ตอนที่ 333. อุบายของเล่าปัง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบหก ปลายเดือนอ้าย กองทัพเมืองหลวงและกองทัพเมืองเสเหลียงยังคงสู้รบติดพันกันท่ามกลางความหนาวเหน็บ ถึงขนาดน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ในขณะที่ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ร่อยหรอลง และกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายก็ลดน้อยถอยลงโดยลำดับ ดังนั้นเมื่อเคาทูอาสาออกรบด้วยกำลังฝีมือทหารเอกโจโฉจึงอนุญาต
เคาทูได้รับอนุญาตจากโจโฉแล้วคำนับลาออกไป แต่งหนังสือท้าม้าเฉียวให้ออกมารบกันด้วยฝีมือทหารเอกให้ประจักษ์แก่ตาทหารทั้งปวงโดยธรรมยุทธ์ในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า หากแม้นม้าเฉียวเกรงกลัวต่อฝีมือไม่กล้ายกออกมาสู้ก็จงรีบยอมจำนนแล้วออกมาขอขมาต่อโจโฉก็จะเว้นโทษตายให้
เคาทูแต่งหนังสือเสร็จแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้แก่ม้าเฉียวที่ค่ายตั้งแต่เวลาคืนนั้น ม้าเฉียวรับหนังสือเคาทูมาอ่านทราบความแล้วก็โกรธ และว่าเคาทูมีหนังสือมาท้าเราดังนี้หมิ่นน้ำใจเรานัก หรือวันนี้เห็นว่าเราไม่ยกทหารเข้าโจมตีแล้วสำคัญผิดคิดว่าเราเกรงกลัวต่อฝีมือ ในวันพรุ่งนี้เราจะจับเป็นเคาทูให้จงได้
พอรุ่งขึ้นเช้าทหารของทั้งสองฝ่ายต่างยกออกมาตั้งขบวนเผชิญหน้ากัน มีลานรบตรงกลางสำหรับการต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก เคาทูขี่ม้าเคียงคู่กับโจโฉออกมายืนอยู่หน้าแถวทหารฝ่ายเมืองหลวง ในขณะที่ม้าเฉียวและหันซุยขี่ม้าเคียงคู่กันยืนม้าอยู่หน้ากองทหารของเมืองเสเหลียง
พอทหารทั้งสองฝ่ายลั่นกลองรบ ม้าเฉียวจึงปรี่ม้าออกไปกลางลานรบ ชูทวนขึ้นเหนือศีรษะแล้วร้องว่าตัวเราม้าเฉียวอยู่ที่นี่แล้ว ขอเชิญเคาทูออกมาต่อสู้กันให้ประจักษ์ต่อสายตาบรรดาทหารทั้งปวง
เคาทูได้ฟังดังนั้นก็ขี่ม้าออกไปในลานรบ แล้วว่าตัวเราเคาทูอยู่ที่นี่แล้ว
โจโฉเป็นห่วงเคาทูจึงร้องตามหลังมาว่า ม้าเฉียวผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งนักเหมือนกับลิโป้ เคาทูท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
โจโฉพูดพอสิ้นเสียงสองยอดทหารเสือก็ชักม้าปราดเข้าหากัน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นสามารถ จนเพลงรบผ่านไปได้ร้อยเพลงก็ยังไม่แพ้ชนะแก่กัน แต่ม้าที่ทั้งสองฝ่ายขี่ออกรบอ่อนกำลังลง ทั้งม้าเฉียวและเคาทูล้วนเชี่ยวชาญเชิงรบบนหลังม้ารู้ท่วงท่าอย่างเดียวกันจึงต่างปลีกม้ากลับเข้าหาพวก เปลี่ยนม้าซึ่งขี่นั้นใหม่
กลองรบเปลี่ยนจากเพลงรบเป็นเพลงเริงชัยให้สองยอดทหารเสือเปลี่ยนม้าจนเสร็จแล้ว จึงเริ่มบรรเลงเพลงรบอีกครั้งหนึ่ง ม้าเฉียวเปลี่ยนม้าเสร็จแล้วชักม้าออกไปกลางลานรบก่อน แต่เคาทูนั้นมีความรู้สึกโกรธแค้นที่ไม่อาจเอาชนะม้าเฉียวได้ในร้อยเพลง นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับโจโฉก็มุมานะ จึงถอดเสื้อเกราะออกทิ้งลงที่พื้น แล้วคิดว่าหากแม้นเราไม่อาจจับม้าเฉียวได้ก็ให้ตายเสียในสนามรบนี้
