ตอนที่ 331. แผนการ "ยันหน้า ตีหลัง"
โจโฉเสียทีแก่กลศึกข้ามแม่น้ำของหันซุย ถูกม้าเฉียวยกกองทัพม้าตลบหลังโจมตีจนต้องหนีลงเรือล่องย้อนกลับมาทางปลายน้ำ พอถึงแดนเมืองอุยหลำเต๋งฮุยซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็พาทหารมารอรับและเชิญเข้าไปในเมือง ในขณะที่ม้าเฉียวก็คุมทหารเตรียมจะข้ามฝั่งยกตามมา
โจโฉจึงว่ากับเต๋งฮุยว่าซึ่งจะให้เราเข้าไปอยู่ในเมืองอุยหลำนั้นไม่ชอบด้วยเป็นเมืองเล็ก และอยู่ด้านหลังแนวรบ จะได้ยากแก่ทหารและชาวเมือง เราจะยกทหารไปสมทบที่ค่ายด้านหน้าด่าน แล้วให้ท่านค่อยตามไป ว่าแล้วโจโฉจึงยกทหารทั้งปวงที่หนีข้ามน้ำมาได้นั้นกลับไปที่ค่ายหน้าด่านตงก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวคุมทหารม้ามาถึงริมฝั่งน้ำ แล้วเกณฑ์เรือยกข้ามแม่น้ำอุยโหเพื่อจะไล่ตามตีโจโฉต่อไป แต่พอข้ามถึงฝั่งน้ำเห็นฝูงม้า แพะ และแกะเป็นอันมาก ทหารเมืองเสเหลียงเนื่องจากมาการสงครามช้านานขาดอาหารเนื้อสดจึงอดอยาก ครั้นเห็นดังนั้นก็ชวนกับจับม้า แพะ และแกะเพื่อจะเอาไปทำเป็นอาหาร ต่างคนต่างสาละวนจับม้า แพะ และแกะอยู่ จึงไม่เป็นอันติดตามกองทัพโจโฉ
ม้าเฉียวเห็นทหารชุลมุนดังนั้นก็รั้งม้าไว้คอยท่า ครั้นเห็นว่าตามโจโฉไปไม่ทันแล้วก็รอให้ทหารจับม้า แพะ และแกะจนหมดสิ้น แล้วยกกองทัพกลับเข้าไปในด่าน
ฝ่ายโจโฉครั้นกลับไปถึงค่ายแล้วเห็นเคาทูถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ติดอยู่ตามเสื้อเกราะทั่วทั้งตัวจึงสรรเสริญเคาทูว่า เราทำการสงครามครั้งนี้คาดคิดไม่ถึงว่าจะเสียทีแก่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังดีที่ได้เคาทูช่วยชีวิตไว้ หาไม่แล้วเราก็คงตายอยู่ที่เขตด่านตงก๋วนนี้ ว่าแล้วโจโฉจึงลุกไปปลดเกาทัณฑ์ออกจากเสื้อเกราะของเคาทู
เคาทูจึงว่าความชอบข้าพเจ้านั้นเพียงประมาณดอก ซึ่งกองทัพม้าเฉียวไม่ไล่ติดตามมานี้เพราะเหตุที่เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำทำกลอุบายปล่อยฝูงสัตว์ล่อทหารเมืองเสเหลียงไว้ ความชอบของเต๋งฮุยจึงมีเป็นอันมาก
ในขณะนั้นเต๋งฮุยได้ตามมาที่ค่ายแล้วเข้าไปคำนับโจโฉ โจโฉรับคำนับแล้วว่าซึ่งท่านคิดอ่านช่วยชีวิตเราครั้งนี้มีคุณแก่เราเป็นอันมาก ความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก ว่าแล้วโจโฉจึงแต่งตั้งให้เต๋งฮุยเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
เต๋งฮุยคำนับขอบคุณโจโฉแล้วว่า กองทัพเมืองเสเหลียงยกกลับเข้าไปในด่านแล้วย่อมกำเริบด้วยชัยชนะในวันนี้ เห็นทีจะยกมาทำศึกอีกในวันพรุ่งนี้ ท่านจะคิดอ่านประการใดก็จงจัดแจงให้พร้อมเถิด
โจโฉจึงว่าคำเตือนของเจ้าต้องด้วยความคิดเรา เจ้าจงกลับไปรักษาเมืองอุยหลำก่อนเถิด การทางนี้ไว้เป็นธุระของเราจะจัดการเอง เต๋งฮุยได้ฟังดังนั้นจึงคำนับโจโฉแล้วลากลับไปเมืองอุยหลำ
