ตอนที่ 329. มากคนก็มากท้อง
ศึกภาคพายัพพอระเบิดขึ้นกองทัพเมืองเสเหลียงก็บุกเข้ายึดเมืองเตียงอันซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้แรกเสวยราชย์ได้สำเร็จ และกรีฑาทัพเข้าตีด่านตงก๋วนซึ่งเป็นด่านหน้าสำคัญที่จะยกเข้าเมืองหลวง ในการศึกยกที่สองกองทัพเมือง เสเหลียงก็ยึดด่านตงก๋วนได้สำเร็จอีก
โจโฉเคลื่อนกองทัพหลวงมาใกล้ด่านตงก๋วนยี่สิบเส้น ครั้นได้ฟังความคิดของ โจหยินที่มิให้ด่วนยกล่วงเข้าประชิดด่านก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ตั้งค่ายลงเป็นสามค่าย ทางด้านขวาให้โจหยินเป็นผู้รักษาค่าย ทางด้านซ้ายให้แฮหัวเอี๋ยนเป็นผู้รักษาค่าย ส่วนค่ายหลวงอยู่ตรงกลางนั้นโจโฉเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง และสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมที่จะทำศึกกับทหารเมืองเสเหลียง
ครั้นวันรุ่งขึ้นม้าเฉียวก็ยกทหารม้าเมืองเสเหลียงออกจากด่านตงก๋วนตรงมาที่ค่ายของโจโฉ ทางด้านโจโฉก็ยกทหารออกไปเผชิญหน้ากับกองทัพเมืองเสเหลียง ต่างฝ่ายต่างตั้งขบวนทหารเป็นแถวหน้ากระดานเว้นลานรบไว้ตรงกลาง
โจโฉและม้าเฉียวต่างออกไปยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหาร โจโฉเห็นม้าเฉียว “ห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวน ออกมายืนหน้าทหาร รูปร่างคมสัน ไหล่ผาย เอวกลม หน้าขาว ปากแดง” สมควรเป็นทหารเอก และเห็นทหารเมืองเสเหลียงล้วนกำยำ ล่ำสัน แข็งแรงผิดกว่าคนในภาคกลาง และเห็นข้างม้าเฉียวนั้นมีบังเต๊กยืนม้าเป็นสง่าอยู่ข้างขวาและม้าต้ายยืนม้าอยู่ข้างซ้ายน่าเกรงขามนัก โจโฉจึงคำนึงขึ้นในใจว่าม้าเฉียวนี้ไม่เสียทีเป็นลูกชาติทหาร มีบุคลิกกล้าหาญในการสงครามยิ่งนัก
โจโฉคำนึงดังนี้แล้วจึงขี่ม้าออกไปข้างหน้ากลางลานรบ แล้วกล่าวกับม้าเฉียวว่าตัวท่านนี้ก็เป็นบุตรขุนนาง มีความภักดีต่อแผ่นดินมาแต่ก่อน เหตุไฉนจึงคิดการเป็นกบฏยกกองทัพมารุกรานแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ม้าเฉียวได้ฟังคำโจโฉก็โกรธ ความแค้นที่โจโฉสังหารบิดาพลุ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จึงกล่าวตอบโจโฉว่า “ไอ้โจรศัตรูราชสมบัติ มึงทำการหยาบช้าดูหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ โทษมึงก็ผิดเป็นอันมาก ควรจะสับให้ละเอียดเหมือนสับสุกรทำบะอ๋วนจึงจะชอบ แล้วมึงฆ่าบิดากับน้องกูเสีย กูก็มีความแค้นนัก จะจับตัวมึงเคี้ยวเนื้อสูบเลือดกินเสียทั้งเป็นให้จงได้”
ม้าเฉียวกล่าวขาดคำก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป กระตุ้นม้าพุ่งปราดออกไปที่โจโฉ อิกิ๋มนายทหารเอกเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกไปขวางหน้าสกัดไม่ให้ม้าเฉียวบุกเข้าถึงตัวโจโฉ ทั้งสองฝ่ายรบกันได้เพียงยี่สิบเพลง อิกิ๋มสู้ไม่ได้จึงควบม้าหนีออกจากลานรบ โจโฉเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงขับม้าถอยกลับมาอยู่ในแถวทหาร
ม้าเฉียวเห็นอิกิ๋มขี่ม้าหนีจึงขี่ม้าไล่ตามไป ลิกองนายทหารรองของโจโฉเกรงว่าอิกิ๋มจะเสียทีแก่ม้าเฉียวจึงขี่ม้าออกไปสกัดหน้าม้าเฉียวไว้
ม้าเฉียวเห็นลิกองขี่ม้าออกมาสกัดก็ควบม้าตรงเข้าไปหาลิกอง ฟาดทวนเข้าใส่ลิกองอย่างไม่ยั้งมือ ลิกองรับมือม้าเฉียวได้แค่เก้าเพลงก็ถูกม้าเฉียวเอาทวนแทงตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