เคาทูถอดเกราะทิ้งแล้วจึงขี่ม้าเข้าประง้าวกับทวนของม้าเฉียวท่ามกลางเสียงกลองลั่นเพลงรบ เป็นที่บันเทิงรื่นเริงใจแก่บรรดาทหารของทั้งสองฝ่าย
ทหารของทั้งสองฝ่ายเห็นสองยอดทหารเสือสู้รบกันอย่างดุเดือดรุนแรงและเฉียบขาดนักก็โห่ร้องด้วยความชื่นชมสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทะเลน้ำแข็ง จนเพลงรบผ่านไปอีกร้อยสามสิบเพลง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าร่วมสองร้อยสามสิบเพลงแล้วเคาทูยังไม่สามารถเอาชนะจับม้าเฉียวได้ตามคำสัญญาก็ร้อนใจ พอนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้แก่โจโฉเพลิงโทสะก็โหมเข้าสู่หัวใจของเคาทูอีกคำรบหนึ่ง เคาทูฮึดด้วยแรงโทสะจึงเงื้อง้าวฟันม้าเฉียวสุดแรง
ม้าเฉียวหลบง้าวเคาทูได้ใช้ทวนปัดตามจนง้าวกระเด็นหลุดออกจากมือ แล้วดึงทวนกลับแทงใส่หน้าอกเคาทู
เคาทูใช้มือทั้งสองจับทวนของม้าเฉียว แต่คมทวนกรีดลึกเข้าไปที่หน้าอก เคาทูยิ่งมีโทสะยุดแย่งทวนของม้าเฉียว
ทั้งสองฝ่ายแย่งทวนกันบนหลังม้าจนทวนหักออกเป็นสองท่อน ต่างฝ่ายต่างใช้ทวนคนละท่อนฟาดฟันทุบตีกันบนหลังม้าเป็นชุลมุน
โจโฉเห็นเคาทูมีเลือดไหลรินที่หน้าอกก็ตกใจ เกรงว่าเคาทูจะเสียทีแก่ม้าเฉียว จึงสั่งให้แฮหัวเอี๋ยนและโจหองขับม้าออกไปช่วยเคาทู
ฝ่ายบังเต๊กและม้าต้ายสองนายทหารเอกเมืองเสเหลียงยืนม้าสังเกตการณ์การต่อสู้อยู่ไม่กระพริบตา พอเห็นแฮหัวเอี๋ยนและโจหองขี่ม้าออกมาในลานรบ ทั้งบังเต๊กและม้าต้ายจึงกระตุ้นม้าปรี่เข้าไปขวางหน้าแฮหัวเอี๋ยนและโจหองไว้ สามขุนพลของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นชุลมุนท่ามกลางเสียงโห่ร้องและกลองศึกลั่นทุ่งราบน้ำแข็งนั้น
หันซุยยืนม้าสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสนใจ เห็นเหตุการณ์ชุลมุนดังนั้นจึงสั่งทหารให้ใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงไปที่เคาทูและทหารของโจโฉ พอดีขณะนั้นเคาทูขี่ม้าหันหลังให้ทหารของเมืองเสเหลียงต่อสู้อยู่กับม้าเฉียวไม่ทันระวังหลัง จึงถูกเกาทัณฑ์สองดอกปักติดอยู่ที่แผ่นหลัง
ทั้งเคาทูและทหารโจโฉเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ พากันแตกตื่นชุลมุน หันซุยจึงสั่งกองทัพม้าเมืองเสเหลียงให้ตะลุยเข้าตามตี
ทหารเมืองเสเหลียงได้อาณัติสัญญาณก็โห่ร้องดังลั่น แล้วกรูกันเข้าตีทหารของโจโฉซึ่งกำลังแตกตื่นตกใจ โจโฉเห็นทหารแตกตื่นคุมกันไม่ติดจึงให้ตีระฆังสัญญาณถอยทัพแล้วรีบขี่ม้าพาทหารกลับไปค่าย
ทหารเมืองเสเหลียงได้ทีจึงไล่ตามตีทหารโจโฉไปจนถึงหน้าค่าย ฝ่ายโจโฉเมื่อทหารเข้าค่ายแล้วก็ให้ปิดประตูค่ายแล้วยิงเกาทัณฑ์สกัดกั้นทหารม้าเฉียวไว้ ม้าเฉียวเห็นว่าจะเข้าตีค่ายไม่ได้จึงพาทหารยกกลับไปค่าย
พอกลับไปถึงค่ายม้าเฉียวจึงปรึกษาด้วยหันซุยว่าตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ยังไม่เห็นฝีมือทหารผู้ใดรบพุ่งเข้มแข็งเหมือนกับเคาทูทหารโจโฉผู้นี้เลย วันนี้กองทัพเราได้ทีมีชัยชนะแก่ข้าศึกด้วยสติปัญญาและประสบการณ์การสงครามของท่านอาโดยแท้ ว่าแล้วม้าเฉียวก็คำนับหันซุย