พอเต๋งฮุยกลับไปแล้ว โจโฉจึงว่าการศึกครั้งนี้เราประมาทแก่ความคิดของม้าเฉียวจึงเสียทีไป แต่แผนการความคิดนั้นยังถูกต้อง ดังนั้นจึงให้โจหยินรักษาค่ายไว้ตามเดิม ทหารนอกนั้นเราจะยกข้ามฟากไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหอีกครั้งหนึ่ง และให้จัดแจงยกไปแต่ในตอนหัวค่ำ ม้าเฉียวไม่ทันคิดว่าเราจะยกซ้ำไปตามทางเดิม เราก็จะตั้งค่ายมั่นทำการทั้งสองด้านสืบไป
พอค่ำลงโจโฉก็ยกทหารข้ามแม่น้ำอุยโหอ้อมไปทางด้านหลังด่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วยกข้ามแม่น้ำไปเตรียมตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังด่าน ทางฝ่ายม้าเฉียวไม่ทันคิดว่าโจโฉจะยกย้อนรอยมาตามเดิมก็ไม่ทันระวังตัว พอพ้นยามแรกของคืนวันนั้นโจโฉก็ยกทหารไปตั้งมั่นอยู่ทางด้านหลังด่านตงก๋วน แล้วให้ทหารขุดสนามเพลาะรอบค่ายเป็นคูกว้างสองวา ลึกสองวา ให้ปักขวากแหลมไว้ในคูโดยทั่วไป บนปากคูให้เอาไม้ปิดแล้วเกลี่ยดินกลบไว้มิให้เห็นร่องรอย แล้วให้ปักธงทิวไว้โดยรอบค่าย
กองทัพโจโฉจัดแจงแต่งค่ายอุยโหซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังด่านตงก๋วนเสร็จสิ้นก่อนสว่างก็พักผ่อนคอยที โจโฉได้กำชับทหารทั้งปวงว่าในวันพรุ่งนี้ดีร้ายม้าเฉียวก็จะยกมาโจมตี เราจะได้แก้แค้นตอบแทนม้าเฉียวบ้าง
พอฟ้าใกล้สางทหารสอดแนมของด่านตงก๋วนทราบข่าวซึ่งโจโฉยกทหารอ้อมไปตั้งอยู่ทางด้านหลังด่าน จึงเข้าไปรายงานความให้หันซุยทราบ
พอตกสายม้าเฉียวก็เข้ามาพบหันซุย แล้วเล่าความซึ่งได้ทำศึกกับโจโฉให้หันซุยฟังทุกประการ และว่า “ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้มีชัยชนะแทบจะจับตัวโจโฉได้ มีทหารคนหนึ่งรูปร่างล่ำสัน สามารถอุ้มลงเรือหนีไปได้”
หันซุยจึงว่าอ้วนเสี้ยวเคยมียอดทหารเอกอยู่สองคนคืองันเหลียง และบุนทิว ซึ่งถูกกวนอูสังหารเสียทั้งสองคน โจโฉนั้นก็มียอดทหารอยู่สองคนเช่นเดียวกัน คนหนึ่งชื่อ เตียนอุย อีกคนหนึ่งชื่อเคาทู แต่เตียนอุยนั้นถูกฆ่าตายเสียแล้ว ทหารของโจโฉคนที่เจ้ากล่าวถึงเห็นจะเป็นเคาทูเป็นแน่แท้ ม้าเฉียวจึงถามว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่กำลังของเคาทูแต่ยังไม่เห็นฝีมือสู้รบว่าเป็นประการใด
หันซุยจึงตอบว่า “เคาทูคนนี้มีกำลังแลฝีมือดีกว่าทหารทั้งปวง เหมือนหนึ่งเสืออันร้าย เจ้าพบมันเข้าจะรบพุ่งอย่าประมาท ระวังจงดี”
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นจึงว่ากิตติศัพท์ของเคาทูนี้ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมาแต่ก่อน เพิ่งได้มาเห็นตัวจริงในวันนี้ก็เห็นจะจริงตามคำท่าน แล้วว่าโจโฉปราชัยครั้งนี้แล้ว ท่านอาคิดว่า โจโฉจะคิดอ่านประการใดสืบไป
หันซุยจึงแจ้งความที่ได้รับรายงานจากทหารลาดตระเวนว่า ในตอนกลางคืนโจโฉได้ยกทหารข้ามแม่น้ำมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังด่าน หากนานเนิ่นไปก็จะขยายกำลังและสร้างค่ายได้มั่นคงยิ่งขึ้น หากโจโฉตั้งค่ายมั่นลงทางด้านหลังด่านแล้ว การลำเลียงเสบียงอาหารของเราก็จะขัดสน ฉะนั้นชอบที่เจ้าจะยกไปตีโจโฉเสียก่อนอย่าให้ทันได้ตั้งตัว