พอสังหารลิกองแล้วม้าเฉียวจึงชักม้ากลับมาที่ลานรบ แล้วออกคำสั่งให้กองทัพเมืองเสเหลียงระดมโจมตีกองทัพของโจโฉในทันที
กองทัพเมืองเสเหลียงได้ฟังคำสั่งให้รุกเข้าตี ต่างก็พุ่งม้าจู่โจมเข้าไปยังกองทัพโจโฉอย่างดุเดือด เพียงพริบตาเดียวกองทัพม้าเมืองเสเหลียงก็ตีตะลุยเข้าไปถึงกลางกองทัพของโจโฉ ฆ่าฟันทหารโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
โจโฉเห็นทหารแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่านก็ตกใจ รีบขี่ม้าพาทหารถอยกลับไปทางค่าย ม้าเฉียวเห็นโจโฉปลีกตัวหนีจึงสั่งทหารให้จับโจโฉให้จงได้ บรรดาทหารเมืองเสเหลียงเห็นดังนั้นจึงร้องบอกต่อ ๆ กันตามคำสั่งของม้าเฉียว แล้วพากันไล่ตามโจโฉไปอย่างรวดเร็ว
โจโฉหนีปะปนเข้ามาในหมู่ทหารเลว แต่ได้ยินเสียงทหารเมืองเสเหลียงร้องไล่หลังดังมาว่า คนที่ใส่เกราะสีแดงคือโจโฉ ให้จับตัวให้จงได้ โจโฉเกรงว่าจะเป็นเป้าในการไล่ล่าจึงรีบถอดเกราะออกจากตัว แล้วรีบหนีต่อไป
ได้ยินเสียงม้าเฉียวร้องสั่งทหารตามมาอีกว่า คนหนวดยาวที่หนีอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารนั่นแหละคือโจโฉ ให้จับตัวให้จงได้ โจโฉก็ตกใจ คิดว่าหนวดเป็นเป้าสายตาของข้าศึกจึงเอากระบี่ตัดหนวดทิ้งแล้วหนีต่อไป
เสียงทหารที่ไล่หลังมายังคงร้องบอกต่อกันว่า ให้จับทหารที่หนวดสั้นเพิ่งตัดใหม่ให้จงได้นั่นแหละคือตัวโจโฉ โจโฉได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจ รีบฉีกผ้าชายธงมาห่อคางไว้ ไม่ให้หนวดซึ่งตัดใหม่ตกเป็นที่สังเกตอีกต่อไป
ม้าเฉียวคุมทหารม้าไล่ตามกองทหารโจโฉไปติด ๆ โจโฉได้ยินเสียงไล่หลังมาก็เหลียวหลังกลับมาดู เห็นม้าเฉียวขี่ม้าไล่กระชั้นเข้ามาก็ตกใจ ขณะนั้นม้าโจโฉสะดุดขาตัวเองชะงักลงโจโฉจึงพลัดตกลงจากหลังม้า พอลุกขึ้นได้เห็นม้าเฉียวขี่ม้าตรงรี่เข้ามา โจโฉจึงวิ่งเข้าไปที่ชายป่า
ม้าเฉียวเห็นโจโฉหนีอยู่โดดเดี่ยวแต่ผู้เดียวและจนตรอกดังนั้นจึงกระตุ้นม้าวิ่งเข้าไปหา พอได้ระยะก็เอาทวนแทง โจโฉเห็นม้าเฉียวพุ่งม้าแทงทวนมาดังนั้นจึงวิ่งหลบไปด้านหลังต้นไม้ ทวนของม้าเฉียวจึงพลาดเสียบปักอยู่ที่ต้นไม้นั้น
โจโฉฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีเข้าไปในป่า ลัดเลาะไปทางค่าย ในขณะที่ม้าเฉียวขี่ม้ากลับมาชักเอาทวนซึ่งเสียบปักอยู่ที่ต้นไม้ออกแล้วไล่ตามโจโฉไป พอใกล้จะถึงค่ายก็จวนเจียนจะถึงตัวโจโฉ ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารโจโฉร้องตวาดดังสนั่นว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าได้ตกใจ ในพลันนั้นเสียงทวนก็ฝ่าอากาศหวีดหวิวมา ม้าเฉียวจึงจำต้องชะงักม้า เอาทวนปัดทวนที่แทงมานั้น กลายเป็นโจหองชักม้าเข้าสกัดม้าเฉียวไว้มิให้ไล่ตามโจโฉไป โจโฉจึงรีบหนีกลับเข้าไปในค่าย
โจหองรบกับม้าเฉียวได้ห้าสิบเพลงก็อ่อนกำลังลง พอดีแฮหัวเอี๋ยนพาทหารซึ่งแตกหนีตามมาทัน เห็นโจหองอ่อนแรงลงเกรงว่าจะเสียทีจึงขี่ม้าเข้าช่วยโจหองรุมรบกับม้าเฉียว
ม้าเฉียวไล่ตามโจโฉด้วยความเร็วจึงล้ำหน้าทหารเมืองเสเหลียงทั้งปวง ครั้นตกอยู่ในท่ามกลางการรบกระหนาบของโจหองและแฮหัวเอี๋ยนก็เกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงชักม้าปลีกตัวออกจากที่รบแล้วกลับไปที่ด่านตงก๋วน
โจหองและแฮหัวเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าไล่ตามไป เพราะทหารเมืองเสเหลียงยังคับคั่งและชุลมุนอยู่ ประกอบทั้งเป็นห่วงว่าโจโฉจะบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายจึงรีบพากันเข้าไปในค่าย
พอตกบ่ายทหารของโจโฉก็ยกกลับเข้าค่ายจนหมดสิ้น ในขณะที่ทหารเมืองเสเหลียงก็ยกกลับเข้าไปในด่านเช่นเดียวกัน
โจโฉเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่ากองทัพเมืองเสเหลียงฮึกห้าวเหิมหาญนักแต่ยกมาด้วยเส้นทางไกล ในไม่ช้าคงจะขาดเสบียงอาหารลง เราค่อยยกกองทัพออกโจมตีคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย ปรารภดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงให้ตั้งมั่นรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ไม่ให้ออกรบกับข้าศึก หากผู้ใดไม่ฟังคำสั่งก็ให้ตัดศีรษะเสีย
วันรุ่งขึ้นม้าเฉียวก็ยกทหารมาท้ารบที่หน้าค่ายของโจโฉอีก แต่ทหารของโจโฉก็ตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ยอมออกรบ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงจัดทหารออกเป็นสามผลัด ยกมาด่าที่หน้าค่ายโจโฉทั้งวันทั้งคืน หวังจะยั่วทหารโจโฉให้โกรธแล้วยกออกมาต่อสู้กัน
ทหารของโจโฉได้ฟังคำด่าของทหารม้าเฉียว ทั้งเยาะเย้ยถากถางประหนึ่งไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของชายชาติทหารก็โกรธ คิดจะยกออกไปรบกับทหารเมืองเสเหลียง แต่บรรดาแม่ทัพนายกองได้กำชับห้ามปรามไว้
ม้าเฉียวให้ทหารเมืองเสเหลียงด่าว่าปรามาสโจโฉอยู่หลายวัน ความโกรธแค้นได้ลุกลามจากทหารชั้นผู้น้อยไปจนถึงบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง จึงปรึกษากันว่าจะยกกองทัพออกไปรบกับม้าเฉียว
โจโฉทราบความก็ออกมาห้ามปรามว่า เราได้สั่งห้ามไว้เป็นแข็งขัน ห้ามมิให้ยกทหารออกไปสู้รบกับทหารเมืองเสเหลียง จะปรารมภ์ไปไยกับคำด่าว่าปรามาสเพียงเท่านี้ การซึ่งทหารเมืองเสเหลียงยกมาด่าว่าเป็นเพียงกลอุบายตื้น ๆ หวังจะยั่วยุให้กองทัพเราออกไปสู้รบด้วย หากเรายกออกไปก็เท่ากับแพ้กลด่าของม้าเฉียว ดังนั้นจึงกำชับเป็นเด็ดขาดห้ามมิให้ทหารผู้ใดออกไปรบ แม้นใครไม่ฟังคำ เราจะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก
แล้วโจโฉจึงกล่าวสืบไปว่าเรามีแผนการอุบายที่จะรับมือกับม้าเฉียวอยู่แล้วอย่าได้วิตกวู่วามไป ให้ทหารทั้งปวงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง
บรรดาทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็มีความคิดท้อถอย แต่เกรงอาญาโจโฉ ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วงทัดทานประการใด ครั้นโจโฉลุกกลับเข้าไปข้างในก็ซุบซิบกันว่าโจโฉบัดนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก การศึกแต่ก่อนนี้ไม่เคยมีสักครั้งหนึ่งที่จะย่อท้อต่อข้าศึก มีแต่จะออกหน้าด้วยความกล้าหาญไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด หรือว่าแพ้ทางเกรงกลัวม้าเฉียว