ทางฝ่ายโจโฉเมื่อยกทัพกลับเข้าค่ายแล้วก็ให้ทหารตั้งมั่นอยู่ในค่าย กำชับให้ระมัดระวังรักษาค่ายไว้มิให้เป็นอันตราย ครั้นเวลาพลบค่ำโจโฉจึงสั่งให้ซิหลงและจูเหลงแบ่งทหารอีกกองหนึ่งลอบยกข้ามฟากไปตั้งกระหนาบกองทัพของม้าเฉียวไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อให้ม้าเฉียวห่วงหน้าพะวงหลัง
ครั้นวันรุ่งขึ้นโจโฉขี่ม้าพาทหารขึ้นไปยืนอยู่บนเนินเขา มองลงไปยังค่ายของม้าเฉียว เห็นม้าเฉียวและทหารแวดล้อมประมาณสามร้อยนายกำลังลาดตระเวนอยู่ในค่ายก็น้อยใจ ถอดหมวกเกราะโยนทิ้งลงกับพื้น แล้วว่า “ม้าเฉียวนี้แม้มิตายเพราะมือเรา นานไปเบื้องหน้าก็จะทำอันตรายแก่เรา ศพเรานี้มิรู้ที่จะกำหนดว่าจะอยู่แห่งใดได้”
แฮหัวเอี๋ยนยืนม้าอยู่ข้างโจโฉ ได้ฟังเสียงปรารภของโจโฉเป็นเชิงน้อยใจดังนั้นก็โกรธม้าเฉียวเป็นอันมาก แล้วว่าท่านจะเกรงไปไยกับฝีมือม้าเฉียวเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าขออาสาไปตัดศีรษะม้าเฉียวมาให้จงได้ ว่าแล้วแฮหัวเอี๋ยนก็กระตุ้นม้าขี่ลงไปจากเนินเขา โจโฉร้องห้ามไล่ตามหลังมาแฮหัวเอี๋ยนก็ไม่ฟัง คงขี่ม้าตรงไปที่ค่ายของม้าเฉียว
โจโฉเห็นแฮหัวเอี๋ยนกำลังโกรธก็เกรงว่าแฮหัวเอี๋ยนจะเสียทีแก่ม้าเฉียวจึงยกทหารตามแฮหัวเอี๋ยนไป
ทางฝ่ายม้าเฉียวได้ยินเสียงอึกทึกมาแต่ค่ายของโจโฉ เหลือบไปมองเห็นแฮหัวเอี๋ยนขี่ม้าตรงมาก็ขี่ม้าพาทหารออกไปนอกค่ายจะรบด้วยแฮหัวเอี๋ยน ในทันใดนั้นเห็นโจโฉขี่ม้าอยู่ภายใต้ธงประจำตัวอัครมหาเสนาบดีนำหน้าทหารทั้งปวงยกตามแฮหัวเอี๋ยนมา จึงเบี่ยงม้าวกอ้อมแฮหัวเอี๋ยนตรงไปจะจับตัวโจโฉ
โจโฉเห็นม้าเฉียวยกทหารพุ่งตรงมาก็ตกใจ รีบชักม้าพาทหารหนีกลับไปทางค่าย ม้าเฉียวเห็นได้ทีจึงสั่งทหารไล่ตามตีไปจนถึงใกล้หน้าค่าย ฆ่าฟันทหารโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนอยู่นั้น หน่วยสอดแนมได้ขี่ม้าตามเข้าไปใกล้ม้าเฉียวแล้วรายงานว่าบัดนี้โจโฉได้ให้ทหารไปตั้งค่ายกระหนาบอยู่อีกด้านหนึ่ง ม้าเฉียวฟังรายงานแล้วเกรงว่าถ้าขืนรุกไล่ต่อไปก็อาจถูกกองทหารของซิหลงและจูเหลงซึ่งตั้งค่ายกระหนาบอยู่ยกมาทำอันตราย จึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย
พอกลับถึงค่ายจึงเชิญหันซุยมาปรึกษาว่าโจโฉนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ลอบตั้งค่ายกระหนาบค่ายของเราไว้ แล้วลวงให้ตีทางด้านหนึ่งหวังจะให้ทหารอีกกองหนึ่งตีกระหนาบ ท่านอาจะคิดอ่านประการใดจึงจะแก้กลศึกของโจโฉได้
ในขณะที่หันซุยกำลังครุ่นคิดแก้กลศึกของโจโฉนั้น ลิขำทหารเอกและเป็นที่ปรึกษาของหันซุยได้เสนอว่าโจโฉนี้ชำนาญการสงคราม และบัดนี้เป็นฤดูหนาวทหารทั้งสองฝ่ายได้ยากลำบากนัก ชอบที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ทำความตกลงเลิกทัพกลับไปเมืองก่อน พ้นเทศกาลหน้าหนาวแล้วค่อยยกมารบกันอีกครั้งหนึ่ง
หันซุยยังคิดแก้กลศึกของโจโฉไม่ออก ครั้นได้ฟังเสียงลิขำขัดขึ้นดังนั้นก็เห็นชอบจึงกล่าวสนับสนุนว่าอันความคิดลิขำครั้งนี้เห็นชอบกลอยู่ ท่านจงไตร่ตรองดูให้จงดี
