ตอนที่ 322. ดำแต่นอก ในแผ้ว
บังทองผู้มีสมญานามว่า “ฮองซู-หงส์ลำพอง” เป็นผู้มีสติปัญญาระดับเดียวกับฮกหลง-จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง แต่ด้วยความรูปชั่วตัวดำ จึงไม่เป็นที่ต้องใจคนในครั้งแรกที่ได้พบเห็น บังทองตั้งใจจะทำราชการกับซุนกวน แต่เมื่อซุนกวนปฏิเสธโดยไม่ไยดีจึงมาที่เมืองเกงจิ๋ว ก็พบกับสถานการณ์อย่างเดียวกันคือเล่าปี่ไม่ต้องใจบังทอง เพราะไม่รู้ว่าบังทองคือคน ๆ เดียวกับฮองซู
เล่าปี่ได้ยินคำบังทองแม้รู้ว่าน้ำเสียงเจือด้วยความน้อยใจแต่มิได้ใส่ใจ คงกล่าวสืบไปว่าอันเมืองเกงจิ๋วทุกวันนี้ก็สงบราบคาบดีแล้ว ไม่มีหน้าที่ราชการอื่นใดว่าง แต่เอาเถิดเมื่อท่านบากหน้ามาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปเป็นนายอำเภออยู่ที่เมืองลอยเอี๋ยงข้างทิศอีสานของเมืองเกงจิ๋วนี้ ถ้าเมื่อใดมีราชการตำแหน่งงานที่ดีกว่านี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะจัดแจงให้ตามความเหมาะสม
เล่าปี่หาตำแหน่งแหล่งที่ให้บังทองแบบเสียมิได้เพราะเมืองลอยเอี๋ยงนั้นเป็นเมืองเล็ก ไม่มีขุนนางผู้ใดอยากไปอยู่ คนที่ไปอยู่แล้วก็ขวนขวายขอโยกย้ายไปอยู่เสียที่อื่น ดังนั้นตำแหน่งนายอำเภอเมืองนี้จึงว่างอยู่ช้านาน บังทองเป็นชาวแดนซงหยงมาแต่ก่อน รู้จักเมืองลอยเอี๋ยงเป็นอย่างดี ได้ฟังคำเล่าปี่มอบหมายหน้าที่ดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่ดูหมิ่น ไม่เห็นสติปัญญาของตัวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ครั้นจะเจรจาว่ากล่าวสำแดงสติปัญญาให้ปรากฏก็ใช่ที่ จึงจำใจรับตำแหน่งแล้วลาเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองลอยเอี๋ยง
บังทองมารับตำแหน่งที่เมืองลอยเอี๋ยงแล้วก็ประชดประชันการมอบหมายใช้คนของเล่าปี่ด้วยการไม่ออกว่าราชการ ในแต่ละวันเอาแต่นอนและเสพสุรา จนราชการเมืองลอยเอี๋ยงต้องหยุดชะงักงัน
ชาวเมืองมีความขัดข้องในการติดต่อราชการ ทั้งได้รับความเดือดร้อนจากการที่กำนันผู้ใหญ่บ้านก่อการกำเริบฉ้อราษฎร์บังหลวง รีดนาทาเร้นราษฎร จึงพากันไปร้องเรียนต่อเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว ว่านายอำเภอคนใหม่ซึ่งตั้งไปว่าราชการเมืองลอยเอี๋ยงนั้นไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ราชการ ตั้งแต่ไปรับตำแหน่งยังไม่เคยปฏิบัติหน้าที่เลยแม้แต่สักอย่างเดียว เอาแต่เสพสุราแล้วก็นอน ตื่นขึ้นก็เสพสุราแล้วก็นอนเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป ชาวเมืองมิรู้ที่จะทำประการใด จึงมาร้องเรียนให้เล่าปี่บำบัดความทุกข์ร้อน
เล่าปี่ทราบความตามรายงานก็โกรธบังทองที่ทำให้ราชการผันแปรเสียไป จึงสั่งให้เตียวหุยไปสืบความ และถ้าบังทองมีความผิดก็ให้จับตัวมาลงโทษที่เมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่สั่งเตียวหุยยังไม่ทันสิ้นคำก็ได้สติยั้งคิดว่าน้องสุดท้องแห่งคำสาบานสวนท้อเป็นคนมุทะลุหุนหันพลันแล่น หากให้เตียวหุยไปแต่เพียงลำพังก็อาจเกิดความร้ายโดยไม่คาดคิดขึ้นได้ พอยั้งคิดดังนี้เล่าปี่จึงสั่งให้ซุนเขียนร่วมเดินทางไปกับเตียวหุย หากมีปัญหาสิ่งไรจะได้ช่วยกันแก้ไขไปตามสถานการณ์
เตียวหุยและซุนเขียนรับคำสั่งเล่าปี่แล้วพาทหารรีบยกไปยังเมืองลอยเอี๋ยง พอเข้าใกล้เขตเมืองบรรดาขุนนางข้าราชการและชาวเมืองทราบความจึงพากันยกขบวนออกมาต้อนรับเตียวหุยและซุนเขียนที่นอกเมือง
