ตอนที่ 326. อุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า”
โจโฉกำจัดม้าเท้งศัตรูทางการเมืองแห่งภาคพายัพสำเร็จแล้ว ก็ดำริที่จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่พอทราบว่าเล่าปี่กำลังซ่องสุมทหารเตรียมการจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็ตกใจ เกรงว่าหากเล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วก็จะเติบใหญ่แข็งกล้ายากที่จะกำจัด จึงวิตกเป็นอันมาก
ครั้นโจโฉได้ฟังคำตันกุ๋ยว่ามีแผนการอุบายที่จะหยุดยั้งไม่ให้เล่าปี่ยกไปตีเมืองเสฉวนก็มีความสนใจ จึงถามตันกุ๋ยที่ปรึกษาว่าซึ่งท่านว่ามีแผนอุบายที่จะยับยั้งเล่าปี่ไม่ให้ยกไปตีเมืองเสฉวนได้นั้น ความคิดอ่านของท่านเป็นประการใด
ตันกุ๋ยจึงว่าอุบายนี้มีชื่อว่า “ปิดฟ้าข้ามเรือ” และกล่าวสืบไปว่าซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีวิตกด้วยการยกกองทัพลงใต้นั้น เนื่องมาแต่เหตุที่เล่าปี่และซุนกวนยังปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่ บัดนี้เล่าปี่กำลังซ่องสุมผู้คนจะยกไปตีเมืองเสฉวน ดังนั้นเล่าปี่จึงต้องถือเอาเป้าหมายการยึดเมืองเสฉวนเป็นสำคัญกว่าการคิดป้องกันช่วยเหลือซุนกวน เหตุนี้จึงให้ท่านจัดกองทัพยกไปหนุนเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้วให้ยกไปตีเมืองกังตั๋ง เมื่อซุนกวนทราบข่าวศึกก็จะแจ้งให้เล่าปี่ยกกองทัพมาช่วย เล่าปี่กำลังจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะไม่ยกกองทัพไปช่วยซุนกวนรบกับเตียวเลี้ยว ท่านก็จะได้เมืองกังตั๋งโดยง่าย และเมื่อได้เมืองกังตั๋งแล้วจึงค่อยกำจัดเล่าปี่ต่อไป หรือถ้าแม้นไม่สมปรารถนา ซุนกวนกับเล่าปี่ก็จะผิดใจกันเพราะเกิดศึกข้างเมืองกังตั๋งแล้ว เล่าปี่ซึ่งเป็นน้องเขยไม่ยอมช่วยเหลือ ซุนกวนก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนได้ แลเมื่อเล่าปี่และซุนกวนผิดใจทำสงครามกันแล้ว ท่านค่อยซ้ำเติมเอาต่อภายหลังก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า อุบายของท่านครั้งนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก ต้องด้วยความคิดของเราทุกประการ ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นยกล่วงหน้าไปสมทบกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋า เมื่อกองทัพทั้งสองบรรจบกันแล้ว ให้เตียวเลี้ยวจัดแจงเสบียงอาหารและกองทัพไว้ให้พร้อม โจโฉจะยกกองทัพหนุนไปในภายหลัง เมื่อพร้อมกันแล้วก็จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำสั่งของโจโฉก็คำนับลาออกไปจัดแจงแต่งกองทัพยกไปเมืองหับป๋าแต่เวลานั้น ครั้นเตียวเลี้ยวทราบคำสั่งของโจโฉก็ให้เกณฑ์เสบียงและเตรียมกองทัพพร้อมไว้รอคอยกองทัพหลวงของโจโฉที่จะยกมาสมทบในภายหลัง
พอกองทัพจากเมืองหลวงยกไปสมทบกับกองทัพเมืองหับป๋า ซุนกวนก็ได้ข่าวศึก จึงให้เรียกประชุมที่ปรึกษาขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วแจ้งข่าวศึกให้ทราบว่าบัดนี้โจโฉกำลังเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง และกองทัพส่วนหน้าได้ยกมาสมทบกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้ว เราจะคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองประการใด
เตียวเจียวซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ได้เสนอว่ากองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใช่แต่จะเดือดร้อนเฉพาะเมืองกังตั๋งก็หาไม่ เห็นเล่าปี่จะต้องวิตกด้วยกองทัพโจโฉซึ่งยกมาครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แลบัดนี้เล่าปี่เกี่ยวดองเป็นน้องเขยท่าน จึงขอให้ท่านแจ้งไปยังโลซกให้แต่งหนังสือถึงเล่าปี่ ขอให้เล่าปี่ยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วมาช่วยตีกระหนาบกองทัพของโจโฉ เห็นจะป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้ปลอดภัยได้
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำเตียวเจียวแล้วก็เห็นชอบและสนับสนุนความคิดของเตียวเจียว ซุนกวนเห็นบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมีความเห็นต้องกันดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไปแจ้งแก่โลซกที่เมืองฉสองกุ๋นตามคำของเตียวเจียวทุกประการ
ครั้นโลซกทราบความตามคำสั่งของซุนกวนแล้วจึงทำหนังสือให้ทหารถือลงเรือข้ามอ่าวไปที่เมืองเกงจิ๋ว มอบหนังสือนั้นแก่เล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อได้ทราบความตามหนังสือของโลซกแล้ว จึงเชิญที่ปรึกษาและแม่ทัพทั้งปวงมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด แต่ปรากฏว่าในขณะนั้นขงเบ้งออกไปตรวจราชการที่เมืองลำกุ๋น จึงคิดอ่านกันว่าหนังสือของโลซกครั้งนี้มีความศึกแยบยล สมควรต้องฟังคำขงเบ้งก่อน เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงให้ทหารไปเชิญตัวขงเบ้งกลับมาจากเมืองลำกุ๋น
เมื่อขงเบ้งกลับมาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว เล่าปี่จึงเอาหนังสือของโลซกให้ขงเบ้งอ่านดู พอขงเบ้งอ่านหนังสือนั้นตลอดก็หัวเราะ แล้วว่าข้าพเจ้าจะคิดอุบายอย่างหนึ่งมิให้เมืองกังตั๋งเป็นอันตรายและมิให้เป็นภาระแก่ท่านต้องยกทหารไปช่วยเมืองกังตั๋ง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าอุบายของท่านเป็นประการใด
ขงเบ้งจึงว่าอุบายนี้มีชื่อว่า “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” แล้วว่าแผ่นดินเมื่อครั้งเลียดก๊กเจ้าเมืองเว่ยกรีฑาทัพไปตีเมืองเจ้า ครั้นเจ้าเมืองเจ้าทราบความศึกจึงทำหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฉีให้ยกกองทัพไปช่วยเมืองเจ้ารบกับเมืองเว่ย ในครั้งนั้นกุนซือของเจ้าเมืองฉีได้เสนอว่าถ้าหากยกกองทัพไปช่วยเมืองเจ้ารบกับเมืองเว่ยแล้วก็จะได้ยากแก่ทหาร และเมื่อเกิดสงครามก็จะสูญเสียกำลังทหารเป็นอันมาก การที่เมืองเว่ยยกกองทัพไปตีเมืองเจ้า กำลังทหารที่รักษาเมืองเว่ยเบาบางอยู่ ดังนั้นจึงชอบที่จะยกไปตีเมืองเว่ย เมื่อเจ้าเมืองเว่ยทราบว่าเมืองเว่ยถูกเมืองฉียกมาทำร้ายก็ต้องถอนทัพกลับจากเมืองเจ้า เมืองเจ้าก็จะปลอดภัย เมื่อกองทัพเมืองเว่ยเริ่มถอยทัพจากเมืองเจ้า เราจึงค่อยถอยทัพกลับ เท่ากับเป็นการช่วยเมืองเจ้าโดยตรง เจ้าเมืองฉีเห็นชอบด้วยอุบายดังกล่าว จึงยกกองทัพจะไปตีเมืองเว่ย พอเจ้าเมืองเว่ยทราบว่าเมืองฉียกกองทัพจะไปตีเมืองเว่ยก็ตกใจ จึงเลิกทัพกลับจากเมืองเจ้า เมืองเจ้าจึงพ้นอันตราย เมืองฉีก็ยกทัพกลับโดยไม่เสียทหารแม้แต่สักคนเดียว
เล่าปี่ฟังคำขงเบ้งก็ผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วย ขงเบ้งจึงแจ้งแก่ทูตเมืองกังตั๋งว่าให้กลับไปบอกโลซกเถิดว่าอย่าได้วิตกเลย “ให้ซุนกวนและชาวเมืองกังตั๋งนอนหลับตาให้เป็นสุขเถิด แม้กองทัพโจโฉยกมาถึงเมืองกังตั๋งเมื่อใด เราจะรับอาสาเป็นธุระเอง”
ทูตเมืองกังตั๋งได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับไปแจ้งแก่โลซกตามที่ขงเบ้งได้แจ้งมานั้นทุกประการ
ครั้นโลซกทราบว่าเล่าปี่รับเป็นธุระป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งก็มีความยินดี จึงทำหนังสือรายงานให้ซุนกวนทราบทุกประการ