บรรดาทหารทั้งปวงได้แต่ซุบซิบนินทาแต่มิกล้าที่จะยกออกไปรบเพราะเกรงอาญาของโจโฉ ซึ่งรู้ดีกันทั่วทุกตัวคนว่าเข้มงวดเด็ดขาดนัก จนล่วงพ้นไปอีกสามวันหน่วยลาดตระเวนของโจโฉเห็นกองทัพเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกสองหมื่นก็พรั่นใจ จึงนำความไปรายงานให้โจโฉทราบ
โจโฉพอทราบรายงานก็ตรึกการว่า “แต่เมืองเสเหลียงจะมาดึงด่านตงก๋วนก็เป็นทางไกลขัดสนกันดารนัก ม้าเฉียวมีกำลังกล้าหาญเข้มแข็งก็จริง แต่เป็นเด็กหนุ่ม ความคิดน้อย ยังหาเคยทำการใหญ่ไม่ แล้วก็ยังไม่ชำนาญที่จะผ่อนปรนเอาใจทหารทั้งปวง นานไปเสบียงอาหารขัดสนลง เห็นทหารทั้งปวงจะเอาใจออกหากสิ้น เราก็จะได้ทำการถนัด”
โจโฉตรองการดังนั้นแล้วจึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่า ซึ่งกองทัพเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกสองหมื่นนั้นอย่าได้วิตกไปเลย เพราะกองทัพเมืองเสเหลียงซึ่งเพิ่มมาอีกสองหมื่นนั้นใช่จะมาแต่ตัวก็หาไม่ หากเอาปากเอาท้องติดมาด้วย เมื่อรวมกับทหารที่ยกมาก่อนแล้วก็ยิ่งเพิ่มกำลังปากกำลังท้องให้มากขึ้น อันหนทางแต่เมืองเสเหลียงมาถึงด่านตง ก๋วนนี้เป็นระยะทางไกลทุรกันดารนัก ที่ไหนกองทัพเมืองเสเหลียงจะลำเลียงเสบียงอาหารมาได้ทัน อีกไม่กี่วันก็จะพากันอดอยากแล้วระส่ำระสายขึ้น เราก็จะทำการได้ถนัดเป็นมั่นคง
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้น ใจหนึ่งก็ยังคงประหวั่นพรั่นพรึง อีกใจหนึ่งก็คิดเห็นคล้อยตามกับความคิดของโจโฉ แต่ก็ไม่มีผู้ใดท้วงติงประการใด
ครั้นวันรุ่งขึ้นหน่วยสอดแนมก็เข้ามารายงานอีกว่าวันนี้มีกองทหารเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกเป็นจำนวนมาก ท่านจะคิดอ่านประการใด
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ปรบมือหัวเราะแล้วว่า ม้าเฉียวครั้งนี้คงจะปราชัยสถานเดียวเท่านั้น เราต่างหากซึ่งจะเป็นฝ่ายชนะโดยไม่ต้องสงสัย โจโฉกล่าวดังนั้นแล้วจึงสั่งให้กองทหารทั้งสามค่ายแต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวงเพื่อฉลองชัยล่วงหน้า
บรรดาทหารทั้งปวงต่างงุนงงสงสัย เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าโจโฉจะคิดอ่านประการใด แต่หวั่นใจว่าที่โจโฉทำการทั้งนี้เพียงเพื่อปลอบประโลมใจไม่ให้กองทัพระย่อท้อถอย ก็พากันอมยิ้มเป็นทีว่ารู้ความคิดของโจโฉ
โจโฉสังเกตอากัปกิริยาของทหารก็รู้ที จึงแสร้งว่าการศึกถึงวันนี้เรายังไม่มีแผนการอย่างอื่น นอกจากตั้งรับอยู่ในค่ายรอให้ม้าเฉียวสิ้นกำลังไปเอง ถ้าผู้ใดมีแผนการความคิดที่จะเอาชัยชนะกองทัพเมืองเสเหลียงได้ก็ให้เสนอมาอย่าได้เกรงใจ
ซิหลงได้ฟังดังนั้นจึงเสนอว่า ซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีอาศัยยุทธวิธีตั้งรับนั้นชอบด้วยกระบวนศึกแล้ว บัดนี้ม้าเฉียวได้ชัยชนะมาโดยลำดับและได้ทหารมาเพิ่มเติมย่อมมีน้ำใจกำเริบ คิดแต่จะสู้รบทางด้านหน้าหาได้คิดระวังหลังด่านไม่ จึงขอให้ท่านแต่งทหารยกอ้อมไปทางด้านหลังด่าน ตีกระทบลงมาแล้วให้ทหารทั้งสามค่ายตีกระหนาบไปพร้อมกัน เห็นม้าเฉียวจะพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังคงจะเสียทีแล้วท่านจะตีด่านได้โดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าความคิดซิหลงท่านแม้ดูเข้าท่าแต่ยังตื้นเขินเกินไปนักสู้แผนการความคิดของเราไม่ได้ มีความลึกซึ้งกว่าแผนการของท่านมากนัก.
