ตอนที่ 327. ระเบิดศึกภาคพายัพ
โจโฉดำเนินอุบาย “ปิดฟ้าข้ามเรือ” จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่ขงเบ้งแก้กลอุบายของโจโฉด้วยอุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” ให้เล่าปี่มีหนังสือไปยุม้าเฉียวผู้บุตรของม้าเท้งให้ยกกองทัพเมืองเสเหลียงมาตีเมืองฮูโต๋ จึงทำให้โจโฉไม่สามารถยกกองทัพลงภาคใต้ได้ ตามที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้แต่เดิม
เพื่อที่จะกำจัดศัตรูทางภาคพายัพให้สิ้นซาก โจโฉจึงมีหนังสือถึงหันซุยผู้เป็นสหายสนิทของม้าเท้งให้จับม้าเฉียวและพี่น้องมามอบที่เมืองหลวง โดยจะปูนบำเหน็จตั้งหันซุยให้เป็นเจ้าเมืองเสเหลียงตอบแทน แต่หันซุยมีความซื่อสัตย์ต่อม้าเท้งผู้เป็นสหาย พอได้รับหนังสือของโจโฉก็ให้ทหารไปเชิญตัวม้าเฉียวมาพบ แล้วแจ้งความตามหนังสือของโจโฉให้ม้าเฉียวทราบความทุกประการ
ม้าเฉียวอ่านความตามหนังสือของโจโฉและฟังคำหันซุยแล้วก็ร้องไห้ ด้วยตระหนักในน้ำใจของหันซุยที่ยึดมั่นสัตย์ซื่อต่อม้าเท้งผู้บิดาจึงเมตตาต่อตัวและพี่น้อง ไม่ทำตามหนังสือของโจโฉ และยังนำความลับมาบอกกล่าวให้ทราบอีก
ม้าเฉียวก้มลงกราบหันซุยแล้วว่า “ท่านกับบิดาข้าพเจ้าก็เป็นสหายรักใคร่กันนัก บัดนี้โจโฉก็ฆ่าบิดาของข้าพเจ้าเสียแล้ว ซึ่งเหตุทั้งนี้ท่านจงเห็นแก่บิดาข้าพเจ้าเถิด”
หันซุยเห็นม้าเฉียวร้องไห้เป็นที่เวทนาดังนั้นก็สงสาร ก้มตัวพยุงม้าเฉียวให้ลุกขึ้นนั่งที่โต๊ะเดียวกัน แล้วว่าบิดาเจ้ากับตัวเราเป็นสหายสนิท รักใคร่กันดุจดังพี่น้องร่วมอุทร ซึ่ง โจโฉคิดร้ายสังหารบิดาเจ้าเสียนั้นเราก็มีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก ดังนั้นวันใดที่เจ้ายกกองทัพเมืองเสเหลียงไปล้างแค้นโจโฉตัวเราก็จะขอตามไปในกองทัพ จะได้ช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้
ม้าเฉียวได้ฟังคำหันซุยดังนั้นก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับหันซุยด้วยน้ำตา หันซุยก็ยิ่งมีน้ำใจเวทนาสงสาร บอกให้ม้าเฉียวนั่งลงในที่เดิม และสั่งทหารให้ไปคุมตัวทูตของโจโฉมาพบ แล้วว่าตัวเรากับม้าเท้งเป็นสหายสนิท มีน้ำจิตซื่อตรงเป็นหนึ่งเดียวกัน โจโฉคนใจชั่ววางแผนสังหารสหายเราแล้ว ยังยุยงเราให้ทำชั่วทำร้ายบุตรหลานครอบครัวของสหายเราอีกเล่า ความคิดและการกระทำดังนี้อัปรีย์นัก เราจะละธรรมเนียมการทูตเพื่อบูชาคุณของสหาย และเพื่อให้ปรากฏไปในเบื้องหน้าว่าตัวเราไม่ยอมจำนนต่อคนชั่วโดยเด็ดขาด ว่าแล้วหันซุยจึงสั่งทหารให้เอาตัวทูตของโจโฉไปตัดศีรษะเซ่นวิญญาณของม้าเท้งต่อหน้าม้าเฉียวที่หน้าจวนนั้น
พอตัดศีรษะทูตของโจโฉแล้วม้าเฉียวจึงว่าบัดนี้ข้าพเจ้าได้จัดแจงแต่งกองทัพจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ จึงขอเชิญท่านอาออกไปตรวจพลสักครั้งหนึ่งก่อน ได้ฤกษ์ดีแล้วจะได้กรีฑาทัพไปกำจัดโจโฉให้หายแค้น
หันซุยมีน้ำใจสงสารม้าเฉียวบุตรของสหายรัก จึงรับคำออกไปตรวจตรากองทัพซึ่งจัดแจงไว้นั้น แล้วลาม้าเฉียวกลับมาที่จวน
