ตอนที่ 324. หญิงโฉด ชายชั่ว

  ม้าเท้งยกกองทัพมาแต่เมืองเสเหลียงโดยถือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ  และได้ระมัดระวังตนทั้งในด้านการเตรียมการที่เมืองเสเหลียงและในการซึ่งยกมาเมืองหลวง  แต่ครั้นได้พบกับอุยกุ๋ยขุนนางฝ่ายพิธีการทูตก็หลวมตัว  แทนที่จะมุ่งหมายเพียงระมัดระวังตนกลับร่วมกันวางแผนลอบสังหารโจโฉ โดยอุยกุ๋ยเตรียมการด้านในเมือง ลวงให้โจโฉยกออกมาที่กองทัพม้าเท้ง  แล้วม้าเท้งจะได้จับโจโฉฆ่าเสีย

            ครั้นตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้วอุยกุ๋ยจึงคำนับลาม้าเท้งกลับเข้าไปในเมืองและรายงานความแก่โจโฉตามที่ได้ตกลงกับมาเท้งว่า ม้าเท้งเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเป็นระยะทางไกลไม่ค่อยสบายจึงขอเลื่อนการเข้าเฝ้าออกไปจนกว่าจะหาย และขอให้ทางเมืองหลวงช่วยส่งเสบียงไปให้ด้วย รายงานความแล้วอุยกุ๋ยก็คำนับลาโจโฉกลับไปบ้าน

            ครั้นกลับไปถึงบ้านอุยกุ๋ยค่อยสร่างเมาจึงระลึกได้ว่าแผนการซึ่งคิดอ่านกับม้าเท้งนั้นใหญ่หลวงนัก หากพลาดพลั้งประการใดก็อาจรับโทษถึงตาย ความรักตัวกลัวตายและเสียดายยศศักดิ์อัครฐาน ตลอดจนเมียน้อยเมียหลวงและความสุขทั้งปวงของขุนนางแห่งราชสำนักก็กลุ้มรุมเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด อุยกุ๋ยยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกกังวลจนเกิดอาการเครียดหงุดหงิดจนเห็นได้ชัดเจน

            อาการอันบังเกิดแก่อุยกุ๋ยดังนี้เป็นที่สังเกตของเมียหลวงและเมียน้อยซึ่งอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน นางเมียหลวงห่วงสามีจึงไต่ถามว่าท่านออกไปหาม้าเท้งกลับมาแล้วไม่ผ่องแผ้วสดใสดังเดิม ปรากฎชัดซึ่งความหม่นหมองทุกข์ร้อนดังนี้ท่านพี่มีเหตุประการใด

            อุยกุ๋ยฟังคำเมียหลวงที่ห่วงในสุขภาพของตนแล้วนิ่งเฉยไม่ตอบคำ เมียหลวงก็ยิ่งห่วงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสองสามครั้งอุยกุ๋ยก็ไม่ยอมพูดจา กลับหาว่าภรรยาหลวงกล่าววาจามากความให้ได้รำคาญ จึงลุกออกไปเดินที่ข้างนอก

            ในขณะที่เมียหลวงถามหาเหตุแห่งความทุกข์ร้อนของสามีอยู่นั้น นางลิซุ่นเอี๋ยงซึ่งเป็นภริยาน้อยมีความสงสัยในอาการของสามีได้ยืนแอบฟังอยู่ที่หลังฉาก ครั้นเห็นอุยกุ๋ยไม่ตอบถ้อยคำประการใดนางก็ยิ่งสงสัย ครุ่นคิดว่าน่าจะมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นเป็นแน่แท้และเรื่องราวครั้งนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าจะเป็นเรื่องดี