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าซึ่งโจโฉตั้งค่ายไว้ทางหน้าด่านสามค่ายนั้นเห็นจะเป็นเพียงกลลวง เพื่อตั้งยันกองทัพของเราไว้เท่านั้น คงจะไม่ยกเข้าตีด่านทางด้านหน้า กองทัพโจโฉที่ยกมาตั้งทางหลังด่านนั่นแหละที่เป็นอันตรายต่อกองทัพของเรา เหตุนี้จึงชอบที่จะระดมกำลังตีกองทัพของโจโฉทางด้านหลังด่านให้แตกพ่ายไปให้จงได้
ว่าแล้วม้าเฉียวจึงพาหันซุยและบังเต๊กคุมทหารห้าหมื่นยกออกจากประตูด่านทางด้านหลังตรงไปที่ค่ายของโจโฉ โดยให้หันซุยและบังเต๊กเป็นกองทัพหน้า ส่วนม้าเฉียวเป็นกองทัพหลวงยกตามไป
ฝ่ายโจโฉครั้นได้รับรายงานจากทหารสอดแนมว่ากองทัพเมืองเสเหลียงกำลังยกมาโจมตี ก็จัดทหารพันหนึ่งให้ยกออกไปนอกสนามเพลาะ แล้วสั่งว่าให้ล่อทหารม้าเฉียวข้ามสนามเพลาะมาให้จงได้ ทหารเหล่านั้นรับคำสั่งแล้วก็ยกออกไปตั้งอยู่นอกสนามเพลาะเป็นแถวเรียงหน้ากระดาน
พอทหารนั้นออกไป โจโฉจึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมเกาทัณฑ์พร้อมอยู่ในค่าย เมื่อใดที่กองทัพเมืองเสเหลียงถลำลงในสนามเพลาะก็ให้ช่วยกันระดมยิงเกาทัณฑ์ เห็นจะจับตัวม้าเฉียวได้โดยง่าย และให้ทหารทั้งปวงสงบซุ่มเสียงถ้อยคำเพื่อลวงให้ทหารเมืองเสเหลียงถลำล้ำเข้ามาในแนวสนามเพลาะ
ฝ่ายหันซุยและบังเต๊กคุมกองทัพหน้าเข้าไปใกล้ค่ายของโจโฉ เห็นค่ายนั้นสงบอยู่มีแต่ทหารจำนวนน้อยยกออกมาตั้งอยู่นอกค่ายจึงสั่งทหารให้บุกเข้าโจมตี บังเต๊กขี่ม้านำหน้าทหารตรงไปที่กองทหารของโจโฉซึ่งตั้งอยู่นอกค่ายนั้น
ทหารกองล่อของโจโฉทำทีเป็นฮึดฮัดจะต่อสู้ด้วยกองทัพม้าเมืองเสเหลียง ฝ่ายกองทัพม้าเมืองเสเหลียงเห็นทหารโจโฉมีจำนวนน้อยก็เร่งฝีเท้าม้าเข้ามาโจมตี พอเข้าไปใกล้กองล่อของโจโฉก็ทำทีแตกหนีเข้าไปในค่าย
บังเต๊กและทหารเมืองเสเหลียงไม่รู้กลก็ยกพลไล่ตามไป ทั้งม้าทั้งคนไม่ทันสังเกตว่ามีสนามเพลาะขวางกั้นอยู่จึงตกลงไปในหลุม ถูกขวากเสียบแทงบาดเจ็บล้มตายเกือบพันคน
ตัวบังเต๊กนั้นตกลงไปในคูแต่เสื้อเกราะคุ้มกันตัวอยู่ขวากแหลมจึงไม่สามารถระคายผิวของบังเต๊ก พอได้สติบังเต๊กจึงกระโจนขึ้นมาจากคูสนามเพลาะ เห็นโจเอ๋งทหารโจโฉคุมทหารออกจากค่ายจู่โจมตรงมา บังเต๊กคว้ากระบี่ปรี่เข้าไปฟันโจเอ๋งตกม้าตายแล้วยึดเอาม้าของโจเอ๋งมาขี่ และถอยกลับไปสมทบกับกองทัพของหันซุย
โจโฉเห็นทหารเมืองเสเหลียงเสียทีจึงสั่งให้ทหารยกออกจากค่ายเข้าโจมตี กองทัพของหันซุยไม่ทันตั้งตัวก็แตกร่นถอยกลับไปทางด้านหลัง พอม้าเฉียวยกกองทัพหลวงตามมาทันก็หนุนยันขึ้นไปแก้เอาหันซุยและบังเต๊กออกมาได้ ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนเวลาเที่ยงวันต่างฝ่ายจึงต่างถอยกลับเข้าที่ตั้ง
เมื่อม้าเฉียวกลับเข้าด่านตงก๋วนได้แล้ว จึงปรึกษากับหันซุยว่าซึ่งโจโฉมาตั้งสกัดไว้หลังด่านดังนี้ การลำเลียงเสบียงอาหารของเราย่อมขัดสน หากนานวันไปก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ชอบที่จะทำศึกแตกหักเสียโดยไว