เตียวหุยเห็นบรรดาขุนนางข้าราชการและชาวเมืองมาต้อนรับก็มีความยินดี ทอดตาไปในหมู่คนเหล่านั้นกลับไม่เห็นเจ้าเมืองก็ประหลาดใจ จึงถามกรมเมืองว่าเจ้าเมืองไปอยู่เสียที่ใดจึงไม่ออกมาต้อนรับเรา
เจ้าหน้าที่กรมเมืองและขุนนางข้าราชการได้ฟังคำถามเตียวหุยก็พากันนิ่งเงียบ แต่ราษฎรได้ร้องบอกเตียวหุยว่าเจ้าเมืองจะมาต้อนรับท่านกระไรได้ เพราะยังเมาสุรานอนหลับอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้ไปจับตัวบังทอง ฝ่ายซุนเขียนได้ยิน เตียวหุยมีคำสั่งดังนั้นจึงท้วงว่าท่านอย่าเพ่อหุนหันพลันแล่นดูหมิ่นบังทองก่อน ชอบที่เราจะเข้าไปในเมืองแล้วไต่ถามความให้กระจ่าง รู้ผิดและชอบแล้วจึงค่อยตัดสินใจในภายหลังจึงจะควร
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบจึงพากันยกขบวนไปที่ที่ว่าการอำเภอ แต่ไม่เห็นบังทอง จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตามบังทองออกมาพบ
เจ้าหน้าที่เข้าไปตามบังทองที่ห้องนายอำเภอเห็นเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงช่วยกันพยุงบังทองออกมานั่งตรงที่ว่าราชการ บังทองออกมานั่งแล้วก็มิได้คำนับผู้ใด แสร้งงัวเงียสะลึมสะลือ ทำทีเป็นเมาสุรายังไม่สร่าง
เตียวหุยเห็นบังทองเมาสุรา ลักษณะไม่ได้สติดังนั้นก็โกรธ จึงต่อว่าบังทองด้วยเสียงอันดังว่า “พี่เราคิดว่าท่านเป็นคนดีจึงให้มาเป็นเจ้าเมือง เหตุใดมากินสุราแล้วละราชการบ้านเมืองเสีย”
บังทองได้ฟังคำเตียวหุยก็หัวเราะแล้วแย้งว่าซึ่งท่านกล่าวหาว่าเราเมาสุรา ละราชการนั้น มีความเสียหายประการใด
เตียวหุยจึงว่าท่านมาว่าราชการที่เมืองนี้นับร้อยวันแล้ว เอาแต่เสพสุราและนอน มิได้ว่าราชการตัดสินความวิวาทของราษฎร จนราษฎรเดือดร้อนแล้วไปร้องเรียนกับพี่เราที่เมืองเกงจิ๋ว ดังนี้ไฉนยังจะมาเถียงว่าไม่มีความเสียหายอีกเล่า
บังทองจึงว่า “เราเห็นเมืองก็น้อย ราชการก็น้อย ยากอะไรกับจะตัดสินเนื้อความเพียงนี้ เชิญท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะตัดสินเนื้อความของราษฎรให้ฟัง”
ว่าแล้วบังทองจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้ไปเอาสำนวนคดีความที่ราษฎรกล่าวหาร้องเรียนทั้งปวงร้อยกว่าคดีเข้ามาที่ว่าราชการ ในขณะนั้นเตียวหุยและซุนเขียนต่างรู้สึกประหลาดใจว่าคนเมาสุราแทบไม่ได้สติดังนี้ไฉนถ้อยคำเจรจาจึงฉะฉาน และจะตัดสินการพิพาทบาดหมางของราษฎรได้อย่างไร จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่าหรือว่าคนผู้นี้จะมิใช่คนพาลสันดานหยาบที่เอาแต่นอนและเสพสุรา แต่อาจเป็นมหาบัณฑิตที่แสร้งคิดกลอุบายประชดประชันประการหนึ่งประการใดอยู่เป็นแม่นมั่น
เตียวหุยคำนึงดังนั้นแล้วก็หวนย้อนไปรำลึกถึงขงเบ้งซึ่งมีลักษณะท้าทายทรนงไม่ต่างกัน รำลึกดังนั้นเตียวหุยก็พรั่นใจ นั่งคอยท่าด้วยอาการอันสงบ ผิดแต่แรกที่พบหน้ากับบังทอง
อีกครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เอาสำนวนความและคู่กรณีพิพาทเข้ามาพร้อมกันในห้องโถงของที่ว่าการอำเภอเมืองลอยเอี๋ยง
