ตอนที่ 332. กลสร้างค่ายน้ำแข็ง

เจี้ยนอันศกปีที่สิบหก เดือนอ้าย เป็นเทศกาลฤดูหนาว ลมหนาวแผ่ปกคลุมทั่วทั้งประเทศจีน ยามใดที่ลมหนาวพัดกล้าน้ำก็กลายเป็นน้ำแข็ง กองทัพของเมืองหลวงและกองทัพเมืองเสเหลียงต่างได้ยากลำบากและทุกข์ทรมานนัก แต่ทั้งสองฝ่ายคล้ายประหนึ่งเลือดบ้าสงครามเข้าตา ลืมความยากลำบากไปสิ้น ยังคงตั้งหน้าโรมรันพันตูกันไม่ยอมเลิกรา

            กองทัพของม้าเฉียวและบังเต๊กยกตามกองทหารของเชงหงีเพื่อปล้นค่ายของโจโฉ ครั้นเห็นกองทหารของเชงหงีซึ่งเป็นกองหน้าเสียทีแก่ข้าศึกถูกกองทหารของโจโฉเข้าล้อมไว้ ม้าเฉียวและบังเต๊กจึงแยกทหารเป็นสามกองเข้าตีกองทหารของโจโฉ ทหารของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันเป็นชุลมุน จนล้าลงทั้งสองฝ่ายจึงแยกกันกลับเข้าค่าย

            กองทัพเมืองเสเหลียงเป็นกองทัพม้าแข็งแกร่งยิ่งนัก ดังนั้นแม้จะลำบากด้วยความหนาวแต่ยังคงกล้าแกร่ง ผิดจากทหารของเมืองหลวงได้รับทุกขเวทนาจากความหนาวก็เสียขวัญ โจโฉจึงสั่งให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย ในขณะที่กองทัพเมืองเสเหลียงพยายามยกเข้าปล้นค่ายทุกวัน

            สภาพที่ฝ่ายหนึ่งเข้าตีและอีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับดำเนินไปท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ โจโฉเห็นว่าหากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะเสียทีแก่ข้าศึก จึงสั่งทหารให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำอุยโหไปยังอีกฟากหนึ่ง และให้ทำสะพานจากอีกฟากหนึ่งทอดกลับมายังค่ายของโจหยิน เพื่อหวังให้ทหารทั้งสองกองสามารถเชื่อมโยงเกื้อหนุนช่วยเหลือกันได้

            และเพราะเหตุที่สงครามดำเนินไปนานวันรั้วค่ายของโจโฉจึงทรุดโทรมลง ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้เอาเกวียนและรถม้าเข้าไปเสริมแทนรั้วค่ายเพื่อป้องกันข้าศึก

            ม้าเฉียวเห็นฝ่ายโจโฉทำสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมโยงกับค่ายของโจหยินเพื่อให้หนุนช่วยกันได้โดยสะดวกและซ่อมแต่งรั้วค่ายดังนั้น จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าค่ายของกองทัพเมืองหลวงในบัดนี้ชำรุดทรุดโทรมถึงขนาดแล้วจึงต้องทำการดังนี้ เราคิดที่จะเผาสะพานและค่ายของโจโฉเสียให้สิ้น ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด

            บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำปรึกษาก็เห็นด้วย ม้าเฉียวจึงสั่งให้ทหารทุกคนเตรียมคบเพลิงคนละอัน และให้เตรียมพร้อมเพื่อจะยกไปเผาสะพานและค่ายของโจโฉในเวลากลางคืน

            พอค่ำลงในขณะที่ทหารเมืองหลวงกำลังพักผ่อนซ่อนตัวหลบลมหนาว กองทัพเมืองเสเหลียงก็ลอบยกออกจากด่านเป็นสามกอง สองกองแรกเข้าวางเพลิงเผาสะพานทั้งสองแห่ง ส่วนอีกกองหนึ่งม้าเฉียวคุมทหารไปด้วยตนเองบุกเข้าเผาปล้นค่ายของโจโฉ

            แสงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นที่สะพานทั้งสองแห่ง เสียงทหารเมืองเสเหลียงโห่ร้องก้องกระหึ่มท่ามกลางลมหนาว และยิงธนูเพลิงเข้าไปในค่ายของโจโฉดุจห่าฝน แล้วตีหักฝ่าประตูค่ายได้สำเร็จ

            ทหารม้าเมืองเสเหลียงตีเข้าไปในค่ายของโจโฉและฆ่าฟันทหารเมืองหลวงบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พวกที่เหลือก็พากันแตกตื่นตกใจ ระส่ำระสายไปคนละทิศละทาง

            โจโฉและนายทหารเห็นจะตั้งรับกองทัพม้าเมืองเสเหลียงไม่ได้ จึงพาทหารหนีไปทางทิศใต้ระยะทางห้าสิบเส้นก็ชุมนุมพลอยู่ ณ ที่นั้น

            ฝ่ายม้าเฉียวและหันซุยครั้นวางเพลิงเผาสะพานข้ามแม่น้ำทั้งสองแห่งและยึดค่ายทหารโจโฉได้แล้ว จึงคุมทหารมาตั้งอยู่ที่ค่ายเดิมของโจโฉที่ริมแม่น้ำอุยโหอีกแห่งหนึ่ง

            โจโฉพาทหารแตกหนีไปชุมนุมพลอยู่ทางทิศใต้ของค่ายริมแม่น้ำอุยโหระยะห้าสิบเส้น พอใกล้สว่างก็รวบรวมพลได้จึงคิดจะยกทหารมาตั้งมั่นอยู่ที่ค่ายเดิม แต่หน่วยสอดแนมได้รายงานว่าซึ่งจะยกไปตั้งค่ายในที่เดิมนั้นเห็นจะขัดสน ด้วยทหารม้าเมืองเสเหลียงได้ยึดครองค่ายเก่าไว้แล้ว

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เสียน้ำใจ ครั้นคิดจะตัดไม้ตั้งค่ายใหม่ในที่ซึ่งชุมนุมพลอยู่นั้นก็ขัดสนนัก ด้วยระยะทางไกลจากป่าและอากาศก็หนาวเหน็บ โจโฉจึงสั่งทหารให้ขุดดินทำเป็นกำแพงค่ายชั่วคราว

            แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นดินปนทราย พอขุดดินก่อพ้นหัวเข่ากำแพงก็พังทะลายลงมา โจโฉให้ท้อแท้ใจเป็นอันมาก จึงสั่งทหารให้เรียงรายเป็นค่ายมนุษย์ตั้งมั่นอยู่ในที่เดิม

            ในตอนบ่ายของวันนั้นทหารรักษาการณ์ได้รายงานโจโฉว่ามีชายชราผู้หนึ่งมาขอพบบอกว่ามีแผนการสำคัญ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่พบชายชราเมื่อครั้งที่รบกับอ้วนเสี้ยว แล้วบอกว่าโจโฉเป็นผู้มีวาสนาที่ตั้งตารอคอยมาหลายสิบปีจึงสั่งทหารให้รีบไปเชิญชายชราเข้ามาพบ

            ครู่หนึ่งโจโฉก็เห็นทหารพาชายชราผู้หนึ่งรูปร่างผอมสูง อายุราวแปดสิบห้าปี แต่งกายด้วยชุดนักพรตในลัทธิเต๋า สวมหมวกฟาง ไรผมขาวโพลน ดวงตามีประกายสดใส ริมฝีปากแดง ก็รู้สึกเลื่อมใส จึงลุกออกไปต้อนรับคำนับชายชรานั้นแล้วว่าท่านมาเยือนข้าพเจ้าในวันนี้เป็นวาสนาของข้าพเจ้าที่จะได้รู้จักท่าน แต่ไม่ทราบว่าท่านมีกิจธุระประการใดจะใช้สอยข้าพเจ้าหรือ