ม้าเฉียวเป็นเลือดนักรบ คิดที่จะสู้รบกับกองทัพเมืองหลวงให้แตกหักเสียแต่ในครั้งนี้ ครั้นได้ฟังความคิดที่จะให้เลิกทัพกลับไปเมืองก็ไม่พอใจจึงนิ่งอยู่
ฝ่ายเอียวฉิวและเฮาชวนนายทหารรองของหันซุยเห็นท่าทีหันซุยโน้มไปในทางที่จะเลิกทัพก็กล่าวสนับสนุนว่าความคิดของลิขำครั้งนี้ชอบด้วยการสงครามแล้ว เพราะประเพณีการสงครามแต่ก่อนมาย่อมคำนึงถึงฤดูกาล บัดนี้เป็นเทศกาลหน้าหนาวจัด ทหารทั้งสองฝ่ายได้ยากลำบากนัก จึงชอบที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองก่อน
ม้าเฉียวได้ฟังฝ่ายของหันซุยมีความเห็นเป็นทิศทางเดียวกันก็เกรงใจหันซุยจึงได้แต่นิ่งเงียบ หันซุยเห็นม้าเฉียวมีอาการดังนั้นก็สำคัญว่าม้าเฉียวเห็นชอบด้วยจำนนต่อเหตุผลจึงแต่งหนังสือให้เอียวฉิวถือไปให้แก่กองทัพของโจโฉว่า “เราทั้งสองจะรบพุ่งกันนั้นหาต้องการไม่ บัดนี้ก็เป็นเทศกาลหนาวแล้ว เราทั้งสองฝ่ายจงเป็นไมตรีเสียด้วยกัน เลิกทัพไปเถิด”
โจโฉได้รับหนังสือของหันซุย ทราบความแล้วก็คิดว่าบัดนี้ในกองทัพเมืองเสเหลียงคงขัดสน คิดจะเลิกทัพกลับ แม้กองทัพฝ่ายเมืองหลวงก็ขัดสน คิดจะเลิกทัพกลับเช่นเดียวกันก็จริงอยู่แต่จะตอบไปในทันทีก็เกรงว่าจะเป็นกลอุบายของฝ่ายหันซุย จึงแจ้งแก่เอียวฉิวว่าท่านจงกลับไปก่อน วันพรุ่งนี้เราจะตอบหนังสือส่งไปให้หันซุย
เอียวฉิวเสร็จธุระแล้วจึงคำนับลาโจโฉกลับไปค่าย แล้วแจ้งความให้หันซุยทราบทุกประการ
ฝ่ายที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของโจโฉ ครั้นเอียวฉิวกลับไปแล้วจึงถามโจโฉว่าซึ่งท่านให้เอียวฉิวกลับไปก่อนแล้วจะตอบหนังสือไปในภายหลังนั้น ท่านคิดอ่านประการใดหรือ
โจโฉจึงว่าเราจะคิดกลอุบายตามอย่างของพระเจ้าเล่าปัง เมื่อครั้งรบกับฌ้ออ๋องแล้วต่างฝ่ายต่างทำสัญญาเลิกทัพกลับไปเมืองโดยแบ่งดินแดนกันคนละครึ่ง ในขณะที่ฌ้ออ๋องกำลังเลิกทัพกลับ พระเจ้าเล่าปังก็ยกกองทัพเข้าโจมตี ฌ้ออ๋องจึงเสียทีแก่พระเจ้าเล่าปัง
ครั้นรุ่งขึ้นโจโฉจึงแต่งหนังสือส่งไปให้หันซุย ณ ค่ายว่าซึ่งท่านมีหนังสือขอเป็นไมตรีไม่ทำสงครามกันสืบไปนั้นเรามีความยินดีนัก จะไม่ได้ยากแก่ทหารสืบไป ทั้งราษฎรก็จะได้ความสุข แต่เราเป็นอัครมหาเสนาบดี ทำการในพระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ หากจะเลิกทัพกลับไปก่อนนั้นมิชอบ จึงให้ท่านซึ่งเป็นกองทัพหัวเมืองเลิกทัพกลับไปก่อนแล้วเราจะค่อยเลิกทัพกลับเมืองหลวงต่อไป
โจโฉแต่งหนังสือเสร็จแล้วสั่งทหารให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำ แสดงอาการว่าเตรียมการที่จะยกทัพกลับเมืองหลวง เพื่อจะลวงให้หันซุยและม้าเฉียววางใจ
ทางฝ่ายกองทัพเมืองเสเหลียง ครั้นหันซุยได้รับหนังสือของโจโฉจึงเชิญม้าเฉียวมาปรึกษาว่าโจโฉมีหนังสือตอบมาดังนี้จะมีความคิดอ่านประการใด
ม้าเฉียวจึงว่าโจโฉนี้ชำนาญการศึก เปี่ยมด้วยเล่ห์อุบายในสงคราม ซึ่งโจโฉมีหนังสือมาดังนี้จะไว้ใจมิได้ก่อน เกลือกว่าขณะเรากำลังถอยทัพ โจโฉจะยกทหารทั้งสองค่ายเข้ากระหนาบตีเราก็จะเสียทีแก่ข้าศึก.