เจ้าหน้าที่ได้อ่านสำนวนความซึ่งราษฎรได้ร้องเรียนกำนันตำบลหนึ่งซึ่งรีดนาทาเร้นเอาทรัพย์สินของราษฎรจนร่ำรวยผิดปกติ บังทองสอบถามกำนันก็อ้างว่ามีฐานะยากจน บังทองจึงสั่งให้คนไปค้นบ้านคนใช้ คนสวนและบริวารซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของกำนันก็ค้นพบทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก บังทองไต่สวนคนใช้ คนสวน และบริวารแล้วยอมรับว่าเป็นทรัพย์สินของกำนันมาฝากฝังไว้ กำนันจึงต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐาน บังทองจึงตัดสินให้ถอดกำนันออกจากตำแหน่งและริบทรัพย์เป็นของหลวง
บังทองได้ให้เจ้าหน้าที่กรมการอำเภออ่านสำนวนความที่พิพาทต่อเนื่องกันไป ปากก็ซักไซร้ไต่สวนคู่กรณีและพยาน มือก็จดคำบันทึก เสร็จแล้วก็ตัดสินอย่างแคล่วคล่องว่องไว ไม่ถึงชั่วยามสำนวนความพิพาททั้งหลายก็ถูกตัดสินเสร็จสิ้นเป็นที่ชื่นชมพอใจของคนทั้งปวง
บรรดาชาวเมืองที่มายืนดูเหตุการณ์ เห็นบังทองว่าราชการแคล่วคล่องว่องไวเฉียบขาดเที่ยงธรรมดังนั้นต่างพากันสรรเสริญความคิดสติปัญญาของบังทองเป็นอันมาก ในขณะที่เตียวหุยและซุนเขียนต่างก็ตกตะลึง เพราะปรากฏการณ์ดังนี้ไหนเลยจะเป็นเรื่องของคนหยาบช้าโง่เขลาเบาปัญญามิได้ราชการ และเห็นว่านี่คืออาการของผู้เรืองปัญญาแบบเดียวกับขงเบ้งนั่นเอง เตียวหุยหันมามองหน้าซุนเขียนด้วยท่าทีอันเลื่อมใส ขณะที่ในใจก็รำพึงว่าโชคดีที่ซุนเขียนท่านว่าขานท้วงติงมิให้เราวู่วาม มิฉะนั้นก็จะเสียการล่วงเกินผู้มีปัญญาเป็นแน่แท้
บังทองเห็นเตียวหุยและซุนเขียนต่างตกตะลึงนิ่งอยู่จึงสำทับว่า “ที่ท่านว่าเราละราชการเสียนั้น คือการอันใดเล่าก็ว่ามาเถิด”
เตียวหุยในบัดนี้มองข้ามความเป็นคนขี้เมาและความรูปชั่วตัวดำของบังทองไปแล้ว เห็นแต่ข้างในที่ผ่องแผ้วเรืองด้วยปัญญานุภาพ กิริยาท่าทีก็อ่อนลงเป็นนอบน้อมและตอบบังทองว่า การอันข้าพเจ้าเดินทางมาก็มีแต่เพียงเท่านี้ มิมีสิ่งใดติดขัดข้องใจอีกแล้ว
บังทองจึงกล่าวสืบไปว่า เนื้อความเพียงเท่านี้ไยจึงต้องรบกวนใจให้ท่านต้องมาถึงเมืองลอยเอี๋ยง อย่าว่าแต่ความเพียงเท่านี้เลย “ถึงราชการโจโฉกับซุนกวนก็ดี เหมือนเราจับหนังสือชูไว้บนฝ่ามือ ถ้าเปิดพลิกดูเมื่อใดก็จะเห็นแจ้งสิ้น”
เตียวหุยได้ฟังคำบังทองเป็นความใหญ่ แต่เป็นความซึ่งกล่าวด้วยความมั่นใจองอาจกล้าหาญในลักษณาการอย่างเดียวกับที่เคยเห็นจากขงเบ้ง ความที่ยังลังเลใจสงสัยก็มลายไปสิ้น เตียวหุยตกใจต่อถ้อยคำของบังทอง มองข้ามความรูปชั่วตัวดำ เห็นถึงข้างในที่ผ่องใสดุจทองนพคุณ แล้วจึงลุกออกจากเก้าอี้มายืนที่ตรงหน้าบังทอง กระทำคารวะคำนับบังทองแล้วว่า “เล่าปี่กับข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านมีสติปัญญาถึงเพียงนี้ คิดว่าท่านละราชการเสียจริง จึงใช้ข้าพเจ้ามาฟังดู จะได้ช่วยทำนุบำรุงท่าน ข้าพเจ้าจะเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งให้เล่าปี่ฟัง”
บังทองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ไม่ตอบถ้อยคำเตียวหุยแต่ล้วงเอาหนังสือของโลซกถึงเล่าปี่ส่งให้แก่ซุนเขียน
ซุนเขียนเห็นหนังสือก็ประหลาดใจจึงเปิดผนึกออกอ่านดู และอ่านให้เตียวหุยฟัง เตียวหุยได้ฟังความในหนังสือแนะนำตัวของโลซกก็ยิ่งมั่นใจในตัวบังทอง รีบถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่าเมื่อครั้งที่ท่านพบกับเล่าปี่พี่ข้าพเจ้านั้นเป็นไฉนท่านจึงไม่เอาหนังสือของโลซกให้แก่เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าเล่า