พอทูตกลับออกไปแล้ว เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่าอันอุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า”ของท่านนั้นจะทำประการใด เพราะบัดนี้โจโฉได้ส่งกองทัพหน้าถึงสิบหมื่นยกล่วงหน้าไปสมทบกับเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้ว ตัวโจโฉอยู่ที่เมืองหลวงก็กำลังเกณฑ์ทหารอีกสามสิบหมื่น รวมกับทหารเมืองหับป๋าและที่ยกไปล่วงหน้าก็มีกำลังถึงห้าสิบหมื่น ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำให้กองทัพโจโฉเลิกทัพจากเมืองกังตั๋งได้
ขงเบ้งจึงว่าแต่ไหนแต่ไรมาโจโฉเกรงกองทัพภาคพายัพของม้าเท้งจะยกมาทำอันตรายต่อเมืองหลวง ดังนั้นจะทำการศึกประการใดจึงให้ห่วงหน้าพะวงหลัง แลบัดนี้โจโฉสังหารม้าเท้งเสียแล้ว แต่ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งยังคงครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเสเหลียง ม้าเฉียวมีความพยาบาทโจโฉเป็นอันมาก คิดจะยกกองทัพไปล้างแค้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นจึงขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงม้าเฉียวให้เร่งยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ม้าเฉียวมีความแค้นอยู่ ครั้นได้แรงหนุนจากท่านเห็นจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋เป็นมั่นคง เมื่อกองทัพเมืองเสเหลียงยกไปตีเมืองหลวง ไหนเลยโจโฉจะมีแก่ใจยกไปตีเมืองกังตั๋งได้ มีแต่ต้องคิดป้องกันรักษาเมืองหลวงไว้ให้ปลอดภัย ดีร้ายก็จะเรียกทหารซึ่งยกไปเมืองหับป๋ากลับมาช่วยป้องกันเมืองหลวง เมืองกังตั๋งก็จะไม่เป็นอันตราย เมืองเราก็จะไม่ต้องเปลืองกำลังทหารในการสู้รบกับโจโฉ
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงให้แต่งหนังสือตามคำของขงเบ้งและให้ทหารสื่อสารถือหนังสือรีบเดินทางไปเมืองเสเหลียงเพื่อมอบแก่ม้าเฉียว
ในค่ำคืนของวันที่โจโฉสั่งประหารชีวิตม้าเท้งนั้นม้าเฉียวอยู่ที่เมืองเสเหลียง ให้มีความวิตกกังวลด้วยบิดา เพราะตลอดทั้งวันให้เขม่นนัยน์ตาจนไม่เป็นปกติสุข ม้าเฉียวครุ่นคิดกังวลอยู่จนดึกจึงค่อยหลับสนิท
ในขณะหลับสนิทก็นิมิตเป็นความฝันว่า ม้าเฉียวเดินทางเข้าไปในป่า ปะหน้ากับเสือฝูงหนึ่งดุร้ายนัก ฝูงเสือเห็นม้าเฉียวก็รี่เข้ามารุมกัด ม้าเฉียวพยายามต่อสู้เอาตัวรอด ปลุกปล้ำอยู่กับเสือจนเหนื่อยอ่อน และตกใจตื่นขึ้น
ม้าเฉียวเห็นเป็นนิมิตผิดประหลาด ดังนั้นพอรุ่งขึ้นม้าเฉียวจึงเรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าความซึ่งฝันดังนี้จะร้ายดีประการใด
บังเต๊กซึ่งเป็นทหารเอกของม้าเท้งและมีความรู้วิชาการพยากรณ์โชคลางและนิมิตทั้งปวง ครั้นได้ฟังคำปรึกษาของม้าเฉียวแล้วจึงว่า ซึ่งความฝันท่านครั้งนี้ร้ายแรงนัก เห็นทีบิดาท่านซึ่งยกกองทัพไปเมืองหลวงจะได้รับอันตรายเป็นมั่นคง
ม้าเฉียวได้ฟังคำบังเต๊กก็ตกใจตะลึงอยู่ ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าม้าต้ายซึ่งไปทัพด้วยม้าเท้งกลับมาถึงเมืองเสเหลียงแล้ว ม้าเฉียวก็ยิ่งประหวั่นใจ ครู่หนึ่งม้าต้ายก็เดินร้องไห้เข้ามาถึงที่ปรึกษา แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ม้าเฉียวฟัง แล้วว่าตัวข้าพเจ้ายกกองทัพตามไปภายหลัง สวนกับทหารของม้าเท้งที่แตกหนีกลับมาจึงได้ทราบความและรีบยกทัพกลับ แต่ตลอดทางก็ถูกทหารเมืองหลวงไล่ล่าจนต้องปลอมเป็นพ่อค้ารีบหนีมาทั้งกลางวันและกลางคืน จึงรอดตัวมาถึงเมืองเสเหลียงได้
