเจรจาโต้ตอบกับหันซุย
โจหองพยักหน้ารับคำโจโฉแล้ว คำนับลาออกมาจัดทหารสามสิบนาย ยกออกมาที่หน้าค่ายของหันซุย ซึ่งหันซุยยืนม้าอยู่ในระยะใกล้กับค่ายด้วยหวังให้ม้าเฉียวได้แอบฟังถ้อยคำซึ่งจะได้สนทนากัน
พอโจหองขี่ม้าเข้าไปใกล้หันซุยก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่าหนังสือซึ่งให้ไปนั้นอย่าให้ผู้ใดรู้แพร่งพรายไป จะเสียการเสีย”
โจหองกล่าวสิ้นความแล้วไม่รอฟังคำตอบประการใด รีบขี่ม้าพาทหารกลับมาค่าย ในขณะที่หันซุยตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าโจโฉจะให้โจหองออกมากล่าวความดังนี้
ในขณะนั้นม้าเฉียวแอบฟังหวังจะได้ยินคำสนทนาระหว่างโจโฉกับหันซุย แต่การกลับกลายเป็นว่าได้ยินคำกำชับที่โจโฉให้โจหองมากำชับหันซุย แลความซึ่งโจหองกล่าวนั้นทำให้ความสงสัยในใจของม้าเฉียวขยายความกลายเป็นว่าหันซุยได้สมคบกับโจโฉ มีการสั่งการเป็นความลับมาในหนังสือแล้วหันซุยปกปิดหนังสือลับนั้น เอาแต่กระดาษเปล่าให้ม้าเฉียวดู ม้าเฉียวจึงสำคัญว่าหันซุยคบคิดกับโจโฉทำร้ายตัวก็โกรธ รีบขี่ม้าออกจากค่าย กรายทวนจะเข้ามาแทงหันซุยตามคำซึ่งหันซุยได้พูดไว้
นายทหารคนสนิทของหันซุยซึ่งติดตามหันซุยออกไปนอกค่ายเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ รีบสกัดขวางไม่ให้ม้าเฉียวแทงหันซุยได้ แล้วป้องกันหันซุยจะกลับเข้าค่าย
หันซุยเป็นคนซื่อ รู้ดีว่าถ้อยคำซึ่งโจหองกล่าวนั้นเป็นกลอุบายของโจโฉหวังให้ตัวและม้าเฉียวหักล้างกันเองก็เสียน้ำใจ แต่ก็หวังในไมตรีที่มีกับม้าเท้งผู้บิดาของม้าเฉียว จึงร้องบอกม้าเฉียวว่า “หลานเราอย่าสงสัยเลย อันจะคิดร้ายต่อเจ้านั้นหามิได้”
ม้าเฉียวได้ยินคำหันซุยก็สำคัญว่าหันซุยแก้ตัวเพื่อจะดำเนินการตามแผนการลับที่คบคิดกับโจโฉก็ยิ่งโกรธ จึงขี่ม้ากรายทวนจะเข้ามาแทงหันซุยอีกครั้งหนึ่ง นายทหารของหันซุยทั้งหมดที่ติดตามไปจึงช่วยกันแก้ไขคุ้มกันหันซุยกลับไปค่าย
ม้าเฉียวเห็นจะแทงหันซุยไม่ได้ก็ขี่ม้ากลับมาที่ค่ายของตัว
ครั้นหันซุยกลับไปถึงค่ายจึงปรึกษาด้วยทหารคนสนิททั้งห้าคนว่า เหตุการณ์ซึ่งเกิดทั้งนี้เป็นกลอุบายของโจโฉเราก็แจ้งอยู่ แต่ม้าเฉียวนั้นอ่อนแก่ความไม่รู้ว่าเป็นกลอุบายจึงคิดทำร้ายเราดังนี้ เราจะทำประการใดเล่าจึงจะคลายความสงสัยให้สิ้นได้
เอียวฉิวนายทหารคนสนิทของหันซุยจึงว่าตัวท่านเป็นผู้ใหญ่ มีฐานะเป็นอาของม้าเฉียวแต่ม้าเฉียวไม่ได้เกรงใจนับถือ คิดอ่านจะทำร้ายท่าน ไม่ได้เห็นความผูกพันอันสนิทมาแต่ก่อน ดังนี้จะร่วมการด้วยม้าเฉียวต่อไปเห็นจะขัดสน ถึงจะคิดอ่านงอนง้อแก้ตัวประการใดก็เหมือนกับการง้อเด็กที่เอาแต่ใจตัวเห็นจะไม่ได้การ โจโฉทำการทั้งนี้เห็นประจักษ์อยู่ว่าต้องการตัวท่านให้ออกจากม้าเฉียว ดังนั้นจึงชอบที่ท่านจะไปอยู่กับโจโฉทำราชการในเมืองหลวงก็จะได้ยศศักดิ์อัครฐานในกาลเบื้องหน้าเป็นมั่นคง
หันซุยจึงว่าตัวเรากับม้าเท้งบิดาม้าเฉียวนั้นเป็นสหายสนิท รักใคร่ดุจดังพี่น้องร่วมอุทร โจโฉฆ่าม้าเท้งเสียแล้วเราจะคิดอ่านผลาญบุตรสหายอีกเล่า เราตัดใจทำไม่ได้เลย
เอียวฉิวจึงกล่าวสืบไปว่า ตัวท่านคิดถึงความสัตย์อยู่ข้างเดียวเหมือนตบมือข้างเดียวหาดังไม่ มาตรแม้นท่านจะถือความสัตย์ประการใด แต่เมื่อม้าเฉียวคิดทำร้ายท่านดังนี้แม้ท่านไม่ตัดใจทำ ก็จำต้องทำอยู่นั่นเอง ท่านหามีทางเลือกอื่นใดอีกไม่
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นทางออกประการอื่น จึงจำใจเห็นชอบกับความคิดของเอียวฉิว.