เตียวหุยถามความโดยที่หาได้รู้ความไม่ว่าในตัวบังทองขณะนี้ยังมีหนังสือแนะนำตัวของขงเบ้งอยู่อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งบังทองยังคงปิดงำไว้
บังทองได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า “เมื่อแรกพบนั้นเล่าปี่ยังหารู้ว่าข้าพเจ้าดีชั่วไม่ ครั้นจะให้ดูหนังสือนั้น ก็เหมือนข้าพเจ้าแกล้งขอหนังสือมาเป็นนายหน้าให้ผู้อื่นช่วยสรรเสริญ ข้าพเจ้าจึงมิให้ดู”
ถ้อยคำบังทองดังนี้ราวกับมองเห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันที่บรรดานักวิ่งเต้นขอตำแหน่งแห่งที่ทั้งหลายล้วนแสวงหาผู้แนะนำฝากฝังเพื่อให้ได้ตำแหน่งแหล่งที่ที่สูงขึ้น โดยมิได้คำนึงถึงความดีความชอบในราชการของตัว หวังเอาแต่ความใกล้ชิดฝากฝังของผู้อื่นเป็นสรณะในการทำราชการ จึงทำให้บ้านเมืองวิปริตผันแปรไปได้ถึงเพียงนี้ อันตัวบังทองนั้นแม้จะมีผู้ยกย่องสรรเสริญแนะนำแต่ก็หาได้ตีคุณค่าของการฝากฝังแนะนำของผู้อื่นเป็นสรณะไม่ ยังคงยึดมั่นสติปัญญาความสามารถแห่งตัวเป็นที่ตั้ง ครั้นเห็นประจักษ์แล้วจึงแสดงหนังสือแนะนำตัว
เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับซุนเขียนว่าโชคดีที่ท่านท้วงติงมิให้ข้าพเจ้าวู่วาม มิฉะนั้นราชการที่เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าใช้สอยมาก็จะเสียการไป เตียวหุยกล่าวดังนั้นแล้วจึงแจ้งแก่บังทองว่าท่านจงรั้งรออยู่ที่เมืองนี้ก่อน ข้าพเจ้าและซุนเขียนจะรีบไปรายงานให้เล่าปี่ทราบ
เตียวหุยและซุนเขียนคำนับลาบังทองแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองเกงจิ๋ว และรายงานความทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ พร้อมกับส่งหนังสือของโลซกให้เล่าปี่
เล่าปี่รับหนังสือของโลซกมาอ่านดูมีความว่า “บังทองคนนี้ได้ร่ำเรียนความรู้วิชาการเป็นอันมาก แล้วก็มีสติปัญญาควรที่จะเป็นที่ปรึกษาท่านได้ แม้จะดูแต่ลักษณะรูปร่างภายนอกก็เห็นว่าไม่สมที่จะว่ามีความรู้วิชาการดี ข้าพเจ้าเสียดายบังทอง กลัวบังทองไปอยู่ด้วยผู้อื่นเสีย ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือให้บังทองมาหาท่าน”
เล่าปี่มิได้รู้ความนัยว่าฮองซูผู้เรืองปัญญาระดับเดียวกับฮกหลงคือบังทองผู้นี้ รูปนรลักษณ์ที่รูปชั่วตัวดำและวิปริตของบังทองยังติดตาติดใจเล่าปี่อยู่ แม้ได้ฟังความจากเตียวหุย ซุนเขียน และทราบความจากหนังสือของโลซกแล้วก็ยังลังเลสงสัยว่าบังทองจะเป็นคนมีสติปัญญาความสามารถจริงละหรือ
ในขณะที่เล่าปี่ตรึกอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ขงเบ้งได้กลับจากการไปตรวจราชการมาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ขมีขมันออกไปรับขงเบ้งถึงนอกประตูจวน
พอเห็นหน้าเล่าปี่ขงเบ้งได้ถามว่า “บังทองมาอยู่นั้นเขาได้ความสบายอยู่หรือ”
พลันที่ขงเบ้งกลับจากตรวจราชการสี่หัวเมืองถึงเมืองเกงจิ๋วก็สอบถามข่าวสารจากทหารซึ่งสนิทว่าบังทองมาพบเล่าปี่แล้วหรือหาไม่ ครั้นได้ทราบว่าบังทองมาพบเล่าปี่แล้วก็มีความยินดี ดังนั้นคำถามแรกที่ขงเบ้งถามเล่าปี่ทันทีที่พบจึงเป็นการถามเรื่องบังทอง
เล่าปี่ฟังคำถามของขงเบ้งก็ตระหนักว่าที่ลังเลสงสัยบังทองนั้นเป็นการผิดถนัด เพราะหากบังทองมิใช่ผู้เรืองปัญญา ไหนเลยขงเบ้งจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้.