โจโฉเคลื่อนกองทัพหลวงมาใกล้ด่านตงก๋วนยี่สิบเส้น ครั้นได้ฟังความคิดของ โจหยินที่มิให้ด่วนยกล่วงเข้าประชิดด่านก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ตั้งค่ายลงเป็นสามค่าย ทางด้านขวาให้โจหยินเป็นผู้รักษาค่าย ทางด้านซ้ายให้แฮหัวเอี๋ยนเป็นผู้รักษาค่าย ส่วนค่ายหลวงอยู่ตรงกลางนั้นโจโฉเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง และสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมพร้อมที่จะทำศึกกับทหารเมืองเสเหลียง
ครั้นวันรุ่งขึ้นม้าเฉียวก็ยกทหารม้าเมืองเสเหลียงออกจากด่านตงก๋วนตรงมาที่ค่ายของโจโฉ ทางด้านโจโฉก็ยกทหารออกไปเผชิญหน้ากับกองทัพเมืองเสเหลียง ต่างฝ่ายต่างตั้งขบวนทหารเป็นแถวหน้ากระดานเว้นลานรบไว้ตรงกลาง
โจโฉและม้าเฉียวต่างออกไปยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหาร โจโฉเห็นม้าเฉียว “ห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวน ออกมายืนหน้าทหาร รูปร่างคมสัน ไหล่ผาย เอวกลม หน้าขาว ปากแดง” สมควรเป็นทหารเอก และเห็นทหารเมืองเสเหลียงล้วนกำยำ ล่ำสัน แข็งแรงผิดกว่าคนในภาคกลาง และเห็นข้างม้าเฉียวนั้นมีบังเต๊กยืนม้าเป็นสง่าอยู่ข้างขวาและม้าต้ายยืนม้าอยู่ข้างซ้ายน่าเกรงขามนัก โจโฉจึงคำนึงขึ้นในใจว่าม้าเฉียวนี้ไม่เสียทีเป็นลูกชาติทหาร มีบุคลิกกล้าหาญในการสงครามยิ่งนัก
โจโฉคำนึงดังนี้แล้วจึงขี่ม้าออกไปข้างหน้ากลางลานรบ แล้วกล่าวกับม้าเฉียวว่าตัวท่านนี้ก็เป็นบุตรขุนนาง มีความภักดีต่อแผ่นดินมาแต่ก่อน เหตุไฉนจึงคิดการเป็นกบฏยกกองทัพมารุกรานแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ม้าเฉียวได้ฟังคำโจโฉก็โกรธ ความแค้นที่โจโฉสังหารบิดาพลุ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จึงกล่าวตอบโจโฉว่า “ไอ้โจรศัตรูราชสมบัติ มึงทำการหยาบช้าดูหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ โทษมึงก็ผิดเป็นอันมาก ควรจะสับให้ละเอียดเหมือนสับสุกรทำบะอ๋วนจึงจะชอบ แล้วมึงฆ่าบิดากับน้องกูเสีย กูก็มีความแค้นนัก จะจับตัวมึงเคี้ยวเนื้อสูบเลือดกินเสียทั้งเป็นให้จงได้”
ม้าเฉียวกล่าวขาดคำก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป กระตุ้นม้าพุ่งปราดออกไปที่โจโฉ อิกิ๋มนายทหารเอกเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกไปขวางหน้าสกัดไม่ให้ม้าเฉียวบุกเข้าถึงตัวโจโฉ ทั้งสองฝ่ายรบกันได้เพียงยี่สิบเพลง อิกิ๋มสู้ไม่ได้จึงควบม้าหนีออกจากลานรบ โจโฉเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงขับม้าถอยกลับมาอยู่ในแถวทหาร
ม้าเฉียวเห็นอิกิ๋มขี่ม้าหนีจึงขี่ม้าไล่ตามไป ลิกองนายทหารรองของโจโฉเกรงว่าอิกิ๋มจะเสียทีแก่ม้าเฉียวจึงขี่ม้าออกไปสกัดหน้าม้าเฉียวไว้
ม้าเฉียวเห็นลิกองขี่ม้าออกมาสกัดก็ควบม้าตรงเข้าไปหาลิกอง ฟาดทวนเข้าใส่ลิกองอย่างไม่ยั้งมือ ลิกองรับมือม้าเฉียวได้แค่เก้าเพลงก็ถูกม้าเฉียวเอาทวนแทงตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
พอสังหารลิกองแล้วม้าเฉียวจึงชักม้ากลับมาที่ลานรบ แล้วออกคำสั่งให้กองทัพเมืองเสเหลียงระดมโจมตีกองทัพของโจโฉในทันที