พอถึงวันฤกษ์ดีม้าเฉียวและหันซุยก็จัดแจงแต่งกองทัพเป็นสองกอง กองหนึ่งหันซุยเป็นแม่ทัพ มีนายทหารเอกแปดคนคือเฮาชวน เทียนหงิน ลิขำ เตียวเหง เลียงหิน เซงหงี แปออน เอียวฉิว และคุมทหารยี่สิบหมื่น ส่วนม้าเฉียว ม้าต้ายและ บังเต๊กคุมทหารอีกยี่สิบหมื่นเป็นอีกกองหนึ่ง แล้วยกออกจากเมืองเสเหลียงจะไปตีเมืองฮูโต๋ตามเส้นทางเมืองเตียงอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าที่ตั๋งโต๊ะได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากเมืองลกเอี๋ยง
พอกองทัพเมืองเสเหลียงยกล่วงเข้าเขตแดนเมืองเตียงอัน จงฮิวซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็ได้ทราบข่าวศึกจึงให้ม้าเร็วถือหนังสือรายงานความศึกไปแจ้งแก่โจโฉที่เมืองฮูโต๋ และยกทหารออกไปตั้งค่ายป้องกันเมืองเตียงอันที่นอกกำแพงเมือง
จงฮิวพอตั้งค่ายเสร็จ ม้าต้ายซึ่งคุมทหารห้าพันในกองทัพของม้าเฉียวก็ยกมาถึง จงฮิวจึงคุมทหารออกไปท้ารบกับม้าต้าย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงเพลงจงฮิวสู้กำลัง ม้าต้ายไม่ได้จึงควบม้าหนีจะกลับเข้าเมืองเตียงอัน ทหารของจงฮิวก็แตกตื่น ถูกทหารของม้าต้ายฆ่าฟันล้มตายลงเป็นอันมาก มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่หนีตามจงฮิวกลับเข้าไปในเมืองได้ทัน
เมื่อจงฮิวกลับมาถึงเมืองแล้วก็ไม่มีจิตใจที่จะสู้รบกับกองทัพเมืองเสเหลียง ได้แต่สั่งทหารให้กวดขันรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง ม้าต้ายยกไปท้ารบหลายครั้งจงฮิวก็สงบนิ่งอยู่แต่ในเมือง
พอม้าเฉียวและหันซุยยกทหารตามม้าต้ายมาทันก็ให้ทหารตั้งค่ายรายล้อมเมืองเตียงอันทุกด้าน และให้ทหารออกไปท้ารบกับจงฮิวทุกวัน ถึงสิบวันก็ปรากฏว่าจงฮิวไม่ยอมออกมารบ
ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงปรึกษาด้วยหันซุย บังเต๊ก และม้าต้ายว่าจงฮิวไม่ยอมออกรบ ได้แต่รักษาตัวป้องกันเมืองเป็นสามารถอยู่ดังนี้ ทำไฉนจึงจะตีเมืองเตียงอันได้สำเร็จ
บังเต๊กนายทหารฝ่ายเสนาธิการจึงว่า “เมืองเตียงอันนี้เป็นเมืองใหญ่ ค่ายคูประตูหอรบก็มั่นคง เป็นเมืองพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งอยู่ก่อน เราจะมานิ่งล้อมอยู่ฉะนี้ก็ป่วยการไพร่พลนัก อนึ่งแม้โจโฉยกกองทัพมาทันตั้งรบกระหนาบเราเข้า เราจะมิขัดสนเสียหรือ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่งให้ได้เมืองเตียงอันโดยง่าย”
ม้าเฉียว หันซุย ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามบังเต๊กว่าความคิดอุบายของท่านเป็นประการใด
บังเต๊กจึงว่าอันเมืองเตียงอันนี้ค่ายคูประตูหอรบก็แข็งแรงแน่นหนา จะเข้าตีซึ่งหน้าเห็นขัดสนนัก จำจะต้องตีให้แตกมาจากในเมือง แล้วกระหนาบตีจากภายนอกก็จะได้เมืองเตียงอันโดยง่าย
ม้าเฉียวจึงว่าจะทำประการใดจึงจะสำเร็จดังความคิดท่าน