            อันนางลิซุ่นเอี๋ยงซึ่งเป็นเมียน้อยของอุยกุ๋ยนั้นเป็นดรุณีรูปงามในวัยเจริญพันธุ์  อายุเพียงยี่สิบห้าปีมีความปรารถนาร้อนแรงด้วยเพลิงแห่งราคะ  อุยกุ๋ยพึงใจในรูปโฉมอันหวานหยาดเยิ้ม จึงซื้อหามาจากบิดามารดาของนางโดยนางหาได้มีความรักใคร่ผูกพันในตัวอุยกุ๋ยแต่ประการใดไม่ อุยกุ๋ยเป็นขุนนางผู้ใหญ่สูงด้วยวัยและวุฒิ ทั้งมีภรรยาถึงสองคน ดังนั้นการปรนเปรอนางผู้เป็นเมียน้อยจึงอิ่มเอิบก็แต่ด้านทรัพย์สิ่งศฤงคารและบริวารข้าทาสคอยเอาใจ แต่ในด้านการส่วนตัวอันเกี่ยวกับกลกามกลับแร้นแค้นขาดแคลนนัก ดังนี้นางเมียน้อยผู้พร้อมด้วยความสาวความสวยจึงคล้ายดังผืนแผ่นดินอันแล้งแตกระแหง ย่อมปรารถนาพระพิรุณให้โปรยปรายหยาดฟ้ามาประทานความชุ่มชื่นตามกฎความสมดุลย์แห่งธรรมชาติ

            แลในเรือนของอุยกุ๋ยนั้นนางผู้เป็นเมียหลวงได้รับเอาน้องชายร่วมอุทรชื่อ  เบียวเต๊กมาอุปการะให้อยู่ร่วมในอาณาบริเวณรั้วเดียวกัน  เบียวเต๊กนั้นรูปกำยำล่ำสันหน้าตาดูสง่าโอ่โถง เบียวเต๊กล่วงวัยสามสิบแล้วยังคงครองตัวเป็นโสด ครั้นเช้าสายบ่ายเย็นได้เห็นได้สบตานางเมียน้อยนานวันเข้า ต่างฝ่ายจึงต่างพึงใจแล้วก่อเกิดเป็นบ่วงสวาทรัดรึงแน่นเข้าทุกที ในที่สุดกำแพงแห่งประเพณีก็พ่ายแพ้แก่ฤทธิ์มนต์     พิศวาส  น้องชายของเมียหลวงและเมียน้อยจึงลงหลักปักฐานกันภายในรั้วบ้านของอุยกุ๋ยนั่นเอง

            แผ่นดินอันแห้งแตกระแหงได้หยาดฝนโปรยปรายก็ชุ่มชื่นเริงร่า นางลิซุ่นเอี๋ยงจึงติดใจใหลหลงชู้หนุ่มจนลืมผัวเฒ่า แล้วหวั่นใจว่าวันใดอุยกุ๋ยทราบความอันลามกแล้ว วันนั้นความสุขของนางก็จะถูกทำลายลง ดังนั้นนางเมียน้อยจึงจ้องคอยหาโอกาสกำจัดผัวเฒ่าให้พ้นทาง

            เมื่อนางเมียน้อยรู้สึกนึกคิดฉะนี้ เบียวเต๊กก็มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างเดียวกัน  หาไม่แล้วไหนเลยหญิงโฉดชายชั่วคู่นี้จะรวมหัวเป็นผัวเมียกันเช่นนั้นได้

            นางลิซุ่นเอี๋ยงคะเนเห็นเป็นการณ์ข้างร้าย อาจใช้เป็นโอกาสกำจัดผัวเฒ่าของตัวได้ จึงลอบออกไปหาชู้รักแล้วเล่าความทั้งปวงให้เบียวเต๊กฟัง

            เบียวเต๊กฟังความจากผู้เป็นคู่พิศวาสก็เห็นการณ์อันลับลี้มีความนัยอยู่แต่ไม่รู้ว่าเป็นความประการใด  จึงบอกชู้รักว่าความครั้งนี้มีเรื่องลับเป็นกลนัยสมดังความสงสัยของเจ้า จึงชอบที่จะสอบความให้สิ้นกระแสก่อนจึงค่อยคิดอ่านสืบไป