กองทัพเมืองเสเหลียงได้ฟังคำสั่งให้รุกเข้าตี ต่างก็พุ่งม้าจู่โจมเข้าไปยังกองทัพโจโฉอย่างดุเดือด เพียงพริบตาเดียวกองทัพม้าเมืองเสเหลียงก็ตีตะลุยเข้าไปถึงกลางกองทัพของโจโฉ ฆ่าฟันทหารโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
โจโฉเห็นทหารแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่านก็ตกใจ รีบขี่ม้าพาทหารถอยกลับไปทางค่าย ม้าเฉียวเห็นโจโฉปลีกตัวหนีจึงสั่งทหารให้จับโจโฉให้จงได้ บรรดาทหารเมืองเสเหลียงเห็นดังนั้นจึงร้องบอกต่อ ๆ กันตามคำสั่งของม้าเฉียว แล้วพากันไล่ตามโจโฉไปอย่างรวดเร็ว
โจโฉหนีปะปนเข้ามาในหมู่ทหารเลว แต่ได้ยินเสียงทหารเมืองเสเหลียงร้องไล่หลังดังมาว่า คนที่ใส่เกราะสีแดงคือโจโฉ ให้จับตัวให้จงได้ โจโฉเกรงว่าจะเป็นเป้าในการไล่ล่าจึงรีบถอดเกราะออกจากตัว แล้วรีบหนีต่อไป
ได้ยินเสียงม้าเฉียวร้องสั่งทหารตามมาอีกว่า คนหนวดยาวที่หนีอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารนั่นแหละคือโจโฉ ให้จับตัวให้จงได้ โจโฉก็ตกใจ คิดว่าหนวดเป็นเป้าสายตาของข้าศึกจึงเอากระบี่ตัดหนวดทิ้งแล้วหนีต่อไป
เสียงทหารที่ไล่หลังมายังคงร้องบอกต่อกันว่า ให้จับทหารที่หนวดสั้นเพิ่งตัดใหม่ให้จงได้นั่นแหละคือตัวโจโฉ โจโฉได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจ รีบฉีกผ้าชายธงมาห่อคางไว้ ไม่ให้หนวดซึ่งตัดใหม่ตกเป็นที่สังเกตอีกต่อไป
ม้าเฉียวคุมทหารม้าไล่ตามกองทหารโจโฉไปติด ๆ โจโฉได้ยินเสียงไล่หลังมาก็เหลียวหลังกลับมาดู เห็นม้าเฉียวขี่ม้าไล่กระชั้นเข้ามาก็ตกใจ ขณะนั้นม้าโจโฉสะดุดขาตัวเองชะงักลงโจโฉจึงพลัดตกลงจากหลังม้า พอลุกขึ้นได้เห็นม้าเฉียวขี่ม้าตรงรี่เข้ามา โจโฉจึงวิ่งเข้าไปที่ชายป่า
ม้าเฉียวเห็นโจโฉหนีอยู่โดดเดี่ยวแต่ผู้เดียวและจนตรอกดังนั้นจึงกระตุ้นม้าวิ่งเข้าไปหา พอได้ระยะก็เอาทวนแทง โจโฉเห็นม้าเฉียวพุ่งม้าแทงทวนมาดังนั้นจึงวิ่งหลบไปด้านหลังต้นไม้ ทวนของม้าเฉียวจึงพลาดเสียบปักอยู่ที่ต้นไม้นั้น
โจโฉฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีเข้าไปในป่า ลัดเลาะไปทางค่าย ในขณะที่ม้าเฉียวขี่ม้ากลับมาชักเอาทวนซึ่งเสียบปักอยู่ที่ต้นไม้ออกแล้วไล่ตามโจโฉไป พอใกล้จะถึงค่ายก็จวนเจียนจะถึงตัวโจโฉ ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารโจโฉร้องตวาดดังสนั่นว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าได้ตกใจ ในพลันนั้นเสียงทวนก็ฝ่าอากาศหวีดหวิวมา ม้าเฉียวจึงจำต้องชะงักม้า เอาทวนปัดทวนที่แทงมานั้น กลายเป็นโจหองชักม้าเข้าสกัดม้าเฉียวไว้มิให้ไล่ตามโจโฉไป โจโฉจึงรีบหนีกลับเข้าไปในค่าย
โจหองรบกับม้าเฉียวได้ห้าสิบเพลงก็อ่อนกำลังลง พอดีแฮหัวเอี๋ยนพาทหารซึ่งแตกหนีตามมาทัน เห็นโจหองอ่อนแรงลงเกรงว่าจะเสียทีจึงขี่ม้าเข้าช่วยโจหองรุมรบกับม้าเฉียว
ม้าเฉียวไล่ตามโจโฉด้วยความเร็วจึงล้ำหน้าทหารเมืองเสเหลียงทั้งปวง ครั้นตกอยู่ในท่ามกลางการรบกระหนาบของโจหองและแฮหัวเอี๋ยนก็เกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงชักม้าปลีกตัวออกจากที่รบแล้วกลับไปที่ด่านตงก๋วน
โจหองและแฮหัวเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าไล่ตามไป เพราะทหารเมืองเสเหลียงยังคับคั่งและชุลมุนอยู่ ประกอบทั้งเป็นห่วงว่าโจโฉจะบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายจึงรีบพากันเข้าไปในค่าย
พอตกบ่ายทหารของโจโฉก็ยกกลับเข้าค่ายจนหมดสิ้น ในขณะที่ทหารเมืองเสเหลียงก็ยกกลับเข้าไปในด่านเช่นเดียวกัน
โจโฉเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่ากองทัพเมืองเสเหลียงฮึกห้าวเหิมหาญนักแต่ยกมาด้วยเส้นทางไกล ในไม่ช้าคงจะขาดเสบียงอาหารลง เราค่อยยกกองทัพออกโจมตีคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย ปรารภดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงให้ตั้งมั่นรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ไม่ให้ออกรบกับข้าศึก หากผู้ใดไม่ฟังคำสั่งก็ให้ตัดศีรษะเสีย
วันรุ่งขึ้นม้าเฉียวก็ยกทหารมาท้ารบที่หน้าค่ายของโจโฉอีก แต่ทหารของโจโฉก็ตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ยอมออกรบ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงจัดทหารออกเป็นสามผลัด ยกมาด่าที่หน้าค่ายโจโฉทั้งวันทั้งคืน หวังจะยั่วทหารโจโฉให้โกรธแล้วยกออกมาต่อสู้กัน
ทหารของโจโฉได้ฟังคำด่าของทหารม้าเฉียว ทั้งเยาะเย้ยถากถางประหนึ่งไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของชายชาติทหารก็โกรธ คิดจะยกออกไปรบกับทหารเมืองเสเหลียง แต่บรรดาแม่ทัพนายกองได้กำชับห้ามปรามไว้
ม้าเฉียวให้ทหารเมืองเสเหลียงด่าว่าปรามาสโจโฉอยู่หลายวัน ความโกรธแค้นได้ลุกลามจากทหารชั้นผู้น้อยไปจนถึงบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง จึงปรึกษากันว่าจะยกกองทัพออกไปรบกับม้าเฉียว
โจโฉทราบความก็ออกมาห้ามปรามว่า เราได้สั่งห้ามไว้เป็นแข็งขัน ห้ามมิให้ยกทหารออกไปสู้รบกับทหารเมืองเสเหลียง จะปรารมภ์ไปไยกับคำด่าว่าปรามาสเพียงเท่านี้ การซึ่งทหารเมืองเสเหลียงยกมาด่าว่าเป็นเพียงกลอุบายตื้น ๆ หวังจะยั่วยุให้กองทัพเราออกไปสู้รบด้วย หากเรายกออกไปก็เท่ากับแพ้กลด่าของม้าเฉียว ดังนั้นจึงกำชับเป็นเด็ดขาดห้ามมิให้ทหารผู้ใดออกไปรบ แม้นใครไม่ฟังคำ เราจะตัดศีรษะเสียตามพระอัยการศึก
แล้วโจโฉจึงกล่าวสืบไปว่าเรามีแผนการอุบายที่จะรับมือกับม้าเฉียวอยู่แล้วอย่าได้วิตกวู่วามไป ให้ทหารทั้งปวงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง
บรรดาทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็มีความคิดท้อถอย แต่เกรงอาญาโจโฉ ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วงทัดทานประการใด ครั้นโจโฉลุกกลับเข้าไปข้างในก็ซุบซิบกันว่าโจโฉบัดนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก การศึกแต่ก่อนนี้ไม่เคยมีสักครั้งหนึ่งที่จะย่อท้อต่อข้าศึก มีแต่จะออกหน้าด้วยความกล้าหาญไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด หรือว่าแพ้ทางเกรงกลัวม้าเฉียว
บรรดาทหารทั้งปวงได้แต่ซุบซิบนินทาแต่มิกล้าที่จะยกออกไปรบเพราะเกรงอาญาของโจโฉ ซึ่งรู้ดีกันทั่วทุกตัวคนว่าเข้มงวดเด็ดขาดนัก จนล่วงพ้นไปอีกสามวันหน่วยลาดตระเวนของโจโฉเห็นกองทัพเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกสองหมื่นก็พรั่นใจ จึงนำความไปรายงานให้โจโฉทราบ