ม้าเฉียวพอฟังว่าม้าเทียดถูกเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตาย ส่วนม้าเท้งและม้าฮิวถูกทหารโจโฉจับได้และถูกประหารชีวิตแล้วก็เสียใจร้องไห้จนสลบอยู่กับที่ว่าราชการนั้น
ที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ช่วยกันแก้ไขม้าเฉียวให้ฟื้นคืนสติ พอได้สติม้าเฉียวก็โกรธแค้นโจโฉ กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอาฆาตว่าชีวิตนี้จะไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับโจโฉเป็นอันขาด จะยกกองทัพเมืองเสเหลียงไปกำจัดโจโฉแล้วจะแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ มิให้กากินแค้นคอเลย
ม้าเฉียวพอกล่าวความพยาบาทต่อโจโฉสิ้นคำลง ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่าบัดนี้เล่าปี่ได้ให้ทหารถือหนังสือมามอบให้ท่าน และส่งหนังสือของเล่าปี่ให้แก่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวรับหนังสือของเล่าปี่แล้วเปิดออกอ่านดูมีความว่า “หนังสือเล่าปี่อวยพรมาถึงม้าเฉียว ด้วยโจโฉเป็นอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋ คิดทำการหยาบช้าต่าง ๆ จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตให้ตังสินนั้น บิดาเจ้ากับเราก็ได้ลงชื่อร่วมคิดกันว่าจะทำการกำจัดโจโฉให้ได้ บัดนี้เราแจ้งว่าบิดาเจ้าทำการเสียทีแก่โจโฉจนสิ้นชีวิตก็มีความน้อยใจนัก ตัวเจ้าก็เป็นชาติทหาร เห็นจะมีใจเจ็บแค้นแทนบิดาอยู่ แม้เจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใด เราจะยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วไปช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุข”
โจโฉสังหารม้าเท้งด้วยหวังจะกำจัดศัตรูทางการเมือง โดยหารู้ไม่ว่าการสังหารม้าเท้งในครั้งนี้คือการจุดชนวนสงครามขึ้นในภาคพายัพ ทำให้ภาคพายัพซึ่งสงบสันติมายาวนานต้องคุกรุ่นด้วยเพลิงสงคราม แล้วกลายเป็นศึกใหญ่ติดพันจนโจโฉไม่สามารถยกกองทัพหลวงลงไปตีเมืองกังตั๋งได้อีก
ม้าเฉียวเต็มไปด้วยใจอาฆาตพยาบาทโจโฉ และคิดอ่านจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋อยู่แล้ว พอได้อ่านหนังสือของเล่าปี่ก็เหมือนกองเพลิงถูกราดด้วยน้ำมันซ้ำอีก เพลิงแห่งโทสะและความอาฆาตในใจของม้าเฉียวจึงโชติช่วงแรงกล้า แปรเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นกำลัง ตัดสินใจทำสงครามกับโจโฉตั้งแต่ในเวลานั้น
เมื่อตัดสินใจทำสงครามกับโจโฉแล้ว ม้าเฉียวจึงแต่งหนังสือตอบเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านอามีน้ำใจเจ็บร้อนด้วยบิดาข้าพเจ้านั้น คุณมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ตัวข้าพเจ้ามีความเคียดแค้นพยาบาทศัตรูราชสมบัติผู้สังหารบิดาเป็นที่ยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ จับโจโฉฆ่าเสียให้จงได้
ม้าเฉียวแต่งหนังสือเสร็จแล้วจึงมอบหนังสือนั้นแก่ทูตเมืองเกงจิ๋ว แล้วสั่งการให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงจัดแจงกองทัพเตรียมจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋
ระหว่างที่ม้าเฉียวกำลังจัดแจงทหารอยู่นั้น ทหารคนสนิทได้เข้ามารายงานว่าหันซุยสหายสนิทของม้าเท้งซึ่งม้าเฉียวนับถือว่าเป็นอา ให้ทหารมาเชิญไปพบที่จวน
ม้าเฉียวทราบความก็ประหลาดใจจึงรีบไปหาหันซุย เมื่อคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว หันซุยจึงส่งหนังสือฉบับหนึ่งให้แก่ม้าเฉียว แล้วว่าโจโฉให้ทูตมีหนังสือนี้มาถึงเราให้วางแผนจับตัวเจ้าและพี่น้องส่งไปให้แก่โจโฉที่เมืองหลวง แล้วจะตั้งให้เราเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง.