            ว่าแล้วเบียวเต๊กจึงสอนนางผู้เป็นคู่สวาทว่าให้เจ้าเข้าไปปลอบประโลมใจอุยกุ๋ยให้เป็นที่สบายคลายวิตกก่อนแล้วจึงประเหลาะถามความนัย ได้เนื้อความอันใดแล้วรีบมาแจ้งให้เราทราบในพลัน

            นางเมียสาวรู้เค้ากลจากชู้รักแล้วรีบกลับไปที่เรือน ค่ำลงก็บำรุงกายประทินตัวด้วยแป้งหอมเสื้อผ้าแพรพรรณอันยั่วยวนตาคอยทีอยู่ ครู่หนึ่งอุยกุ๋ยก็มาหา นางลิซุ่นเอี๋ยงก็เอาสุรามารินให้อุยกุ๋ยดื่มและเอาใจปรนนิบัติจนอุยกุ๋ยค่อยคลายความทุกข์และมีทีท่าสำราญขึ้นแล้วจึงเร่งคะยั้นคะยอรินสุราให้ดื่มอีกหลายจอก 

            ครั้นเห็นอุยกุ๋ยกำลังเพลินด้วยเนื้อหนังอันนวลแน่น นางลิซุ่นเอี๋ยงจึงแสร้งถามอุยกุ๋ยว่า “เล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงแผ่นดินโดยสุจริต ข้างโจโฉเป็นคนหยาบช้า ทำการหาตรงต่อแผ่นดินไม่ ตัวท่านก็มีสติปัญญาอยู่ เหตุใดจึงมาอยู่ด้วยโจโฉซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติ”

            อุยกุ๋ยกำลังเพลินอารมณ์ด้วยสุราและสตรีสาวพราวเสน่ห์ มิได้เฉลียวใจว่าไฉนนางเมียสาวที่ไม่เคยสนใจความบ้านการเมืองกลับไต่ถามเรื่องอันคอขาดบาดตายในยามนี้ จึงไร้ที่ระแวงระวังตัว คิดแต่จะเอาใจให้สมกับที่นางได้เปรอปรน จึงหลงตกลงในกลแห่งสตรีพลั้งปากบอกว่า “ตัวเจ้าเป็นหญิงยังรู้จักผิดแลชอบ ตัวข้าเป็นชายก็รู้อยู่ว่าโจโฉเป็นศัตรูราชสมบัติ แต่มาวิตกว่าความคิดซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้นกลัวจะไม่สำเร็จ”

            นางลิซุ่นเอี๋ยงเห็นการสมดังที่คาดคะเนจึงแสร้งออดอ้อนถามอุยกุ๋ยต่อไปว่าตัวท่านมีสติปัญญาความรู้คิดอ่านลึกซึ้งย่อมสำเร็จสมดังปรารถนาเป็นแม่นมั่น  เพราะเหตุนั้นหากท่านคิดอ่านประการใดก็จงบอกให้ข้าพเจ้าให้รับรู้ปัญญาท่านประดับความคิดอันน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด

            อุยกุ๋ยได้ยินความอันระรื่นโสตปลุกเร้าความภาคภูมิใจ ระคนด้วยฤทธิ์แรงสุราจึงหัวเราะร่า และบอกความซึ่งร่วมคิดกับม้าเท้งลวงโจโฉให้ออกไปนอกเมืองแล้วให้ม้าเท้งจับโจโฉฆ่าเสียให้นางเมียเจ้าเสน่ห์ทราบทุกประการ

            นางลิซุ่นเอี๋ยงทราบความนัยแล้วมีความยินดีที่การครองชู้นับแต่นี้จะสดใสไร้ขวากหนามและไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป  จึงรินสุราให้อุยกุ๋ยดื่มอีกหลายจอกจน อุยกุ๋ยเมาสุราแล้วหลับใหลไป