เคาทูได้รับอนุญาตจากโจโฉแล้วคำนับลาออกไป แต่งหนังสือท้าม้าเฉียวให้ออกมารบกันด้วยฝีมือทหารเอกให้ประจักษ์แก่ตาทหารทั้งปวงโดยธรรมยุทธ์ในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า หากแม้นม้าเฉียวเกรงกลัวต่อฝีมือไม่กล้ายกออกมาสู้ก็จงรีบยอมจำนนแล้วออกมาขอขมาต่อโจโฉก็จะเว้นโทษตายให้
เคาทูแต่งหนังสือเสร็จแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือไปให้แก่ม้าเฉียวที่ค่ายตั้งแต่เวลาคืนนั้น ม้าเฉียวรับหนังสือเคาทูมาอ่านทราบความแล้วก็โกรธ และว่าเคาทูมีหนังสือมาท้าเราดังนี้หมิ่นน้ำใจเรานัก หรือวันนี้เห็นว่าเราไม่ยกทหารเข้าโจมตีแล้วสำคัญผิดคิดว่าเราเกรงกลัวต่อฝีมือ ในวันพรุ่งนี้เราจะจับเป็นเคาทูให้จงได้
พอรุ่งขึ้นเช้าทหารของทั้งสองฝ่ายต่างยกออกมาตั้งขบวนเผชิญหน้ากัน มีลานรบตรงกลางสำหรับการต่อสู้กันด้วยฝีมือทหารเอก เคาทูขี่ม้าเคียงคู่กับโจโฉออกมายืนอยู่หน้าแถวทหารฝ่ายเมืองหลวง ในขณะที่ม้าเฉียวและหันซุยขี่ม้าเคียงคู่กันยืนม้าอยู่หน้ากองทหารของเมืองเสเหลียง
พอทหารทั้งสองฝ่ายลั่นกลองรบ ม้าเฉียวจึงปรี่ม้าออกไปกลางลานรบ ชูทวนขึ้นเหนือศีรษะแล้วร้องว่าตัวเราม้าเฉียวอยู่ที่นี่แล้ว ขอเชิญเคาทูออกมาต่อสู้กันให้ประจักษ์ต่อสายตาบรรดาทหารทั้งปวง
เคาทูได้ฟังดังนั้นก็ขี่ม้าออกไปในลานรบ แล้วว่าตัวเราเคาทูอยู่ที่นี่แล้ว
โจโฉเป็นห่วงเคาทูจึงร้องตามหลังมาว่า ม้าเฉียวผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งนักเหมือนกับลิโป้ เคาทูท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
โจโฉพูดพอสิ้นเสียงสองยอดทหารเสือก็ชักม้าปราดเข้าหากัน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นสามารถ จนเพลงรบผ่านไปได้ร้อยเพลงก็ยังไม่แพ้ชนะแก่กัน แต่ม้าที่ทั้งสองฝ่ายขี่ออกรบอ่อนกำลังลง ทั้งม้าเฉียวและเคาทูล้วนเชี่ยวชาญเชิงรบบนหลังม้ารู้ท่วงท่าอย่างเดียวกันจึงต่างปลีกม้ากลับเข้าหาพวก เปลี่ยนม้าซึ่งขี่นั้นใหม่
กลองรบเปลี่ยนจากเพลงรบเป็นเพลงเริงชัยให้สองยอดทหารเสือเปลี่ยนม้าจนเสร็จแล้ว จึงเริ่มบรรเลงเพลงรบอีกครั้งหนึ่ง ม้าเฉียวเปลี่ยนม้าเสร็จแล้วชักม้าออกไปกลางลานรบก่อน แต่เคาทูนั้นมีความรู้สึกโกรธแค้นที่ไม่อาจเอาชนะม้าเฉียวได้ในร้อยเพลง นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับโจโฉก็มุมานะ จึงถอดเสื้อเกราะออกทิ้งลงที่พื้น แล้วคิดว่าหากแม้นเราไม่อาจจับม้าเฉียวได้ก็ให้ตายเสียในสนามรบนี้
เคาทูถอดเกราะทิ้งแล้วจึงขี่ม้าเข้าประง้าวกับทวนของม้าเฉียวท่ามกลางเสียงกลองลั่นเพลงรบ เป็นที่บันเทิงรื่นเริงใจแก่บรรดาทหารของทั้งสองฝ่าย