ครั้นโจโฉได้ฟังคำตันกุ๋ยว่ามีแผนการอุบายที่จะหยุดยั้งไม่ให้เล่าปี่ยกไปตีเมืองเสฉวนก็มีความสนใจ จึงถามตันกุ๋ยที่ปรึกษาว่าซึ่งท่านว่ามีแผนอุบายที่จะยับยั้งเล่าปี่ไม่ให้ยกไปตีเมืองเสฉวนได้นั้น ความคิดอ่านของท่านเป็นประการใด
ตันกุ๋ยจึงว่าอุบายนี้มีชื่อว่า “ปิดฟ้าข้ามเรือ” และกล่าวสืบไปว่าซึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีวิตกด้วยการยกกองทัพลงใต้นั้น เนื่องมาแต่เหตุที่เล่าปี่และซุนกวนยังปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่ บัดนี้เล่าปี่กำลังซ่องสุมผู้คนจะยกไปตีเมืองเสฉวน ดังนั้นเล่าปี่จึงต้องถือเอาเป้าหมายการยึดเมืองเสฉวนเป็นสำคัญกว่าการคิดป้องกันช่วยเหลือซุนกวน เหตุนี้จึงให้ท่านจัดกองทัพยกไปหนุนเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้วให้ยกไปตีเมืองกังตั๋ง เมื่อซุนกวนทราบข่าวศึกก็จะแจ้งให้เล่าปี่ยกกองทัพมาช่วย เล่าปี่กำลังจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะไม่ยกกองทัพไปช่วยซุนกวนรบกับเตียวเลี้ยว ท่านก็จะได้เมืองกังตั๋งโดยง่าย และเมื่อได้เมืองกังตั๋งแล้วจึงค่อยกำจัดเล่าปี่ต่อไป หรือถ้าแม้นไม่สมปรารถนา ซุนกวนกับเล่าปี่ก็จะผิดใจกันเพราะเกิดศึกข้างเมืองกังตั๋งแล้ว เล่าปี่ซึ่งเป็นน้องเขยไม่ยอมช่วยเหลือ ซุนกวนก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนได้ แลเมื่อเล่าปี่และซุนกวนผิดใจทำสงครามกันแล้ว ท่านค่อยซ้ำเติมเอาต่อภายหลังก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า อุบายของท่านครั้งนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก ต้องด้วยความคิดของเราทุกประการ ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นยกล่วงหน้าไปสมทบกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋า เมื่อกองทัพทั้งสองบรรจบกันแล้ว ให้เตียวเลี้ยวจัดแจงเสบียงอาหารและกองทัพไว้ให้พร้อม โจโฉจะยกกองทัพหนุนไปในภายหลัง เมื่อพร้อมกันแล้วก็จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ทหารทั้งปวงได้ฟังคำสั่งของโจโฉก็คำนับลาออกไปจัดแจงแต่งกองทัพยกไปเมืองหับป๋าแต่เวลานั้น ครั้นเตียวเลี้ยวทราบคำสั่งของโจโฉก็ให้เกณฑ์เสบียงและเตรียมกองทัพพร้อมไว้รอคอยกองทัพหลวงของโจโฉที่จะยกมาสมทบในภายหลัง
พอกองทัพจากเมืองหลวงยกไปสมทบกับกองทัพเมืองหับป๋า ซุนกวนก็ได้ข่าวศึก จึงให้เรียกประชุมที่ปรึกษาขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วแจ้งข่าวศึกให้ทราบว่าบัดนี้โจโฉกำลังเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง และกองทัพส่วนหน้าได้ยกมาสมทบกับกองทัพของเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้ว เราจะคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองประการใด
เตียวเจียวซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ได้เสนอว่ากองทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ใช่แต่จะเดือดร้อนเฉพาะเมืองกังตั๋งก็หาไม่ เห็นเล่าปี่จะต้องวิตกด้วยกองทัพโจโฉซึ่งยกมาครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แลบัดนี้เล่าปี่เกี่ยวดองเป็นน้องเขยท่าน จึงขอให้ท่านแจ้งไปยังโลซกให้แต่งหนังสือถึงเล่าปี่ ขอให้เล่าปี่ยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วมาช่วยตีกระหนาบกองทัพของโจโฉ เห็นจะป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้ปลอดภัยได้