            ชายชรานั้นรับคำนับโจโฉแล้วว่า ตัวเรามาหาท่านบัดนี้หาได้มีการส่วนตัวประการใดไม่ แต่มาด้วยการของแผ่นดิน ด้วยได้เห็นทหารเมืองหลวงต้องทุกข์ยากทรมานด้วยลมหนาวเป็นที่เวทนาจึงมีน้ำใจเมตตามาบอกแผนการสำคัญให้

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าท่านผู้เฒ่ามีน้ำใจเมตตาดังนี้เป็นที่ซาบซึ้งใจแก่ข้าพเจ้านัก อันการศึกระหว่างกองทัพเมืองหลวงกับกองทัพเมืองเสเหลียงติดพันกันมาช้านานแล้ว บัดนี้กองทัพเมืองหลวงเสียทีไม่มีค่ายที่จะอาศัย ท่านมีแผนการประการใดหรือ

            ผู้เฒ่าจึงว่าซึ่งท่านให้ทหารตั้งชุมนุมระมัดระวังเป็นค่ายมนุษย์นั้น จะตั้งรับได้ก็แต่วันสองวัน หากเนิ่นช้าไปลมหนาวพัดจัดมาเห็นจะเสียทีแก่ข้าศึก ไฉนท่านจึงไม่คิดอ่านขุดดินพูนให้สูงทำเป็นค่ายเล่า

            โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าได้คิดขุดดินทำค่ายแล้ว แต่พื้นดินแถบนี้เป็นดินปนทราย พอก่อสูงระดับหัวเข่าก็เป็นอันพังทะลายลง ท่านจะมีแผนการทำค่ายดินด้วยวิธีการใดหรือ

            ผู้เฒ่าจึงว่าซึ่งท่านให้ทหารขุดดินทำเป็นค่ายนั้นตัวเราก็รู้เห็นอยู่ แต่ช่วงเวลาที่ท่านทำนั้นไม่ต้องด้วยฤดูกาลจึงพังทะลายลง ก่อนรุ่งสางวันนี้เราสังเกตเห็นดาวสิงห์โตมีสีฟ้าหม่น บ่งบอกว่าคืนวันนี้ก่อนยามสองจะมีลมอุดรพัดจัดมา ความหนาวเย็นจะแผ่ยะเยือกทั่วทั้งปริมณฑล น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นให้ท่านสั่งทหารเตรียมขุดดินทำค่ายไว้ให้พร้อม พอลมหนาวจากทิศอุดรพัดมาจึงให้ทหารไปตักน้ำมาราดที่พูนดินไว้นั้น น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งเกาะกำแพงดินกลายเป็นค่ายน้ำแข็ง และจากวันนี้ไปอีกเดือนหนึ่งอากาศจะหนาวจัด ชอบที่ท่านจะต้องเผด็จศึกเสียโดยไว

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับชายชราแล้วว่าแผนการความคิดของท่านครั้งนี้เป็นคุณแก่กองทัพเมืองหลวงยิ่งนัก หากไม่ได้ความคิดของผู้เฒ่าแล้ว เห็นทีกองทัพเมืองหลวงคงจะปราชัยเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าจะทำตามคำท่าน แล้วว่าพระคุณท่านครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แต่บัดนี้ขัดสนด้วยเงินทอง จึงขอมอบหมวกเกราะทองคำของข้าพเจ้าให้ท่านไว้เป็นการตอบแทนพระคุณ ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งทหารให้เอาหมวกเกราะทองคำจะมอบให้แก่ผู้เฒ่า

            ชายชราได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาบอกความลับแห่งฟ้าให้ท่านทราบดังนี้ใช่จะมีใจปรารถนาสิ่งตอบแทนประการใด อันหมวกเกราะนี้เป็นของสำหรับยศของท่าน จงเอาไว้ใช้ในราชการเถิด กล่าวแล้วผู้เฒ่าจึงคำนับลาโจโฉกลับออกไป