บังเต๊กจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองเตียงอันว่างศึกสงครามมาช้านาน ดังนั้นจึงมิได้มีการซ่องสุมเสบียง กองทัพของเราล้อมเมืองเตียงอันไว้สิบวันแล้ว เสบียงอาหารในเมืองก็ขาดแคลนอยู่ ชาวเมืองได้รับความลำบากนัก แต่ที่ยังป้องกันรักษาเมืองอยู่ได้ก็ด้วยความหวังประการเดียวว่าโจโฉจะยกกองทัพมาช่วย ดังนั้นจึงขอให้ท่านถอยทัพออกไปซุ่มอยู่ให้ไกลเมือง เมื่อชาวเมืองเห็นว่ากองทัพซึ่งยกมาล้อมเลิกทัพกลับไปแล้ว ก็จะเปิดประตูออกมาหาเสบียงแลอาหาร ข้าพเจ้าและทหารจะปลอมตัวเป็นชาวเมืองเข้าไปปะปนอยู่ภายในเมือง แล้วจะจุดเพลิงเป็นสัญญาณขึ้น ฆ่าฟันผู้รักษาประตูเมืองและเปิดประตูเมืองรับกองทัพท่าน ให้ท่านยกกองทัพเข้าไปในเมืองก็จะได้โดยสะดวก
ม้าเฉียวและหันซุยได้ฟังแผนการของบังเต๊กก็เห็นชอบ ครั้นเวลาค่ำลงก็ออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพยกออกไปซุ่มอยู่ในป่าไกลจากตัวเมืองสามร้อยเส้น ให้เก็บธงทิวและฆ้องกลองไว้อย่างมิดชิด
พอรุ่งขึ้นเช้าทหารและชาวเมืองเห็นกองทัพซึ่งล้อมเมืองอยู่ได้หายไปจนหมดสิ้นก็สำคัญว่ากองทัพเมืองเสเหลียงเลิกทัพกลับไปแล้ว จึงนำความไปรายงานให้จงฮิวเจ้าเมืองทราบ
จงฮิวทราบความแล้วยังแคลงใจสงสัยว่าไฉนกองทัพเพิ่งยกมาเพียงสิบกว่าแล้วเลิกทัพกลับไป จึงให้หน่วยสอดแนมออกไปลาดตระเวนก็ไม่พบทหารเมืองเสเหลียง จึงวางใจและสั่งให้เปิดประตูเมืองให้ชาวเมืองออกไปหาน้ำ แลเสบียงอาหาร
เมืองเตียงอันนี้มีชัยภูมิตั้งอยู่ในที่แล้งประกอบด้วยดินทราย จึงขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ แม้จะขุดบ่อลึกสักเพียงไหนก็ได้แต่หินและทราย ดังนั้นเมื่อชาวเมืองขาดแคลนน้ำจึงได้รับความทรมานนัก พอทราบว่าเจ้าเมืองสั่งให้เปิดประตูเมืองจึงพากันแก่งแย่งออกไปหาน้ำและเสบียงอาหารที่นอกเมือง ขบวนลำเลียงน้ำจากนอกเมืองเนืองแน่นขนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น
บังเต๊กและทหารในสังกัดได้ปลอมตัวเป็นชาวเมือง แล้วแทรกซึมเข้ามาในเมืองพร้อมกับชาวเมืองที่ออกไปลำเลียงน้ำแลอาหารนั้น บังเต๊กค่อย ๆ ให้ทหารแทรกซึมปลอมเข้าไปในเมืองถึงสามวันจึงหมด และได้ให้ทหารคนสนิทลอบไปส่งข่าวให้ม้าเฉียวทราบ และนัดหมายให้ยกกองทัพเข้าตีเมืองในค่ำวันนี้ โดยบังเต๊กจะจุดเพลิงสัญญาณขึ้นภายในเมืองเป็นสำคัญ
ม้าเฉียวและหันซุยทราบความตามที่บังเต๊กแจ้งไปแล้ว จึงเคลื่อนกองทัพออกมาล้อมเมืองไว้ดังเดิม จงฮิวเห็นกองทัพเมืองเสเหลียงยกมาอีกครั้งหนึ่งก็ตกใจ สั่งให้ทหารปิดประตูเมืองและขึ้นรักษาเชิงเทินกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง
ในคืนวันนั้นบังเต๊กและทหารซึ่งได้ลักลอบเข้ามาในเมืองได้ประสานงานเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ครั้นได้เวลายามสามบังเต๊กจึงให้ทหารจุดเพลิงขึ้นในเมืองด้านทิศตะวันตก
พอเพลิงติดขึ้นจงจิ๋นนายทหารผู้รักษาเชิงเทินด้านตะวันตกและเป็นน้องของจงฮิวเห็นเหตุการณ์จึงพาทหารมาดับเพลิง บังเต๊กควบคุมการจุดเพลิงอยู่เห็นดังนั้นจึงขี่ม้าออกไปสกัดหน้าจงจิ๋น แล้วตวาดว่าตัวเรานี้คือบังเต๊กเป็นทหารเมืองเสเหลียง เข้ามายึดเมืองเตียงอันไว้ได้แล้ว เจ้าไม่ทราบหรือ