            นางผู้นอกใจผัวเห็นอุยกุ๋ยหลับก็แกล้งเรียกให้ดื่มสุราอีกจอกหนึ่ง ครั้นเห็นแน่นิ่งไม่ตอบคำมีแต่เสียงกรนค่อย ๆ ดังขึ้นแทนก็รู้ว่าอุยกุ๋ยเมาสุราหลับใหลไม่ได้สติจึงรีบลุกออกจากห้องลอบไปหาเบียวเต๊ก แล้วแจ้งความซึ่งอุยกุ๋ยและม้าเท้งได้คบคิดกันนั้นให้ชู้รักทราบทุกประการ

            เบียวเต๊กได้ฟังความตลอดแล้วก็หัวเราะอย่างมั่นใจว่าครานี้อุยกุ๋ยขุนนางเฒ่าคงไม่พ้นความตาย เราสองคนจะได้ครองสุขกันโดยไม่ต้องหวั่นเกรงผู้ใดอีกต่อไป ว่าแล้ว   เบียวเต๊กจึงโอบเอาตัวเมียน้อยของอุยกุ๋ยมาแนบไว้กับอก แล้วบอกว่าเจ้าจงทำตัวให้เป็นปกติ ไว้เป็นธุระที่เราจะจัดการเรื่องราวให้แยบยลเอง

            เบียวเต๊กจูบลาชู้รักแล้วรีบออกจากบ้านไปที่จวนของโจโฉแต่เวลานั้น  

            ครั้นโจโฉได้ทราบความจากทหารรักษาการณ์ว่ามีคนมาแต่เรือนของอุยกุ๋ยด้วยเรื่องลับแลร้อนเกี่ยวกับม้าเท้ง จึงให้ทหารพาเบียวเต๊กเข้าไปพบ

            ครั้นทราบความแล้วโจโฉจึงให้ทหารอารักขาเบียวเต๊กกันไว้เป็นพยานและกักไว้ข้างในจวน และสั่งทหารให้ไปจับอุยกุ๋ยพร้อมด้วยบุตรภรรยามาขังไว้ตั้งแต่คืนวันนั้น

            จากนั้นโจโฉจึงเรียก โจหอง เคาทู ซิหลง และแฮหัวเอี๋ยนเข้ามาพบที่จวน แจ้งความซึ่งอุยกุ๋ยและม้าเท้งคบคิดกันนั้นให้สี่นายทหารฟังทุกประการแล้วสั่งว่า “พรุ่งนี้เวลาเช้าท่านแต่งตัวให้เหมือนเรา เอาธงแดงสำคัญของเราแห่นำไป  แล้วให้เคาทูเป็นปีกขวา ให้แฮหัวเอี๋ยนเป็นปีกซ้าย โจหองเป็นกองหลวง ซิหลงเป็นกองหนุน ยกออกไปตั้งท้องสนามนอกเมือง ให้ทำอาการเหมือนเราจะยกไป ม้าเท้งไม่ทันรู้จะสำคัญว่าเรายกออกไปก็จะเข้ามาตามสัญญาณอุยกุ๋ย ท่านจึงจุดประทัดสัญญาณให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ล้อมม้าเท้งไว้จับมาให้ได้”