หันซุยจึงถามว่าเจ้าจะคิดอ่านแผนการประการใด
ม้าเฉียวจึงว่าในคืนวันนี้ข้าพเจ้าคิดจะยกกองทัพออกปล้นค่ายโจโฉ ฝ่ายโจโฉเห็นว่าได้ชัยชนะในวันนี้คงจะตั้งอยู่ในความประมาท เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ ม้าเฉียวคำนับลาหันซุยแล้ว กลับออกไปจัดแจงทหาร พอค่ำลงม้าเฉียวก็คุมทหารเป็นกองทัพหน้า ให้บังเต๊กและม้าต้ายเป็นกองทัพหลัง ส่วนหันซุยให้คุมทหารเป็นกองทัพหนุนและลาดตระเวนป้องกันรักษาด่านไปในตัว
ทางฝ่ายโจโฉทำศึกเสียทีแก่ม้าเฉียวตลอดมา เพิ่งได้ชัยชนะในการรบวันนี้ ทหารทั้งปวงต่างมีความยินดีโดยถ้วนหน้ากัน แต่โจโฉนั้นมีความชำนาญในการศึก ตรึกการณ์แล้วเห็นว่ากองทัพเมืองเสเหลียงคงคิดว่ากองทัพเมืองหลวงได้ชัยชนะแล้วก็จะประมาทแล้วยกกองทัพมาปล้นค่าย จึงเรียกเคาทูและแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งว่า เราได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองเสเหลียงในวันนี้อย่าเพิ่งยินดีในชัยชนะนั้นเลย เพราะค่ำวันนี้กองทัพเมืองเสเหลียงอาจยกมาปล้นค่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท
ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งเคาทูให้แต่งทหารออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้าน ถ้าหาก ม้าเฉียวยกกองทัพมาปล้นค่ายก็ให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ให้เคาทูยกกองทัพรุมตีกระหนาบเข้ามา เห็นจะจับตัวม้าเฉียวได้ในครั้งนี้
พอค่ำลงเคาทูก็ยกทหารออกไปซุ่มอยู่ที่ป่าด้านนอกค่ายทั้งสี่ด้านตามคำสั่งของโจโฉ
ฝ่ายกองทัพม้าเฉียวเคลื่อนกำลังออกจากด่านเพื่อจะไปปล้นค่ายของโจโฉ พอยกเข้าไปใกล้ค่ายของโจโฉจึงให้ยั้งกองทัพไว้ในระยะห่างห้าเส้น และให้เชงหงีคุมทหารสามพันยกล่วงหน้าไปสอดแนมว่าในค่ายของโจโฉจะเตรียมการป้องกันประการใด
เชงหงีรับคำสั่งแล้วคุมทหารยกไปถึงหน้าค่ายโจโฉ เห็นเงียบสงัดอยู่ มิได้มีการเตรียมตัวป้องกันระมัดระวังรักษาค่ายก็มีความยินดี เชงหงีจึงให้ทหารสามสิบคนข้ามสนามเพลาะไปก่อน เปิดประตูค่ายได้แล้วให้ทหารซึ่งตามไปนั้นเร่งยกเข้าโจมตี
พอเชงหงีข้ามสนามเพลาะไปใกล้ประตูค่าย พลันประทัดสัญญาณก็ดังสนั่นทำลายความเงียบไปสิ้น บรรดาทหารของโจโฉที่ซุ่มอยู่ด้านนอกค่ายทั้งสี่ด้านก็ยกล้อมกระหนาบเข้ามา ในขณะที่ภายในค่ายก็จุดไต้สว่างขึ้น
เชงหงีเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดจะถอยกลับมาทางด้านหลัง เห็นแฮหัวเอี๋ยนขี่ม้าพา ทหารมาสกัดไว้ก็เตรียมจะตีฝ่าออกไป แต่ไม่ทันสิ้นเพลงรบแฮหัวเอี๋ยนก็เอาทวนแทงเชงหงีตกม้าตาย
ทหารของเชงหงีที่ยกตามมาเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันตีฝ่าย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม
ทางฝ่ายม้าเฉียวและบังเต๊กยกทหารตามมา เห็นกองทหารของเชงหงีถูกโจมตีดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพหน้าแยกเป็นสามกอง บุกตีโอบกองทหารของโจโฉซึ่งล้อมทหารของเชงหงีอยู่นั้น.