เล่าปี่ได้ยินคำบังทองแม้รู้ว่าน้ำเสียงเจือด้วยความน้อยใจแต่มิได้ใส่ใจ คงกล่าวสืบไปว่าอันเมืองเกงจิ๋วทุกวันนี้ก็สงบราบคาบดีแล้ว ไม่มีหน้าที่ราชการอื่นใดว่าง แต่เอาเถิดเมื่อท่านบากหน้ามาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปเป็นนายอำเภออยู่ที่เมืองลอยเอี๋ยงข้างทิศอีสานของเมืองเกงจิ๋วนี้ ถ้าเมื่อใดมีราชการตำแหน่งงานที่ดีกว่านี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะจัดแจงให้ตามความเหมาะสม
เล่าปี่หาตำแหน่งแหล่งที่ให้บังทองแบบเสียมิได้เพราะเมืองลอยเอี๋ยงนั้นเป็นเมืองเล็ก ไม่มีขุนนางผู้ใดอยากไปอยู่ คนที่ไปอยู่แล้วก็ขวนขวายขอโยกย้ายไปอยู่เสียที่อื่น ดังนั้นตำแหน่งนายอำเภอเมืองนี้จึงว่างอยู่ช้านาน บังทองเป็นชาวแดนซงหยงมาแต่ก่อน รู้จักเมืองลอยเอี๋ยงเป็นอย่างดี ได้ฟังคำเล่าปี่มอบหมายหน้าที่ดังนั้นก็รู้ว่าเล่าปี่ดูหมิ่น ไม่เห็นสติปัญญาของตัวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ครั้นจะเจรจาว่ากล่าวสำแดงสติปัญญาให้ปรากฏก็ใช่ที่ จึงจำใจรับตำแหน่งแล้วลาเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองลอยเอี๋ยง
บังทองมารับตำแหน่งที่เมืองลอยเอี๋ยงแล้วก็ประชดประชันการมอบหมายใช้คนของเล่าปี่ด้วยการไม่ออกว่าราชการ ในแต่ละวันเอาแต่นอนและเสพสุรา จนราชการเมืองลอยเอี๋ยงต้องหยุดชะงักงัน
ชาวเมืองมีความขัดข้องในการติดต่อราชการ ทั้งได้รับความเดือดร้อนจากการที่กำนันผู้ใหญ่บ้านก่อการกำเริบฉ้อราษฎร์บังหลวง รีดนาทาเร้นราษฎร จึงพากันไปร้องเรียนต่อเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว ว่านายอำเภอคนใหม่ซึ่งตั้งไปว่าราชการเมืองลอยเอี๋ยงนั้นไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ราชการ ตั้งแต่ไปรับตำแหน่งยังไม่เคยปฏิบัติหน้าที่เลยแม้แต่สักอย่างเดียว เอาแต่เสพสุราแล้วก็นอน ตื่นขึ้นก็เสพสุราแล้วก็นอนเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป ชาวเมืองมิรู้ที่จะทำประการใด จึงมาร้องเรียนให้เล่าปี่บำบัดความทุกข์ร้อน
เล่าปี่ทราบความตามรายงานก็โกรธบังทองที่ทำให้ราชการผันแปรเสียไป จึงสั่งให้เตียวหุยไปสืบความ และถ้าบังทองมีความผิดก็ให้จับตัวมาลงโทษที่เมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่สั่งเตียวหุยยังไม่ทันสิ้นคำก็ได้สติยั้งคิดว่าน้องสุดท้องแห่งคำสาบานสวนท้อเป็นคนมุทะลุหุนหันพลันแล่น หากให้เตียวหุยไปแต่เพียงลำพังก็อาจเกิดความร้ายโดยไม่คาดคิดขึ้นได้ พอยั้งคิดดังนี้เล่าปี่จึงสั่งให้ซุนเขียนร่วมเดินทางไปกับเตียวหุย หากมีปัญหาสิ่งไรจะได้ช่วยกันแก้ไขไปตามสถานการณ์
เตียวหุยและซุนเขียนรับคำสั่งเล่าปี่แล้วพาทหารรีบยกไปยังเมืองลอยเอี๋ยง พอเข้าใกล้เขตเมืองบรรดาขุนนางข้าราชการและชาวเมืองทราบความจึงพากันยกขบวนออกมาต้อนรับเตียวหุยและซุนเขียนที่นอกเมือง
เตียวหุยเห็นบรรดาขุนนางข้าราชการและชาวเมืองมาต้อนรับก็มีความยินดี ทอดตาไปในหมู่คนเหล่านั้นกลับไม่เห็นเจ้าเมืองก็ประหลาดใจ จึงถามกรมเมืองว่าเจ้าเมืองไปอยู่เสียที่ใดจึงไม่ออกมาต้อนรับเรา