ทหารของทั้งสองฝ่ายเห็นสองยอดทหารเสือสู้รบกันอย่างดุเดือดรุนแรงและเฉียบขาดนักก็โห่ร้องด้วยความชื่นชมสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทะเลน้ำแข็ง จนเพลงรบผ่านไปอีกร้อยสามสิบเพลง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าร่วมสองร้อยสามสิบเพลงแล้วเคาทูยังไม่สามารถเอาชนะจับม้าเฉียวได้ตามคำสัญญาก็ร้อนใจ พอนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้แก่โจโฉเพลิงโทสะก็โหมเข้าสู่หัวใจของเคาทูอีกคำรบหนึ่ง เคาทูฮึดด้วยแรงโทสะจึงเงื้อง้าวฟันม้าเฉียวสุดแรง
ม้าเฉียวหลบง้าวเคาทูได้ใช้ทวนปัดตามจนง้าวกระเด็นหลุดออกจากมือ แล้วดึงทวนกลับแทงใส่หน้าอกเคาทู
เคาทูใช้มือทั้งสองจับทวนของม้าเฉียว แต่คมทวนกรีดลึกเข้าไปที่หน้าอก เคาทูยิ่งมีโทสะยุดแย่งทวนของม้าเฉียว
ทั้งสองฝ่ายแย่งทวนกันบนหลังม้าจนทวนหักออกเป็นสองท่อน ต่างฝ่ายต่างใช้ทวนคนละท่อนฟาดฟันทุบตีกันบนหลังม้าเป็นชุลมุน
โจโฉเห็นเคาทูมีเลือดไหลรินที่หน้าอกก็ตกใจ เกรงว่าเคาทูจะเสียทีแก่ม้าเฉียว จึงสั่งให้แฮหัวเอี๋ยนและโจหองขับม้าออกไปช่วยเคาทู
ฝ่ายบังเต๊กและม้าต้ายสองนายทหารเอกเมืองเสเหลียงยืนม้าสังเกตการณ์การต่อสู้อยู่ไม่กระพริบตา พอเห็นแฮหัวเอี๋ยนและโจหองขี่ม้าออกมาในลานรบ ทั้งบังเต๊กและม้าต้ายจึงกระตุ้นม้าปรี่เข้าไปขวางหน้าแฮหัวเอี๋ยนและโจหองไว้ สามขุนพลของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นชุลมุนท่ามกลางเสียงโห่ร้องและกลองศึกลั่นทุ่งราบน้ำแข็งนั้น
หันซุยยืนม้าสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสนใจ เห็นเหตุการณ์ชุลมุนดังนั้นจึงสั่งทหารให้ใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงไปที่เคาทูและทหารของโจโฉ พอดีขณะนั้นเคาทูขี่ม้าหันหลังให้ทหารของเมืองเสเหลียงต่อสู้อยู่กับม้าเฉียวไม่ทันระวังหลัง จึงถูกเกาทัณฑ์สองดอกปักติดอยู่ที่แผ่นหลัง
ทั้งเคาทูและทหารโจโฉเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ พากันแตกตื่นชุลมุน หันซุยจึงสั่งกองทัพม้าเมืองเสเหลียงให้ตะลุยเข้าตามตี
ทหารเมืองเสเหลียงได้อาณัติสัญญาณก็โห่ร้องดังลั่น แล้วกรูกันเข้าตีทหารของโจโฉซึ่งกำลังแตกตื่นตกใจ โจโฉเห็นทหารแตกตื่นคุมกันไม่ติดจึงให้ตีระฆังสัญญาณถอยทัพแล้วรีบขี่ม้าพาทหารกลับไปค่าย
ทหารเมืองเสเหลียงได้ทีจึงไล่ตามตีทหารโจโฉไปจนถึงหน้าค่าย ฝ่ายโจโฉเมื่อทหารเข้าค่ายแล้วก็ให้ปิดประตูค่ายแล้วยิงเกาทัณฑ์สกัดกั้นทหารม้าเฉียวไว้ ม้าเฉียวเห็นว่าจะเข้าตีค่ายไม่ได้จึงพาทหารยกกลับไปค่าย
พอกลับไปถึงค่ายม้าเฉียวจึงปรึกษาด้วยหันซุยว่าตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ยังไม่เห็นฝีมือทหารผู้ใดรบพุ่งเข้มแข็งเหมือนกับเคาทูทหารโจโฉผู้นี้เลย วันนี้กองทัพเราได้ทีมีชัยชนะแก่ข้าศึกด้วยสติปัญญาและประสบการณ์การสงครามของท่านอาโดยแท้ ว่าแล้วม้าเฉียวก็คำนับหันซุย
ทางฝ่ายโจโฉเมื่อยกทัพกลับเข้าค่ายแล้วก็ให้ทหารตั้งมั่นอยู่ในค่าย กำชับให้ระมัดระวังรักษาค่ายไว้มิให้เป็นอันตราย ครั้นเวลาพลบค่ำโจโฉจึงสั่งให้ซิหลงและจูเหลงแบ่งทหารอีกกองหนึ่งลอบยกข้ามฟากไปตั้งกระหนาบกองทัพของม้าเฉียวไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อให้ม้าเฉียวห่วงหน้าพะวงหลัง