โจโฉจึงว่ากับเต๋งฮุยว่าซึ่งจะให้เราเข้าไปอยู่ในเมืองอุยหลำนั้นไม่ชอบด้วยเป็นเมืองเล็ก และอยู่ด้านหลังแนวรบ จะได้ยากแก่ทหารและชาวเมือง เราจะยกทหารไปสมทบที่ค่ายด้านหน้าด่าน แล้วให้ท่านค่อยตามไป ว่าแล้วโจโฉจึงยกทหารทั้งปวงที่หนีข้ามน้ำมาได้นั้นกลับไปที่ค่ายหน้าด่านตงก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวคุมทหารม้ามาถึงริมฝั่งน้ำ แล้วเกณฑ์เรือยกข้ามแม่น้ำอุยโหเพื่อจะไล่ตามตีโจโฉต่อไป แต่พอข้ามถึงฝั่งน้ำเห็นฝูงม้า แพะ และแกะเป็นอันมาก ทหารเมืองเสเหลียงเนื่องจากมาการสงครามช้านานขาดอาหารเนื้อสดจึงอดอยาก ครั้นเห็นดังนั้นก็ชวนกับจับม้า แพะ และแกะเพื่อจะเอาไปทำเป็นอาหาร ต่างคนต่างสาละวนจับม้า แพะ และแกะอยู่ จึงไม่เป็นอันติดตามกองทัพโจโฉ
ม้าเฉียวเห็นทหารชุลมุนดังนั้นก็รั้งม้าไว้คอยท่า ครั้นเห็นว่าตามโจโฉไปไม่ทันแล้วก็รอให้ทหารจับม้า แพะ และแกะจนหมดสิ้น แล้วยกกองทัพกลับเข้าไปในด่าน
ฝ่ายโจโฉครั้นกลับไปถึงค่ายแล้วเห็นเคาทูถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ติดอยู่ตามเสื้อเกราะทั่วทั้งตัวจึงสรรเสริญเคาทูว่า เราทำการสงครามครั้งนี้คาดคิดไม่ถึงว่าจะเสียทีแก่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังดีที่ได้เคาทูช่วยชีวิตไว้ หาไม่แล้วเราก็คงตายอยู่ที่เขตด่านตงก๋วนนี้ ว่าแล้วโจโฉจึงลุกไปปลดเกาทัณฑ์ออกจากเสื้อเกราะของเคาทู
เคาทูจึงว่าความชอบข้าพเจ้านั้นเพียงประมาณดอก ซึ่งกองทัพม้าเฉียวไม่ไล่ติดตามมานี้เพราะเหตุที่เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำทำกลอุบายปล่อยฝูงสัตว์ล่อทหารเมืองเสเหลียงไว้ ความชอบของเต๋งฮุยจึงมีเป็นอันมาก
ในขณะนั้นเต๋งฮุยได้ตามมาที่ค่ายแล้วเข้าไปคำนับโจโฉ โจโฉรับคำนับแล้วว่าซึ่งท่านคิดอ่านช่วยชีวิตเราครั้งนี้มีคุณแก่เราเป็นอันมาก ความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก ว่าแล้วโจโฉจึงแต่งตั้งให้เต๋งฮุยเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
เต๋งฮุยคำนับขอบคุณโจโฉแล้วว่า กองทัพเมืองเสเหลียงยกกลับเข้าไปในด่านแล้วย่อมกำเริบด้วยชัยชนะในวันนี้ เห็นทีจะยกมาทำศึกอีกในวันพรุ่งนี้ ท่านจะคิดอ่านประการใดก็จงจัดแจงให้พร้อมเถิด
โจโฉจึงว่าคำเตือนของเจ้าต้องด้วยความคิดเรา เจ้าจงกลับไปรักษาเมืองอุยหลำก่อนเถิด การทางนี้ไว้เป็นธุระของเราจะจัดการเอง เต๋งฮุยได้ฟังดังนั้นจึงคำนับโจโฉแล้วลากลับไปเมืองอุยหลำ
พอเต๋งฮุยกลับไปแล้ว โจโฉจึงว่าการศึกครั้งนี้เราประมาทแก่ความคิดของม้าเฉียวจึงเสียทีไป แต่แผนการความคิดนั้นยังถูกต้อง ดังนั้นจึงให้โจหยินรักษาค่ายไว้ตามเดิม ทหารนอกนั้นเราจะยกข้ามฟากไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโหอีกครั้งหนึ่ง และให้จัดแจงยกไปแต่ในตอนหัวค่ำ ม้าเฉียวไม่ทันคิดว่าเราจะยกซ้ำไปตามทางเดิม เราก็จะตั้งค่ายมั่นทำการทั้งสองด้านสืบไป