จงจิ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจเพราะไม่ได้คาดคิดว่าทหารเมืองเสเหลียงจะแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในเมือง ไม่ทันที่จะตอบโต้ประการใดบังเต๊กก็ชักม้าปราดเข้ามา เอาดาบฟันจงจิ๋นตกม้าตาย
บังเต๊กจึงสั่งทหารที่เตรียมการไว้พร้อมให้จู่โจมไปที่ประตูเมืองพร้อมกัน ช่วยกันเปิดประตูเมืองออกเพื่อต้อนรับกองทัพเมืองเสเหลียง
ในขณะนั้นม้าเฉียวและหันซุยคุมกองทัพเตรียมพร้อมอยู่ภายนอกเมือง พอได้เห็นเพลิงลุกขึ้นภายในเมืองตามสัญญาณที่บังเต๊กแจ้งมาก็มีความยินดี สั่งทหารทุกหน่วยให้ยกเข้าตีเมืองพร้อมกัน
ทหารเมืองเสเหลียงทุกกองได้โห่ร้องตีฆ้องกลองก้องสนั่นท่ามกลางความมืดของราตรี แล้วพากันกรูเข้าไปที่เชิงเทิน เห็นประตูเมืองเปิดออกทั้งสี่ด้านก็พากันเข้าไปในเมือง แล้วขึ้นไปบนเชิงเทินและกำแพงเมือง ฆ่าฟันทหารของจงฮิวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายจงฮิวรักษาการอยู่ที่เชิงเทินด้านตะวันออก เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นที่แนวกำแพงเมืองด้านตะวันตกแล้วได้ยินเสียงทหารเมืองเสเหลียงโห่ร้องรุกเข้ามาในเมืองราวกับคลื่นในพระมหาสมุทรก็ตกใจ รีบพาทหารที่สนิทหนีออกไปทางประตูลับ แล้วยกไปตั้งอยู่ที่ด่านตงก๋วน
เมื่อจงฮิวยกไปถึงด่านตงก๋วนแล้ว จึงให้ทหารรีบเดินสารไปแจ้งเนื้อความให้โจโฉทราบว่าบัดนี้กองทัพเมืองเสเหลียงยึดเมืองเตียงอันได้แล้ว ตัวจงฮิวและทหารจำนวนน้อยหนีรอดออกมาได้และมาตั้งหลักอยู่ที่ด่านตงก๋วน ขอให้โจโฉรีบยกกองทัพจากเมืองหลวงมาช่วยโดยเร็ว มิฉะนั้นก็อาจรักษาด่านตงก๋วนไว้ไม่ได้
ทางด้านม้าเฉียวและหันซุยครั้นยึดเมืองเตียงอันได้แล้ว ได้จับทหารของจงฮิวซึ่งอยู่รักษาเมืองและหนีไม่ทันไว้ได้เป็นจำนวนมาก และจัดสังกัดให้อยู่ในกองทัพเมืองเสเหลียงทำหน้าที่เป็นพลลำเลียงแล้วให้เอาทรัพย์สิ่งสินที่ยึดได้จากในเมืองปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นบำเหน็จความชอบโดยถ้วนหน้ากัน
ทางฝ่ายโจโฉจัดแจงแต่งกองทัพสามสิบหมื่นเตรียมจะยกกองทัพหลวงไปสมทบกับเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าเพื่อยกไปตีเมืองกังตั๋ง ในขณะที่เตรียมกองทัพอยู่นั้นก็ได้รับรายงานจากจงฮิวที่แจ้งมาในครั้งแรกว่ากองทัพม้าเมืองเสเหลียงยกมาตีเมืองเตียงอัน จึงต้องเปลี่ยนแผนการจากเดิมที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋งเป็นเตรียมการที่จะยกไปป้องกันเมืองเตียงอัน
แต่ไม่ทันที่โจโฉจะยกไปก็ได้รับรายงานจากจงฮิวอีกว่าเมืองเตียงอันเสียแก่ม้าเฉียวแล้ว ตัวจงฮิวเองได้หนีไปตั้งหลักอยู่ที่ด่านตงก๋วน โจโฉได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองแล้วปรารภว่าเดิมทีนั้นเราคิดจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่บัดนี้กองทัพเมืองเสเหลียงยกมารุกรานเมืองเรา จำที่จะต้องกำจัดม้าเฉียวให้ราบคาบก่อน แล้วจึงค่อยยกไปตีเมืองกังตั๋งและเมืองเกงจิ๋ว
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ศึกภาคพายัพจึงระเบิดขึ้นด้วยประการฉะนี้.