เจ้าหน้าที่กรมเมืองและขุนนางข้าราชการได้ฟังคำถามเตียวหุยก็พากันนิ่งเงียบ แต่ราษฎรได้ร้องบอกเตียวหุยว่าเจ้าเมืองจะมาต้อนรับท่านกระไรได้ เพราะยังเมาสุรานอนหลับอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้ไปจับตัวบังทอง ฝ่ายซุนเขียนได้ยิน เตียวหุยมีคำสั่งดังนั้นจึงท้วงว่าท่านอย่าเพ่อหุนหันพลันแล่นดูหมิ่นบังทองก่อน ชอบที่เราจะเข้าไปในเมืองแล้วไต่ถามความให้กระจ่าง รู้ผิดและชอบแล้วจึงค่อยตัดสินใจในภายหลังจึงจะควร
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบจึงพากันยกขบวนไปที่ที่ว่าการอำเภอ แต่ไม่เห็นบังทอง จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตามบังทองออกมาพบ
เจ้าหน้าที่เข้าไปตามบังทองที่ห้องนายอำเภอเห็นเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงช่วยกันพยุงบังทองออกมานั่งตรงที่ว่าราชการ บังทองออกมานั่งแล้วก็มิได้คำนับผู้ใด แสร้งงัวเงียสะลึมสะลือ ทำทีเป็นเมาสุรายังไม่สร่าง
เตียวหุยเห็นบังทองเมาสุรา ลักษณะไม่ได้สติดังนั้นก็โกรธ จึงต่อว่าบังทองด้วยเสียงอันดังว่า “พี่เราคิดว่าท่านเป็นคนดีจึงให้มาเป็นเจ้าเมือง เหตุใดมากินสุราแล้วละราชการบ้านเมืองเสีย”
บังทองได้ฟังคำเตียวหุยก็หัวเราะแล้วแย้งว่าซึ่งท่านกล่าวหาว่าเราเมาสุรา ละราชการนั้น มีความเสียหายประการใด
เตียวหุยจึงว่าท่านมาว่าราชการที่เมืองนี้นับร้อยวันแล้ว เอาแต่เสพสุราและนอน มิได้ว่าราชการตัดสินความวิวาทของราษฎร จนราษฎรเดือดร้อนแล้วไปร้องเรียนกับพี่เราที่เมืองเกงจิ๋ว ดังนี้ไฉนยังจะมาเถียงว่าไม่มีความเสียหายอีกเล่า
บังทองจึงว่า “เราเห็นเมืองก็น้อย ราชการก็น้อย ยากอะไรกับจะตัดสินเนื้อความเพียงนี้ เชิญท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะตัดสินเนื้อความของราษฎรให้ฟัง”
ว่าแล้วบังทองจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้ไปเอาสำนวนคดีความที่ราษฎรกล่าวหาร้องเรียนทั้งปวงร้อยกว่าคดีเข้ามาที่ว่าราชการ ในขณะนั้นเตียวหุยและซุนเขียนต่างรู้สึกประหลาดใจว่าคนเมาสุราแทบไม่ได้สติดังนี้ไฉนถ้อยคำเจรจาจึงฉะฉาน และจะตัดสินการพิพาทบาดหมางของราษฎรได้อย่างไร จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่าหรือว่าคนผู้นี้จะมิใช่คนพาลสันดานหยาบที่เอาแต่นอนและเสพสุรา แต่อาจเป็นมหาบัณฑิตที่แสร้งคิดกลอุบายประชดประชันประการหนึ่งประการใดอยู่เป็นแม่นมั่น
เตียวหุยคำนึงดังนั้นแล้วก็หวนย้อนไปรำลึกถึงขงเบ้งซึ่งมีลักษณะท้าทายทรนงไม่ต่างกัน รำลึกดังนั้นเตียวหุยก็พรั่นใจ นั่งคอยท่าด้วยอาการอันสงบ ผิดแต่แรกที่พบหน้ากับบังทอง
อีกครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เอาสำนวนความและคู่กรณีพิพาทเข้ามาพร้อมกันในห้องโถงของที่ว่าการอำเภอเมืองลอยเอี๋ยง
เจ้าหน้าที่ได้อ่านสำนวนความซึ่งราษฎรได้ร้องเรียนกำนันตำบลหนึ่งซึ่งรีดนาทาเร้นเอาทรัพย์สินของราษฎรจนร่ำรวยผิดปกติ บังทองสอบถามกำนันก็อ้างว่ามีฐานะยากจน บังทองจึงสั่งให้คนไปค้นบ้านคนใช้ คนสวนและบริวารซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของกำนันก็ค้นพบทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก บังทองไต่สวนคนใช้ คนสวน และบริวารแล้วยอมรับว่าเป็นทรัพย์สินของกำนันมาฝากฝังไว้ กำนันจึงต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐาน บังทองจึงตัดสินให้ถอดกำนันออกจากตำแหน่งและริบทรัพย์เป็นของหลวง