โจโฉพอทราบรายงานก็ตรึกการว่า “แต่เมืองเสเหลียงจะมาดึงด่านตงก๋วนก็เป็นทางไกลขัดสนกันดารนัก ม้าเฉียวมีกำลังกล้าหาญเข้มแข็งก็จริง แต่เป็นเด็กหนุ่ม ความคิดน้อย ยังหาเคยทำการใหญ่ไม่ แล้วก็ยังไม่ชำนาญที่จะผ่อนปรนเอาใจทหารทั้งปวง นานไปเสบียงอาหารขัดสนลง เห็นทหารทั้งปวงจะเอาใจออกหากสิ้น เราก็จะได้ทำการถนัด”
โจโฉตรองการดังนั้นแล้วจึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่า ซึ่งกองทัพเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกสองหมื่นนั้นอย่าได้วิตกไปเลย เพราะกองทัพเมืองเสเหลียงซึ่งเพิ่มมาอีกสองหมื่นนั้นใช่จะมาแต่ตัวก็หาไม่ หากเอาปากเอาท้องติดมาด้วย เมื่อรวมกับทหารที่ยกมาก่อนแล้วก็ยิ่งเพิ่มกำลังปากกำลังท้องให้มากขึ้น อันหนทางแต่เมืองเสเหลียงมาถึงด่านตง ก๋วนนี้เป็นระยะทางไกลทุรกันดารนัก ที่ไหนกองทัพเมืองเสเหลียงจะลำเลียงเสบียงอาหารมาได้ทัน อีกไม่กี่วันก็จะพากันอดอยากแล้วระส่ำระสายขึ้น เราก็จะทำการได้ถนัดเป็นมั่นคง
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้น ใจหนึ่งก็ยังคงประหวั่นพรั่นพรึง อีกใจหนึ่งก็คิดเห็นคล้อยตามกับความคิดของโจโฉ แต่ก็ไม่มีผู้ใดท้วงติงประการใด
ครั้นวันรุ่งขึ้นหน่วยสอดแนมก็เข้ามารายงานอีกว่าวันนี้มีกองทหารเมืองเสเหลียงยกเพิ่มเติมมาอีกเป็นจำนวนมาก ท่านจะคิดอ่านประการใด
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ปรบมือหัวเราะแล้วว่า ม้าเฉียวครั้งนี้คงจะปราชัยสถานเดียวเท่านั้น เราต่างหากซึ่งจะเป็นฝ่ายชนะโดยไม่ต้องสงสัย โจโฉกล่าวดังนั้นแล้วจึงสั่งให้กองทหารทั้งสามค่ายแต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวงเพื่อฉลองชัยล่วงหน้า
บรรดาทหารทั้งปวงต่างงุนงงสงสัย เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าโจโฉจะคิดอ่านประการใด แต่หวั่นใจว่าที่โจโฉทำการทั้งนี้เพียงเพื่อปลอบประโลมใจไม่ให้กองทัพระย่อท้อถอย ก็พากันอมยิ้มเป็นทีว่ารู้ความคิดของโจโฉ
โจโฉสังเกตอากัปกิริยาของทหารก็รู้ที จึงแสร้งว่าการศึกถึงวันนี้เรายังไม่มีแผนการอย่างอื่น นอกจากตั้งรับอยู่ในค่ายรอให้ม้าเฉียวสิ้นกำลังไปเอง ถ้าผู้ใดมีแผนการความคิดที่จะเอาชัยชนะกองทัพเมืองเสเหลียงได้ก็ให้เสนอมาอย่าได้เกรงใจ
ซิหลงได้ฟังดังนั้นจึงเสนอว่า ซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีอาศัยยุทธวิธีตั้งรับนั้นชอบด้วยกระบวนศึกแล้ว บัดนี้ม้าเฉียวได้ชัยชนะมาโดยลำดับและได้ทหารมาเพิ่มเติมย่อมมีน้ำใจกำเริบ คิดแต่จะสู้รบทางด้านหน้าหาได้คิดระวังหลังด่านไม่ จึงขอให้ท่านแต่งทหารยกอ้อมไปทางด้านหลังด่าน ตีกระทบลงมาแล้วให้ทหารทั้งสามค่ายตีกระหนาบไปพร้อมกัน เห็นม้าเฉียวจะพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังคงจะเสียทีแล้วท่านจะตีด่านได้โดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าความคิดซิหลงท่านแม้ดูเข้าท่าแต่ยังตื้นเขินเกินไปนักสู้แผนการความคิดของเราไม่ได้ มีความลึกซึ้งกว่าแผนการของท่านมากนัก.