            โจโฉได้ทราบความลับของแผนสังหารแล้วคิดอ่านซ้อนกลอุยกุ๋ยและม้าเท้ง  แต่การซึ่งกักขังเบียวเต๊กไว้เป็นพยาน และสั่งการให้ทหารพยายามล้อมจับเป็นม้าเท้งนั้นเป็นแผนการความคิดกำจัดศัตรูทางการเมืองให้สิ้นซาก  เพราะวิสัยของโจโฉมากด้วยความหวาดระแวงจึงคิดว่าแผนการลอบสังหารครั้งนี้มิใช่มีแค่อุยกุ๋ยและม้าเท้งเท่านั้น   น่าจะมีขุนนางข้าราชการอื่นร่วมคบคิดอีก เพราะตัวม้าเท้งนั้นก็เคยร่วมอยู่ในขบวนการเดียวกันกับตังสินและเล่าปี่แล้วชูธงพระบรมราชโองการเลือดของพระเจ้าเหี้ยนเต้ระดมผู้จงรักภักดีต่อราชสำนักเข้าเป็นพวก ในครั้งนั้นแม้จะได้กำจัดศัตรูทางการเมืองไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่รากเหง้าของขบวนการยังคงอยู่คือเล่าปี่และมาเท้ง ดังนั้นวันเวลาหลายปีที่ผ่านมาขบวนการดังกล่าวก็อาจขยายตัวเติบโตขึ้นมาอีก การได้เบาะแสในครั้งนี้จึงเป็นทีที่จะกวาดล้างศัตรูทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเพื่อสืบสาวความให้ถึงตัวผู้ร่วมขบวนการจึงต้องจับเป็นม้าเท้ง ในขณะที่อุยกุ๋ยถูกควบคุมตัวเอาไว้แล้ว การกระทำของโจโฉดังนี้อุปมาดังคนเคยถูกงูกัด พอเห็นเชือกก็ระแวงว่าเป็นงูอยู่ร่ำไป   โจโฉถูกตังสินก่อตั้งขบวนการล้มล้างมาครั้งหนึ่งแล้ว  มาครั้งนี้ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้มีขบวนการเหมือนเมื่อครั้งตังสินเพราะเป็นแค่อุยกุ๋ยเมาสุราแล้วคะนองปากวางแผนการกับม้าเท้งโดยบังเอิญเท่านั้น แต่โจโฉก็ไม่วายที่จะคิดและจัดการอย่างเดียวกับเมื่อครั้งตังสินนั้น

            โจหองและนายทหารซึ่งรับคำสั่งจากโจโฉได้คำนับลากลับออกไปจัดแจงตามคำสั่งตั้งแต่กลางดึกของคืนนั้น

            ครั้นรุ่งขึ้นม้าเท้งจึงจัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้ตามที่ได้ตกลงกับอุยกุ๋ย พอตกสายทหารลาดตระเวนได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ในเมืองหลวงกำลังจัดแจงทหารจะยกออกมานอกเมือง เห็นธงประจำตัวโจโฉเตรียมพร้อมอยู่ด้วย

            ม้าเท้งได้ทราบรายงานก็สำคัญว่าโจโฉหลงกลอุบายของอุยกุ๋ยจะพาทหารคุมเสบียงมาส่งก็มีความยินดี จึงพาม้าฮิวและม้าเทียดผู้เป็นบุตรยกทหารออกจากค่ายไปที่ประตูเมืองฮูโต๋

            พอม้าเท้งยกทหารเข้าไปใกล้ประตูเมืองเห็นธงแดงสำคัญประจำตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักฮั่นโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางขบวนธงแดงเป็นอันมากแห่แหนนำหน้ากองทหารออกจากประตูเมืองเคลื่อนตรงมาก็มีความยินดี สำคัญว่าโจโฉคุมทหารออกมาเอง การซึ่งคิดไว้นั้นก็จะสำเร็จเป็นมั่นคง จึงเร่งม้าออกนำหน้าทหารและสั่งให้จู่โจมจับตัวโจโฉให้จงได้

            ครั้นม้าเท้งนำทหารเข้าไปใกล้กองทหารที่ยกออกจากเมืองมาในระยะร้อยวาพลันเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น ขบวนธงแดงซึ่งแห่แหนนำหน้าทหารได้แปรขบวนเคลื่อนออกไปที่ข้างทางทั้งสองด้าน
ม้าเท้งเห็นเหตุการณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วคาดไม่ถึงดังนั้นก็ตกใจ รั้งม้าหยุดอยู่กับที่ กองทหารซึ่งตามมาก็พากันชะงักเสียขบวนไปในทันที

            พอขบวนธงแดงแยกออกไปที่สองข้างทางม้าเท้งจึงเห็นกองทัพม้ารุดจู่โจมออกมาเป็นสี่กอง โจหองคุมทหารอยู่ข้างหน้า เคาทู ซิหลง แฮหัวเอี๋ยน คุมทหารม้าแยกเป็นสามทางออกไปทางด้านข้างทั้งสองข้าง และอีกกองหนึ่งรุดไปสกัดทางข้างหลังและล้อมเข้ามาเป็นสี่ทิศทาง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