พอค่ำลงโจโฉก็ยกทหารข้ามแม่น้ำอุยโหอ้อมไปทางด้านหลังด่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วยกข้ามแม่น้ำไปเตรียมตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังด่าน ทางฝ่ายม้าเฉียวไม่ทันคิดว่าโจโฉจะยกย้อนรอยมาตามเดิมก็ไม่ทันระวังตัว พอพ้นยามแรกของคืนวันนั้นโจโฉก็ยกทหารไปตั้งมั่นอยู่ทางด้านหลังด่านตงก๋วน แล้วให้ทหารขุดสนามเพลาะรอบค่ายเป็นคูกว้างสองวา ลึกสองวา ให้ปักขวากแหลมไว้ในคูโดยทั่วไป บนปากคูให้เอาไม้ปิดแล้วเกลี่ยดินกลบไว้มิให้เห็นร่องรอย แล้วให้ปักธงทิวไว้โดยรอบค่าย
กองทัพโจโฉจัดแจงแต่งค่ายอุยโหซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังด่านตงก๋วนเสร็จสิ้นก่อนสว่างก็พักผ่อนคอยที โจโฉได้กำชับทหารทั้งปวงว่าในวันพรุ่งนี้ดีร้ายม้าเฉียวก็จะยกมาโจมตี เราจะได้แก้แค้นตอบแทนม้าเฉียวบ้าง
พอฟ้าใกล้สางทหารสอดแนมของด่านตงก๋วนทราบข่าวซึ่งโจโฉยกทหารอ้อมไปตั้งอยู่ทางด้านหลังด่าน จึงเข้าไปรายงานความให้หันซุยทราบ
พอตกสายม้าเฉียวก็เข้ามาพบหันซุย แล้วเล่าความซึ่งได้ทำศึกกับโจโฉให้หันซุยฟังทุกประการ และว่า “ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้มีชัยชนะแทบจะจับตัวโจโฉได้ มีทหารคนหนึ่งรูปร่างล่ำสัน สามารถอุ้มลงเรือหนีไปได้”
หันซุยจึงว่าอ้วนเสี้ยวเคยมียอดทหารเอกอยู่สองคนคืองันเหลียง และบุนทิว ซึ่งถูกกวนอูสังหารเสียทั้งสองคน โจโฉนั้นก็มียอดทหารอยู่สองคนเช่นเดียวกัน คนหนึ่งชื่อ เตียนอุย อีกคนหนึ่งชื่อเคาทู แต่เตียนอุยนั้นถูกฆ่าตายเสียแล้ว ทหารของโจโฉคนที่เจ้ากล่าวถึงเห็นจะเป็นเคาทูเป็นแน่แท้ ม้าเฉียวจึงถามว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่กำลังของเคาทูแต่ยังไม่เห็นฝีมือสู้รบว่าเป็นประการใด
หันซุยจึงตอบว่า “เคาทูคนนี้มีกำลังแลฝีมือดีกว่าทหารทั้งปวง เหมือนหนึ่งเสืออันร้าย เจ้าพบมันเข้าจะรบพุ่งอย่าประมาท ระวังจงดี”
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นจึงว่ากิตติศัพท์ของเคาทูนี้ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมาแต่ก่อน เพิ่งได้มาเห็นตัวจริงในวันนี้ก็เห็นจะจริงตามคำท่าน แล้วว่าโจโฉปราชัยครั้งนี้แล้ว ท่านอาคิดว่า โจโฉจะคิดอ่านประการใดสืบไป
หันซุยจึงแจ้งความที่ได้รับรายงานจากทหารลาดตระเวนว่า ในตอนกลางคืนโจโฉได้ยกทหารข้ามแม่น้ำมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านหลังด่าน หากนานเนิ่นไปก็จะขยายกำลังและสร้างค่ายได้มั่นคงยิ่งขึ้น หากโจโฉตั้งค่ายมั่นลงทางด้านหลังด่านแล้ว การลำเลียงเสบียงอาหารของเราก็จะขัดสน ฉะนั้นชอบที่เจ้าจะยกไปตีโจโฉเสียก่อนอย่าให้ทันได้ตั้งตัว
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าซึ่งโจโฉตั้งค่ายไว้ทางหน้าด่านสามค่ายนั้นเห็นจะเป็นเพียงกลลวง เพื่อตั้งยันกองทัพของเราไว้เท่านั้น คงจะไม่ยกเข้าตีด่านทางด้านหน้า กองทัพโจโฉที่ยกมาตั้งทางหลังด่านนั่นแหละที่เป็นอันตรายต่อกองทัพของเรา เหตุนี้จึงชอบที่จะระดมกำลังตีกองทัพของโจโฉทางด้านหลังด่านให้แตกพ่ายไปให้จงได้