บังทองได้ให้เจ้าหน้าที่กรมการอำเภออ่านสำนวนความที่พิพาทต่อเนื่องกันไป ปากก็ซักไซร้ไต่สวนคู่กรณีและพยาน มือก็จดคำบันทึก เสร็จแล้วก็ตัดสินอย่างแคล่วคล่องว่องไว ไม่ถึงชั่วยามสำนวนความพิพาททั้งหลายก็ถูกตัดสินเสร็จสิ้นเป็นที่ชื่นชมพอใจของคนทั้งปวง
บรรดาชาวเมืองที่มายืนดูเหตุการณ์ เห็นบังทองว่าราชการแคล่วคล่องว่องไวเฉียบขาดเที่ยงธรรมดังนั้นต่างพากันสรรเสริญความคิดสติปัญญาของบังทองเป็นอันมาก ในขณะที่เตียวหุยและซุนเขียนต่างก็ตกตะลึง เพราะปรากฏการณ์ดังนี้ไหนเลยจะเป็นเรื่องของคนหยาบช้าโง่เขลาเบาปัญญามิได้ราชการ และเห็นว่านี่คืออาการของผู้เรืองปัญญาแบบเดียวกับขงเบ้งนั่นเอง เตียวหุยหันมามองหน้าซุนเขียนด้วยท่าทีอันเลื่อมใส ขณะที่ในใจก็รำพึงว่าโชคดีที่ซุนเขียนท่านว่าขานท้วงติงมิให้เราวู่วาม มิฉะนั้นก็จะเสียการล่วงเกินผู้มีปัญญาเป็นแน่แท้
บังทองเห็นเตียวหุยและซุนเขียนต่างตกตะลึงนิ่งอยู่จึงสำทับว่า “ที่ท่านว่าเราละราชการเสียนั้น คือการอันใดเล่าก็ว่ามาเถิด”
เตียวหุยในบัดนี้มองข้ามความเป็นคนขี้เมาและความรูปชั่วตัวดำของบังทองไปแล้ว เห็นแต่ข้างในที่ผ่องแผ้วเรืองด้วยปัญญานุภาพ กิริยาท่าทีก็อ่อนลงเป็นนอบน้อมและตอบบังทองว่า การอันข้าพเจ้าเดินทางมาก็มีแต่เพียงเท่านี้ มิมีสิ่งใดติดขัดข้องใจอีกแล้ว
บังทองจึงกล่าวสืบไปว่า เนื้อความเพียงเท่านี้ไยจึงต้องรบกวนใจให้ท่านต้องมาถึงเมืองลอยเอี๋ยง อย่าว่าแต่ความเพียงเท่านี้เลย “ถึงราชการโจโฉกับซุนกวนก็ดี เหมือนเราจับหนังสือชูไว้บนฝ่ามือ ถ้าเปิดพลิกดูเมื่อใดก็จะเห็นแจ้งสิ้น”
เตียวหุยได้ฟังคำบังทองเป็นความใหญ่ แต่เป็นความซึ่งกล่าวด้วยความมั่นใจองอาจกล้าหาญในลักษณาการอย่างเดียวกับที่เคยเห็นจากขงเบ้ง ความที่ยังลังเลใจสงสัยก็มลายไปสิ้น เตียวหุยตกใจต่อถ้อยคำของบังทอง มองข้ามความรูปชั่วตัวดำ เห็นถึงข้างในที่ผ่องใสดุจทองนพคุณ แล้วจึงลุกออกจากเก้าอี้มายืนที่ตรงหน้าบังทอง กระทำคารวะคำนับบังทองแล้วว่า “เล่าปี่กับข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านมีสติปัญญาถึงเพียงนี้ คิดว่าท่านละราชการเสียจริง จึงใช้ข้าพเจ้ามาฟังดู จะได้ช่วยทำนุบำรุงท่าน ข้าพเจ้าจะเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งให้เล่าปี่ฟัง”
บังทองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ไม่ตอบถ้อยคำเตียวหุยแต่ล้วงเอาหนังสือของโลซกถึงเล่าปี่ส่งให้แก่ซุนเขียน
ซุนเขียนเห็นหนังสือก็ประหลาดใจจึงเปิดผนึกออกอ่านดู และอ่านให้เตียวหุยฟัง เตียวหุยได้ฟังความในหนังสือแนะนำตัวของโลซกก็ยิ่งมั่นใจในตัวบังทอง รีบถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่าเมื่อครั้งที่ท่านพบกับเล่าปี่พี่ข้าพเจ้านั้นเป็นไฉนท่านจึงไม่เอาหนังสือของโลซกให้แก่เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าเล่า
เตียวหุยถามความโดยที่หาได้รู้ความไม่ว่าในตัวบังทองขณะนี้ยังมีหนังสือแนะนำตัวของขงเบ้งอยู่อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งบังทองยังคงปิดงำไว้