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำเตียวเจียวแล้วก็เห็นชอบและสนับสนุนความคิดของเตียวเจียว ซุนกวนเห็นบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมีความเห็นต้องกันดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไปแจ้งแก่โลซกที่เมืองฉสองกุ๋นตามคำของเตียวเจียวทุกประการ
ครั้นโลซกทราบความตามคำสั่งของซุนกวนแล้วจึงทำหนังสือให้ทหารถือลงเรือข้ามอ่าวไปที่เมืองเกงจิ๋ว มอบหนังสือนั้นแก่เล่าปี่
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อได้ทราบความตามหนังสือของโลซกแล้ว จึงเชิญที่ปรึกษาและแม่ทัพทั้งปวงมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด แต่ปรากฏว่าในขณะนั้นขงเบ้งออกไปตรวจราชการที่เมืองลำกุ๋น จึงคิดอ่านกันว่าหนังสือของโลซกครั้งนี้มีความศึกแยบยล สมควรต้องฟังคำขงเบ้งก่อน เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงให้ทหารไปเชิญตัวขงเบ้งกลับมาจากเมืองลำกุ๋น
เมื่อขงเบ้งกลับมาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว เล่าปี่จึงเอาหนังสือของโลซกให้ขงเบ้งอ่านดู พอขงเบ้งอ่านหนังสือนั้นตลอดก็หัวเราะ แล้วว่าข้าพเจ้าจะคิดอุบายอย่างหนึ่งมิให้เมืองกังตั๋งเป็นอันตรายและมิให้เป็นภาระแก่ท่านต้องยกทหารไปช่วยเมืองกังตั๋ง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าอุบายของท่านเป็นประการใด
ขงเบ้งจึงว่าอุบายนี้มีชื่อว่า “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า” แล้วว่าแผ่นดินเมื่อครั้งเลียดก๊กเจ้าเมืองเว่ยกรีฑาทัพไปตีเมืองเจ้า ครั้นเจ้าเมืองเจ้าทราบความศึกจึงทำหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฉีให้ยกกองทัพไปช่วยเมืองเจ้ารบกับเมืองเว่ย ในครั้งนั้นกุนซือของเจ้าเมืองฉีได้เสนอว่าถ้าหากยกกองทัพไปช่วยเมืองเจ้ารบกับเมืองเว่ยแล้วก็จะได้ยากแก่ทหาร และเมื่อเกิดสงครามก็จะสูญเสียกำลังทหารเป็นอันมาก การที่เมืองเว่ยยกกองทัพไปตีเมืองเจ้า กำลังทหารที่รักษาเมืองเว่ยเบาบางอยู่ ดังนั้นจึงชอบที่จะยกไปตีเมืองเว่ย เมื่อเจ้าเมืองเว่ยทราบว่าเมืองเว่ยถูกเมืองฉียกมาทำร้ายก็ต้องถอนทัพกลับจากเมืองเจ้า เมืองเจ้าก็จะปลอดภัย เมื่อกองทัพเมืองเว่ยเริ่มถอยทัพจากเมืองเจ้า เราจึงค่อยถอยทัพกลับ เท่ากับเป็นการช่วยเมืองเจ้าโดยตรง เจ้าเมืองฉีเห็นชอบด้วยอุบายดังกล่าว จึงยกกองทัพจะไปตีเมืองเว่ย พอเจ้าเมืองเว่ยทราบว่าเมืองฉียกกองทัพจะไปตีเมืองเว่ยก็ตกใจ จึงเลิกทัพกลับจากเมืองเจ้า เมืองเจ้าจึงพ้นอันตราย เมืองฉีก็ยกทัพกลับโดยไม่เสียทหารแม้แต่สักคนเดียว
เล่าปี่ฟังคำขงเบ้งก็ผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วย ขงเบ้งจึงแจ้งแก่ทูตเมืองกังตั๋งว่าให้กลับไปบอกโลซกเถิดว่าอย่าได้วิตกเลย “ให้ซุนกวนและชาวเมืองกังตั๋งนอนหลับตาให้เป็นสุขเถิด แม้กองทัพโจโฉยกมาถึงเมืองกังตั๋งเมื่อใด เราจะรับอาสาเป็นธุระเอง”
ทูตเมืองกังตั๋งได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับไปแจ้งแก่โลซกตามที่ขงเบ้งได้แจ้งมานั้นทุกประการ
ครั้นโลซกทราบว่าเล่าปี่รับเป็นธุระป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งก็มีความยินดี จึงทำหนังสือรายงานให้ซุนกวนทราบทุกประการ