เพื่อที่จะกำจัดศัตรูทางภาคพายัพให้สิ้นซาก โจโฉจึงมีหนังสือถึงหันซุยผู้เป็นสหายสนิทของม้าเท้งให้จับม้าเฉียวและพี่น้องมามอบที่เมืองหลวง โดยจะปูนบำเหน็จตั้งหันซุยให้เป็นเจ้าเมืองเสเหลียงตอบแทน แต่หันซุยมีความซื่อสัตย์ต่อม้าเท้งผู้เป็นสหาย พอได้รับหนังสือของโจโฉก็ให้ทหารไปเชิญตัวม้าเฉียวมาพบ แล้วแจ้งความตามหนังสือของโจโฉให้ม้าเฉียวทราบความทุกประการ
ม้าเฉียวอ่านความตามหนังสือของโจโฉและฟังคำหันซุยแล้วก็ร้องไห้ ด้วยตระหนักในน้ำใจของหันซุยที่ยึดมั่นสัตย์ซื่อต่อม้าเท้งผู้บิดาจึงเมตตาต่อตัวและพี่น้อง ไม่ทำตามหนังสือของโจโฉ และยังนำความลับมาบอกกล่าวให้ทราบอีก
ม้าเฉียวก้มลงกราบหันซุยแล้วว่า “ท่านกับบิดาข้าพเจ้าก็เป็นสหายรักใคร่กันนัก บัดนี้โจโฉก็ฆ่าบิดาของข้าพเจ้าเสียแล้ว ซึ่งเหตุทั้งนี้ท่านจงเห็นแก่บิดาข้าพเจ้าเถิด”
หันซุยเห็นม้าเฉียวร้องไห้เป็นที่เวทนาดังนั้นก็สงสาร ก้มตัวพยุงม้าเฉียวให้ลุกขึ้นนั่งที่โต๊ะเดียวกัน แล้วว่าบิดาเจ้ากับตัวเราเป็นสหายสนิท รักใคร่กันดุจดังพี่น้องร่วมอุทร ซึ่ง โจโฉคิดร้ายสังหารบิดาเจ้าเสียนั้นเราก็มีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก ดังนั้นวันใดที่เจ้ายกกองทัพเมืองเสเหลียงไปล้างแค้นโจโฉตัวเราก็จะขอตามไปในกองทัพ จะได้ช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้
ม้าเฉียวได้ฟังคำหันซุยดังนั้นก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับหันซุยด้วยน้ำตา หันซุยก็ยิ่งมีน้ำใจเวทนาสงสาร บอกให้ม้าเฉียวนั่งลงในที่เดิม และสั่งทหารให้ไปคุมตัวทูตของโจโฉมาพบ แล้วว่าตัวเรากับม้าเท้งเป็นสหายสนิท มีน้ำจิตซื่อตรงเป็นหนึ่งเดียวกัน โจโฉคนใจชั่ววางแผนสังหารสหายเราแล้ว ยังยุยงเราให้ทำชั่วทำร้ายบุตรหลานครอบครัวของสหายเราอีกเล่า ความคิดและการกระทำดังนี้อัปรีย์นัก เราจะละธรรมเนียมการทูตเพื่อบูชาคุณของสหาย และเพื่อให้ปรากฏไปในเบื้องหน้าว่าตัวเราไม่ยอมจำนนต่อคนชั่วโดยเด็ดขาด ว่าแล้วหันซุยจึงสั่งทหารให้เอาตัวทูตของโจโฉไปตัดศีรษะเซ่นวิญญาณของม้าเท้งต่อหน้าม้าเฉียวที่หน้าจวนนั้น
พอตัดศีรษะทูตของโจโฉแล้วม้าเฉียวจึงว่าบัดนี้ข้าพเจ้าได้จัดแจงแต่งกองทัพจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ จึงขอเชิญท่านอาออกไปตรวจพลสักครั้งหนึ่งก่อน ได้ฤกษ์ดีแล้วจะได้กรีฑาทัพไปกำจัดโจโฉให้หายแค้น
หันซุยมีน้ำใจสงสารม้าเฉียวบุตรของสหายรัก จึงรับคำออกไปตรวจตรากองทัพซึ่งจัดแจงไว้นั้น แล้วลาม้าเฉียวกลับมาที่จวน
พอถึงวันฤกษ์ดีม้าเฉียวและหันซุยก็จัดแจงแต่งกองทัพเป็นสองกอง กองหนึ่งหันซุยเป็นแม่ทัพ มีนายทหารเอกแปดคนคือเฮาชวน เทียนหงิน ลิขำ เตียวเหง เลียงหิน เซงหงี แปออน เอียวฉิว และคุมทหารยี่สิบหมื่น ส่วนม้าเฉียว ม้าต้ายและ บังเต๊กคุมทหารอีกยี่สิบหมื่นเป็นอีกกองหนึ่ง แล้วยกออกจากเมืองเสเหลียงจะไปตีเมืองฮูโต๋ตามเส้นทางเมืองเตียงอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าที่ตั๋งโต๊ะได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากเมืองลกเอี๋ยง