ครั้นวันรุ่งขึ้นโจโฉขี่ม้าพาทหารขึ้นไปยืนอยู่บนเนินเขา มองลงไปยังค่ายของม้าเฉียว เห็นม้าเฉียวและทหารแวดล้อมประมาณสามร้อยนายกำลังลาดตระเวนอยู่ในค่ายก็น้อยใจ ถอดหมวกเกราะโยนทิ้งลงกับพื้น แล้วว่า “ม้าเฉียวนี้แม้มิตายเพราะมือเรา นานไปเบื้องหน้าก็จะทำอันตรายแก่เรา ศพเรานี้มิรู้ที่จะกำหนดว่าจะอยู่แห่งใดได้”
แฮหัวเอี๋ยนยืนม้าอยู่ข้างโจโฉ ได้ฟังเสียงปรารภของโจโฉเป็นเชิงน้อยใจดังนั้นก็โกรธม้าเฉียวเป็นอันมาก แล้วว่าท่านจะเกรงไปไยกับฝีมือม้าเฉียวเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าขออาสาไปตัดศีรษะม้าเฉียวมาให้จงได้ ว่าแล้วแฮหัวเอี๋ยนก็กระตุ้นม้าขี่ลงไปจากเนินเขา โจโฉร้องห้ามไล่ตามหลังมาแฮหัวเอี๋ยนก็ไม่ฟัง คงขี่ม้าตรงไปที่ค่ายของม้าเฉียว
โจโฉเห็นแฮหัวเอี๋ยนกำลังโกรธก็เกรงว่าแฮหัวเอี๋ยนจะเสียทีแก่ม้าเฉียวจึงยกทหารตามแฮหัวเอี๋ยนไป
ทางฝ่ายม้าเฉียวได้ยินเสียงอึกทึกมาแต่ค่ายของโจโฉ เหลือบไปมองเห็นแฮหัวเอี๋ยนขี่ม้าตรงมาก็ขี่ม้าพาทหารออกไปนอกค่ายจะรบด้วยแฮหัวเอี๋ยน ในทันใดนั้นเห็นโจโฉขี่ม้าอยู่ภายใต้ธงประจำตัวอัครมหาเสนาบดีนำหน้าทหารทั้งปวงยกตามแฮหัวเอี๋ยนมา จึงเบี่ยงม้าวกอ้อมแฮหัวเอี๋ยนตรงไปจะจับตัวโจโฉ
โจโฉเห็นม้าเฉียวยกทหารพุ่งตรงมาก็ตกใจ รีบชักม้าพาทหารหนีกลับไปทางค่าย ม้าเฉียวเห็นได้ทีจึงสั่งทหารไล่ตามตีไปจนถึงใกล้หน้าค่าย ฆ่าฟันทหารโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนอยู่นั้น หน่วยสอดแนมได้ขี่ม้าตามเข้าไปใกล้ม้าเฉียวแล้วรายงานว่าบัดนี้โจโฉได้ให้ทหารไปตั้งค่ายกระหนาบอยู่อีกด้านหนึ่ง ม้าเฉียวฟังรายงานแล้วเกรงว่าถ้าขืนรุกไล่ต่อไปก็อาจถูกกองทหารของซิหลงและจูเหลงซึ่งตั้งค่ายกระหนาบอยู่ยกมาทำอันตราย จึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย
พอกลับถึงค่ายจึงเชิญหันซุยมาปรึกษาว่าโจโฉนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ลอบตั้งค่ายกระหนาบค่ายของเราไว้ แล้วลวงให้ตีทางด้านหนึ่งหวังจะให้ทหารอีกกองหนึ่งตีกระหนาบ ท่านอาจะคิดอ่านประการใดจึงจะแก้กลศึกของโจโฉได้
ในขณะที่หันซุยกำลังครุ่นคิดแก้กลศึกของโจโฉนั้น ลิขำทหารเอกและเป็นที่ปรึกษาของหันซุยได้เสนอว่าโจโฉนี้ชำนาญการสงคราม และบัดนี้เป็นฤดูหนาวทหารทั้งสองฝ่ายได้ยากลำบากนัก ชอบที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ทำความตกลงเลิกทัพกลับไปเมืองก่อน พ้นเทศกาลหน้าหนาวแล้วค่อยยกมารบกันอีกครั้งหนึ่ง
หันซุยยังคิดแก้กลศึกของโจโฉไม่ออก ครั้นได้ฟังเสียงลิขำขัดขึ้นดังนั้นก็เห็นชอบจึงกล่าวสนับสนุนว่าอันความคิดลิขำครั้งนี้เห็นชอบกลอยู่ ท่านจงไตร่ตรองดูให้จงดี
ม้าเฉียวเป็นเลือดนักรบ คิดที่จะสู้รบกับกองทัพเมืองหลวงให้แตกหักเสียแต่ในครั้งนี้ ครั้นได้ฟังความคิดที่จะให้เลิกทัพกลับไปเมืองก็ไม่พอใจจึงนิ่งอยู่