            โจโฉรับคำนับชายชราแล้วเดินมาส่งชายชรานั้น แล้วเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองเข้ามาสั่งการว่าในค่ำวันนี้ให้จัดทหารสองหมื่นขุดดินพูนเป็นค่ายสูงเสมอหัวเข่า และให้ทหารอีกหมื่นหนึ่งคอยเตรียมตักน้ำมาราดที่เนินดิน เมื่อน้ำเกาะตัวเป็นน้ำแข็งแล้วจึงค่อยก่อให้สูงขึ้นทำเป็นค่ายให้สำเร็จแต่คืนนี้

            พอค่ำลงทหารโจโฉสองหมื่นคนก็ระดมกันขุดดินทำเป็นค่ายโดยรอบสูงระดับหัวเข่าแล้วคอยทีลมอุดร พอใกล้ยามสองลมหนาวยะเยือกก็พัดมา ทหารโจโฉอีกหมื่นหนึ่งก็ตักน้ำมาราดที่เนินดินนั้น ครั้นน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งเกาะเนินดินแข็งแรงดีแล้ว ทหารอีกกองหนึ่งก็ขุดดินพูนทับให้สูงขึ้นทีละศอกจนกระทั่งเป็นกำแพงน้ำแข็งสูงถึงสามศอกเศษ กว้างสองศอก พอพระอาทิตย์ทอทาบขอบฟ้าค่ายน้ำแข็งที่ทหารโจโฉได้ก่อสร้างขึ้นก็แล้วเสร็จ 

            ครั้นฟ้าสว่างโจโฉได้ขี่ม้าออกตรวจตราค่ายที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ เห็นเป็นค่ายน้ำแข็งแปลกประหลาดตางดงามนักก็มีความยินดี จึงปรารภว่ากลสร้างค่ายน้ำแข็งครั้งนี้ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาแต่ก่อน นี่เป็นเพราะเทพยดาเมตตาแก่เราจึงมาบอกกลให้ เห็นทีม้าเฉียวจะเกรงแล้วระย่อต่อความคิดในครั้งนี้

            ฝ่ายม้าเฉียวครั้นยึดค่ายเก่าของโจโฉได้แล้วก็ให้ทหารยกเข้าพักในค่าย และซ่อมแซมค่ายจนแข็งแรงตามเดิม แล้วเรียกแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าโจโฉแตกทัพถอยไปในระยะห้าสิบเส้นจะคิดอ่านประการใด

            หันซุยจึงว่าโจโฉแตกไปครั้งนี้เป็นฤดูหนาวจัด เห็นจะตั้งค่ายไม่ได้ทันในเวลาสามวัน หน่วยสอดแนมได้แจ้งว่าโจโฉให้ทหารตั้งกระโจมทำเป็นค่าย ทหารของโจโฉก็จะได้ความลำบากเพราะความหนาวเป็นอันมาก เราปล่อยให้ทหารของโจโฉทนความหนาวอีกสองวันจนสิ้นเรี่ยวแรงแล้วยกไปโจมตีคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย

            ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ทหารพักผ่อนออมแรง เตรียมบุกจู่โจมกองทัพโจโฉในอีกสองวันข้างหน้า

            ครั้นถึงวันกำหนดเวลาเช้า ม้าเฉียวจึงยกทหารไปที่ค่ายโจโฉ ฝ่ายโจโฉรู้ว่าม้าเฉียวยกกองทัพมาก็พาเคาทูและทหารออกไปยืนม้าอยู่หน้าค่าย

            ม้าเฉียวเห็นค่ายของโจโฉเป็นค่ายน้ำแข็งก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ตะลึงงันว่าไฉนโจโฉจึงสามารถสร้างค่ายน้ำแข็งสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะวิธีสร้างค่ายน้ำแข็งนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน โจโฉคิดอ่านประการใดจึงสามารถสร้างค่ายน้ำแข็งขึ้นมาได้ ม้าเฉียวยืนม้าตะลึงสนเท่ห์อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงทหารโจโฉร้องมาว่า ขอเชิญม้าเฉียวออกมาเจรจากับท่านอัครมหาเสนาบดี