พอกองทัพเมืองเสเหลียงยกล่วงเข้าเขตแดนเมืองเตียงอัน จงฮิวซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็ได้ทราบข่าวศึกจึงให้ม้าเร็วถือหนังสือรายงานความศึกไปแจ้งแก่โจโฉที่เมืองฮูโต๋ และยกทหารออกไปตั้งค่ายป้องกันเมืองเตียงอันที่นอกกำแพงเมือง
จงฮิวพอตั้งค่ายเสร็จ ม้าต้ายซึ่งคุมทหารห้าพันในกองทัพของม้าเฉียวก็ยกมาถึง จงฮิวจึงคุมทหารออกไปท้ารบกับม้าต้าย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงเพลงจงฮิวสู้กำลัง ม้าต้ายไม่ได้จึงควบม้าหนีจะกลับเข้าเมืองเตียงอัน ทหารของจงฮิวก็แตกตื่น ถูกทหารของม้าต้ายฆ่าฟันล้มตายลงเป็นอันมาก มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่หนีตามจงฮิวกลับเข้าไปในเมืองได้ทัน
เมื่อจงฮิวกลับมาถึงเมืองแล้วก็ไม่มีจิตใจที่จะสู้รบกับกองทัพเมืองเสเหลียง ได้แต่สั่งทหารให้กวดขันรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง ม้าต้ายยกไปท้ารบหลายครั้งจงฮิวก็สงบนิ่งอยู่แต่ในเมือง
พอม้าเฉียวและหันซุยยกทหารตามม้าต้ายมาทันก็ให้ทหารตั้งค่ายรายล้อมเมืองเตียงอันทุกด้าน และให้ทหารออกไปท้ารบกับจงฮิวทุกวัน ถึงสิบวันก็ปรากฏว่าจงฮิวไม่ยอมออกมารบ
ม้าเฉียวเห็นดังนั้นจึงปรึกษาด้วยหันซุย บังเต๊ก และม้าต้ายว่าจงฮิวไม่ยอมออกรบ ได้แต่รักษาตัวป้องกันเมืองเป็นสามารถอยู่ดังนี้ ทำไฉนจึงจะตีเมืองเตียงอันได้สำเร็จ
บังเต๊กนายทหารฝ่ายเสนาธิการจึงว่า “เมืองเตียงอันนี้เป็นเมืองใหญ่ ค่ายคูประตูหอรบก็มั่นคง เป็นเมืองพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งอยู่ก่อน เราจะมานิ่งล้อมอยู่ฉะนี้ก็ป่วยการไพร่พลนัก อนึ่งแม้โจโฉยกกองทัพมาทันตั้งรบกระหนาบเราเข้า เราจะมิขัดสนเสียหรือ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่งให้ได้เมืองเตียงอันโดยง่าย”
ม้าเฉียว หันซุย ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงถามบังเต๊กว่าความคิดอุบายของท่านเป็นประการใด
บังเต๊กจึงว่าอันเมืองเตียงอันนี้ค่ายคูประตูหอรบก็แข็งแรงแน่นหนา จะเข้าตีซึ่งหน้าเห็นขัดสนนัก จำจะต้องตีให้แตกมาจากในเมือง แล้วกระหนาบตีจากภายนอกก็จะได้เมืองเตียงอันโดยง่าย
ม้าเฉียวจึงว่าจะทำประการใดจึงจะสำเร็จดังความคิดท่าน
บังเต๊กจึงกล่าวสืบไปว่า เมืองเตียงอันว่างศึกสงครามมาช้านาน ดังนั้นจึงมิได้มีการซ่องสุมเสบียง กองทัพของเราล้อมเมืองเตียงอันไว้สิบวันแล้ว เสบียงอาหารในเมืองก็ขาดแคลนอยู่ ชาวเมืองได้รับความลำบากนัก แต่ที่ยังป้องกันรักษาเมืองอยู่ได้ก็ด้วยความหวังประการเดียวว่าโจโฉจะยกกองทัพมาช่วย ดังนั้นจึงขอให้ท่านถอยทัพออกไปซุ่มอยู่ให้ไกลเมือง เมื่อชาวเมืองเห็นว่ากองทัพซึ่งยกมาล้อมเลิกทัพกลับไปแล้ว ก็จะเปิดประตูออกมาหาเสบียงแลอาหาร ข้าพเจ้าและทหารจะปลอมตัวเป็นชาวเมืองเข้าไปปะปนอยู่ภายในเมือง แล้วจะจุดเพลิงเป็นสัญญาณขึ้น ฆ่าฟันผู้รักษาประตูเมืองและเปิดประตูเมืองรับกองทัพท่าน ให้ท่านยกกองทัพเข้าไปในเมืองก็จะได้โดยสะดวก