บังทองได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า “เมื่อแรกพบนั้นเล่าปี่ยังหารู้ว่าข้าพเจ้าดีชั่วไม่ ครั้นจะให้ดูหนังสือนั้น ก็เหมือนข้าพเจ้าแกล้งขอหนังสือมาเป็นนายหน้าให้ผู้อื่นช่วยสรรเสริญ ข้าพเจ้าจึงมิให้ดู”
ถ้อยคำบังทองดังนี้ราวกับมองเห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันที่บรรดานักวิ่งเต้นขอตำแหน่งแห่งที่ทั้งหลายล้วนแสวงหาผู้แนะนำฝากฝังเพื่อให้ได้ตำแหน่งแหล่งที่ที่สูงขึ้น โดยมิได้คำนึงถึงความดีความชอบในราชการของตัว หวังเอาแต่ความใกล้ชิดฝากฝังของผู้อื่นเป็นสรณะในการทำราชการ จึงทำให้บ้านเมืองวิปริตผันแปรไปได้ถึงเพียงนี้ อันตัวบังทองนั้นแม้จะมีผู้ยกย่องสรรเสริญแนะนำแต่ก็หาได้ตีคุณค่าของการฝากฝังแนะนำของผู้อื่นเป็นสรณะไม่ ยังคงยึดมั่นสติปัญญาความสามารถแห่งตัวเป็นที่ตั้ง ครั้นเห็นประจักษ์แล้วจึงแสดงหนังสือแนะนำตัว
เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับซุนเขียนว่าโชคดีที่ท่านท้วงติงมิให้ข้าพเจ้าวู่วาม มิฉะนั้นราชการที่เล่าปี่พี่ข้าพเจ้าใช้สอยมาก็จะเสียการไป เตียวหุยกล่าวดังนั้นแล้วจึงแจ้งแก่บังทองว่าท่านจงรั้งรออยู่ที่เมืองนี้ก่อน ข้าพเจ้าและซุนเขียนจะรีบไปรายงานให้เล่าปี่ทราบ
เตียวหุยและซุนเขียนคำนับลาบังทองแล้วรีบเดินทางกลับไปเมืองเกงจิ๋ว และรายงานความทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ พร้อมกับส่งหนังสือของโลซกให้เล่าปี่
เล่าปี่รับหนังสือของโลซกมาอ่านดูมีความว่า “บังทองคนนี้ได้ร่ำเรียนความรู้วิชาการเป็นอันมาก แล้วก็มีสติปัญญาควรที่จะเป็นที่ปรึกษาท่านได้ แม้จะดูแต่ลักษณะรูปร่างภายนอกก็เห็นว่าไม่สมที่จะว่ามีความรู้วิชาการดี ข้าพเจ้าเสียดายบังทอง กลัวบังทองไปอยู่ด้วยผู้อื่นเสีย ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือให้บังทองมาหาท่าน”
เล่าปี่มิได้รู้ความนัยว่าฮองซูผู้เรืองปัญญาระดับเดียวกับฮกหลงคือบังทองผู้นี้ รูปนรลักษณ์ที่รูปชั่วตัวดำและวิปริตของบังทองยังติดตาติดใจเล่าปี่อยู่ แม้ได้ฟังความจากเตียวหุย ซุนเขียน และทราบความจากหนังสือของโลซกแล้วก็ยังลังเลสงสัยว่าบังทองจะเป็นคนมีสติปัญญาความสามารถจริงละหรือ
ในขณะที่เล่าปี่ตรึกอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ขงเบ้งได้กลับจากการไปตรวจราชการมาถึงเมืองเกงจิ๋วแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ขมีขมันออกไปรับขงเบ้งถึงนอกประตูจวน
พอเห็นหน้าเล่าปี่ขงเบ้งได้ถามว่า “บังทองมาอยู่นั้นเขาได้ความสบายอยู่หรือ”
พลันที่ขงเบ้งกลับจากตรวจราชการสี่หัวเมืองถึงเมืองเกงจิ๋วก็สอบถามข่าวสารจากทหารซึ่งสนิทว่าบังทองมาพบเล่าปี่แล้วหรือหาไม่ ครั้นได้ทราบว่าบังทองมาพบเล่าปี่แล้วก็มีความยินดี ดังนั้นคำถามแรกที่ขงเบ้งถามเล่าปี่ทันทีที่พบจึงเป็นการถามเรื่องบังทอง
เล่าปี่ฟังคำถามของขงเบ้งก็ตระหนักว่าที่ลังเลสงสัยบังทองนั้นเป็นการผิดถนัด เพราะหากบังทองมิใช่ผู้เรืองปัญญา ไหนเลยขงเบ้งจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้.