ฝ่ายเอียวฉิวและเฮาชวนนายทหารรองของหันซุยเห็นท่าทีหันซุยโน้มไปในทางที่จะเลิกทัพก็กล่าวสนับสนุนว่าความคิดของลิขำครั้งนี้ชอบด้วยการสงครามแล้ว เพราะประเพณีการสงครามแต่ก่อนมาย่อมคำนึงถึงฤดูกาล บัดนี้เป็นเทศกาลหน้าหนาวจัด ทหารทั้งสองฝ่ายได้ยากลำบากนัก จึงชอบที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองก่อน
ม้าเฉียวได้ฟังฝ่ายของหันซุยมีความเห็นเป็นทิศทางเดียวกันก็เกรงใจหันซุยจึงได้แต่นิ่งเงียบ หันซุยเห็นม้าเฉียวมีอาการดังนั้นก็สำคัญว่าม้าเฉียวเห็นชอบด้วยจำนนต่อเหตุผลจึงแต่งหนังสือให้เอียวฉิวถือไปให้แก่กองทัพของโจโฉว่า “เราทั้งสองจะรบพุ่งกันนั้นหาต้องการไม่ บัดนี้ก็เป็นเทศกาลหนาวแล้ว เราทั้งสองฝ่ายจงเป็นไมตรีเสียด้วยกัน เลิกทัพไปเถิด”
โจโฉได้รับหนังสือของหันซุย ทราบความแล้วก็คิดว่าบัดนี้ในกองทัพเมืองเสเหลียงคงขัดสน คิดจะเลิกทัพกลับ แม้กองทัพฝ่ายเมืองหลวงก็ขัดสน คิดจะเลิกทัพกลับเช่นเดียวกันก็จริงอยู่แต่จะตอบไปในทันทีก็เกรงว่าจะเป็นกลอุบายของฝ่ายหันซุย จึงแจ้งแก่เอียวฉิวว่าท่านจงกลับไปก่อน วันพรุ่งนี้เราจะตอบหนังสือส่งไปให้หันซุย
เอียวฉิวเสร็จธุระแล้วจึงคำนับลาโจโฉกลับไปค่าย แล้วแจ้งความให้หันซุยทราบทุกประการ
ฝ่ายที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของโจโฉ ครั้นเอียวฉิวกลับไปแล้วจึงถามโจโฉว่าซึ่งท่านให้เอียวฉิวกลับไปก่อนแล้วจะตอบหนังสือไปในภายหลังนั้น ท่านคิดอ่านประการใดหรือ
โจโฉจึงว่าเราจะคิดกลอุบายตามอย่างของพระเจ้าเล่าปัง เมื่อครั้งรบกับฌ้ออ๋องแล้วต่างฝ่ายต่างทำสัญญาเลิกทัพกลับไปเมืองโดยแบ่งดินแดนกันคนละครึ่ง ในขณะที่ฌ้ออ๋องกำลังเลิกทัพกลับ พระเจ้าเล่าปังก็ยกกองทัพเข้าโจมตี ฌ้ออ๋องจึงเสียทีแก่พระเจ้าเล่าปัง
ครั้นรุ่งขึ้นโจโฉจึงแต่งหนังสือส่งไปให้หันซุย ณ ค่ายว่าซึ่งท่านมีหนังสือขอเป็นไมตรีไม่ทำสงครามกันสืบไปนั้นเรามีความยินดีนัก จะไม่ได้ยากแก่ทหารสืบไป ทั้งราษฎรก็จะได้ความสุข แต่เราเป็นอัครมหาเสนาบดี ทำการในพระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ หากจะเลิกทัพกลับไปก่อนนั้นมิชอบ จึงให้ท่านซึ่งเป็นกองทัพหัวเมืองเลิกทัพกลับไปก่อนแล้วเราจะค่อยเลิกทัพกลับเมืองหลวงต่อไป
โจโฉแต่งหนังสือเสร็จแล้วสั่งทหารให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำ แสดงอาการว่าเตรียมการที่จะยกทัพกลับเมืองหลวง เพื่อจะลวงให้หันซุยและม้าเฉียววางใจ
ทางฝ่ายกองทัพเมืองเสเหลียง ครั้นหันซุยได้รับหนังสือของโจโฉจึงเชิญม้าเฉียวมาปรึกษาว่าโจโฉมีหนังสือตอบมาดังนี้จะมีความคิดอ่านประการใด
ม้าเฉียวจึงว่าโจโฉนี้ชำนาญการศึก เปี่ยมด้วยเล่ห์อุบายในสงคราม ซึ่งโจโฉมีหนังสือมาดังนี้จะไว้ใจมิได้ก่อน เกลือกว่าขณะเรากำลังถอยทัพ โจโฉจะยกทหารทั้งสองค่ายเข้ากระหนาบตีเราก็จะเสียทีแก่ข้าศึก.