ม้าเฉียวและหันซุยได้ฟังแผนการของบังเต๊กก็เห็นชอบ ครั้นเวลาค่ำลงก็ออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพยกออกไปซุ่มอยู่ในป่าไกลจากตัวเมืองสามร้อยเส้น ให้เก็บธงทิวและฆ้องกลองไว้อย่างมิดชิด
พอรุ่งขึ้นเช้าทหารและชาวเมืองเห็นกองทัพซึ่งล้อมเมืองอยู่ได้หายไปจนหมดสิ้นก็สำคัญว่ากองทัพเมืองเสเหลียงเลิกทัพกลับไปแล้ว จึงนำความไปรายงานให้จงฮิวเจ้าเมืองทราบ
จงฮิวทราบความแล้วยังแคลงใจสงสัยว่าไฉนกองทัพเพิ่งยกมาเพียงสิบกว่าแล้วเลิกทัพกลับไป จึงให้หน่วยสอดแนมออกไปลาดตระเวนก็ไม่พบทหารเมืองเสเหลียง จึงวางใจและสั่งให้เปิดประตูเมืองให้ชาวเมืองออกไปหาน้ำ แลเสบียงอาหาร
เมืองเตียงอันนี้มีชัยภูมิตั้งอยู่ในที่แล้งประกอบด้วยดินทราย จึงขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ แม้จะขุดบ่อลึกสักเพียงไหนก็ได้แต่หินและทราย ดังนั้นเมื่อชาวเมืองขาดแคลนน้ำจึงได้รับความทรมานนัก พอทราบว่าเจ้าเมืองสั่งให้เปิดประตูเมืองจึงพากันแก่งแย่งออกไปหาน้ำและเสบียงอาหารที่นอกเมือง ขบวนลำเลียงน้ำจากนอกเมืองเนืองแน่นขนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น
บังเต๊กและทหารในสังกัดได้ปลอมตัวเป็นชาวเมือง แล้วแทรกซึมเข้ามาในเมืองพร้อมกับชาวเมืองที่ออกไปลำเลียงน้ำแลอาหารนั้น บังเต๊กค่อย ๆ ให้ทหารแทรกซึมปลอมเข้าไปในเมืองถึงสามวันจึงหมด และได้ให้ทหารคนสนิทลอบไปส่งข่าวให้ม้าเฉียวทราบ และนัดหมายให้ยกกองทัพเข้าตีเมืองในค่ำวันนี้ โดยบังเต๊กจะจุดเพลิงสัญญาณขึ้นภายในเมืองเป็นสำคัญ
ม้าเฉียวและหันซุยทราบความตามที่บังเต๊กแจ้งไปแล้ว จึงเคลื่อนกองทัพออกมาล้อมเมืองไว้ดังเดิม จงฮิวเห็นกองทัพเมืองเสเหลียงยกมาอีกครั้งหนึ่งก็ตกใจ สั่งให้ทหารปิดประตูเมืองและขึ้นรักษาเชิงเทินกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง
ในคืนวันนั้นบังเต๊กและทหารซึ่งได้ลักลอบเข้ามาในเมืองได้ประสานงานเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ครั้นได้เวลายามสามบังเต๊กจึงให้ทหารจุดเพลิงขึ้นในเมืองด้านทิศตะวันตก
พอเพลิงติดขึ้นจงจิ๋นนายทหารผู้รักษาเชิงเทินด้านตะวันตกและเป็นน้องของจงฮิวเห็นเหตุการณ์จึงพาทหารมาดับเพลิง บังเต๊กควบคุมการจุดเพลิงอยู่เห็นดังนั้นจึงขี่ม้าออกไปสกัดหน้าจงจิ๋น แล้วตวาดว่าตัวเรานี้คือบังเต๊กเป็นทหารเมืองเสเหลียง เข้ามายึดเมืองเตียงอันไว้ได้แล้ว เจ้าไม่ทราบหรือ
จงจิ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจเพราะไม่ได้คาดคิดว่าทหารเมืองเสเหลียงจะแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในเมือง ไม่ทันที่จะตอบโต้ประการใดบังเต๊กก็ชักม้าปราดเข้ามา เอาดาบฟันจงจิ๋นตกม้าตาย