            ม้าเฉียวได้ยินเสียงก็หายตะลึง เห็นโจโฉขี่ม้าออกมายืนอยู่หน้าทหารจึงขับม้าออกไปเผชิญหน้ากับโจโฉ

            พอโจโฉเห็นม้าเฉียวชักม้าออกมาตรงหน้าจึงแกล้งเยาะเย้ยว่า “ท่านเห็นฝีมือเราหรือไม่ คิดว่าเผาค่ายเราเสียได้แล้วจะไม่มีค่ายอยู่หรือ แต่ทำครู่เดียวก็ได้ดังเทพยดามานฤมิตให้ ซึ่งท่านจะต่อสู้นั้นที่ไหนจะมีชัยชนะแก่เรา จงเร่งคำนับเสียเถิด”

            ม้าเฉียวได้ฟังคำเยาะเย้ยของโจโฉก็โกรธ ชักม้าออกไปคิดจะจับตัวโจโฉ ในทันใดนั้นเห็นเคาทูกระตุ้นม้าออกมายืนม้าอยู่ด้านหลังของโจโฉ “ถือทวนถลึงตาเขม้นอยู่” ม้าเฉียวก็ตกใจ คิดว่าหรือทหารผู้นี้คือเคาทูซึ่งมีกิตติศัพท์ฝีมือลือเลื่องนัก จึงชะงักม้าไว้แล้วถามโจโฉว่า ทหารที่อยู่ข้างหลังท่านนี้มีชื่อใด

            เคาทูได้ยินม้าเฉียวถามดังนั้นก็ตอบกลับไปว่า ตัวเรานี้มีชื่อว่าเคาทู ท่านถามหาชื่อเราด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ

            ม้าเฉียวเคยได้ยินกิตติศัพท์เคาทูว่ามีฝีมือเข้มแข็งแกร่งกล้านักก็ขยาดอยู่ ครั้นปะหน้าตาดุดันนักก็พรั่นใจ จึงชักม้ากลับไปค่ายเสียดื้อ ๆ บรรดาทหารเมืองเสเหลียงเห็นดังนั้นก็พากันยกตามม้าเฉียวกลับไป

            โจโฉเห็นม้าเฉียวพาทหารกลับไปค่ายโดยไม่พูดจาประการใดก็ไม่สั่งให้ทหารไล่ติดตามโจมตีเพราะเห็นว่าทหารเมืองหลวงอ่อนล้าอิดโรยนัก จึงสั่งทหารให้กลับเข้าค่าย แล้วกล่าวกับเคาทูว่าม้าเฉียวปะหน้าท่านแล้วรู้สึกกลัวท่านจึงพาทหารกลับเข้าค่าย ว่าแล้วโจโฉก็หัวเราะ

            เคาทูได้ฟังดังนั้นจึงว่า เวลาวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าขออาสาออกรบกับม้าเฉียวและจะจับตัวม้าเฉียวมาให้ท่านให้จงได้

            โจโฉจึงว่าท่านอย่าเพ่อประมาทฝีมือม้าเฉียวก่อน ด้วยม้าเฉียวผู้นี้มีฝีมือรบรวดเร็วกล้าแข็งยิ่งนัก

            เคาทูจึงว่าถึงมาตรแม้นม้าเฉียวจะมีฝีไม้ลายมือประการใด ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าจะจับม้าเฉียวมามอบแก่ท่านจงได้ หากแม้นเสียทีแก่ม้าเฉียว ข้าพเจ้าขอยอมตายในสนามรบให้เป็นเกียรติแก่ชีวิต ไม่ขอกลับมาพบหน้าท่านอีก ขอท่านจงอนุญาตให้ข้าพเจ้าออกรบด้วยม้าเฉียวเถิด

            โจโฉเห็นเคาทูยืนยันแข็งแรงดังนั้นก็มีความยินดี อนุญาตให้เคาทูออกรบด้วยม้าเฉียวในวันรุ่งขึ้น.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