พอทูตกลับออกไปแล้ว เล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่าอันอุบาย “ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า”ของท่านนั้นจะทำประการใด เพราะบัดนี้โจโฉได้ส่งกองทัพหน้าถึงสิบหมื่นยกล่วงหน้าไปสมทบกับเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าแล้ว ตัวโจโฉอยู่ที่เมืองหลวงก็กำลังเกณฑ์ทหารอีกสามสิบหมื่น รวมกับทหารเมืองหับป๋าและที่ยกไปล่วงหน้าก็มีกำลังถึงห้าสิบหมื่น ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำให้กองทัพโจโฉเลิกทัพจากเมืองกังตั๋งได้
ขงเบ้งจึงว่าแต่ไหนแต่ไรมาโจโฉเกรงกองทัพภาคพายัพของม้าเท้งจะยกมาทำอันตรายต่อเมืองหลวง ดังนั้นจะทำการศึกประการใดจึงให้ห่วงหน้าพะวงหลัง แลบัดนี้โจโฉสังหารม้าเท้งเสียแล้ว แต่ม้าเฉียวผู้บุตรม้าเท้งยังคงครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเสเหลียง ม้าเฉียวมีความพยาบาทโจโฉเป็นอันมาก คิดจะยกกองทัพไปล้างแค้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นจึงขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงม้าเฉียวให้เร่งยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ม้าเฉียวมีความแค้นอยู่ ครั้นได้แรงหนุนจากท่านเห็นจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋เป็นมั่นคง เมื่อกองทัพเมืองเสเหลียงยกไปตีเมืองหลวง ไหนเลยโจโฉจะมีแก่ใจยกไปตีเมืองกังตั๋งได้ มีแต่ต้องคิดป้องกันรักษาเมืองหลวงไว้ให้ปลอดภัย ดีร้ายก็จะเรียกทหารซึ่งยกไปเมืองหับป๋ากลับมาช่วยป้องกันเมืองหลวง เมืองกังตั๋งก็จะไม่เป็นอันตราย เมืองเราก็จะไม่ต้องเปลืองกำลังทหารในการสู้รบกับโจโฉ
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงให้แต่งหนังสือตามคำของขงเบ้งและให้ทหารสื่อสารถือหนังสือรีบเดินทางไปเมืองเสเหลียงเพื่อมอบแก่ม้าเฉียว
ในค่ำคืนของวันที่โจโฉสั่งประหารชีวิตม้าเท้งนั้นม้าเฉียวอยู่ที่เมืองเสเหลียง ให้มีความวิตกกังวลด้วยบิดา เพราะตลอดทั้งวันให้เขม่นนัยน์ตาจนไม่เป็นปกติสุข ม้าเฉียวครุ่นคิดกังวลอยู่จนดึกจึงค่อยหลับสนิท
ในขณะหลับสนิทก็นิมิตเป็นความฝันว่า ม้าเฉียวเดินทางเข้าไปในป่า ปะหน้ากับเสือฝูงหนึ่งดุร้ายนัก ฝูงเสือเห็นม้าเฉียวก็รี่เข้ามารุมกัด ม้าเฉียวพยายามต่อสู้เอาตัวรอด ปลุกปล้ำอยู่กับเสือจนเหนื่อยอ่อน และตกใจตื่นขึ้น
ม้าเฉียวเห็นเป็นนิมิตผิดประหลาด ดังนั้นพอรุ่งขึ้นม้าเฉียวจึงเรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าความซึ่งฝันดังนี้จะร้ายดีประการใด
บังเต๊กซึ่งเป็นทหารเอกของม้าเท้งและมีความรู้วิชาการพยากรณ์โชคลางและนิมิตทั้งปวง ครั้นได้ฟังคำปรึกษาของม้าเฉียวแล้วจึงว่า ซึ่งความฝันท่านครั้งนี้ร้ายแรงนัก เห็นทีบิดาท่านซึ่งยกกองทัพไปเมืองหลวงจะได้รับอันตรายเป็นมั่นคง
ม้าเฉียวได้ฟังคำบังเต๊กก็ตกใจตะลึงอยู่ ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าม้าต้ายซึ่งไปทัพด้วยม้าเท้งกลับมาถึงเมืองเสเหลียงแล้ว ม้าเฉียวก็ยิ่งประหวั่นใจ ครู่หนึ่งม้าต้ายก็เดินร้องไห้เข้ามาถึงที่ปรึกษา แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ม้าเฉียวฟัง แล้วว่าตัวข้าพเจ้ายกกองทัพตามไปภายหลัง สวนกับทหารของม้าเท้งที่แตกหนีกลับมาจึงได้ทราบความและรีบยกทัพกลับ แต่ตลอดทางก็ถูกทหารเมืองหลวงไล่ล่าจนต้องปลอมเป็นพ่อค้ารีบหนีมาทั้งกลางวันและกลางคืน จึงรอดตัวมาถึงเมืองเสเหลียงได้
ม้าเฉียวพอฟังว่าม้าเทียดถูกเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตาย ส่วนม้าเท้งและม้าฮิวถูกทหารโจโฉจับได้และถูกประหารชีวิตแล้วก็เสียใจร้องไห้จนสลบอยู่กับที่ว่าราชการนั้น