บังเต๊กจึงสั่งทหารที่เตรียมการไว้พร้อมให้จู่โจมไปที่ประตูเมืองพร้อมกัน ช่วยกันเปิดประตูเมืองออกเพื่อต้อนรับกองทัพเมืองเสเหลียง
ในขณะนั้นม้าเฉียวและหันซุยคุมกองทัพเตรียมพร้อมอยู่ภายนอกเมือง พอได้เห็นเพลิงลุกขึ้นภายในเมืองตามสัญญาณที่บังเต๊กแจ้งมาก็มีความยินดี สั่งทหารทุกหน่วยให้ยกเข้าตีเมืองพร้อมกัน
ทหารเมืองเสเหลียงทุกกองได้โห่ร้องตีฆ้องกลองก้องสนั่นท่ามกลางความมืดของราตรี แล้วพากันกรูเข้าไปที่เชิงเทิน เห็นประตูเมืองเปิดออกทั้งสี่ด้านก็พากันเข้าไปในเมือง แล้วขึ้นไปบนเชิงเทินและกำแพงเมือง ฆ่าฟันทหารของจงฮิวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายจงฮิวรักษาการอยู่ที่เชิงเทินด้านตะวันออก เห็นแสงเพลิงลุกขึ้นที่แนวกำแพงเมืองด้านตะวันตกแล้วได้ยินเสียงทหารเมืองเสเหลียงโห่ร้องรุกเข้ามาในเมืองราวกับคลื่นในพระมหาสมุทรก็ตกใจ รีบพาทหารที่สนิทหนีออกไปทางประตูลับ แล้วยกไปตั้งอยู่ที่ด่านตงก๋วน
เมื่อจงฮิวยกไปถึงด่านตงก๋วนแล้ว จึงให้ทหารรีบเดินสารไปแจ้งเนื้อความให้โจโฉทราบว่าบัดนี้กองทัพเมืองเสเหลียงยึดเมืองเตียงอันได้แล้ว ตัวจงฮิวและทหารจำนวนน้อยหนีรอดออกมาได้และมาตั้งหลักอยู่ที่ด่านตงก๋วน ขอให้โจโฉรีบยกกองทัพจากเมืองหลวงมาช่วยโดยเร็ว มิฉะนั้นก็อาจรักษาด่านตงก๋วนไว้ไม่ได้
ทางด้านม้าเฉียวและหันซุยครั้นยึดเมืองเตียงอันได้แล้ว ได้จับทหารของจงฮิวซึ่งอยู่รักษาเมืองและหนีไม่ทันไว้ได้เป็นจำนวนมาก และจัดสังกัดให้อยู่ในกองทัพเมืองเสเหลียงทำหน้าที่เป็นพลลำเลียงแล้วให้เอาทรัพย์สิ่งสินที่ยึดได้จากในเมืองปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นบำเหน็จความชอบโดยถ้วนหน้ากัน
ทางฝ่ายโจโฉจัดแจงแต่งกองทัพสามสิบหมื่นเตรียมจะยกกองทัพหลวงไปสมทบกับเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าเพื่อยกไปตีเมืองกังตั๋ง ในขณะที่เตรียมกองทัพอยู่นั้นก็ได้รับรายงานจากจงฮิวที่แจ้งมาในครั้งแรกว่ากองทัพม้าเมืองเสเหลียงยกมาตีเมืองเตียงอัน จึงต้องเปลี่ยนแผนการจากเดิมที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋งเป็นเตรียมการที่จะยกไปป้องกันเมืองเตียงอัน
แต่ไม่ทันที่โจโฉจะยกไปก็ได้รับรายงานจากจงฮิวอีกว่าเมืองเตียงอันเสียแก่ม้าเฉียวแล้ว ตัวจงฮิวเองได้หนีไปตั้งหลักอยู่ที่ด่านตงก๋วน โจโฉได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองแล้วปรารภว่าเดิมทีนั้นเราคิดจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่บัดนี้กองทัพเมืองเสเหลียงยกมารุกรานเมืองเรา จำที่จะต้องกำจัดม้าเฉียวให้ราบคาบก่อน แล้วจึงค่อยยกไปตีเมืองกังตั๋งและเมืองเกงจิ๋ว
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ศึกภาคพายัพจึงระเบิดขึ้นด้วยประการฉะนี้.