ว่าแล้วม้าเฉียวจึงพาหันซุยและบังเต๊กคุมทหารห้าหมื่นยกออกจากประตูด่านทางด้านหลังตรงไปที่ค่ายของโจโฉ โดยให้หันซุยและบังเต๊กเป็นกองทัพหน้า ส่วนม้าเฉียวเป็นกองทัพหลวงยกตามไป
ฝ่ายโจโฉครั้นได้รับรายงานจากทหารสอดแนมว่ากองทัพเมืองเสเหลียงกำลังยกมาโจมตี ก็จัดทหารพันหนึ่งให้ยกออกไปนอกสนามเพลาะ แล้วสั่งว่าให้ล่อทหารม้าเฉียวข้ามสนามเพลาะมาให้จงได้ ทหารเหล่านั้นรับคำสั่งแล้วก็ยกออกไปตั้งอยู่นอกสนามเพลาะเป็นแถวเรียงหน้ากระดาน
พอทหารนั้นออกไป โจโฉจึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมเกาทัณฑ์พร้อมอยู่ในค่าย เมื่อใดที่กองทัพเมืองเสเหลียงถลำลงในสนามเพลาะก็ให้ช่วยกันระดมยิงเกาทัณฑ์ เห็นจะจับตัวม้าเฉียวได้โดยง่าย และให้ทหารทั้งปวงสงบซุ่มเสียงถ้อยคำเพื่อลวงให้ทหารเมืองเสเหลียงถลำล้ำเข้ามาในแนวสนามเพลาะ
ฝ่ายหันซุยและบังเต๊กคุมกองทัพหน้าเข้าไปใกล้ค่ายของโจโฉ เห็นค่ายนั้นสงบอยู่มีแต่ทหารจำนวนน้อยยกออกมาตั้งอยู่นอกค่ายจึงสั่งทหารให้บุกเข้าโจมตี บังเต๊กขี่ม้านำหน้าทหารตรงไปที่กองทหารของโจโฉซึ่งตั้งอยู่นอกค่ายนั้น
ทหารกองล่อของโจโฉทำทีเป็นฮึดฮัดจะต่อสู้ด้วยกองทัพม้าเมืองเสเหลียง ฝ่ายกองทัพม้าเมืองเสเหลียงเห็นทหารโจโฉมีจำนวนน้อยก็เร่งฝีเท้าม้าเข้ามาโจมตี พอเข้าไปใกล้กองล่อของโจโฉก็ทำทีแตกหนีเข้าไปในค่าย
บังเต๊กและทหารเมืองเสเหลียงไม่รู้กลก็ยกพลไล่ตามไป ทั้งม้าทั้งคนไม่ทันสังเกตว่ามีสนามเพลาะขวางกั้นอยู่จึงตกลงไปในหลุม ถูกขวากเสียบแทงบาดเจ็บล้มตายเกือบพันคน
ตัวบังเต๊กนั้นตกลงไปในคูแต่เสื้อเกราะคุ้มกันตัวอยู่ขวากแหลมจึงไม่สามารถระคายผิวของบังเต๊ก พอได้สติบังเต๊กจึงกระโจนขึ้นมาจากคูสนามเพลาะ เห็นโจเอ๋งทหารโจโฉคุมทหารออกจากค่ายจู่โจมตรงมา บังเต๊กคว้ากระบี่ปรี่เข้าไปฟันโจเอ๋งตกม้าตายแล้วยึดเอาม้าของโจเอ๋งมาขี่ และถอยกลับไปสมทบกับกองทัพของหันซุย
โจโฉเห็นทหารเมืองเสเหลียงเสียทีจึงสั่งให้ทหารยกออกจากค่ายเข้าโจมตี กองทัพของหันซุยไม่ทันตั้งตัวก็แตกร่นถอยกลับไปทางด้านหลัง พอม้าเฉียวยกกองทัพหลวงตามมาทันก็หนุนยันขึ้นไปแก้เอาหันซุยและบังเต๊กออกมาได้ ทหารทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนเวลาเที่ยงวันต่างฝ่ายจึงต่างถอยกลับเข้าที่ตั้ง
เมื่อม้าเฉียวกลับเข้าด่านตงก๋วนได้แล้ว จึงปรึกษากับหันซุยว่าซึ่งโจโฉมาตั้งสกัดไว้หลังด่านดังนี้ การลำเลียงเสบียงอาหารของเราย่อมขัดสน หากนานวันไปก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ชอบที่จะทำศึกแตกหักเสียโดยไว
หันซุยจึงถามว่าเจ้าจะคิดอ่านแผนการประการใด
ม้าเฉียวจึงว่าในคืนวันนี้ข้าพเจ้าคิดจะยกกองทัพออกปล้นค่ายโจโฉ ฝ่ายโจโฉเห็นว่าได้ชัยชนะในวันนี้คงจะตั้งอยู่ในความประมาท เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง
หันซุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ ม้าเฉียวคำนับลาหันซุยแล้ว กลับออกไปจัดแจงทหาร พอค่ำลงม้าเฉียวก็คุมทหารเป็นกองทัพหน้า ให้บังเต๊กและม้าต้ายเป็นกองทัพหลัง ส่วนหันซุยให้คุมทหารเป็นกองทัพหนุนและลาดตระเวนป้องกันรักษาด่านไปในตัว
ทางฝ่ายโจโฉทำศึกเสียทีแก่ม้าเฉียวตลอดมา เพิ่งได้ชัยชนะในการรบวันนี้ ทหารทั้งปวงต่างมีความยินดีโดยถ้วนหน้ากัน แต่โจโฉนั้นมีความชำนาญในการศึก ตรึกการณ์แล้วเห็นว่ากองทัพเมืองเสเหลียงคงคิดว่ากองทัพเมืองหลวงได้ชัยชนะแล้วก็จะประมาทแล้วยกกองทัพมาปล้นค่าย จึงเรียกเคาทูและแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งว่า เราได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองเสเหลียงในวันนี้อย่าเพิ่งยินดีในชัยชนะนั้นเลย เพราะค่ำวันนี้กองทัพเมืองเสเหลียงอาจยกมาปล้นค่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท
ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งเคาทูให้แต่งทหารออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้าน ถ้าหาก ม้าเฉียวยกกองทัพมาปล้นค่ายก็ให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ให้เคาทูยกกองทัพรุมตีกระหนาบเข้ามา เห็นจะจับตัวม้าเฉียวได้ในครั้งนี้
พอค่ำลงเคาทูก็ยกทหารออกไปซุ่มอยู่ที่ป่าด้านนอกค่ายทั้งสี่ด้านตามคำสั่งของโจโฉ
ฝ่ายกองทัพม้าเฉียวเคลื่อนกำลังออกจากด่านเพื่อจะไปปล้นค่ายของโจโฉ พอยกเข้าไปใกล้ค่ายของโจโฉจึงให้ยั้งกองทัพไว้ในระยะห่างห้าเส้น และให้เชงหงีคุมทหารสามพันยกล่วงหน้าไปสอดแนมว่าในค่ายของโจโฉจะเตรียมการป้องกันประการใด
เชงหงีรับคำสั่งแล้วคุมทหารยกไปถึงหน้าค่ายโจโฉ เห็นเงียบสงัดอยู่ มิได้มีการเตรียมตัวป้องกันระมัดระวังรักษาค่ายก็มีความยินดี เชงหงีจึงให้ทหารสามสิบคนข้ามสนามเพลาะไปก่อน เปิดประตูค่ายได้แล้วให้ทหารซึ่งตามไปนั้นเร่งยกเข้าโจมตี
พอเชงหงีข้ามสนามเพลาะไปใกล้ประตูค่าย พลันประทัดสัญญาณก็ดังสนั่นทำลายความเงียบไปสิ้น บรรดาทหารของโจโฉที่ซุ่มอยู่ด้านนอกค่ายทั้งสี่ด้านก็ยกล้อมกระหนาบเข้ามา ในขณะที่ภายในค่ายก็จุดไต้สว่างขึ้น
เชงหงีเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดจะถอยกลับมาทางด้านหลัง เห็นแฮหัวเอี๋ยนขี่ม้าพา ทหารมาสกัดไว้ก็เตรียมจะตีฝ่าออกไป แต่ไม่ทันสิ้นเพลงรบแฮหัวเอี๋ยนก็เอาทวนแทงเชงหงีตกม้าตาย
ทหารของเชงหงีที่ยกตามมาเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันตีฝ่าย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม
ทางฝ่ายม้าเฉียวและบังเต๊กยกทหารตามมา เห็นกองทหารของเชงหงีถูกโจมตีดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพหน้าแยกเป็นสามกอง บุกตีโอบกองทหารของโจโฉซึ่งล้อมทหารของเชงหงีอยู่นั้น.