ที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ช่วยกันแก้ไขม้าเฉียวให้ฟื้นคืนสติ พอได้สติม้าเฉียวก็โกรธแค้นโจโฉ กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอาฆาตว่าชีวิตนี้จะไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับโจโฉเป็นอันขาด จะยกกองทัพเมืองเสเหลียงไปกำจัดโจโฉแล้วจะแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ มิให้กากินแค้นคอเลย
ม้าเฉียวพอกล่าวความพยาบาทต่อโจโฉสิ้นคำลง ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่าบัดนี้เล่าปี่ได้ให้ทหารถือหนังสือมามอบให้ท่าน และส่งหนังสือของเล่าปี่ให้แก่ม้าเฉียว
ม้าเฉียวรับหนังสือของเล่าปี่แล้วเปิดออกอ่านดูมีความว่า “หนังสือเล่าปี่อวยพรมาถึงม้าเฉียว ด้วยโจโฉเป็นอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋ คิดทำการหยาบช้าต่าง ๆ จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตให้ตังสินนั้น บิดาเจ้ากับเราก็ได้ลงชื่อร่วมคิดกันว่าจะทำการกำจัดโจโฉให้ได้ บัดนี้เราแจ้งว่าบิดาเจ้าทำการเสียทีแก่โจโฉจนสิ้นชีวิตก็มีความน้อยใจนัก ตัวเจ้าก็เป็นชาติทหาร เห็นจะมีใจเจ็บแค้นแทนบิดาอยู่ แม้เจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใด เราจะยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วไปช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุข”
โจโฉสังหารม้าเท้งด้วยหวังจะกำจัดศัตรูทางการเมือง โดยหารู้ไม่ว่าการสังหารม้าเท้งในครั้งนี้คือการจุดชนวนสงครามขึ้นในภาคพายัพ ทำให้ภาคพายัพซึ่งสงบสันติมายาวนานต้องคุกรุ่นด้วยเพลิงสงคราม แล้วกลายเป็นศึกใหญ่ติดพันจนโจโฉไม่สามารถยกกองทัพหลวงลงไปตีเมืองกังตั๋งได้อีก
ม้าเฉียวเต็มไปด้วยใจอาฆาตพยาบาทโจโฉ และคิดอ่านจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋อยู่แล้ว พอได้อ่านหนังสือของเล่าปี่ก็เหมือนกองเพลิงถูกราดด้วยน้ำมันซ้ำอีก เพลิงแห่งโทสะและความอาฆาตในใจของม้าเฉียวจึงโชติช่วงแรงกล้า แปรเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นกำลัง ตัดสินใจทำสงครามกับโจโฉตั้งแต่ในเวลานั้น
เมื่อตัดสินใจทำสงครามกับโจโฉแล้ว ม้าเฉียวจึงแต่งหนังสือตอบเล่าปี่ว่า ซึ่งท่านอามีน้ำใจเจ็บร้อนด้วยบิดาข้าพเจ้านั้น คุณมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ตัวข้าพเจ้ามีความเคียดแค้นพยาบาทศัตรูราชสมบัติผู้สังหารบิดาเป็นที่ยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ จับโจโฉฆ่าเสียให้จงได้
ม้าเฉียวแต่งหนังสือเสร็จแล้วจึงมอบหนังสือนั้นแก่ทูตเมืองเกงจิ๋ว แล้วสั่งการให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงจัดแจงกองทัพเตรียมจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋
ระหว่างที่ม้าเฉียวกำลังจัดแจงทหารอยู่นั้น ทหารคนสนิทได้เข้ามารายงานว่าหันซุยสหายสนิทของม้าเท้งซึ่งม้าเฉียวนับถือว่าเป็นอา ให้ทหารมาเชิญไปพบที่จวน
ม้าเฉียวทราบความก็ประหลาดใจจึงรีบไปหาหันซุย เมื่อคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว หันซุยจึงส่งหนังสือฉบับหนึ่งให้แก่ม้าเฉียว แล้วว่าโจโฉให้ทูตมีหนังสือนี้มาถึงเราให้วางแผนจับตัวเจ้าและพี่น้องส่งไปให้แก่โจโฉที่เมืองหลวง แล้วจะตั้งให้เราเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง.